บทที่ 9

เวลาแห่งความขัดแย้ง


          เด็กชาวยิวถูกรายล้อมด้วยข้อกำหนดของพวกธรรมาจารย์นับตั้งแต่อายุยังน้อย  กฎเกณฑ์เข้มงวดกำหนดไว้ให้กับทุกการกระทำไปจนถึงรายละเอียดเล็กที่สุดของชีวิต  ในฐานะชนชาติอิสราเอลออร์โธดอกซ์แล้วครูทั้งหลายในธรรมศาลาจะสอนกฎข้อระเบียบนับไม่ถ้วนให้เยาวชนถือปฏิบัติ  แต่พระเยซูไม่ทรงสนพระทัยในเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่วัยเด็กพระองค์ทรงปฏิบัติตัวอย่างอิสระจากกฎของพวกธรรมาจารย์  คัมภีร์พระธรรมฉบับพันธสัญญาเดิมเป็นบทเรียนการศึกษาประจำของพระองค์และคำกล่าวที่ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า” เป็นพระดำรัสอยู่ที่ริมพระโอษฐ์ของพระองค์เสมอ  {DA 84.1}             

       เมื่อพระองค์ทรงเริ่มเข้าพระทัยถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน พระองค์ทรงตระหนักว่าข้อบังคับของสังคมและข้อกำหนดของพระเจ้าขัดแย้งกันอยู่เสมอ  มนุษย์เหินห่างไปจากพระวจนะของพระเจ้าและยกชูทฤษฎีที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นเอง  พวกเขาถือขนบธรรมเนียมที่ไร้คุณธรรม  พิธีกรรมของพวกเขาเป็นเพียงกรรมพิธีที่ถือปฏิบัติอย่างวกไปวนมา  ความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ที่ออกแบบมาเพื่อการสั่งสอนถูกปิดซ่อนจากคนทั้งหลายที่เข้าร่วมนมัสการ  พระองค์ทรงตระหนักว่าพวกเขาไม่มีสันติสุขจากการนมัสการอันปราศจากความเชื่อ  พวกเขาไม่รู้ถึงเสรีภาพฝ่ายจิตวิญญาณที่จะมาถึงพวกเขาด้วยการรับใช้พระเจ้าในความจริง  พระเยซูเสด็จมาเพื่อสอนความหมายของการนมัสการพระเจ้าและพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ข้อบังคับของมนุษย์เข้าระคนกับคำสอนของพระเจ้า  พระองค์ไม่ทรงโจมตีคำสอนหรือการปฏิบัติของอาจารย์ที่มีความรู้ทั้งหลาย  แต่เมื่อมีผู้ใดตำหนินิสัยอันเรียบง่ายของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงอธิบายเหตุผลการกระทำของพระองค์ด้วยพระวจนะของพระเจ้า  {DA 84.2}

       พระเยซูทรงเอาใจใส่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงสัมผัสด้วยความนุ่มนวลและความอ่อนน้อม เนื่องจากว่าพระองค์ทรงอ่อนโยนและสงบเสงี่ยมไม่ก่อความรำคาญ พวกธรรมจารย์และผู้ปกครองทึกทักมาเองว่าพวกเขาโน้มน้าวพระองค์ได้ง่ายด้วยอิทธิพลคำสอนของพวกเขา  พวกเขาโน้มน้าวพระองค์ให้รับหลักปฏิบัติและธรรมเนียมประเพณีที่ตกทอดจากธรรมาจารย์ของสมัยโบราณ แต่พระองค์ทรงขอหลักฐานจากพระวจนะศักดิ์สิทธิ์  พระองค์ทรงประสงค์รับฟังพระคำทุกตอนที่มาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า แต่พระองค์ปฏิบัติตามคำสอนที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเองไม่ได้  ดูเสมือนว่าพระเยซูทรงเข้าพระทัยพระคัมภีร์ตั้งแต่ต้นจนจบ และพระองค์ทรงเสนอพระวจนะเหล่านั้นตามลำดับความสำคัญ  พวกธรรมาจารย์เสียหน้าที่ต้องให้เด็กสอน  พวกเขาอ้างว่าการอธิบายพระคัมภีร์เป็นหน้าที่ของพวกเขาและเป็นส่วนของพระองค์ที่จะต้องฟังคำอธิบายของพวกเขา  พวกเขาเดือดดาลที่พระองค์ทรงยืนกรานต่อต้านคำพูดของพวกเขา  {DA 85.1}        

