บทที่ 2

ประชากรที่ได้รับเลือกสรร

 

       กว่าหนึ่งพันปี ชาวยิวเฝ้าคอยการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาตั้งความหวังสดใสที่สุดไว้กับเหตุการณ์นี้  พวกเขาเทิดทูนถวายสรรเสริญพระนามของพระองค์ในบทเพลงและคำพยากรณ์รวมทั้งในพิธีกรรมของพระวิหารและคำอธิษฐานในบ้าน  ถึงกระนั้น เมื่อพระองค์เสด็จมา พวกเขาหารู้จักพระองค์ไม่  พระเจ้าผู้ทรงเป็นที่รักของพวกเขานั้นเป็นเสมือน “รากที่แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้งแล้ง” พระองค์ “ไม่ [ทรง] มีความงามหรือความสง่า”  และพวกเขามองไม่เห็นความงามใดในพระองค์ที่จะให้พวกเขาปรารถนาพระองค์  “พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่ชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ต้อนรับพระองค์” อิสยาห์ 53 ข้อที่ 2 ยอห์น 1 ข้อที่ 11  {DA 27.1} 

       ถึงกระนั้นพระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลไว้แล้ว  พระองค์ทรงเรียกพวกเขาจากมวลมนุษย์ให้เป็นผู้รักษาความรู้เรื่องพระบัญญัติของพระองค์ไว้ รวมถึงสัญลักษณ์และคำพยากรณ์ที่ชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาเป็นดั่งน้ำพุแห่งความรอดสำหรับโลก  ดั่งอับราฮัมในดินแดนที่เขาเดินทางไป ดั่งโยเซฟในประเทศอียิปต์ และดั่งดาเนียลในราชวังกรุงบาบิโลน ประชาชนชาวฮีบรูทั้งหลายจะต้องเป็นเช่นนั้นในท่ามกลางประชาชาติ  พวกเขาจะต้องเปิดเผยเรื่องของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ {DA 27.2}            เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัม พระองค์ตรัสว่า “เราจะอวยพรเจ้า. . . .เจ้าจะเป็นพร. . . .บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า”  ปฐมกาล 12 ข้อที่ 2, 3  คำสอนเดียวกันนี้ได้กล่าวซ้ำผ่านผู้เผยพระวจนะ  แม้สงครามได้ทำลายชนชาติอิสราเอลและพวกเขาตกไปเป็นเชลย พระสัญญานี้ยังคงเป็นของพวกเขา  “คนที่เหลืออยู่ของยาโคบจะอยู่ท่ามกลางชนชาติมากมายเหมือนน้ำค้างจากพระยาห์เวห์ เหมือนห่าฝนที่ตกบนหญ้า ซึ่งไม่รอคอยมนุษย์ หรือคอยเหล่าบุตรของมนุษย์”  มีคาห์ 5 ข้อที่ 7  ในเรื่องพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม พระเจ้าทรงเปิดเผยผ่านทางอิสยาห์ว่า “พระนิเวศของเรานั้นเขาจะเรียกว่านิเวศอธิษฐานสำหรับทุกชนชาติ”  อิสยาห์ 56 ข้อที่ 7  {DA 27.3}           

       แต่ชนชาติอิสราเอลตั้งความหวังไว้กับความยิ่งใหญ่ของโลก  ตั้งแต่สมัยที่พวกเขาเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอัน พวกเขาเหินห่างไปจากพระบัญญัติของพระเจ้าและติดตามทางของคนนอกศาสนา  พระเจ้าประทานคำเตือนผ่านผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่เกิดผล  พวกเขาตกไปอยู่ภายใต้การกดขี่ของคนต่างชาติ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้กลับใจ  การปฏิรูปทุกครั้งกลับตามมาด้วยการละทิ้งความเชื่อที่ยิ่งตกต่ำลงไปกว่าเดิม  {DA 28.1}

       หากชนชาติอิสราเอลซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าน่าจะสำเร็จได้ด้วยเกียรติและคำสรรเสริญยกย่อง  หากพวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการเชื่อฟังแล้ว พระองค์จะทรงตั้งให้พวกเขา “สูงเหนือบรรดาประชาชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้าง ในเรื่องการสรรเสริญ ชื่อเสียงและเกียรติยศ ” โมเสสกล่าวว่า “ชนชาติทั้งหลายในโลกจะเห็นว่าเขาเรียกท่านตามพระนามพระยาห์เวห์ และเขาทั้งหลายจะเกรงกลัวท่าน” “คนเหล่านั้นได้ยินถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้แล้ว” จะกล่าวว่า “แท้จริงชนชาติใหญ่นี้เป็นประชาชนที่มีปัญญาและมีความเข้าใจ”  เฉลยธรรมบัญญัติ 26 ข้อที่ 19; 28 ข้อที่ 10; 4 ข้อที่ 6  แต่เนื่องจากความไม่สัตย์ซื่อของพวกเขา มีเพียงความทุกข์ยากและความอัปยศอดสูเท่านั้นที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จได้  {DA 28.2}             

       พวกเขาถูกจับเป็นเชลยไปยังกรุงบาบิโลนและกระจายไปทั่วแผ่นดินของคนนอกศาสนา  ท่ามกลางความทุกข์ยากนี้หลายคนเริ่มต้นซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง  ในขณะที่พวกเขาแขวนพิณเขาคู่ไว้บนต้นหลิวและคร่ำครวญไว้อาลัยแด่พระนิเวศบริสุทธิ์ที่ทิ้งร้างอยู่นั้น [สดุดี 137 ข้อที่ 2] แสงสว่างแห่งความจริงส่องผ่านพวกเขาและความรู้เรื่องพระเจ้าก็ถูกเผยแพร่ไปในหมู่ประชาชน  ระบบการถวายบูชาของคนนอกศาสนาเป็นการบิดเบือนระบบพิธีกรรมที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ และหลายคนที่ถือรักษาพิธีกรรมของคนต่างศาสนาอย่างจริงใจก็ได้เรียนรู้จากชาวฮีบรูถึงความหมายของพิธีที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้และพวกเขาก็ฉวยรับเอาพระสัญญาเรื่องพระผู้ไถ่ไว้ด้วยความเชื่อ  {DA 28.3}       

       เชลยจำนวนมากตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหง  คนจำนวนไม่น้อยสูญเสียชีวิตเนื่องจากปฏิเสธที่จะละเลยวันสะบาโตและไปถือรักษาพิธีกรรมฉลองเทศกาลของคนนอกศาสนา  ในขณะที่บรรดาคนกราบไหว้รูปเคารพลุกขึ้นบีบคั้นลบล้างความจริง พระยาห์เวห์ทรงนำผู้รับใช้ของพระองค์ให้เข้าเฝ้ากษัตริย์และผู้ปกครองทั้งหลายเพื่อพวกเขาและประชากรของพวกเขาจะได้รับแสงสว่าง  ครั้งแล้วครั้งเล่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่หลายองค์ยอมรับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่พวกเชลยชาวฮีบรูนมัสการ  {DA 28.4}

       การตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวบาบิโลนทำให้ชนชาติอิสราเอลได้รับการเยียวยาหายจากการกราบไหว้รูปเคารพ  ต่อมาอีกหลายศตวรรษพวกเขาต้องทนทุกข์ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของศัตรูนอกศาสนาจนกระทั่งพวกเขาสำนึกได้ว่า ความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอยู่กับการเชื่อปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า  แต่สำหรับคนจำนวนมาก ความเชื่อฟังไม่ได้เกิดจากความรัก  แรงจูงใจเกิดจากความเห็นแก่ตัว  พวกเขาถวายการปรนนิบัติพระเจ้าแต่เพียงภายนอกเพื่อให้ได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ  พวกเขาไม่ได้เป็นแสงสว่างของโลกแต่เก็บตัวเองให้ห่างจากโลกเพื่อหลีกพ้นจากการทดลองในเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพ  ผ่านทางคำสอนที่ประทานผ่านโมเสส พระเจ้าทรงจำกัดพวกเขาในการเข้าร่วมกับผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพ แต่พวกเขากลับแปลความหมายของคำสอนนี้ผิดไป  คำสอนนี้มีไว้เพื่อขัดขวางพวกเขาจากการเข้าร่วมวิถีดำเนินชีวิตของคนนอกศาสนา  แต่พวกเขาใช้คำสอนเหล่านี้เพื่อสร้างกำแพงขวางกั้นระหว่างชนชาติอิสราเอลกับประเทศอื่นๆ  ชาวยิวมองว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นสวรรค์ของพวกเขา  และแท้จริงแล้วพวกเขามีใจริษยาเกรงว่าพระยาห์เวห์จะทรงสำแดงความปรานีต่อเหล่าคนต่างชาติด้วย  {DA 28.5}

