บทที่ 6
“เราได้เห็นดาวของท่าน”
อ้างอิงจากมัทธิว 2
“พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า ‘พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน’” มัทธิว 2 ข้อที่ 1, 2 {DA 59.1}
นักปราชญ์จากทิศตะวันออกเป็นนักปรัชญา พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชนขนาดใหญ่และเป็นผู้มีอิทธิพลที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ เป็นเจ้าของสมบัติและความรู้มหาศาลของประเทศชาติ ท่ามกลางคนเหล่านี้ มีนักปราชญ์จำนวนมากมายมีความสามารถทำให้ผู้อื่นเชื่อพวกเขาได้ง่าย บ้างก็เป็นคนซื่อตรงที่ศึกษาหมายสำคัญของพระเจ้าในธรรมชาติ และเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องในเรื่องของความซื่อตรงและสติปัญญา ลักษณะอุปนิสัยเหล่านี้มีในนักปราชญ์ที่เดินทางมาหาพระเยซู {DA 59.2}
แสงของพระเจ้าส่องสว่างเสมอท่ามกลางความมืดในหมู่คนนอกศาสนา ขณะที่นักปราชญ์ศึกษาดวงดาวบนท้องฟ้าและแสวงหาเพื่อเรียนรู้ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ในเส้นทางโคจรแห่งความสว่าง พวกเขามองเห็นพระสิริของพระผู้ทรงสร้าง เพื่อค้นหาความรู้ที่ชัดแจ้งยิ่งขึ้นพวกเขาหันไปศึกษาพระคัมภีร์ของชาวฮีบรู ในดินแดนของพวกเขาเองมีการบันทึกถึงคำเผยพระวจนะอันมีคุณค่ายิ่งที่ทำนายถึงการเสด็จมาของพระอาจารย์จากพระเจ้า บาลาอัมเป็นคนหนึ่งในพวกมายากล แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าก็ตามที โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ความรุ่งเรืองของชนชาติอิสราเอลและการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์และคำพยากรณ์ของเขาส่งต่อกันเป็นประเพณีศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเปิดเผยเรื่องการเสด็จมาของพระผู้ช่วยได้ชัดแจ้งกว่า พวกนักปราชญ์เรียนรู้ด้วยความชื่นชมยินดีว่าการเสด็จมาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว และทั่วทั้งโลกจะต้องเต็มล้นด้วยความรู้ในเรื่องพระสิริของพระเจ้า {DA 59.3}
นักปราชญ์เห็นแสงประหลาดบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่พระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือเนินเขาบ้านเบธเลเฮม ขณะที่แสงจางหายไป มีดวงดาวดวงหนึ่งอันสว่างไสวเจิดจ้าปรากฏขึ้นและลอยอยู่กลางอากาศ ดาวดวงนั้นไม่ใช่ดาวฤกษ์หรือดาวนพเคราะห์และปรากฏการณ์นี้ปลุกเร้าผู้ที่สนใจด้วยความตื่นเต้น ดาวดวงนั้นเป็นกลุ่มทูตสวรรค์อันสว่างสดใสที่อยู่แต่ไกล แต่นักปราชญ์ไม่ทราบเรื่องเช่นนี้ ถึงกระนั้นพวกเขามีความรู้สึกว่าดาวนั้นมีความหมายพิเศษสำหรับพวกเขา จึงนำเรื่องไปปรึกษาพวกปุโรหิตและนักปราชญ์ทั้งหลายและค้นหาม้วนหนังบันทึกโบราณ คำพยากรณ์ของบาลาอัมกล่าวไว้ว่า “ดาวดวงหนึ่งจะออกมาจากยาโคบ และพระคทาอันหนึ่งจะมาจากอิสราเอล” กันดารวิถี 24 ข้อที่ 17 เป็นไปได้หรือไม่ที่ดาวประหลาดดวงนี้เป็นตัวนำบอกถึงพระองค์ผู้ที่ทรงสัญญาว่าจะเสด็จมา? นักปราชญ์ต้อนรับแสงแห่งความจริงที่สวรรค์ส่งมาให้และบัดนี้ลำแสงสว่างไสวมากยิ่งขึ้น พวกเขาได้รับคำบัญชาในฝันให้ไปหาพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นเจ้าชายที่จะเสด็จมาบังเกิด {DA 60.1}
