บทที่ 7
ปฐมวัยของพระเยซู
อ้างอิงจากลูกา 2 ข้อที่ 39, 40
พระเยซูทรงใช้ช่วงเวลาวัยเด็กและวัยหนุ่มในหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีสถานที่ใดในโลกที่ไม่ได้รับเกียรติด้วยการมีพระองค์ทรงร่วมสถิตด้วย พระราชวังของพระราชาน่าจะได้รับเกียรติด้วยการร่วมสถิตของพระองค์ แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านบ้านคนร่ำรวย พระราชวังของราชวงศ์และตำแหน่งอันลือชื่อของนักการศึกษาไป เพื่อตั้งบ้านเรือนในเมืองนาซาเร็ธที่สงบเงียบและเป็นที่เหยียดหยาม {DA 68.1}
ข้อความสั้นๆที่บันทึกชีวิตช่วงต้นของพระองค์นั้นช่างโดดเด่นอย่างอัศจรรย์ “พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น เต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน” ลูกา 2 ข้อที่ 40 ภายใต้แสงอาทิตย์แห่งพระพักตร์พระบิดา “พระเยซูเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย” ลูกา 2 ข้อที่ 52 สมองของพระองค์ว่องไวและฉลาดหลักแหลม พร้อมด้วยความเอาใจใส่และสติปัญญาที่เกินอายุ ถึงกระนั้นพระลักษณะนิสัยงดงามอย่างสมดุล พลังสมองและกำลังทางร่างกายพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ ตามกฎของวัยเด็ก {DA 68.2}
ในวัยเด็ก พระเยซูทรงแสดงออกถึงอารมณ์อันน่ารักที่มีลักษณะเฉพาะ พระหัตถ์ของพระองค์พร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่นอยู่เสมอ พระองค์ทรงแสดงออกถึงคุณสมบัติของความอดทนที่ไม่สั่นคลอน และความซื่อสัตย์ที่ไม่ยอมสละทิ้งความถูกต้อง ด้วยหลักการที่มั่นคงดั่งศิลา ชีวิตของพระองค์เปิดเผยถึงความดีงามอย่างนอบน้อมสุภาพที่ไม่เห็นแก่ตัว {DA 68.3}
ด้วยความจริงใจอันสุดซึ้ง มารดาของพระเยซูคอยเฝ้ามองการเปิดเผยอำนาจของพระองค์ และคอยเฝ้ารอยประทับแห่งความสมบูรณ์ในพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ด้วยความชื่นชมยินดี เธอพร้อมถวายกำลังใจแก่สมองอันแจ่มใสและพร้อมที่จะเรียนรู้ โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เธอรับสติปัญญาเพื่อร่วมมือกับทูตแห่งสวรรค์เพื่อพัฒนาพระกุมารองค์นี้ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นผู้ทรงอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ {DA 69.1}
ตั้งแต่สมัยแรกเริ่ม คนที่ซื่อสัตย์ในชนชาติอิสราเอลให้ความสนใจต่อการศึกษาของเยาวชน พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้แนะแนวแม้ในวัยทารก เด็กควรได้รับการสอนในคุณความดีและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เปิดเผยไว้ในพระบัญญัติและแสดงให้เห็นในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล จะต้องนำบทเพลงและคำอธิษฐานและบทเรียนจากพระคัมภีร์มาปรับให้เข้ากับสมองที่เปิดรับ พ่อและแม่ทั้งหลายจะต้องสอนลูกของพวกเขาเองว่าพระบัญญัติของพระเจ้าเปิดเผยพระลักษณะนิสัยของพระองค์ และขณะที่พวกเขารับหลักการของพระบัญญัติเข้าไปในดวงใจ พระฉายาของพระเจ้าจะประทับลงในจิตใจและจิตวิญญาณ การสั่งสอนส่วนใหญ่เป็นแบบปากเปล่า แต่เยาวชนยังเรียนรู้การอ่านข้อเขียนภาษาฮีบรูและก็ยังเปิดม้วนหนังของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมออกเพื่อการศึกษาเล่าเรียน {DA 69.2}