พวกเขาทราบดีว่าไม่มีหลักฐานใดในพระคัมภีร์รองรับขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขา  พวกเขาตระหนักว่าในความเข้าใจเรื่องทางฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว พระเยซูทรงเหนือกว่าพวกเขา  แต่กระนั้นพวกเขาโกรธเนื่องจากพระองค์ไม่ทรงปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา  เมื่อพวกเขาชักนำพระองค์ไม่ได้ จึงเข้าไปหาโยเซฟและมารีย์ เพื่อนำเรื่องของการไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนไปตีแผ่ต่อหน้าพวกเขา  ด้วยประการฉะนี้พระองค์จึงทรงถูกประณามและตำหนิว่ากล่าว  {DA 85.2}        

       ตั้งแต่เมื่อพระเยซูอายุยังน้อย พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติด้วยตัวของพระองค์เองเพื่อเสริมสร้างพระลักษณะอุปนิสัยของพระองค์ และแม้กระทั่งความเคารพและความรักที่มีต่อบิดามารดาก็ยังหันเหพระองค์ไปจากการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า” เป็นเหตุผลของทุกการกระทำที่แตกต่างจากธรรมเนียมของครอบครัว  แต่อิทธิพลของธรรมาจารย์ทั้งหลายทำให้ชีวิตของพระองค์ขมขื่น แม้ในวัยเยาว์ พระองค์ทรงต้องรับบทเรียนที่ยากของการนิ่งเงียบและความอดทนอดกลั้น  {DA 86.1}

       น้องๆ ของพระองค์ที่เรียกกันทั่วไปว่าเป็นบุตรของโยเซฟนั้นเข้าข้างพวกธรรมาจารย์  พวกเขายืนกรานว่าต้องถือประเพณีต่างๆ เสมือนหนึ่งเป็นกฎข้อบังคับของพระเจ้า  พวกเขายังถือว่าคำสอนของมนุษย์เหนือกว่าพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่พอใจที่พระเยซูทรงแยกแยะระหว่างความเท็จและความจริงได้อย่างชัดเจน  พวกเขาตำหนิพระเยซูที่ถือปฏิบัติพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเข้มงวดนั้นว่าดื้อรั้นหัวแข็ง  พวกเขาตะลึงกับความรู้และสติปัญญาที่พระองค์ทรงสำแดงออกในการตอบพวกธรรมาจารย์  พวกเขารู้ดีว่านักปราชญ์เหล่านั้นไม่ได้สอนพระองค์  ถึงกระนั้น พวกเขามองไม่เห็นเป็นทางอื่นนอกจากว่าพระองค์ทรงเป็นพระอาจารย์ของพวกเขา พวกเขายอมรับว่าการศึกษาของพระองค์นั้นอยู่ในระดับสูงส่งกว่าของพวกเขา แต่มองไม่เห็นว่าพระองค์ทรงเข้าถึงต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งเป็นแหล่งความรู้ที่พวกเขาละเลย  {DA 86.2}

