บทที่ 12

การทดลอง

อ้างอิงจาก มัทธิว 4 ข้อที่ 1-11, มาระโก 1 ข้อที่ 12,13; ลูกา 4 ข้อที่ 1-13


พระเยซูทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร”  คำที่มาระโกใช้เขียนนั้นมีความหนักแน่นกว่า เขาบันทึกไว้ว่า “แล้วโดยทันที พระวิญญาณก็ทรงเร่งเร้าพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร  และประทับอยู่ที่นั่นถึงสี่สิบวัน ทรงถูกซาตานทดลอง และประทับอยู่กับสัตว์ป่า” “ตลอดวันเหล่านั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย”  {DA 114.1}               

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้นำพระเยซูเข้าไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อเข้าไปสู่การทดลอง   พระองค์มิได้นำการทดลองเข้ามาหาพระองค์เอง  พระองค์เสด็จไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่ออยู่ตามลำพัง เพื่อใคร่ครวญถึงพันธกิจและภารกิจของพระองค์  โดยการอดพระกระยาหารและอธิษฐาน พระองค์ทรงเตรียมพระองค์เองให้พร้อมเพื่อดำเนินบนเส้นทางเปื้อนโลหิตที่จะต้องดำเนิน แต่ซาตานทราบว่าพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จไปยังถิ่นทุรกันดารและมารคิดว่านี่คือโอกาสเหมาะที่สุดที่จะเข้าหาพระองค์  {DA 114.2}      

ประเด็นยิ่งใหญ่ของโลกอยู่เป็นเดิมพันในความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งความสว่างกับหัวหน้าของอาณาจักรแห่งความมืด  หลังจากที่ซาตานล่อลวงให้มนุษย์ทำบาปได้แล้ว มันก็อ้างว่าโลกเป็นของมัน  มันแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นเจ้าชายของโลกใบนี้  เมื่อมันทำให้บิดาและมารดาของเผ่าพันธุ์เราปฏิบัติตามธรรมชาติของมันแล้ว มันก็คิดที่จะจัดตั้งอาณาจักรของมันที่นี่  มันประกาศว่ามนุษย์เลือกให้มันเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพวกเขา  โดยการควบคุมมนุษย์ไว้ได้ มันจึงมีอำนาจเหนือโลก  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อหักล้างคำกล่าวอ้างของซาตาน  พระคริสต์จะทรงยืนหยัดจงรักภักดีต่อพระเจ้าในฐานะบุตรมนุษย์  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เห็นว่าซาตานไม่ได้ควบคุมเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์  และคำอ้างว่าโลกเป็นของมันจึงเป็นเรื่องเท็จ  คนทั้งหมดที่ประสงค์จะได้รับการช่วยกู้จากอำนาจของมันจะได้รับการปลดปล่อย  อำนาจการครอบครองที่อาดัมสูญเสียไปอันเนื่องจากบาปนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง  {DA 114.3}

นับตั้งแต่คำประกาศต่องูในสวนเอเดนว่า “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย”  ปฐมกาล 3 ข้อที่ 15  นั้น ซาตานรู้ดีว่ามันครอบครองโลกไว้อย่างเด็ดขาดไม่ได้  เป็นที่ประจักษ์ว่ามีอำนาจหนึ่งที่ต่อต้านการปกครองของมันประกอบกิจอยู่ในมนุษย์  ด้วยความสนใจอย่างแรงกล้า มันเฝ้ามองการถวายเครื่องบูชาของอาดัมและบุตรทั้งหลายของเขา  ในพิธีกรรมเหล่านี้มันมองเห็นถึงสัญลักษณ์ของการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโลกกับสวรรค์  มันตั้งตัวเองขึ้นเพื่อขัดขวางการเชื่อมสัมพันธ์นี้  มันบิดเบือนความจริงและตีความเกี่ยวกับพิธีกรรมที่ชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอดในทางที่ผิด  มนุษย์ถูกชักนำให้กลัวพระเจ้าในฐานะผู้ชื่นชอบความพินาศของพวกเขา เครื่องเผาบูชาที่ควรมีไว้เพื่อเปิดเผยความรักของพระองค์นั้นได้กลับนำขึ้นถวายเพื่อระงับพระพิโรธของพระองค์  ซาตานปลุกระดมตัณหาชั่วช้าในมนุษย์เพื่อผูกมัดพวกเขาด้วยกฎของมัน  เมื่อพระดำรัสของพระเจ้าได้ถูกบันทึกไว้เป็นตัวอักษรแล้ว ซาตานก็ศึกษาคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงเรื่องการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด  ยุคแล้วยุคเล่า มันทำงานกับคนทั้งหลายเพื่อทำให้พวกเขาตาบอดในเรื่องของคำพยากรณ์เหล่านี้ด้วยหวังที่จะให้พวกเขาปฏิเสธพระคริสต์เมื่อพระองค์เสด็จมา  {DA 115.1}