ดั่งอับราฮัมโดยความเชื่อเดินทางไปตามการทรงเรียกของพระเจ้า “โดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน” ฮีบรู 11 ข้อที่ 8 ดั่งชนชาวอิสราเอลโดยความเชื่อเดินตามเสาเมฆไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา คนต่างชาติเหล่านี้มุ่งหน้าไปแสวงหาพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงสัญญาไว้ ประเทศทางตะวันออกดาษดื่นด้วยของมีค่า และนักปราชญ์ทั้งหลายไม่ได้ออกเดินทางมือเปล่า การมอบถวายของมีค่าแก่เจ้าชายหรือบุคคลที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันอยู่ทั่วไปและพวกเขานำของขวัญล้ำค่าที่สุดที่หาได้เพื่อเป็นของถวายให้พระองค์ผู้ประทานให้ครอบครัวทั้งหลายของโลกได้รับพระพร พวกเขาจำเป็นต้องเดินทางในยามค่ำคืนเพื่อติดตามดวงดาว แต่พวกเขาใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินด้วยการกล่าวย้ำข้อคิดที่สืบทอดกันมาและคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระองค์ที่พวกเขาแสวงหา ในการหยุดพักแต่ละครั้งพวกเขาค้นหาคำพยากรณ์และซาบซึ้งใจมากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาอยู่ ในลักษณะภายนอกแล้ว พวกเขามีดวงดาวนำหน้าที่แสดงให้เห็นถึงการทรงนำ แต่ภายในดวงใจพวกเขายังมีหลักฐานของการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์พระผู้ทรงดลใจและประทานความหวังใจด้วย แม้เส้นทางเดินนั้นยาวไกล แต่ก็เป็นการเดินทางที่มีความสุข {DA 60.2}
นักปราชญ์เดินทางมาถึงดินแดนของประเทศอิสราเอลแล้วและเดินลงเขามะกอกเทศ กรุงเยรูซาเล็มอยู่เบื้องหน้า และนี่แน่ะ ดาวที่นำหน้าตามทางอันอ่อนเปลี้ยนั้นหยุดอยู่ตรงเหนือพระนิเวศ และอีกสักครู่หนึ่งก็เลือนลางหายไป ด้วยความตื่นเต้น พวกเขาเร่งเดินต่อไป มั่นใจว่าทุกคนคงพูดถึงเรื่องการเสด็จมาบังเกิดของพระเมสสิยาห์ด้วยความชื่นชมยินดี แต่การไต่ถามของพวกเขาพบแต่ความผิดหวัง เมื่อพวกเขาเข้าไปยังนครบริสุทธิ์แล้วจึงได้เดินมุ่งหน้าไปยังพระวิหาร ด้วยความแปลกประหลาดใจ พวกเขาไม่พบผู้ใดที่ดูเสมือนหนึ่งว่ารู้เรื่องการเสด็จมาบังเกิดของพระราชาองค์ใหม่เลย คำถามของพวกเขาไม่ทำให้ผู้ใดชื่นชมยินดี แต่กลับนำมาซึ่งความประหลาดใจและความกลัว มิใช่ปราศจากการระคนด้วยความเหยียดหยาม {DA 60.3}
พวกปุโรหิตปฏิบัติภารกิจไปตามประเพณีนิยม พวกเขาเชิดชูเยินยอศาสนาของพวกเขาและความเคร่งครัดในศาสนาของตนเองในขณะที่พวกเขาตำหนิติชาวกรีกและชาวโรมันว่าเป็นคนป่าเถื่อนและเป็นคนบาปยิ่งกว่ากลุ่มคนอื่นใด นักปราชญ์ไม่ใช่เป็นคนกราบไหว้รูปเคารพและในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเขาอยู่ในระดับที่สูงส่งกว่าคนเหล่านี้ที่อ้างตนว่าเป็นคนนมัสการพระเจ้า ถึงกระนั้นชาวยิวมองพวกเขาเป็นคนนอกศาสนา การถามอย่างใจจดใจจ่อของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเห็นใจแม้ในเหล่าคนที่รับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์พระวาทะอันบริสุทธิ์ {DA 61.1
