บทที่ 17 

นิโคเดมัส

อ้างอิงจาก ยอห์น 3 ข้อที่ 1-17


นิโคเดมัสดำรงตำแหน่งสูงอันทรงเกียรติในประชาชาติยิว  เขามีการศึกษาสูงและความสามารถที่ไม่ธรรมดาและเป็นสมาชิกอันทรงเกียรติของสภาแห่งชาติ  เขาตื่นตัวกับคำสอนของพระเยซูเหมือนเช่นคนอื่น  ถึงแม้ว่าเขาจะร่ำรวย มีความรู้และมีเกียรติ ชาวเมืองนาซาเร็ทผู้ถ่อมตนพระองค์นี้ยังดึงดูดความสนใจของเขาอย่างน่าประหลาด  บทเรียนทั้งหมดที่มาจากริมพระโอษฐ์ของพระองค์ประทับใจเขาและเขาปรารถนาที่จะเรียนรู้ความจริงอันมหัศจรรย์เหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น  {DA 167.1}          

การสำแดงอำนาจของพระคริสต์ในการชำระพระวิหารปลุกให้พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเกลียดชังพระคริสต์อย่างมุ่งมั่น  พวกเขากลัวอำนาจของชายแปลกหน้าพระองค์นี้  จะต้องไม่ยอมทนให้ชาวกาลิลีที่ไม่มีชื่อเสียงพระองค์นี้แสดงความกล้าหาญอีกต่อไป  พวกเขามุ่งมั่นที่จะหยุดยั้งพระราชกิจของพระองค์  แต่ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยกับเป้าหมายนี้  มีบางคนกลัวที่จะต่อต้านพระองค์ผู้ทรงมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงประกอบกิจอยู่  พวกเขาจดจำเรื่องราวที่ผู้เผยพระวจนะถูกฆ่าตายเนื่องจากตำหนิบาปของผู้นำชนชาติอิสราเอล  พวกเขาทราบดีว่าที่ชาวยิวตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศที่ไม่รู้จักพระเจ้าเป็นผลของความดื้อรั้นในการปฏิเสธคำตักเตือนที่มาจากพระเจ้า  พวกเขากลัวว่าในการวางแผนต่อต้านพระเยซู พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองกำลังเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษของพวกเขาและจะนำหายนะใหม่ลงมายังประเทศชาติ  นิโคเดมัสมีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้  ในการประชุมของสภาซันเฮดรินเมื่อมีการหารือถึงเรื่องของพระเยซูแล้ว นิโคเดมัสแนะนำให้ระวังและให้กระทำอย่างพอเหมาะ  เขาผลักดันว่าหากพระเยซูได้รับพระราชทานอำนาจจากพระเจ้าแล้ว การปฏิเสธคำตักเตือนของพระองค์จะเป็นเรื่องอันตราย  ปุโรหิตไม่กล้าละเลยคำแนะนำนี้และชั่วขณะหนึ่งไม่ได้ต่อต้านพระผู้ช่วยให้รอดอย่างเปิดเผย  {DA 167.2}     

ตั้งแต่นิโคเดมัสฟังพระดำรัสของพระเยซูแล้ว เขาตั้งใจศึกษาคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์และขณะที่เขายิ่งค้นหา เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านี่แหละคือพระองค์ที่จะเสด็จมา  เขาร่วมกับคนอื่นๆ มากมายในชนชาติอิสราเอลที่ทุกข์ระทมอย่างยิ่งเมื่อเห็นความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นในพระวิหาร  เขาเห็นเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์เมื่อพระเยซูทรงขับไล่ผู้ซื้อและผู้ขาย เขามองเห็นอำนาจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าที่เปิดเผยออกมา  เขามองเห็นพระผู้ช่วยให้รอดต้อนรับคนยากจนและรักษาคนเจ็บป่วย เขามองเห็นสีหน้าแห่งความสุขและได้ยินเสียงสรรเสริญและเขาไม่อาจสงสัยว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ทคือพระองค์ท่านนั้นที่พระเจ้าทรงโปรดประทาน  {DA 168.1}       

เขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้าเฝ้าทูลถามพระเยซู แต่กลัวที่จะไปเข้าเฝ้าพระองค์อย่างเปิดเผย  เป็นเรื่องน่าอับอายที่ผู้ปกครองชาวยิวยอมลดตัวเองลงเพื่อเข้าเฝ้าพระอาจารย์ที่คนรู้จักกันแต่น้อยนิด  หากการพบพระองค์ครั้งนี้เข้าหูสมาชิกสภาซันเฮดรินแล้ว เขาคงจะถูกเหยียดหยามและถูกปรักปรำ  เขาตั้งใจที่จะเข้าเฝ้าพระเยซูอย่างลับๆ โดยแก้ตัวว่าหากเขาเข้าเฝ้าพระเยซูอย่างเปิดเผย คนอื่นๆ อาจทำตามแบบอย่างของเขา  เขาสืบถามและทราบสถานที่พักของพระเยซูบนภูเขามะกอกเทศ  เขารอคอยจนกระทั่งคนทั้งเมืองหลับสนิทแล้วจึงไปเข้าเฝ้าพระองค์  {DA 168.2}      

เมื่อนิโคเดมัสมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูแล้ว เขารู้สึกขวยเขินอย่างน่าประหลาด  เขาพยายามปกปิดด้วยอารมณ์เยือกเย็นและความภูมิฐาน   “ท่านอาจารย์” เขาพูด “เราทราบว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำนั้นได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา”  เขาหวังที่จะเริ่มการสนทนาโดยกล่าวถึงความเป็นครูของพระคริสต์ซึ่งเป็นของประทานที่หายาก และยังกล่าวถึงอำนาจอันประเสริฐของการสำแดงการอัศจรรย์  เขามุ่งหวังให้คำพูดของเขาแสดงออกและเชิญชวนให้เกิดความมั่นใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความไม่เชื่อ  เขาไม่ได้ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ แต่เป็นเพียงครูคนหนึ่งจากพระเจ้า  {DA 168.3}      

แทนที่จะยอมรับคำทักทาย พระเยซูทรงเพ่งมองไปยังผู้พูดราวกับว่ากำลังอ่านจิตวิญญาณของเขา  ในพระปัญญาอันไม่มีขอบเขตของพระองค์นั้น พระองค์ทรงมองเห็นผู้แสวงหาความจริงอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์  พระองค์ทรงทราบจุดประสงค์ของการเข้าเฝ้าในครั้งนี้ และความปรารถนาที่จะให้ความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในความคิดของเขาลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงมุ่งตรงไปยังประเด็นและตรัสอย่างเคร่งขรึมแต่กระนั้นก็เปี่ยมด้วยความเมตตาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า”  ยอห์น 3 ข้อที่ 3  {DA 168.4}       

นิโคเดมัสเข้ามาเฝ้าพระเป็นเจ้าเพื่อหวังสนทนากับพระองค์ แต่พระเยซูทรงเปิดเผยรากฐานของหลักการแห่งความจริง  พระองค์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า สิ่งที่เจ้าต้องการนั้นไม่ใช่ความรู้ทางทฤษฎี แต่เป็นการเกิดใหม่ฝ่ายจิตวิญญาณ  เจ้าไม่จำเป็นต้องสนองความอยากรู้อยากเห็นของเจ้า แต่เจ้าต้องมีหัวใจใหม่  เจ้าจะต้องรับชีวิตใหม่จากเบื้องบนก่อนจะซาบซึ้งคุณค่าของสิ่งที่มาจากสวรรค์  จนกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นและทำให้ทุกสิ่งเป็นของใหม่ การมาสนทนาโต้ตอบกับเราในเรื่องอำนาจของเราหรือภารกิจของเราจะไม่มีผลต่อความรอดของเจ้า  {DA 171.1}         