       พระคริสต์ไม่ทรงเก็บตัวอย่างโดดเดี่ยว และพระองค์ทรงทำให้พวกฟาริสีขุ่นเคืองเป็นพิเศษด้วยการเหินห่างจากกฎระเบียบที่เข้มงวดด้วยการปฏิบัติตัวเช่นนี้  พระองค์ทรงเรียนรู้ว่าขอบเขตของความรู้ทางด้านศาสนาถูกกำแพงศาสนาสูงไว้ว่าศักดิ์สิทธิ์เกินไปสำหรับชีวิตประจำวัน  กำแพงขวางกั้นนี้พระองค์ทรงพังทลายลง  ในการสัมผัสกับมนุษย์พระองค์ไม่ทรงถามว่า เจ้าถือศาสนาอะไร?  เจ้าอยู่คริสตจักรใด?  พระองค์ทรงใช้อำนาจแห่งการทรงช่วยคนทั้งหลายที่ต้องการความช่วยเหลือ  แทนที่จะทรงกักเก็บตัวอย่างสันโดษในอาศรมเพื่อสำแดงออกถึงพระลักษณะนิสัยแห่งสวรรค์ของพระองค์ พระองค์กลับรับใช้มนุษยชาติอย่างจริงใจ  พระองค์ทรงปลูกฝังหลักการที่ว่าศาสนาของพระคัมภีร์ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกรกิริยาต่อร่างกาย  พระองค์ทรงสอนว่าศาสนาที่บริสุทธิ์และปราศจากมลทินไม่ได้มีไว้สำหรับเวลาเฉพาะหรือโอกาศพิเศษใดเท่านั้น  ในทุกเวลาและทุกสถานที่พระองค์ทรงสำแดงความเอาใจใส่ต่อมนุษย์ด้วยความรักและส่องแสงแห่งความชื่นชมเมตตาไปรอบตัวพระองค์  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดตำหนิพวกฟาริสี  การกระทำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าศาสนาไม่ได้ประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว  การอุทิศตนอย่างผิดปกติของพวกเขาต่อผลประโยชน์ส่วนตนนั้นยังห่างไกลจากความเลื่อมใสในพระศาสนาที่แท้จริง  สิ่งเหล่านี้ปลุกความโกรธแค้นของพวกเขาที่มีต่อพระเยซูขึ้นมา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพยายามบีบบังคับให้พระเยซูยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพวกเขา  {DA 86.3}             

       พระเยซูทรงปฏิบัติกิจเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานทุกกรณ๊ที่พระองค์ทรงประสบพบเจอ  พระองค์ทรงมีเงินทองเพียงเล็กน้อยที่จะประทานแต่บ่อยครั้งพระองค์ทรงปฏิเสธอาหารเพื่อช่วยคนที่ดูประหนึ่งว่ามีความขัดสนมากกว่าพระองค์  น้องๆ ของพระองค์รู้สึกได้ว่าอิทธิพลของพระองค์หักล้างอิทธิพลของพวกเขา  พระองค์ทรงมีไหวพริบที่ไม่มีนองๆ คนใดมีหรือปรารถนาที่จะมี  เมื่อพวกเขาพูดรุนแรงกับคนยากจนต่ำต้อย พระเยซูจะทรงตามหาคนเหล่านี้และตรัสกับพวกเขาด้วยพระดำรัสที่ให้กำลังใจ  ผู้ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก พระองค์ประทานน้ำเย็นให้แก้วหนึ่งและทรงจัดอาหารของพระองค์เองใส่มือของพวกเขาอย่างเงียบๆ  ในขณะที่พระองค์ทรงบรรเทาความทุกข์ของพวกเขา ความจริงที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้นประสานเข้ากับการกระทำที่กอปรด้วยพระเมตตา และฝังลึกลงสู่ความทรงจำ  {DA 87.1}    

       การกระทำทั้งหมดนี้ทำให้พี่ชายของพระองค์ไม่พอใจ  ในฐานะที่พวกเขาแก่กว่าพระองค์  พวกเขาคิดว่าพระเยซูควรที่จะอยู่ภายใต้การชี้แนะของพวกเขา  พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ทรงถือตนเหนือกว่าพวกเขา และตำหนิกล่าวหาว่าพระเยซูปฏิบัติตนเหนือกว่าพวกอาจารย์และพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองของประชาชน  บ่อยครั้งพวกเขาข่มขู่และพยายามขู่เข็ญพระองค์ แต่พระองค์ทรงรอดพ้นได้โดยยึดพระคัมภีร์เป็นหลัก  {DA 87.2}        