เรื่องการมาของนักปราชญ์แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วทั่วกรุงเยรูซาเล็ม ภาระอันประหลาดของพวกเขาทำให้ประชาชนตื่นเต้น ข่าวนี้เข้าไปถึงพระราชวังกษัตริย์เฮโรด พระราชาชาวเอโดมเจ้าเล่ห์นี้แตกตื่น กลัวคู่แข่งที่อาจเกิดขึ้นมา ทางก้าวขึ้นบัลลังก์ของพระองค์เปื้อนด้วยการฆาตกรรมนับไม่ถ้วน ประชาชนภายใต้การปกครองของพระองค์เกลียดชังพระองค์อันเนื่องด้วยสายเลือดต่างชาติของพระองค์ ความมั่นใจเดียวที่เขามีอยู่คือเป็นที่ชอบของอาณาจักรโรมัน แต่เจ้าชายองค์ใหม่นี้มีสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าเพราะพระองค์ประสูติในราชอาณาจักร {DA 61.2}
กษัตริย์เฮโรดสงสัยว่าพวกปุโรหิตวางแผนร่วมกับคนแปลกหน้าเพื่อก่อความไม่สงบที่นิยมทำกันทั่วไปและเพื่อถอดพระองค์ออกจากพระราชบัลลังก์ พระองค์ทรงปกปิดความไม่วางใจไว้แต่กระนั้นตั้งใจที่จะทำลายแผนการของพวกเขาด้วยเล่ห์กลที่เหนือกว่า พระองค์ทรงเรียกพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ให้เข้าเฝ้าเพื่อถามถึงคำสอนของหนังสือศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องสถานที่ประสูติของพระเมสสิยาห์ {DA 61.3}
การซักถามที่มาจากผู้แย่งชิงบัลลังก์และเป็นคำร้องจากคนแปลกหน้าเสียดแทงความหยิ่งยโสของเหล่าอาจารย์ชาวยิว ความไม่เอาใจใส่ต่อคำพยากรณ์ในหนังสือม้วนของพวกเขาทำให้ผู้ปกครองโหดเหี้ยมที่มีใจริษยาเดือดดาล พระองค์ทรงคิดว่าพวกเขาพยายามปกปิดความรู้ของพวกเขาในเรื่องนี้ ด้วยอำนาจที่พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธ พระราชาเฮโรดตรัสสั่งให้พวกเขาศึกษาอย่างละเอียดและเพื่อประกาศสถานที่ประสูติของกษัตริย์ที่พวกเขารอคอย “พวกเขาทูลว่า ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ดังนี้
‘บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย
จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุดในสายตาของ
บรรดาผู้ครองแผ่นดินยูเดียก็หามิได้
เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่าน
ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอลชนชาติของเรา’” มัทธิว 2 ข้อที่ 5-7 {DA 62.1}
บัดนี้เฮโรดเชิญนักปราชญ์ให้เข้าเฝ้าเพื่อซักถามเป็นการส่วนตัว คลื่นแห่งความโกรธและความกลัวซัดไปมาอย่างรุนแรงในพระหทัยของพระองค์ แต่พระองค์ทรงรักษาความสงบภายนอกไว้และต้อนรับแขกแปลกหน้าอย่างมีมารยาท ตรัสถามพวกเขาว่าดาวดวงนั้นออกมาเวลาใดและแสดงออกว่าชื่นชมกับการมาบังเกิดของพระคริสต์ พระองค์ตรัสกับแขกผู้มาเยือนว่า “จงไปค้นหาพระกุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เราเพื่อเราจะไปนมัสการท่านด้วย” มัทธิว 2 ข้อที่ 8 เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว พระองค์ทรงรับสั่งให้พวกเขาเดินทางต่อไปยังบ้านเบธเลเฮม {DA 62.2}
พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองของกรุงเยรูซาเล็มหาได้ขาดความรู้เรื่องการเสด็จมาบังเกิดของพระคริสต์ตามที่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่ รายงานเรื่องของทูตสวรรค์ที่เยือนผู้เลี้ยงแกะนั้นมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว แต่พวกธรรมาจารย์ถือว่าเรื่องนี้หาได้มีคุณค่าเพียงพอที่จะใส่ใจ พวกเขาเองน่าจะหาพระเยซูให้พบได้ และน่าจะเป็นผู้ที่พร้อมเพื่อพาโหราจารย์ไปยังสถานที่ประสูติของพระองค์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นนักปราชญ์กลับเป็นผู้ที่มาเรียกร้องให้พวกเขาสนใจเรื่องการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซู พวกเขาพูดว่า “พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน” {DA 62.3}
บัดนี้ความทะนงตนและความริษยาปิดประตูให้กับแสงสว่าง หากรายงานที่ผู้เลี้ยงแกะและนักปราชญ์นำมาเป็นที่ยอมรับแล้ว ก็จะทำให้พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ตกไปอยู่ในฐานะที่ไม่พึงประสงค์และพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่เป็นผู้อธิบายความจริงของพระเจ้า ครูผู้คงแก่เรียนเหล่านี้ไม่ยอมก้มหัวลงเพื่อรับคำแนะนำจากผู้ที่พวกเขาถือว่าเป็นคนนอกศาสนา พวกเขาพูดกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าทรงดำเนินผ่านพวกเขาไป เพื่อไปตรัสกับคนเลี้ยงแกะทั้งหลายที่ไร้การศึกษาหรือคนนอกศาสนาที่ไม่ได้เข้าพิธีสุหนัต พวกเขาตั้งใจเหยียดหยามรายงานที่ทำให้กษัตริย์เฮโรดและทั่วทั้งกรุงแตกตื่น พวกเขาไม่ยอมแม้ที่จะเดินทางไปยังบ้านเบธเลเฮมเพื่อดูว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่และพวกเขาทำให้คนถือว่าการใส่ใจในเรื่องพระเยซูเป็นการคลั่งไคล้ที่ตื่นตระหนก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิเสธพระคริสต์ของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จากจุดนี้ ความหยิ่งและความดื้อรั้นขยายเพิ่มขึ้นจนเป็นความเกลียดชังพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่พระเจ้าทรงเปิดประตูให้แก่คนต่างชาติ ผู้นำชาวยิวกำลังปิดประตูให้กับตัวเอง {DA 62.4}
นักปราชญ์เดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปตามลำพัง ขณะที่พวกเขาก้าวออกไปจากประตูเมือง เงามืดกำลังทอดลงมาอยู่เหนือพวกเขา แต่ด้วยความชื่นชมอย่างล้นพ้น อีกครั้งหนึ่งพวกเขาเห็นดาวดวงนั้น และดาวนั้นพาพวกเขาไปยังบ้านเบธเลเฮม พวกเขาไม่ได้รับคำบอกเล่าถึงสภาพอันต่ำต้อยของพระเยซูเหมือนเช่นที่ผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายได้รับ หลังจากได้เดินทางมาอย่างยาวไกล พวกเขาผิดหวังในความไม่ใส่ใจของผู้นำชาวยิว และเดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปด้วยความมั่นใจที่น้อยกว่าเมื่อครั้นเข้าเมือง