ในสมัยของพระคริสต์ เมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ใดที่ไม่ได้จัดให้มีการเรียนทางด้านศาสนาไว้ให้แก่เยาวชนจะถือว่าอยู่ภายใต้คำสาปของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นการเรียนการสอนกลายเป็นเรื่องประเพณีนิยมไปเสียแล้ว ขนบธรรมเนียมแทบจะเข้าไปแทนที่พระคัมภีร์ การศึกษาที่ถูกต้องจะนำเยาวชนให้ไป “แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะค้นหาและพบพระองค์” กิจการ 17 ข้อที่ 27 แต่ครูชาวยิวใส่ใจกับเรื่องของพิธีกรรม สิ่งไร้ค่ารกสมองของผู้เรียน และการเรียนนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในโรงเรียนระดับสูงของบัลลังก์เบื้องบน ประสบการณ์ของการรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นการส่วนตัวไม่มีส่วนในระบบของการศึกษา พวกเขาหมกมุ่นวกวนอยู่กับสิ่งของภายนอก นักเรียนหาเวลาสงบเงียบเพื่ออยู่ร่วมกับพระเจ้าไม่ได้ พวกเขาไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับหัวใจ ในการค้นหาความรู้ พวกเขาหันไปจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งของพระปัญญา แก่นแท้อันยิ่งใหญ่ของการรับใช้พระเจ้าถูกละเลย หลักการของพระบัญญัติถูกบดบัง การศึกษาที่ถือว่าสูงส่งนั้นเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ของการพัฒนาที่แท้จริง พลังอำนาจของเยาวชนถูกควบคุมไว้ พลังอำนาจของเยาวชนถูกควบคุมไว้ภายใต้การอบรมของพวกธรรมาจารย์ ความคิดของพวกเขาถดถอยและคับแคบไป {DA 69.3}
พระกุมารเยซูไม่ได้รับการสั่งสอนในโรงเรียนธรรมศาลา มารดาของพระองค์เป็นครูคนแรกทางฝ่ายมนุษย์ จากริมฝีปากของเธอและหนังสือม้วนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ พระองค์ทรงเรียนเรื่องของสวรรค์ พระดำรัสอันเดียวกันที่พระองค์ตรัสกับโมเสสเพื่อประทานให้กับชนชาติอิสราเอลเป็นคำสอนเดียวกันที่พระองค์ทรงเรียนจากตักของมารดาของพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงเจริญวัยจากวัยเด็กเป็นเยาวชนพระองค์ไม่ทรงใฝ่หาโรงเรียนของพวกธรรมาจารย์ พระองค์ไม่ต้องการการศึกษาจากแหล่งเช่นนี้เพราะพระองค์ทรงมีพระเจ้าเป็นพระอาจารย์ {DA 70.1}
ในขณะที่พระผู้ช่วยปฏิบัติกิจแห่งการรับใช้นั้น คำถามที่มีขึ้นมาว่า “คนนี้รู้พระธรรมได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?” ยอห์น 7 ข้อที่ 15 นั้นไม่ได้หมายความว่าพระเยซูอ่านไม่ออก แต่มีความหมายว่าพระองค์ไม่เคยรับการศึกษาของพวกธรรมาจารย์ พระองค์ทรงรับความรู้ได้เหมือนเช่นที่พวกเราเรียนรู้ ความรู้พระคัมภีร์อย่างแตกฉานของพระองค์แสดงให้เห็นว่าในช่วงเยาว์วัยพระองค์ทรงศึกษาพระคำของพระเจ้าอย่างเอาใจใส่เพียงไร และเบื้องพระพักตร์พระองค์มีหอสมุดขนาดใหญ่บรรจุผลงานแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทรงศึกษาบทเรียนที่พระหัตถ์ของพระองค์ทรงจารึกบนพื้นโลกและทะเลและท้องฟ้า เว้นเสียจากสิ่งของอันไม่บริสุทธิ์ของทางโลกแล้ว พระองค์ทรงรวบรวมคลังความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากธรรมชาติ พระองค์ทรงศึกษาชีวิตของพืชและสัตว์ และชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิตพระองค์ทรงมีเพียงพระประสงค์เดียวคือ พระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่เพื่อเป็นพระพรแก่ผู้อื่น