       พระเยซูทรงรักพี่ชายของพระองค์และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตาปรานีอย่างไม่แปรเปลี่ยน แต่พวกเขาอิจฉาพระองค์ และแสดงออกถึงความไม่เชื่อและเหยียดหยามอย่างออกหน้าออกตา  พวกเขาไม่เข้าใจการกระทำของพระองค์  ความขัดแย้งยิ่งใหญ่แสดงออกมาให้เห็นในตัวของพระเยซู  พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และถึงกระนั้นทรงเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระผู้สร้างโลก พระองค์ทรงเป็นเจ้าของโลกนี้  แต่กระนั้นความยากจนติดอยู่กับทุกย่างก้าวในประสบการณ์ชีวิตของพระองค์  พระองค์มีความสง่างามและเป็นตัวของตัวเองที่โดดเด่นเหนือความหยิ่งยโสยิ่งใหญ่อย่างโลกและความโอ้อวดของโลก พระองค์ไม่ได้ทรงไฝ่หาความยิ่งใหญ่ฝ่ายโลกและแม้อยู่ในตำแหน่งต่ำต้อยที่สุด พระองค์ยังทรงพึงพอพระทัย  สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่ชายของพระองค์โกรธ  พวกเขาอธิบายความสงบเสงี่ยมอย่างคงที่ของพระองค์ภายใต้ความทุกข์ยากและภาวะขาดแคลนไม่ได้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่พวกเราเพื่อว่าเรา “จะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์” 2 โครินธ์ 8 ข้อที่ 9  พวกเขาเข้าใจความลึกลับของพันธกิจของพระองค์ไม่ได้ดีไปกว่ามิตรสหายของโยบที่เข้าใจความตกต่ำและความทุกข์ยากของเขา  {DA 87.3}             

       พี่น้องของพระเยซูเข้าใจพระองค์ผิดเนื่องจากพระองค์ไม่เหมือนพวกเขา  มาตรฐานของพระองค์ไม่ใช่มาตรฐานของพวกเขา  ด้วยการมองไปยังมนุษย์ พวกเขาหันไปจากพระเจ้า และพวกเขาไม่มีอำนาจของพระองค์อยู่ในชีวิต  พิธีกรรมทางศาสนาที่เขาปฏิบัติอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงลักษณะอุปนิสัยไม่ได้  พวกเขา “ถวายทศางค์ที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า” แต่กลับละเลย “เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อ” มัทธิว 23 ข้อที่ 23  แบบอย่างของพระเยซูทำให้พวกเขาโกรธเคืองอยู่เสมอ  สิ่งเดียวในโลกที่พระองค์ทรงเกลียดคือบาป  พระองค์ทรงมองดูการกระทำผิดโดยปราศจากความปวดร้าวไม่ได้ เป็นสิ่งที่พระองค์ไม่อาจอำพราง  ผู้เคร่งครัดระเบียบด้วยลักษณะภายนอกอย่างศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปิดนิสัยรักบาปไว้นั้นจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากผู้ที่มีลักษณะอุปนิสัยอันร้อนรนเพื่อพระสิริของพระเจ้าเป็นสำคัญเสมอ เนื่องจากชีวิตของพระเยซูประณามความชั่ว พระองค์จึงถูกต่อต้านทั้งในบ้านและนอกบ้าน พวกเขาวิจารณ์ความไม่เห็นแก่ตัวและความซื่อตรงของพระองค์ด้วยความเย้ยหยัน พวกเขาตราความอดทนนานและความเมตตากรุณาของพระองค์ว่าขี้ขลาด  {DA 88.1}