ที่บ้านเบธเลเฮมพวกเขาไม่พบองครักษ์ของพระราชวังคอยคุ้มครองพระราชาที่เสด็จมาบังเกิด ไม่มีบุคคลอันทรงเกียรติของโลกคนใดเข้าเฝ้า พระเยซูทรงบรรทมอยู่ในรางหญ้า มีบิดามารดาของพระองค์ที่ไร้การศึกษาปกป้องดูแลอยู่ เป็นไปได้หรือท่านผู้นี้คือที่บันทึกไว้ว่าจะ “ยกเผ่าทั้งหลายของยาโคบขึ้น และเพื่อให้อิสราเอลที่เหลือกลับสู่สภาพดี” และพระองค์จะทรงเป็น “ความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” และเป็น “ความรอด. . . . ถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” อิสยาห์ 49 ข้อที่ 6 {DA 63.1}
“เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น” พวกเขามองเห็นรัศมีภาพของพระเจ้าปิดซ่อนอยู่ภายใต้ความต่ำต้อยของพระเยซู พวกเขามอบถวายใจให้กับพระผู้ช่วยให้รอดและมอบของถวายทั้งหมดให้พระองค์ “ทองคำ กำยานและมดยอบ” เป็นความเชื่อยิ่งใหญ่เพียงไรของพวกเขา! พระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสถึงนายร้อยชาวโรมันนั้นน่าจะนำมาบรรยายถึงโหราจารย์จากตะวันออกได้ “เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล” มัทธิว 2 ข้อที่ 11; 8 ข้อที่ 10 {DA 63.2}
นักปราชญ์ทั้งหลายไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของกษัตริย์เฮโรดที่มีต่อพระเยซู เมื่อเป้าหมายของการเดินทางสำเร็จลุล่วงแล้ว พวกเขาเตรียมตัวพร้อมเพื่อกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มรายงายถึงความสำเร็จ แต่ในฝัน พวกเขารับข่าวสารจากพระเจ้าว่าไม่ให้ติดต่อกับกษัตริย์เฮโรดอีกต่อไป พวกเขาจึงเลี่ยงกรุงเยรูซาเล็ม เดินทางกลับบ้านโดยใช้เส้นทางอื่น {DA 64.1}
ในเวลาเดียวกัน โยเซฟรับคำเตือนให้พามารีย์และพระกุมารอพยพหนีไปยังประเทศอียิปต์และทูตสวรรค์กล่าวว่า “คอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหาพระกุมารเพื่อจะประหารชีวิตเสีย” มัทธิว 2 ข้อที่ 13 โยเซฟปฏิบัติตามโดยไม่ล่าช้า เพื่อความปลอดภัย พวกเขาออกเดินทางในเวลากลางคืน {DA 64.2}
โดยผ่านทางนักปราชญ์ พระเจ้าทรงเรียกร้องชาวยิวให้สนใจเรื่องการประสูติของพระบุตรของพระองค์ การค้นหาของพวกเขาในกรุงเยรูซาเล็ม การปลุกให้คนทั่วไปสนใจและแม้กระทั่งความริษยาของกษัตริย์เฮโรดซึ่งบังคับให้พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์สนใจ หันเหความคิดไปยังคำพยากรณ์เรื่องของพระเมสสิยาห์และเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ {DA 64.3}
ซาตานตั้งหน้าขวางกั้นปกปิดแสงสว่างของพระเจ้าจากโลกและใช้เล่ห์สูงสุดของมันเพื่อทำลายพระผู้ช่วย แต่พระผู้ไม่ทรงเคยงีบหลับหรือง่วงซึมกำลังทรงคอยเฝ้าพระบุตรสุดที่รักของพระองค์อยู่ พระเจ้าพระผู้ประทานมานาจากสวรรค์แก่ชนชาติอิสราเอลและทรงเลี้ยงเอลียาห์ในช่วงเวลากันดารอาหารทรงเตรียมดินแดนต่างชาติเพื่อเป็นที่หลบภัยของมารีย์และพระกุมารเยซู และด้วยบรรณาการของนักปราชญ์ทั้งหลายจากดินแดนนอกศาสนา พระยาห์เวห์ทรงเตรียมความพร้อมเพื่อการเดินทางไปยังประเทศอียิปต์และการดำรงชีวิตในดินแดนของคนต่างชาติ {DA 65.1}