เพื่อการนี้พระองค์ทรงมีแหล่งข้อมูลในธรรมชาติ พระองค์ทรงรับข้อคิดในแนวทางและวิธีใหม่เข้ามายังความคิดขณะที่พระองค์ทรงศึกษาชีวิตของพืชและชีวิตของสัตว์ พระองค์ทรงแสวงหาตัวอย่างที่มองเห็นได้อยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้นำเสนอพระคำแห่งชีวิตของพระเจ้า อุปมาที่พระองค์ทรงชื่นชอบใช้ในขณะทำงานรับใช้เพื่อสอนบทเรียนแห่งความจริง แสดงให้เห็นถึงวิญญาณของพระองค์ที่เปิดรับอิทธิพลของธรรมชาติมากอย่างยิ่งเพียงไร และพระองค์ทรงรวบรวมบทเรียนทางฝ่ายวิญญาณจากสิ่งรอบด้านของชีวิตประจำวันของพระองค์ {DA 70.2}
ด้วยประการฉะนี้ สำหรับพระเยซูแล้วความสำคัญของพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าถูกเปิดออกมาในขณะที่พระองค์ทรงพยายามเข้าใจเหตุผลของสิ่งต่างๆ ชาวสวรรค์คอยรับใช้อยู่รอบพระองค์และการปลูกฝังความคิดและการสื่อสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์เป็นของพระองค์ ตั้งแต่พระองค์ทรงเริ่มใฝ่หาความรู้ทางปัญญา พระองค์ทรงเจริญขึ้นในพระคุณ ทางฝ่ายวิญญาณและความรู้แห่งความจริงอยู่อย่างสม่ำเสมอ {DA 70.3}
เด็กทุกคนหาความรู้เพิ่มเติมได้เหมือนพระเยซู ในขณะที่เราใส่ใจเรียนเพื่อให้รู้จักพระบิดาของเราในสวรรค์โดยทางพระวจนะของพระองค์ ทูตสวรรค์จะเข้ามาอยู่ใกล้เรา จิตใจของเราจะเข้มแข็งขึ้น ลักษณะอุปนิสัยของเราจะถูกยกระดับให้สูงส่งขึ้นและละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น เราจะมีลักษณะอุปนิสัยคล้ายพระผู้ช่วยของเรามากยิ่งขึ้น และในขณะที่เราเฝ้ามองไปยังความงดงามและความยิ่งใหญ่ในธรรมชาติ ความรักของเราจะมุ่งหันไปหาพระเจ้า ในขณะที่วิญญาณจิตมีความเกรงขาม จิตวิญญาณจะฟื้นตื่นขึ้นด้วยการสัมผัสกับพระเจ้าโดยผ่านพระราชกิจของพระองค์ การสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยการอธิษฐานจะพัฒนาความสามารถทางปัญญาและทางศีลธรรม และอำนาจทางวิญญาณจิตแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่เราปลูกฝังความคิดบนสิ่งที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ {DA 70.4}
ชีวิตของพระเยซูเป็นชีวิตที่ดำเนินไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ยังทรงอยู่ในวัยเด็ก พระองค์ทรงดำริและตรัสอย่างเด็กแต่ไม่มีร่องรอยของบาปเปรอะเปื้อนพระฉายาของพระเจ้าในพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ได้รับการยกเว้นจากการทดลอง มีคำเลื่องลือติดปากว่าชาวเมืองนาซาเร็ธที่โดดเด่นในความชั่ว การประเมินคนเมืองนี้ในทางต่ำเห็นได้จากคำถามของนาธานาเอลที่ว่า “‘สิ่งดีๆ จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ?’ ฟีลิปตอบว่า ‘มาดูเถอะ’” ยอห์น 1 ข้อที่ 46 พระเจ้าทรงจัดวางพระเยซูไว้ในที่ที่พระลักษณะนิสัยของพระองค์จะถูกทดสอบ เป็นเรื่องจำเป็นที่พระองค์ทรงต้องตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อถนอมรักษาความบริสุทธิ์ของพระองค์ไว้ พระองค์ทรงเผชิญกับความขัดแย้งทั้งหมดที่เราเผชิญ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นแบบอย่างของเราทั้งในวัยเด็ก วัยหนุ่มและวัยผู้ใหญ่ {DA 71.1}