นิโคเดมัสเคยฟังยอห์นผู้ให้บัพติศมาเทศนาเรื่องการกลับใจและการรับบัพติศมาและการชี้นำประชาชนไปยังพระองค์ผู้จะเสด็จมาเพื่อให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาเองตระหนักถึงความบกพร่องฝ่ายวิญญาณของชาวยิวและยิ่งกว่านั้นความดันทุรังและความทะเยอทะยานทางฝ่ายโลกยังควบคุมพวกยิวไว้  เขาเคยหวังว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ควรจะดีขึ้น  แต่ถึงกระนั้น ข่าวของผู้ให้บัพติศมาที่ให้สำรวจจิตใจของตนเองก็ไม่ได้ทำให้เขาสำนึกในบาป  เขาเป็นฟาริสีเคร่งครัดและภูมิใจในความดีที่เขาทำ  เขารับการสรรเสริญอย่างกว้างขวางว่าเป็นคนใจบุญและความใจกว้างของเขาในการสนับสนุนพิธีกรรมต่างๆ ของพระวิหารและเขารู้สึกมั่นใจว่าเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า  เขาตกใจกลัวเมื่อคิดถึงแผ่นดินที่บริสุทธิ์เกินไปที่จะให้เขาได้เห็นในสภาพที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบัน  {DA 171.2}

เครื่องหมายของการเกิดใหม่ที่พระเยซูทรงใช้นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่สำหรับนิโคเดมัส  บ่อยครั้งจะมีการนำคำว่าเด็กเกิดใหม่มาเปรียบเทียบคนนอกศาสนาที่กลับใจมารับความเชื่อของชนชาติอิสราเอล  ด้วยเหตุนี้เขาจึงน่าจะเข้าใจว่าพระคริสต์มิได้ทรงหมายถึงการเกิดตามตัวอักษร โดยเหตุที่เขาเกิดมาเป็นคนอิสราเอล เขาจึงถือว่าเขาเองมีสิทธิ์ที่จะได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าอย่างแน่นอน  เขารู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง จึงทำให้เขาตะลึงกับพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด  เขาขุ่นเคืองกับการที่พระองค์ทรงกล่าวอ้างถึงตัวเขา  ความหยิ่งยโสของความเป็นฟาริสีกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับความปรารถนาอันจริงใจของผู้แสวงหาความจริง  เขาสงสัยว่าทำไมพระคริสต์ถึงตรัสเช่นนี้กับเขาโดยไม่ให้ความเคารพเขาในฐานะผู้นำของชนชาติอิสราเอล  {DA 171.3}               

ด้วยอาการแปลกใจเผยออกมาจากบุคลิกที่สำรวม เขาตอบพระคริสต์ด้วยถ้อยคำเย้ยหยันมากว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?” เหมือนเช่นคนมากมายเมื่อถูกความจริงที่แหลมคมปลุกให้ตื่นขึ้น เขาจึงกล่าวถึงความจริงที่ว่าคนธรรมดาไม่อาจที่จะรับสิ่งของทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าได้ ไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่จะตอบสนองสิ่งของทางจิตวิญญาณได้ เพราะจะเข้าใจเรื่องของฝ่ายวิญญาณได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ  {DA 171.4}               

แต่พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงโต้ความขัดแย้งด้วยการโต้เถียง  พระองค์ทรงชูพระหัตถ์ขึ้นด้วยความภูมิฐานที่เคร่งขรึมอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงตอกย้ำความจริงด้วยความมั่นใจที่หนักแน่นว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้”  นิโคเดมัสทราบดีว่า ในที่นี้พระคริสต์ทรงหมายถึงการรับบัพติศมาด้วยน้ำและการเปลี่ยนใจใหม่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า  เขามั่นใจว่าเขาอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาทำนายไว้  {DA 171.5}         

พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ”  โดยธรรมชาติแล้ว หัวใจมีแต่ความชั่วและ “ผู้ใดจะเอาสิ่งสะอาดออกมาจากสิ่งมลทินได้?  ไม่มีสักคน”  โยบ 14 ข้อที่ 4  ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ประดิษฐ์จะรักษาจิตวิญญาณที่ตกอยู่ในบาปได้ “การเอาใจใส่เนื้อหนังนั้นคือการเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า และที่จริงไม่สามารถปฏิบัติตามได้”  “ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ”  โรม 8 ข้อที่ 7  มัทธิว 15 ข้อที่ 19  จะต้องชำระบ่อน้ำพุของหัวใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่ธารน้ำจะบริสุทธิ์ได้  ผู้ที่พยายามไปให้ถึงสวรรค์โดยการลงแรงถือรักษาพระบัญญัติเองกำลังทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  การถือศาสนาด้วยการปฏิบัติตามตัวอักษรเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัย คนที่ทำเช่นนี้จะเป็นคนเคร่งศาสนาแต่เปลือกนอก  ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่เป็นการดัดแปลงหรือการกระทำสิ่งเก่าให้ดีขึ้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ  จะต้องมีการตายต่อตนเองและต่อบาปและมีชีวิตใหม่ทั้งหมด  การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้โดยอำนาจการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  {DA 172.1}        