เมื่อพระเยซูประสูติ ซาตานรู้ดีว่าพระองค์เสด็จมาพร้อมด้วยพระบัญชาของพระเจ้า เพื่อต่อสู้กับการปกครองของมัน  มันสั่นสะท้านเมื่อได้ยินข่าวของทูตสวรรค์ยืนยันถึงอำนาจของทารกน้อยผู้ทรงเป็นพระราชาผู้เสด็จมาบังเกิด  ซาตานรู้ดีว่าในสวรรค์พระคริสต์ทรงครองตำแหน่งในฐานะของผู้ที่พระบิดาทรงรัก  การที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมายังโลกในฐานะมนุษย์ทำให้มันฉงนสนเท่ห์ระคนด้วยความหวาดกลัว  มันไม่อาจหยั่งถึงความลึกลับของการเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้  ใจอันเห็นแก่ตัวของมันไม่อาจเข้าใจความรักเช่นนี้ที่มีให้กับเผ่าพันธุ์ที่ถูกหลอก พระสิริและสันติสุขของสวรรค์และความสุขชื่นชมยินดีของการสื่อสารกับพระเจ้าเป็นเรื่องที่มนุษย์เข้าใจได้แต่เพียงเลือนราง  แต่สิ่งทั้งหมดนี้ลูซิเฟอร์เครูบผู้พิทักษ์เข้าใจได้อย่างดี  เนื่องจากว่ามันสูญเสียสวรรค์ไปแล้ว มันจึงมุ่งมั่นหาทางแก้แค้นด้วยการนำผู้อื่นให้เข้าร่วมทำบาปกับมัน  มันทำให้พวกเขาลดคุณค่าในเรื่องสิ่งของฝ่ายสวรรค์และทำให้พวกเขาฝักใฝ่สิ่งของทางฝ่ายโลก  {DA 115.2}      

การประกอบกิจของพระเจ้าพระผู้บัญชาการของสวรรค์เพื่อนำจิตวิญญาณของมนุษย์กลับไปยังแผ่นดินของพระองค์นั้นไม่ใช่ปราศจากอุปสรรค  นับตั้งแต่ขณะที่พระองค์ทรงเป็นทารกน้อยที่หมู่บ้านเบธเลเฮม มารชั่วคอยจู่โจมพระองค์อยู่อย่างต่อเนื่อง  พระฉายาของพระเจ้าทรงเปิดเผยให้เห็นในพระคริสต์ และมีการตกลงกันในที่ประชุมสภาของซาตานว่าจะต้องเอาชนะพระองค์ให้ได้  ไม่มีมนุษย์ใดที่เข้ามาในโลกแล้วจะรอดพ้นจากอำนาจของผู้ล่อลวง  อำนาจชั่วรวมตัวมุ่งไปยังเส้นทางของพระองค์เพื่อทำสงครามจู่โจมพระองค์และหากเป็นไปได้เพื่อเอาชนะพระองค์  {DA 116.1}       