ซาตานไม่เคยเบื่อที่จะเอาชนะเด็กน้อยแห่งเมืองนาซาเร็ธ ตั้งแต่ช่วงวัยแรกเริ่ม ทูตสวรรค์คุ้มครองพระเยซูไว้ ถึงกระนั้นชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตที่ต่อสู้กับอำนาจของความมืด หากโลกมีสักชีวิตหนึ่งที่ปลอดจากมลทินแห่งความชั่วเป็นความผิดมหันต์และสร้างความงุนงงให้แก่เจ้าชายแห่งความมืด มันไม่ละวิธีใดของการทดลองเพื่อดักจับพระเยซู ไม่มีเด็กคนใดในบรรดามนุษยชาติที่จะเคยได้รับการเรียกให้ดำรงชีวิตบริสุทธิ์ท่ามกลางความขัดแย้งอันรุนแรงของการทดลองเท่าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา {DA 71.2}
บิดามารดาของพระเยซูยากจนและพึ่งการทำงานตรากตรำของแต่ละวัน พระองค์ทรงคุ้นเคยกับความยากจน การละทิ้งตนเองและความอดสู ประสบการณ์เช่นนี้เป็นการปกป้องพระองค์ให้อยู่อย่างปลอดภัย ในชีวิตที่ขยันขันแข็งพระองค์ไม่ทรงมีเวลาว่างเปล่าอันไร้จุดหมายเพื่อเปิดโอกาสให้การทดลอง ไม่มีเวลาที่ไร้เป้าหมายไว้สำหรับคบหาเพื่อนฝูงชั่ว เท่าที่เป็นไปได้พระองค์ทรงปิดกั้นผู้ล่อลวง ไม่ว่าจะเป็นการได้เปรียบหรือความเพลิดเพลิน การปรบมือสรรเสริญหรือการตำหนิจะชักชวนให้พระองค์ยอมต่อการกระทำผิด พระองค์ทรงเฉลียวฉลาดเพื่อมองให้เห็นความชั่วและเข้มแข็งในการต่อต้านความชั่วนั้น {DA 72.1}
พระคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวในโลกผู้ทรงปราศจากบาป ถึงกระนั้นพระองค์ทรงอยู่เกือบสามสิบปีท่ามกลางคนชั่วของเมืองนาซาเร็ธ ข้อเท็จจริงนี้ตำหนิผู้ที่คิดว่าต้องพึ่งสถานที่ โชคชะตาและความร่ำรวยเพื่อดำรงชีวิตที่ปราศจากตำหนิ การทดลอง ความยากจน ความลำบาก เป็นการฝึกที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่ง {DA 72.2}
พระเยซูทรงอาศัยอยู่ในบ้านชาวนาและแบกภาระของบ้านอย่างสัตย์ซื่อและยินดี พระองค์ทรงเคยเป็นผู้บัญชาการของสวรรค์และทูตสวรรค์เคยยินดีปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงเป็นผู้รับใช้ที่เต็มใจ ทรงเป็นบุตรที่เชื่อฟังและน่ารัก พระองค์ทรงเรียนรู้การทำงานเพื่อเลี้ยงชีพและด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองทรงทำงานในร้านช่างไม้ของโยเซฟ ด้วยอาภรณ์ที่เรียบง่ายของคนทำงานทั่วไป พระองค์ทรงดำเนินไปมาตามหมู่บ้านเล็กๆ นั้นระหว่างงานอันต่ำต้อยของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ใช้อำนาจของความเป็นพระเจ้าของพระองค์เพื่อลดภาระงานของพระองค์หรือทำให้งานตรากตรำของพระองค์เบาลง {DA 72.3} ขณะที่พระเยซูทรงทำงานในวัยเด็กและในวัยหนุ่ม สมองและร่างกายของพระองค์ก็พัฒนาไปด้วย พระองค์ไม่ทรงใช้พละกำลังฝ่ายกายของพระองค์ไปอย่างสิ้นเปลืองแต่ทรงรักษาไว้ให้สมบูรณ์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจทุกสายงานของพระองค์ให้ดีที่สุด พระองค์ไม่ทรงยอมที่จะเป็นผู้บกพร่องแม้ในการใช้เครื่องมือต่างๆ พระองค์ทรงเป็นผู้ทำงานที่สมบูรณ์แบบในฐานะคนทำงาน เหมือนเช่นความสมบูรณ์แบบของพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ด้วยแบบอย่างของพระองค์เองพระองค์ทรงสอนว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องขยัน เพื่อให้งานที่เราทำนั้นถูกต้องแม่นยำและทำไปได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และงานที่ทำไปเช่นนี้เป็นงานที่มีเกียรติ การฝึกฝนที่สอนให้มือทำประโยชน์และอบรมให้คนหนุ่มสาวแบ่งรับภาระของชีวิตนั้นเป็นที่ให้กำลังแก่ฝ่ายร่างกายและพัฒนาอวัยวะทุกส่วน