นิโคเดมัสคงยังตะลึงงุนงงอยู่ และพระเยซูทรงใช้ลมอธิบายความหมายของพระองค์ “ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”  {DA 172.2}      

ในท่ามกลางกิ่งไม้จะได้ยินเสียงของลมเมื่อใบและกิ่งไม้ต่างเสียดสีกัน แต่กระนั้นเป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น และไม่มีมนุษย์คนใดทราบว่าลมพัดมาจากทาง่ไหนและมุ่งหน้าไปที่ใด การประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหัวใจก็เป็นอย่างนั้น  ไม่มีทางที่จะอธิบายเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชัดเจนได้ดีไปกว่าการอธิบายด้วยการเคลื่อนไหวของลม  คนคนหนึ่งอาจบอกเวลาหรือสถานที่ที่แน่นอนหรือตามหาร่องรอยเหตุการณ์ทั้งหมดของกระบวนการกลับใจไม่ได้ แต่นี่ไม่ได้เป็นการพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้กลับใจ  โดยสื่อตัวแทนเหมือนเช่นลมที่มองไม่เห็น พระคริสต์ทรงประกอบกิจในหัวใจอยู่เสมอ  ความรู้สึกประทับใจทีละเล็กทีละน้อยนำจิตวิญญาณดวงหนึ่งเข้ามาหาพระคริสต์ได้โดยที่ผู้รับอาจไม่รู้สึกตัว สิ่งเหล่านี้รับได้ด้วยการใคร่ครวญถึงพระองค์ โดยการอ่านพระคัมภีร์หรือฟังคำเทศนาของผู้เทศนาที่ยังมีชีวิตอยู่  ในทันทีทันใดเมื่อพระวิญญาณเสด็จมาเรียกร้องโดยตรงมากยิ่งขึ้น จิตวิญญาณนั้นจะยินดีมอบถวายตัวเองให้พระเยซู  สำหรับคนมากมายแล้วจะมองดูว่าเป็นการกลับใจอย่างกระทันหัน แต่แท้จริงเป็นผลของการร้องเรียกของพระวิญญาณของพระเจ้าที่มีมาช้านานซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำอย่างอดทนและยาวนาน  {DA 172.3}            

ในขณะที่ตัวเราเองมองไม่เห็นลม แต่เรามองเห็นผลและสัมผัสกับลมได้  เช่นเดียวกัน ผลของการประกอบกิจของพระวิญญาณในจิตใจจะสำแดงออกให้เห็นในทุกการกระทำของผู้ที่ได้รับการสัมผัสด้วยอำนาจแห่งการทรงช่วยให้รอด  เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเข้าครอบครองจิตใจ พระวิญญาณจะทรงเปลี่ยนแปลงชีวิต  ความคิดที่บาปจะถูกกำจัดทิ้งไป การกระทำชั่วจะถูกปฏิเสธ  ความรัก ความถ่อมใจและสันติสุขเข้าแทนที่ความโกรธ ความอิจฉาและความขัดแย้งต่อสู้  ความสุขเข้าแทนที่ความเศร้าโศกและสีหน้าสะท้อนแสงของสวรรค์  ไม่มีผู้ใดมองเห็นมือที่ยกภาระออกหรือเห็นแสงที่ส่องลงมาจากพระบัลลังก์เบื้องบน  พระพรหลั่งลงมาเมื่อจิตวิญญาณมอบถวายตัวเองให้พระเจ้าด้วยความเชื่อ  แล้วอำนาจที่ตามนุษย์มองไม่เห็นจะสร้างคนใหม่ขึ้นให้มีพระฉายาของพระเจ้า  {DA 173.1}             

สมองอันมีขอบเขตจำกัดจะไม่มีทางเข้าใจพระราชกิจแห่งการทรงช่วยให้รอด  ความล้ำลึกของเรื่องนี้เกินขีดความรู้ของมนุษย์ แต่ผู้ที่เคยลิ้มรสความตายและได้กลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิตจะเข้าใจความจริงของพระเจ้าได้ดี  เราจะเรียนรู้จุดเริ่มต้นของการไถ่ให้รอดได้ที่นี่โดยประสบการณ์ส่วนตัวของเรา  พระราชกิจนี้จะมีผลครอบคลุมไปจนถึงนิรันดร์กาล  {DA 173.2}