       หลังจากชนชาติยิวกลับจากกรุงบาบิโลน พวกเขาให้ความสนใจต่อคำสอนทางศาสนามากขึ้น  มีการสร้างธรรมศาลาทั่วประเทศ เพื่อให้พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ใช้เป็นสถานที่อธิบายพระบัญญัติ  มีการสร้างโรงเรียนต่างๆ ซึ่งเมื่อผสานเข้ากับบรรดาศิลปะและวิทยาการความรู้ต่างๆ แล้ว อ้างตนว่าสอนหลักการแห่งความชอบธรรม  แต่ตัวแทนเหล่านี้ก็เสื่อมทรามไป  ในขณะที่เป็นเชลยอยู่ คนจำนวนมากรับแนวคิดและประเพณีของคนนอกศาสนาและนำมาใส่ในพิธีทางศาสนาของพวกเขา  พวกเขาปฏิบัติตามพิธีของคนกราบไหว้รูปเคารพในหลายเรื่อง  {DA 29.1}       

       ในขณะที่ชนชาติยิวเดินห่างไปจากพระเจ้า พวกเขาแทบจะมองไม่เห็นคำสอนในเรื่องพิธีกรรมของการนมัสการ  พิธีกรรมเหล่านั้น พระคริสต์เองทรงเป็นผู้สถาปนา  แต่ละขั้นตอน เป็นสัญลักษณ์ชี้ไปยังพระองค์ และเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา และความงามฝ่ายวิญญาณจิต  แต่ชาวยิวสูญเสียชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณไป  พวกเขายึดติดกับรูปแบบที่ไร้ชีวิต  พวกเขาวางใจในเครื่องเผาบูชาและรูปแบบของพิธีกรรมแทนการพึ่งพิงในพระองค์ที่เครื่องถวายบูชาเหล่านั้นชี้ไปถึง  พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์เพิ่มกฎข้อบังคับที่ตนเองตั้งขึ้นเพื่อทดแทนสิ่งที่พวกเขาทำหายไป และกฎข้อบังคับเหล่านี้ยิ่งเข้มงวดมากขึ้นเท่าไหร่ การแสดงออกถึงความรักของพระเจ้าก็ยิ่งลดน้อยลงไปมากขึ้นเท่านั้น  พวกเขาวัดความบริสุทธิ์ของตนเองด้วยขนาดของพิธีกรรมของพวกเขา ในขณะที่จิตใจของพวกเขากลับเต็มด้วยความหยิ่งยโสและความหน้าซื่อใจคด  {DA 29.2}       

       ด้วยคำสั่งห้ามอย่างพิถีพิถันและยุ่งยากทั้งหมดของพวกเขานี้ทำให้ไม่มีทางรักษาพระบัญญัติได้  ผู้ที่ประสงค์จะปรนนิบัติพระเจ้าและพยายามปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของธรรมาจารย์จึงตกอยู่ภายใต้ภาระที่หนัก  จิตใต้สำนึกที่ว้าวุ่นของพวกเขาหาความสงบสุขไม่ได้  ซาตานทำงานด้วยวิธีนี้เพื่อทำให้ประชาชนท้อถอย  เพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าลดลงและทำให้ความเชื่อของพวกเขาเป็นที่เหยียดหยาม  มันต้องการยืนยันคำกล่าวหาที่มันเคยประกาศสมัยที่มันกบฏในสวรรค์ว่า ข้อบังคับของพระเจ้าไม่ยุติธรรมและเชื่อปฏิบัติตามไม่ได้  มารยังกล่าวเน้นว่า แม้กระทั่งชนชาติอิสราเอลก็ยังรักษาพระบัญญัติไม่ได้  {DA 29.3}        