ทุกคนควรต้องหางานทำเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่น พระเจ้าทรงกำหนดให้การทำงานเป็นพระพรและคนงานที่ขยันขันแข็งเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติและความสุขที่แท้จริงของชีวิต ความพึงพอพระทัยของพระเจ้าสถิตอยู่เหนือความมั่นใจอันเปี่ยมด้วยรักของบุตรและเยาวชนทั้งหลายที่แบ่งรับเอาส่วนของหน้าที่การงานในบ้านด้วยความยินดี เป็นผู้แบ่งเบาภาระของพ่อและแม่ เด็กเหล่านี้จะก้าวออกจากบ้านไปเป็นสมาชิกที่ทำประโยชน์แก่สังคม {DA 72.4}
ตลอดชีวิตของพระเยซูในโลก พระองค์ทรงเป็นผู้ปฏิบัติกิจอย่างสัตย์ซื่อและมั่งคงสม่ำเสมอ พระองค์ทรงคาดหวังมาก ดังนั้นพระองค์จึงทรงมานะพยายามมาก หลังจากที่พระองค์ทรงเข้าสู่พันธกิจแห่งการรับใช้แล้ว พระองค์ตรัสว่า “เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา” ยอห์น 9 ข้อที่ 4 พระองค์ไม่ทรงหลบหนีภาระและความรับผิดชอบ เหมือนเช่นคนมากมายที่อ้างตนว่าเป็นผู้ติดตามพระองค์ การที่พวกเขาพยายามหลบหนีการฝึกฝนในด้านนี้จึงทำให้คนมากมายอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพ พวกเขาอาจมีคุณสมบัติที่ล้ำค่าและเป็นคนน่ารักแต่พวกเขาเป็นคนขี้ขลาดและแทบจะใช้การไม่ได้เมื่อความยากลำบากเข้าประจันหน้าและอุปสรรคเข้ามาล้อม โดยผ่านการฝึกแบบเดียวกันกับที่พระองค์ทรงเคยผ่านมาแล้วลักษระอุปนิสัยในเชิงบวกและมีพลัง ความแน่วแน่และความเข้มแข็งของลักษณะนิสัยที่พระคริสต์ทรงสำแดงให้เห็นนั้นจะต้องพัฒนาขึ้นในตัวเรา และพระคุณที่พระองค์ทรงรับแล้วนั้นมีไว้สำหรับพวกเรา {DA 73.1}
ตลอดเวลาของการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงร่วมรับส่วนของคนยากจน พระองค์ทรงตระหนักดีถึงความทุกข์ยากและความลำบากของพวกเขาด้วยประสบการณ์ของพระองค์และพระองค์ทรงประเล้าประโลมและหนุนใจคนทำงานที่ถ่อมตนทุกคน ผู้ที่เข้าใจคำสอนเรื่องชีวิตของพระองค์อย่างแท้จริงจะไม่มีความรู้สึกว่าต้องมีการแบ่งแยกระหว่างชนชั้นมนุษย์ ที่ว่าคนร่ำรวยจะได้รับเกียรติเหนือคนยากจนที่คู่ควร {DA 73.2}
พระเยซูทรงประกอบพระราชกิจด้วยความร่าเริงยินดีและอย่างมีไหวพริบ เพื่อนำศาสนาคำสอนของพระคัมภีร์เข้าไปยังชีวิตประจำวันและสถานที่ทำงาน จะต้องใช้ความอดทนและพละกำลังทางฝ่ายวิญญาณอย่างมาก เพื่อจะแบกรับภาระของธุรกิจฝ่ายโลกและถึงกระนั้นมุ่งสายตาตรงไปยังพระสิริของพระเจ้า จุดนี้แหละที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงช่วยได้ พระองค์ไม่ทรงเคยแบกรับภาระฝ่ายโลกมากจนไม่มีเวลาหรือความคิดไว้สำหรับเรื่องของแผ่นดินสวรรค์ บ่อยครั้งพระองค์ทรงแสดงออกถึงความชื่นชมในใจด้วยการร้องเพลงสดุดีและเพลงของชาวสวรรค์ บ่อยครั้งผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนาซาเร็ธได้ยินพระองค์เปล่งพระสุรเสียงสรรเสริญและถวายขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงสื่อกับสวรรค์ด้วยบทเพลงและขณะที่มิตรสหายของพระองค์บ่นถึงความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน เสียงเพลงหวานชื่นจากริมพระโอษฐ์ของพระองค์ให้กำลังใจแก่พวกเขา บทเพลงสรรเสริญของพระองค์ดูเสมือนว่าปราบทูตชั่วไปและเป็นเหมือนเช่นกลิ่นหอมของเครื่องหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง ความคิดของผู้ฟังหันเหออกไปจากการพลัดถิ่นในโลกไปยังบ้านในแผ่นดินสวรรค์ {DA 73.3}