นักปราชญ์เป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ได้ต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอด ของบรรณาการของพวกเขาเป็นของถวายแรกสุดที่วางแทบพระบาทพระองค์ และโดยผ่านการถวายเหล่านี้ ช่างเป็นสิทธิพิเศษในการรับใช้ของพวกเขา! การถวายด้วยใจที่รักเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะประทานเกียรติ โดยให้โอกาสรับใช้พระองค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หากเรามอบถวายใจให้พระเยซูแล้ว เราก็จะนำของมาถวายพระองค์ด้วย เราจะมอบถวายทองคำและเงินของเรา สมบัติในโลกที่ล้ำค่าที่สุดของเรา ของประทานสูงสุดของฝ่ายความคิดและฝ่ายวิญญาณของเราอย่างเต็มที่ให้กับพระองค์ผู้ทรงรักเราและทรงพลีชีพเพื่อเรา {DA 65.2}
ที่กรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์เฮโรดคอยนักปราชญ์กลับมาด้วยความร้อนใจ เวลาผ่านไป พวกเขาไม่ได้กลับมา พระองค์จึงเริ่มสงสัย ความไม่เต็มใจของพวกธรรมาจารย์ในการชี้สถานที่ประสูติของพระเมสสิยาห์ ดูเสมือนหนึ่งว่าพวกเขารู้ทันแผนการของพระองค์ และนักปราชญ์ตั้งใจหลีกหนีพระองค์ พระองค์ทรงพระพิโรธเมื่อทรงคิดถึงเรื่องนี้ กลลวงของพระองค์พังทลายไป แต่พระองค์จะต้องเข้าหาความรุนแรง ทรงประสงค์นำพระราชาน้อยองค์นี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ชาวยิวหยิ่งยโสเหล่านั้นจะต้องเห็นว่าความพยายามนำกษัตริย์ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จะได้สิ่งใดตอบแทน {DA 65.3}
พระองค์ทรงส่งทหารไปยังบ้านเบธเลเฮมทันที โดยบัญชาให้ฆ่าเด็กทุกคนที่มีอายุสองขวบลงมา บ้านอันสงบของนครดาวิดเป็นพยานเห็นถึงภาพอันโหดเหี้ยมที่ผู้เผยพระวจนะเปิดเผยให้เห็นเมื่อหกร้อยปีที่แล้วว่า “ในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้เสียงดัง คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบรรดาบุตรของตน นางไม่รับฟังคำปลอบใจ เพราะบุตรทั้งหลายไม่อยู่แล้ว” มัทธิว 2 ข้อที่ 18 {DA 65.4}
ภัยพิบัติครั้งนี้ชาวยิวนำมาใส่ไว้ให้กับตนเอง หากพวกเขาดำเนินด้วยความซื่อสัตย์และถ่อมตนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้ามาตลอดแล้ว พระองค์ก็ทรงสามารถประกอบกิจให้พระพิโรธของกษัตริย์กลับไม่เป็นภัยได้ในพริบตาเดียว แต่พวกเขาแยกตัวเองออกไปจากพระเจ้าด้วยบาปและการปฏิเสธพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นโล่เดียวที่ป้องกันพวกเขาไว้ พวกเขาไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์ ด้วยความต้องการที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาค้นหาคำของผู้เผยพระวจนะเพื่อที่จะใช้ในการยกตนเองให้สูงขึ้น และแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเหยียดหยามประเทศอื่น เป็นการโอ้อวดของพวกเขาเองที่ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ครอบครองศัตรูทั้งหลายและเหยียบย่ำคนนอกศาสนาด้วยพระพิโรธของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาจึงกระตุ้นความเกลียดชังของผู้ปกครองของพวกเขา โดยการแปลความหมายของพระราชกิจของพระคริสต์ไปในทางผิด ซาตานตั้งใจบงการเพื่อการทำลายพระผู้ช่วยให้รอด แต่แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ความพินาศกลับตกลงมาบนพวกเขาเอง {DA 65.5}
การกระทำอันโหดเหี้ยมนี้เป็นหนึ่งในการกระทำสุดท้ายของการปกครองของกษัตริย์เฮโรด หลังจากการสังหารเหยื่อบริสุทธิ์ไม่นาน กษัตริย์เฮโรดเองพบจุดจบที่ไม่มีผู้ใดสามารถหันเหออกไปจากเขา พระองค์ตายอย่างน่าเวทนา {DA 66.1}
ขณะที่โยเซฟยังอยู่ประเทศอียิปต์ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้บัญชาให้เขากลับไปยังดินแดนอิสราเอล โยเซฟถือว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายเพื่อครองราชบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด จึงประสงค์ไปตั้งบ้านที่บ้านเบธเลเฮม แต่เมื่อทราบข่าวว่าอารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนกษัตริย์เฮโรดผู้เป็นพระบิดา โยเซฟก็ไม่กล้าไปที่นั่นกลัวว่าพระราชาองค์นี้จะสืบทอดแผนการของพระบิดาต่อต้านพระคริสต์ ในบรรดาบุตรของกษัตริย์เฮโรด อารเคลาอัสมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกษัตริย์เฮโรดมากที่สุด ในการขึ้นครองราชย์ของเขามีการจลาจลเกิดขึ้นแล้วที่กรุงเยรูซาเล็มและทหารโรมันสังหารชาวยิวมาแล้วนับพัน {DA 66.2}
อีกครั้งหนึ่งโยเซฟได้รับการทรงนำให้หาที่ปลอดภัย เขากลับไปยังเมืองนาซาเร็ธบ้านเดิมของเขาและ ณ ที่นี่พระเยซูทรงอาศัยอยู่นานเกือบสามสิบปี “เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่าท่านจะได้ชื่อว่าชาวนาซาเร็ธ” มัทธิว 2 ข้อที่ 23 แคว้นกาลิลีอยู่ภายใต้การปกครองของบุตรอีกคนหนึ่งของกษัตริย์เฮโรด แต่มีคนต่างชาติปะปนกันอยู่อย่างหนาแน่นกว่าแคว้นยูเดีย ด้วยเหตุนี้ความสนใจในเรื่องของชาวยิวจึงมีน้อยกว่าและในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งและอำนาจของพระเยซูแล้ว จะเป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจฝ่ายปกครองริษยาน้อยลง {DA 66.3}
เช่นนี้แหละเป็นลักษณะของการต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อพระองค์เสด็จมายังโลก ดูเสมือนหนึ่งว่าไม่มีที่ใดที่จะให้สถานที่พักผ่อนหรือให้ความปลอดภัยแก่พระผู้ช่วยทารกน้อยองค์นี้เลย พระเจ้าทรงมอบพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ไว้กับมนุษย์ได้อย่างวางพระทัยไม่ได้แม้ในขณะดำเนินในพระราชกิจแห่งการทรงไถ่พวกเขาให้รอดก็ตาม พระองค์ทรงรับสั่งให้ทูตสวรรค์คอยเฝ้ารับใช้พระเยซูและให้ถวายการปกป้องพระองค์จนกว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจในโลกสำเร็จและสิ้นพระชนม์ในมือของคนทั้งหลายที่พระองค์เสด็จมาช่วยให้ได้รับความรอด {DA 67.1}
*********