       ในบรรดาความขมขื่นที่ตกกับมวลมนุษยชาติ ไม่มีส่วนใดที่พระคริสต์ไม่ทรงลิ้มรส  ยังมีคนที่คอยพยายามดูหมิ่นพระองค์เนื่องด้วยการประสูติของพระองค์และแม้ในขณะเยาว์วัยพระองค์ยังต้องเผชิญกับสายตาอันหมิ่นประมาทและการซุบซิบที่ชั่วช้า  หากพระองค์ทรงโต้ด้วยคำพูดและสายตาที่ไม่อดทนนาน หากพระองค์ทรงยอมแม้การกระทำชั่วเพียงครั้งเดียวต่อพี่น้อง พระองค์จะทรงล้มเหลวต่อการเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์  ด้วยประการฉะนี้พระองค์จะล้มเหลวในการปฏิบัติกิจเพื่อแผนการแห่งการช่วยในรอดของเรา  หากแม้พระองค์ทรงยอมรับว่ามีการยกเว้นให้บาปแล้ว ซาตานก็จะได้ชัยชนะและโลกจะต้องสาบสูญไปอย่างแน่นอน  นี่เป็นเหตุที่ทำให้ผู้หลอกลวงพยายามทำให้ชีวิตของพระองค์ลำบากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะนำพระองค์ให้ทำบาป  {DA 88.2}           

       แต่สำหรับทุกการทดลอง พระองค์ทรงมีคำตอบเดียวนั่นคือ “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า”  พระองค์แทบจะไม่ทรงตำหนิการทำผิดของพี่น้องของพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้พระดำรัสของพระเจ้าเพื่อตรัสกับพวกเขา  บ่อยครั้งพระองค์ถูกตำหนิว่าขี้ขลาดเนื่องจากพระองค์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกิจกรรมต้องห้ามบางอย่าง แต่คำตอบของพระองค์คือ มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ความยำเกรงองค์เจ้านาย นั่นแหละคือปัญญา และการหันเสียจากความชั่วร้าย คือความเข้าใจ”  โยบ 28 ข้อที่ 28  {DA 88.3}       

       มีบางคนต้องการคบหาสมาคมกับพระเยซูโดยสัมผัสได้ถึงสันติสุขเมื่ออยู่กับพระองค์ แต่คนจำนวนมากหลีกเลี่ยงพระองค์ เพราะถูกตำหนิด้วยชีวิตที่ปราศจากด่างพร้อยของพระองค์  สหายหนุ่มสาวเร่งเร้าให้พระองค์ทำตามพวกเขา  พระองค์ทรงร่าเริงและสดชื่น พวกเขาชื่นชอบอยู่กับพระองค์และยินดีรับคำแนะนำที่มีพร้อมอยู่เสมอของพระองค์ แต่พวกเขาทนไม่ได้กับศีลธรรมจรรยาของพระองค์ และตราพระองค์ว่าถี่ถ้วนและพิถีพิถันมากไป  พระเยซูทรงตอบว่า มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า  “คนหนุ่มจะรักษาวิถีทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ก็โดยปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์”  “ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์” สดุดี 119 ข้อที่ 9, 11  {DA 89.1}        

       บ่อยครั้ง มีคนถามพระองค์ว่า ทำไมพระองค์ทรงเก็บตัวไว้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แตกต่างจากพวกเขาทุกคน?  พระองค์ตรัสมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “บรรดาผู้ที่ดีพร้อมในทางของตนก็เป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์  บรรดาผู้ที่รักษาพระโอวาทของพระองค์ก็เป็นสุข พวกเขาแสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ  พวกเขาไม่ทำผิด แต่เดินตามพระมรรคาของพระองค์” สดุดี 119 ข้อที่ 1-3  {DA 89.2}      