พระเยซูทรงเป็นบ่อน้ำพุเมตตาแห่งการรักษาสำหรับโลกใบนี้ และตลอดเวลาที่ทรงอยู่อย่างสันโดษในเมืองนาซาเร็ธ ชีวิตของพระองค์หลั่งไหลกระแสแห่งความเมตตาและความนิ่มนวลออกมา คนชรา คนโศกเศร้าและแบกภาระบาป เด็กที่เล่นด้วยความไร้เดียงสาอย่างมีความสุข สัตว์เล็กๆ ในร่องสวน สัตว์ใช้งานที่อดทน ทั้งหมดนี้มีความสุขมากยิ่งขึ้นเมื่อมีพระองค์ทรงอยู่ร่วมด้วย พระองค์ผู้ทรงใช้พระดำรัสของพระองค์ยกชูโลกทรงก้มลงเพื่อช่วยนกน้อยที่บาดเจ็บ ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงถือว่าไม่คู่ควรแก่การใส่ใจ ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงรังเกียจที่จะปรนนิบัติรับใช้ {DA 74.1}
ด้วยสภาพเช่นนี้พระองค์ทรงเติบโตขึ้นในด้านสติปัญญาและในด้านร่างกาย ทรงจำเริญขึ้นเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวง พระองค์ทรงดึงดูดความเห็นใจของคนทั้งหลายโดยการสำแดงตนเองว่าทรงเห็นใจเหล่าตนทั้งหลาย บรรยากาศแห่งความหวังและกำลังใจที่อยู่รอบพระองค์ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระพรให้แก่ทุกครอบครัว และบ่อยครั้งในธรรมศาลาในวันสะบาโตพระองค์ได้รับเชิญให้อ่านบทเรียนของผู้เผยพระวจนะและหัวใจของผู้ฟังตื่นเต้นขณะที่แสงใหม่ส่องจากพระวจนะบริสุทธิ์ที่พวกเขาคุ้นเคย {DA 74.2}
แต่ถึงกระนั้นพระเยซูทรงหลีกเลี่ยงการแสดงออกที่โอ้อวด ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงอาศัยอยู่ในเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ไม่ทรงแสดงออกถึงฤทธิ์อำนาจของการทำการอัศจรรย์ พระองค์ไม่ทรงแสวงหาตำแหน่งอันสูงศักดิ์และไม่ทรงปรารถนาเกียรติยศ ชีวิตอันสงบและเรียบง่ายของพระองค์และแม้กระทั่งการที่พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกถึงชีวิตในช่วงแรกเริ่มของพระเยซูนั้นสอนบทเรียนที่สำคัญ ชีวิตของเด็กที่สงบและเรียบง่ายนั้น ชีวิตที่อิสระจากความตื่นเต้นอันจอมปลอมและสอดคล้องกับธรรมชาติมาก จะชูกำลังด้านร่างกาย สติปัญญาและจิตวิญญาณเพิ่มมากขึ้น {DA 74.3}
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของเรา คนมากมายสนใจช่วงชีวิตการรับใช้ของพระองค์ในขณะที่ไม่ให้ความสนใจต่อคำสอนของชีวิตในช่วงต้นของพระองค์ แต่ชีวิตของพระองค์ในบ้านเป็นแบบอย่างสำหรับเด็กและเยาวชนทั้งหลาย พระผู้ช่วยทรงถ่อมตัวลงไปสู่ความยากจน เพื่อพระองค์จะสอนให้ทราบว่าในความต่ำต้อยเราเดินใกล้ชิดกับพระเจ้าได้ พระองค์ทรงดำรงชีวิตเพื่อถวายความพึงพอใจ ถวายเกียรติยศและพระสิริแด่พระบิดาของพระองค์ในสิ่งสามัญทั่วไปของชีวิต พระราชกิจของพระองค์เริ่มต้นขึ้นจากอาชีพต่ำต้อยของช่างฝีมือที่ทำงานเพื่ออาหารประจำวัน พระองค์ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ขณะทำงานที่โต๊ะช่างไม้นั้นมีคุณค่าเทียบเท่ากับการทำการอัศจรรย์ท่ามกลางฝูงชน และเยาวชนทุกคนที่ติดตามแบบอย่างของพระคริสต์ในความสัตย์ซื่อและการเชื่อฟังขณะอยู่บ้านที่ต่ำต้อย0tgvkพระดำรัสที่พระบิดาตรัสถึงพระองค์โดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นของตนเองได้ที่ว่า “ดูสิ ผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี” อิสยาห์ 42 ข้อที่ 1 {DA 74.4}
************