ในขณะที่พระเยซูตรัสอยู่นั้น แสงสว่างแห่งความจริงส่องทะลุความคิดของผู้ปกครองท่านนี้  อิทธิพลอันนุ่มนวลและสงบเสงี่ยมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เขาประทับใจ  แต่ถึงกระนั้นเขายังไม่เข้าใจพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดได้อย่างเต็มที่ เขาไม่ค่อยประทับใจกับความจำเป็นที่ต้องบังเกิดใหม่มากเท่ากับวิธีที่จะได้มาซึ่งการเกิดใหม่  เขาพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”  {DA 173.3}      

พระเยซูตรัสถามว่า “ท่านเป็นถึงอาจารย์ของคนอิสราเอล ท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยหรือ?”  แน่นอนทีเดียว ผู้ที่มีหน้าที่สอนประชาชนเรื่องของศาสนาไม่ควรขาดความรู้ในเรื่องความจริงอันสำคัญเช่นนี้  พระดำรัสของพระองค์นำมาซึ่งบทเรียนที่ว่า แทนที่นิโคเดมัสจะรู้สึกไม่พอใจกับบทเรียนอันเรียบง่ายนั้น ตัวเขาเองน่าจะมีความคิดเห็นอันถ่อมตนเนื่องจากความไม่รู้ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณ  ถึงกระนั้นพระคริสต์ตรัสด้วยความภูมิฐานอันเคร่งขรึมและทั้งสีหน้าและน้ำเสียงแสดงออกถึงความรักที่จริงใจจนนิโคเดมัสไม่รู้สึกขุ่นเคืองขณะที่เขาตระหนักถึงสภาพอันต่ำต้อยของเขา  {DA 173.4}      

แต่ขณะที่พระเยซูทรงอธิบายว่าพันธกิจของพระองค์ในโลกคือการจัดตั้งอาณาจักรทางฝ่ายจิตวิญญาณไม่ใช่ของทางฝ่ายโลก  ผู้ฟังของพระองค์ทุกข์ใจ  เมื่อพระองค์ทรงเห็นเช่นนั้นจึงตรัสว่า “ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกและพวกท่านไม่เชื่อ แล้วท่านจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายสวรรค์?”  หากนิโคเดมัสไม่รับคำสอนของพระคริสต์ที่อธิบายการประกอบกิจของพระคุณในหัวใจแล้ว เขาจะเข้าใจลักษณะของแผ่นดินสวรรค์อันทรงสง่าได้อย่างไร?  เมื่อเขาไม่เข้าใจลักษณะพระราชกิจของพระคริสต์ในโลกแล้ว เขาก็ไม่อาจเข้าใจพระราชกิจของพระองค์ในสวรรค์ได้  {DA 173.5}           

ชาวยิวที่พระเยซูขับไล่ออกไปจากพระวิหารนั้นอ้างว่าตนเองเป็นบุตรของอับราฮัม แต่พวกเขาหนีไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอด เพราะพวกเขาทนพระสิริของพระเจ้าที่ทรงสำแดงออกมาทางพระองค์ไม่ได้  ด้วยประการฉะนี้ จึงแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่เหมาะกับพระคุณของพระเจ้าเพื่อมีส่วนร่วมที่จะปฏิบัติกิจในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหาร  พวกเขาร้อนรนเพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงออกในลักษณะภายนอกแต่ละเลยความบริสุทธิ์ของจิตใจ  ในขณะที่พวกเขายึดติดอยู่กับการปฏิบัติกฎบัญญัติตามตัวอักษร พวกเขาละเมิดวิญญาณของพระบัญญัติอยู่เสมอ  ความต้องการยิ่งใหญ่ของพวกเขาคือการเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูทรงอธิบายให้นิโคเดมัสฟังอยู่ในเวลานี้นั่นก็คือการบังเกิดใหม่ทางศีลธรรม การชำระจากบาปและการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจและความบริสุทธิ์  {DA 173.6}           

ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับสภาพตาบอดของชนชาติอิสราเอลอันเกี่ยวกับผลของการเกิดใหม่  ภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อิสยาห์บันทึกไว้ว่า “ข้าพระองค์ทุกคนกลายเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน และความชอบธรรมทั้งหมดของพวกข้าพระองค์เหมือนเสื้อผ้าสกปรก”  กษัตริย์ดาวิดอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์ และขอทรงสร้างจิตใจหนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์”  โดยทางเอเสเคียล พระสัญญาได้ทรงโปรดประทานมาว่า “เราจะให้ใจใหม่แก่พวกเจ้า และเราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ภายในของเจ้าทั้งหลาย เราจะนำใจหินออกจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า  เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ภายในของเจ้าทั้งหลาย แล้วทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และรักษากฎหมายของเรา ทั้งทำตามนั้น”  อิสยาห์ 64 ข้อที่ 6; สดุดี 51 ข้อที่ 10;  เอเสเคียล 36 ข้อที่ 26, 27  {DA 174.1}

นิโคเดมัสเคยอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ด้วยความเข้าใจที่คลุมเครือ แต่บัดนี้ เขาเริ่มเข้าใจความหมายแล้ว  เขาเข้าใจแล้วว่าการปฏิบัติธรรมบัญญัติตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดแต่เพียงเพื่อชีวิตภายนอกไม่อาจให้ผู้ใดได้รับสิทธิเข้าแผ่นดินสวรรค์  ในสายตาของมนุษย์ชีวิตของนิโคเดมัสเที่ยงธรรมและน่านับถือ แต่ต่อเบื้องพระพักตร์พระคริสต์เขารู้สึกว่าใจของเขาไม่สะอาดและชีวิตของเขาไม่บริสุทธิ์  {DA 174.2}           

นิโคเดมัสกำลังถูกชักนำให้เข้าหาพระคริสต์  ขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิบายเรื่องการเกิดใหม่ให้เขาฟังอยู่นั้น เขาหวังที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในตัวเขา  โดยวิธีใดที่จะทำให้สำเร็จได้เล่า?  พระเยซูทรงตอบคำถามที่เขาไม่ได้เปล่งออกมาเป็นวาจาว่า “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์”  {DA 174.3}         

นิโคเดมัสคุ้นเคยกับพื้นฐานทั้งหมดของเรื่องนี้เป็นอย่างดี  สัญลักษณ์ของงูที่ถูกยกขึ้นอธิบายให้เขาเห็นถึงพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอด  เมื่อพิษของงูร้ายทำให้ชนชาติอิสราเอลล้มตาย พระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสสทำงูทองเหลืองและยกชูขึ้นท่ามกลางชุมนุมชน และแล้วประกาศด้วยเสียงดังทั่วค่ายว่า ทุกคนที่มองไปยังงูจะมีชีวิต  ประชาชนทราบดีว่าตัวงูนั้นไม่มีอำนาจช่วยพวกเขา  งูเป็นสัญลักษณ์แทนพระคริสต์  เช่นเดียวกับการชูหุ่นจำลองของงูร้ายเพื่อรักษาพิษร้ายจากงูฉันใด พระองค์ผู้ทรงได้รับการแต่งตั้ง “มาในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป”  จะมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา โรม 8 ข้อที่ 3  ชนชาติอิสราเอลมากมายถือว่าพิธีการถวายบูชามีอำนาจปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากบาป  พระเจ้าทรงประสงค์สอนพวกเขาให้ทราบว่าการกระทำเหล่านี้ไม่มีคุณค่ามากไปกว่างูทองเหลือง  พิธีเหล่านั้นควรที่จะนำพวกเขาหันไปหาพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ว่าทำไปเพื่อการรักษาบาดแผลหรือเพื่อการอภัยจากบาปของพวกเขา พวกเขาทำสิ่งใดเพื่อตัวเองไม่ได้ นอกจากแสดงออกซึ่งความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงเป็นของประทานของพระเจ้า  พวกเขาจะต้องมองไปและมีชีวิต  {DA 174.4}     