       เมื่อมีคนทูลถามพระองค์ว่าทำไมไม่เข้าร่วมสนุกสนานกับเยาวชนของเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ตรัส มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ข้าพระองค์ปีติยินดีในทางแห่งพระโอวาทของพระองค์มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น  ข้าพระองค์จะตรึกตรองข้อบังคับของพระองค์  จะใส่ใจในวิถีทั้งหลายของพระองค์  ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์  ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์”  สดุดี 119 ข้อที่ 14-16  {DA 89.3}        

       พระเยซูไม่ทรงต่อสู้เพื่อสิทธิของพระองค์  บ่อยครั้งพระองค์ทรงต้องทำงานอย่างยากลำบากโดยไม่จำเป็นเพราะพระองค์ทรงยอมและไม่ทรงบ่น  ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ทรงล้มเหลวหรือท้อถอย  พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้น เสมือนหนึ่งอยู่ภายใต้แสงสว่างเบื้องหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า  พระองค์ไม่ทรงตอบโต้เมื่อถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงแต่รับการหมิ่นประมาทอย่างอดทน  {DA 89.4}        

       ผู้คนถามพระองค์ครั้งแล้วครั้งเหล่าว่าทำไมพระองค์ยอมต่อการปฏิบัติอย่างหมิ่นประมาท แม้กระทั่งจากพี่น้องของพระองค์เล่า?  พระองค์ตรัสมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ลูกเอ๋ย อย่าลืมคำสอนของข้า แต่ให้ใจของเจ้าเฝ้ารักษาบัญญัติของข้า เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มวันเดือนปีของชีวิตให้ยืนยาวและทวีความสมบูรณ์พูนสุขแก่เจ้า อย่าให้ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ทอดทิ้งเจ้า จงพันมันไว้รอบคอของเจ้า จงเขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า ดังนั้น จงหาความโปรดปรานและชื่อเสียงดีในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์”  สุภาษิต 3 ข้อที่ 1-4  {DA 89.5}

       นับตั้งแต่วันนั้นเมื่อบิดามารดาพระเยซูพบพระองค์ในพระวิหาร แนวทางการปฏิบัติของพระองค์เป็นความลึกลับสำหรับพวกเขา  พระองค์ไม่ทรงเข้าสู่การขัดแย้งแต่ถึงกระนั้นแบบอย่างของพระองค์เป็นบทเรียนอยู่เสมอ  ดูเสมือนหนึ่งว่าพระองค์ทรงถูกแยกตัวไว้ต่างหาก  ช่วงเวลาแห่งความสุขของพระองค์คืออยู่กับธรรมชาติและอยู่ร่วมกับพระเจ้าตามลำพัง  เมื่อใดที่พระองค์ทรงมีโอกาส พระองค์จะทรงหันออกไปจากภาระงานที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อไปยังท้องทุ่ง ใคร่ครวญในหุบเขาเขียว เฝ้าทูลพระเจ้าอยู่ข้างภูเขาหรือท่ามกลางต้นไม้ของป่าใหญ่  ในเวลาเช้าตรู่จะพบพระองค์ในสถานที่เงียบสงบ เพื่อใครครวญและค้นหาพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน  แล้วพระองค์ออกจากช่วงเวลาที่สงบเงียบกลับไปยังบ้านเพื่อรับหน้าที่และวางแบบอย่างการทำงานอย่างอดทน  {DA 89.6}        

       ชีวิตของพระคริสต์สำแดงให้เห็นถึงความเคารพและความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับมารดา  มารีย์เชื่อในใจว่าทารกน้อยบริสุทธิ์ที่เธอให้กำเนิดองค์นี้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ทรงสัญญามาเนิ่นนานแล้ว ถึงกระนั้นเธอไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความเชื่อของเธอ  ตลอดชีวิตของพระองค์ในโลก เธอร่วมทุกข์กับพระองค์  ด้วยความเจ็บปวดเธอเป็นพยานถึงความทุกข์ที่ตกมายังพระองค์ในวัยเด็กและวัยหนุ่ม  โดยการปกป้องการกระทำของพระองค์ที่เธอทราบดีว่าถูกต้องเธอก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก  เธอมองเห็นว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวและความห่วงใยอันอ่อนโยนต่อลูกๆของผู้เป็นแม่มีความสำคัญต่อการหล่อหลอมลักษณะอุปนิสัย  บุตรชายและบุตรหญิงของโยเซฟทราบเรื่องนี้ดี และโดยอาศัยความกังวลของเธอพวกเขาพยายามให้พระเยซูแก้การกระทำของพระองค์ให้เป็นไปตามมาตรฐานของพวกเขา  {DA 90.1}               