       ในขณะที่ชาวยิวประสงค์ให้พระเมสสิยาห์เสด็จมานั้นพวกเขาไม่เข้าใจพันธกิจที่แท้จริงของพระองค์  พวกเขาไม่ได้แสวงหาการทรงช่วยให้พ้นจากบาป แต่ต้องการการปลดปล่อยจากอำนาจของชาวโรมัน  พวกเขามองหาการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ในฐานะผู้ครอบครองเพื่อเอาชนะอำนาจการกดขี่และยกชนชาติอิสราเอลให้สูงเทียมจักรวาล  ทั้งหมดนี้จึงปูทางให้พวกเขาปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 29.4}       

       ในเวลาที่พระคริสต์เสด็จมาบังเกิด ประเทศชาติตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของชนต่างชาติและดื่นดาษด้วยความขัดแย้งภายใน  ชาวยิวได้รับอนุญาตให้คงการปกครองที่แยกออกมาอย่างอิสระ แต่ไม่มีสิ่งใดปกปิดความจริงที่พวกเขาตกอยู่ภายใต้แอกของโรมหรือการยอมประนีประนอมต่อกฎระเบียบของอำนาจของพวกเขา  ชาวโรมันอ้างสิทธิ์แต่งตั้งและถอดถอนมหาปุโรหิต และบ่อยครั้งพวกเขาแย่งชิงตำแหน่งนี้มาด้วยการฉ้อฉล ด้วยการติดสินบนและแม้กระทั่งด้วยการฆาตกรรม  ด้วยเหตุนี้ ระบบปุโรหิตจึงยิ่งเสื่อมทรามลงต่ำ  แต่ถึงกระนั้น บรรดาปุโรหิตยังคงมีอำนาจมหาศาลและพวกเขาใช้อำนาจนี้เพื่อเป้าหมายที่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ค่าจ้างตอบแทน  คนทั้งหลายตกอยู่ภายใต้ข้อเรียกร้องที่ไร้ความปรานีและยังถูกโรมขูดรีดภาษีอย่างหนักอีกด้วย  สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจกระจายไปทั่ว ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง  ความละโมบและความรุนแรง ความไม่วางใจและความเฉื่อยชาทางจิตวิญญาณกัดกร่อนเนื้อในของประเทศชาติ  {DA 30.1}

       ความเกลียดชังของชาวยิวที่มีต่อโรมและความภูมิใจในเชื้อชาติและความหยิ่งยโสฝ่ายจิตวิญญาณทำให้ชาวยิวยึดติดกับระเบียบการนมัสการมากยิ่งขึ้น  ปุโรหิตพยายามรักษาชื่อเสียงของความชอบธรรมโดยใส่ใจอย่างพิถีพิถันต่อพิธีกรรมทางศาสนา  ประชากรที่ตกอยู่ในความมืดและการกดขี่และผู้นำที่กระหายอำนาจ ต่างเฝ้าหวังคอยพระผู้เสด็จมาเพื่อทำลายศัตรูของพวกเขา และนำแผ่นดินของอิสราเอลกลับคืนมาอีกครั้ง  พวกเขาศึกษาคำพยากรณ์แต่ขาดการมองเห็นฝ่ายจิตวิญญาณ  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมองข้ามข้อพระคัมภีร์ที่ชี้ไปยังการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งของพระคริสต์ด้วยความถ่อมตน และแปลความหมายข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเสด็จมาครั้งที่สองด้วยสง่าราศีผิดไป  ความหยิ่งยโสปิดบังสายตาของพวกเขา  พวกเขาแปลความหมายของคำพยากรณ์ตามความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว {DA 30.2}           

***********