ผู้ที่ถูกงูกัดอาจรีรอที่จะมองไป  พวกเขาอาจสงสัยว่าสัญลักษณ์ทองเหลืองนั้นมีประสิทธิภาพอย่างไร  พวกเขาอาจขอคำอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์  แต่ไม่มีคำอธิบายใดๆ ที่จะประทานมาให้  พวกเขาจะต้องยอมรับพระดำรัสของพระเจ้าที่ตรัสผ่านโมเสส  การปฏิเสธที่จะมองหมายถึงความพินาศ  {DA 175.1}              

ไม่ใช่ใดยการพิพาทขัดแย้งและการปรึกษาหารือที่จะทำให้จิตวิญญาณได้รับความกระจ่าง  เราจะต้องมองไปและมีชีวิต  นิโคเดมัสรับบทเรียนนี้แล้วและนำติดตัวไป  เขาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยมุมมองใหม่ ไม่ใช่เพื่อโต้เถียงในเรื่องของทฤษฎี แต่เพื่อจะให้จิตวิญญาณได้ชีวิต  เมื่อเขาถวายตัวเองเพื่อให้พระวิญญาณทรงนำแล้ว เขาก็เริ่มมองเห็นแผ่นดินสวรรค์  {DA 175.2}       

ทุกวันนี้ มีคนอีกนับพันต้องเรียนรู้ความจริงที่สอนนิโคเดมัสในเรื่องของงูที่ถูกยกขึ้น  พวกเขาพึ่งการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อจะให้พระเจ้าทรงพอพระทัย  เมื่อพวกเขาถูกชักนำให้มองไปยังพระเยซูและเชื่อว่าพระองค์ทรงช่วยพวกเขาโดยพระคุณแต่เพียงทางเดียวพวกเขาก็อุทานว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”  {DA 175.3}              

เช่นเดียวกับนิโคเดมัส พวกเราจะต้องยอมก้าวเข้าสู่ชีวิตด้วยวิธีเดียวกันกับของคนบาป “ตัวเอ้”  1 ทิโมธี 1 ข้อที่ 15  นอกจากพระคริสต์แล้ว “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”  กิจการ 4 ข้อที่ 12  โดยความเชื่อ พวกเรารับพระคุณของพระเจ้า แต่ความเชื่อไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอดของพวกเรา  ความเชื่อไม่ได้หาผลกำไรอะไรมาเพิ่มให้เรา  ความเชื่อเป็นมือที่เรายืนไปจับพระคริสต์และรับคุณงามความดีของพระองค์มาใส่เรา ซึ่งเป็นทางแก้บาป  และแม้กระทั่งเรากลับใจจากบาปไม่ได้หกปราศจากการทรงช่วยของพระวิญญาณของพระเจ้า  พระคัมภีร์กล่าวถึงพระคริสต์ไว้ว่า “พระเจ้าทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงอภัยบาปของเขาทั้งหลาย”  กิจการ 5 ข้อที่ 31  แท้จริงแล้ว การกลับใจจะต้องมาจากพระคริสต์เหมือนเช่นกับการอภัย  {DA 175.4}               

แล้วเราจะรอดได้อย่างไร?  “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร” บุตรมนุษย์ได้ทรงถูกยกขึ้นแล้วและทุกคนที่ถูกงูหลอกและกัดจะต้องมองไปและมีชีวิต “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป”  ยอห์น 1 ข้อที่ 29  แสงที่ส่องมาจากกางเขนเปิดเผยให้เห็นความรักของพระเจ้า  ความรักของพระองค์ทรงชักนำให้เราเข้ามาหาพระองค์  หากเราไม่ต่อต้านการทรงเรียกนี้แล้วเราจะไปถึงกางเขนด้วยการกลับใจจากบาปที่เราได้ตรึงพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้นโดยความเชื่อ พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสร้างชีวิตใหม่ขึ้นในวิญญาณจิต  ความคิดและความปรารถนาจะเข้ามาสู่การเชื่อฟังตามพระทัยของพระคริสต์  ใจและความคิดถูกสร้างใหม่ตามพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงประกอบกิจภายในเราเพื่อทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของพระองค์  และแล้วพระเจ้าจะทรงจารึกพระบัญญัติของพระเจ้าลงในความคิดและใจและเราจะพูดกับพระคริสต์ด้วยกันว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์”  สดุดี 40 ข้อที่ 8  {DA 175.5}      