บ่อยครั้งมารีย์ทัดทานพระเยซูและเรียกร้องให้พระองค์โน้มไปยังธรรมเนียมประเพณีของพวกธรรมาจารย์  แต่การรบเร้าไม่อาจเปลี่ยนนิสัยของการคิดใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระเจ้าและค้นหาทางเพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ของมนุษย์หรือแม้ความทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน  เมื่อพวกปุโลหิตและพวกธรรมาจารย์บังคับขอให้มารีย์ช่วยควบคุมพระเยซู เธอเป็นทุกข์อย่างมากยิ่ง  แต่สันติสุขเข้ามาในดวงใจของเธอเมื่อพระองค์เสนอข้อคิดจากพระคัมภีร์สนับสนุนการกระทำของพระองค์  {DA 90.2}      

       ในบางครั้งเธอโอนเอียงอยู่ระหว่างพระเยซูกับพี่น้องของพระองค์ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่พระเจ้าประทานมาให้ แต่มีหลักฐานมากมายแสดงให้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  เธอเห็นพระองค์ทรงเสียสละเพื่อให้ผู้อื่นได้ดี  การมีพระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยนำมาซึ่งบรรยากาศที่บริสุทธิ์ในบ้านและชีวิตของพระองค์เปรียบเหมือนผงฟูทำงานอยู่ท่ามกลางสังคม  อย่างไร้พิษภัยและไร้ตำหนิ พระองค์ทรงดำเนินไปท่ามกลางคนทั้งหลายที่สิ้นคิด หยาบโลน ไร้มารยาท ท่ามกลางคนเก็บภาษีอธรรม คนใจร้อนสุรุ่ยสุร่าย ชาวสะมาเรียอธรรม ทหารนอกศาสนา ชาวนาหยาบกร้านและฝูงชนหลากหลาย  พระองค์ตรัสคำที่เห็นใจที่นี่คำหนึ่งและที่โน้นคำหนึ่ง ขณะทอดพระเนตรคนที่ตกอยู่ในความลำบากยังต้องแบกภาระที่หนัก พระองค์ทรงแบกรับภาระของพวกเขาและสอนบทเรียนแห่งความรัก ความเมตตา คุณความดีของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียนรู้จากธรรมชาติให้แก่พวกเขาฟังอีกครั้ง  {DA 90.3}

       พระองค์ทรงสอนทุกคนให้มองว่าตนเองได้รับตาลันต์อันทรงคุณค่ามากมาย ซึ่งหากใช้ในทางที่ถูกจะทำให้พวกเขาได้รับสมบัตินิรันดร์  พระองค์ทรงถอนรากแห่งความว่างเปล่าออกไปจากชีวิตและโดยแบบอย่างของพระองค์เองพระองค์ทรงสั่งสอนว่าทุกวินาทีเต็มไปด้วยผลลัพธ์ของนิจนิรันดร์ และจะต้องถนอมไว้ดั่งขุมทรัพย์และใช้เพื่อเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์  พระองค์ไม่ทรงดำเนินผ่านมนุษย์คนใดไปโดยเห็นว่าไร้ค่าแต่ทรงมุ่งแสวงหาเพื่อนำแผนการทรงช่วยให้รอดมาประยุกต์แก้ไขจิตวิญญาณทุกดวง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงอยู่ร่วมในคนกลุ่มใด พระองค์จะทรงเสนอบทเรียนที่เหมาะสมสำหรับเวลาและเหตุการณ์  พระองค์ทรงแสวงหาทางที่จะดลบันดาลใจพวกที่หยาบกร้านและสิ้นหวังด้วยความหวัง โดยตั้งความหวังใจให้แก่พวกเขาว่าพวกเขาเปลี่ยนเป็นคนที่ไร้ตำหนิและไม่มีพิษภัยจนก้าวไปให้ถึงลักษณะอุปนิสัยที่จะแสดงออกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าได้  บ่อยครั้งพระองค์ทรงพบพวกที่เดินถอยออกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานและไม่มีกำลังพอที่จะหนีออกจากกับดักของมาร  สำหรับคนที่ท้อถอย เจ็บป่วย ตกอยู่ภายใต้การทดลองและล้มลง พระเยซูตรัสคำแห่งความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง เป็นพระดำรัสที่พวกเขาต้องการและเข้าใจ  คนอื่นๆ ที่พระองค์ทรงพบนั้นต้องต่อสู่ประจัญหน้ากับศัตรูของจิตวิญญาณตัวต่อตัว   สำหรับคนเหล่านี้พระองค์ประทานกำลังใจให้พวกเขาบากบั่นอดทนและให้ความมั่นใจว่าจะได้ชัยชนะเพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้าอยู่เคียงข้างพวกเขาแลให้ชัยชนะ  ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์เช่นนี้ ได้รับความมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พวกเขาวางใจได้อย่างเต็มที่  พระองค์จะไม่ทรงหักหลังความลับที่พวกเขาระบายสู่พระกรรณอันเห็นอกเห็นใจของพระองค์  {DA 91.1}               

       พระเยซูทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  พระองค์ทรงสนพระทัยความทุกข์ยากที่พระองค์ทรงพบเห็นในทุกแง่มุมและพระองค์ทรงนำการบรรเทามาให้ทุกคนที่ตกอยู่ในความทุกข์  พระดำรัสอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาของพระองค์ประเล้าประโลมเหมือนเช่นพระโอสถ ไม่มีผู้ใดอาจบอกได้ว่าพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ แต่พระคุณแห่งความเมตตาที่เป็นอำนาจแห่งรักของการรักษาออกจากพระองค์ไปยังคนป่วยและคนที่ตกทุกข์  ด้วยการไม่รุกล้ำประการฉะนี้  พระองค์ทรงประกอบกิจเพื่อประชาชนทั้งหลายตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก  และนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมหลังจากพระองค์เริ่มเปิดตัวประกาศในที่สาธารณะแล้วจึงมีคนมากมายรับฟังพระองค์ด้วยความยินดี  {DA 92.1}             

       แต่ถึงกระนั้น ตลอดชีวิตช่วงวัยเด็ก ช่วงเยาว์วัยและช่วงผู้ใหญ่พระเยซูทรงดำเนินไปอย่างโดดเดี่ยว  ด้วยชีวิตอันใสบริสุทธิ์และซื่อสัตย์ พระองค์ทรงย่ำบ่อองุ่นตามลำพังและไม่มีใครจากชนชาติทั้งหลายอยู่กับเราเลย [โปรดดูอิสยาห์ 63 ข้อที่ 3]  พระองค์ทรงแบกรับภาระหนักของการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทราบว่า มนุษยชาติทั้งหมดต้องพินาศ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะตัดสินเปลี่ยนหลักการและเป้าหมายอย่างแน่วแน่  นี่เป็นภาระของพระองค์และไม่มีผู้ใดซาบซึ้งภาระที่ตกอยู่กับพระองค์ พระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า พระองค์ทรงปฏิบัติตามแผนการของชีวิตเพื่อพระองค์เองจะทรงเป็นแสงสว่างของมวลมนุษย์  {DA 92.2}      

**************