ในการสนทนากับนิโคเดมัสนั้น พระเยซูทรงเปิดเผยแผนการแห่งการช่วยให้รอดและพันธกิจของพระองค์เพื่อโลกนี้  ไม่มีการสนทนาอื่นใดในเวลาต่อมาที่พระองค์ทรงอธิบายอย่างชัดเจนสมบูรณ์ เป็นขั้นเป็นตอนถึงงานที่จำเป็นจะต้องทำในหัวใจของคนทั้งหมดเพื่อจะรับแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก  ในช่วงระยะแรกเริ่มพันธกิจของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงให้แก่สมาชิกท่านหนึ่งของสภาซันเฮดริน ให้แก่จิตใจของผู้ที่จะรับไว้ได้อย่างว่องไวที่สุดและให้แก่ครูคนหนึ่งที่แต่งตั้งไว้ให้แก่ประชาชน  แต่ผู้นำทั้งหลายของชนชาติอิสราเอลไม่ต้อนรับแสงสว่างนี้  นิโคเดมัสเก็บซ่อนความจริงไว้ในใจและเป็นเวลาถึงสามปีที่ปรากฏให้เห็นผลเพียงน้อยนิด  {DA 176.1}             

แต่พระเยซูทรงคุ้นกับดินที่พระองค์ทรงหว่านเมล็ดลงไป  พระดำรัสที่พระองค์ตรัสกับผู้ฟังคนเดียวในยามค่ำคืนบนภูเขาอันโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้สูญหายไปเปล่า  ชั่วขณะหนึ่งนิโคเดมัสไม่ได้รับพระคริสต์อย่างเปิดเผย แต่เขาติดตามเฝ้ามองชีวิตของพระองค์และใคร่ครวญถึงคำสอนของพระองค์  ในสภาซันเฮดรินเขาขัดขวางแผนของปุโรหิตเพื่อทำลายพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าและในที่สุดเมื่อพระเยซูทรงถูกยกขึ้นบนกางเขน นิโคเดมัสหวนรำลึกถึงคำสอนของพระองค์บนภูเขามะกอกเทศ “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์”  แสงสว่างจากการสนทนาลับนั้นได้ส่องสว่างยังกางเขนบนคาลวารีและนิโคเดมัสมองเห็นพระผู้ช่วยของโลกในพระเยซู  {DA 176.2}         

ภายหลังที่พระเยซูเสด็จกลับสวรรค์แล้ว เมื่อการกดขี่ข่มเหงทำให้สาวกทั้งหลายกระจายออกไปทั่วสารทิศ นิโคเดมัสก้าวออกมาในแนวหน้าอย่างกล้าหาญ  เขาทุ่มทรัพย์สมบัติสนับสนุนคริสตจักรยุคแรกเริ่มที่ชาวยิวหวังว่าการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์จะกวาดล้างทำลายคริสตจักรให้สิ้นไป  ในช่วงเวลาแห่งภัยอันตราย เขาผู้ที่เคยระวังระไวและสงสัยนั้นลุกขึ้นยืนอย่างศิลา หนุนความเชื่อของสาวกและเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินเพื่อประกาศพระกิตติคุณ  ผู้คนที่เคยให้ความนับถือเขาในวันวานรังเกียจเหยียดหยามและกดขี่เขา  เขากลายเป็นคนยากจนในทรัพย์สินทางฝ่ายโลก  แต่ถึงกระนั้นเขาไม่ได้สะดุดล้มในความเชื่อซึ่งมีจุดเริ่มต้นในยามค่ำคืนที่เขาสนทนากับพระเยซู  {DA 177.1}            

นิโคเดมัสเล่าคำสนทนาในคำคืนนั้นให้ยอห์นฟังและยอห์นใช้ปากกาบันทึกไว้เพื่อคนนับล้านจะได้รับคำสั่งสอน  ความจริงที่สอนในค่ำคืนนั้นมีความสำคัญสำหรับวันนี้เช่นเดียวกับค่ำคืนอันเคร่งขรึมภายใต้เงามืดของภูเขาเมื่อผู้นำชาวยิวคนนั้นมาเรียนรู้ทางแห่งชีวิตจากพระอาจารย์ผู้ถ่อมตนแห่งแคว้นกาลิลี  {DA 177.2}         

**********