เมื่อพระผู้ช่วยรับบัพติศมา ซาตานก็ร่วมเป็นพยานอยู่ที่นั่นด้วย  มันเห็นพระสิริของพระเจ้าพระบิดาเสด็จประทับอยู่เหนือพระบุตรของพระองค์  มันได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู  นับตั้งแต่สมัยอาดัมทำบาป เผ่าพันธุ์มนุษยชาติถูกตัดขาดจากการสื่อสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้า การสื่อสัมพันธ์ระหว่างสวรรค์กับโลกกระทำผ่านพระคริสต์ แต่บัดนี้พระเยซูเสด็จมาแล้ว “ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป” โรม 8 ข้อที่ 3  พระบิดาเองทรงเป็นผู้ตรัส ก่อนหน้านั้นพระองค์ตรัสกับมนุษย์โดยผ่านทางพระคริสต์ แต่บัดนี้พระองค์ตรัสกับมนุษยชาติในพระคริสต์  ซาตานหวังว่าความเกลียดชังความชั่วของพระเจ้าจะตัดสวรรค์และโลกขาดออกจากกันนิรันดร์  แต่บัดนี้ทรงเปิดเผยให้เห็นว่าการเชื่อมโยงระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์กลับคืนมาแล้ว  {DA 116.2}        

ซาตานตระหนักดีว่ามันจะต้องเข้าครอบครองหากไม่แล้วมันจะถูกครอง  ประเด็นความขัดแย้งนี้ใหญ่เกินไปที่มันจะมอบภาระนี้ให้กับบริวารทูตสวรรค์ชั่วของมัน  มันเองต้องลงมือบัญชาการต่อสู้นี้  มันเอาพลังทั้งหมดของการละทิ้งพระเจ้าเข้าจู่โจมต่อต้านพระบุตรของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นเป้าของอาวุธของนรกทุกชนิด  {DA 116.3}      

มีคนมากมายมองว่าการต่อสู้ระหว่างพระคริสต์กับซาตานไม่มีความหมายพิเศษต่อชีวิตของพวกเขาเอง  เป็นเรื่องไม่น่าสนใจเท่าไรนักสำหรับคนเหล่านี้  แต่ภายในอาณาบริเวณของหัวใจมนุษย์มีการต่อสู้นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  ไม่เคยมีใครคนใดเดินออกจากทางแห่งความชั่วไปสู่การรับใช้พระเจ้าโดยปราศจากการเผชิญหน้ากับการโจมตีของซาตาน  การล่อลวงที่พระคริสต์ต้านได้นั้นเป็นการล่อลวงที่เราต้องยอมรับว่ายากที่จะต่อต้านได้  เป็นการล่อลวที่ถูกโหมกระหน่ำใส่พระองค์ด้วยความรุนแรงอย่างเข้มข้นเนื่องจากพระลักษณะนิสัยของพระองค์ที่เหนือกว่าลักษณะอุปนิสัยของเรา  ด้วยภาระบาปของโลกอันน่ากลัวที่อยู่บนพระคริสต์ พระองค์ทรงเอาชนะการทดลองในเรื่องของความอยาก ในเรื่องความรักโลกและในเรื่องการรักความโอ้อวดซึ่งนำไปสู่การทึกทักคิดเอง  การทดลองเหล่านี้ที่เอาชนะอาดัมและเอวามาแล้วและพร้อมที่จะเอาชนะพวกเราได้อย่างง่ายดาย  {DA 116.4}     

ซาตานยกเอาบาปของอาดัมขึ้นมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระบัญญัติของพระเจ้านั้นไม่ยุติธรรมและปฏิบัติตามไม่ได้  ในสภาพที่เป็นมนุษย์เหมือนเรา พระคริสต์จะทรงกู้ความล้มเหลวของอาดัมกลับคืนมา  แต่เมื่อครั้นที่อาดัมถูกผู้ล่อลวงจู่โจม ไม่มีผลของบาปใดตกอยู่ในตัวของเขาเลย  เขายืนอยู่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีพลังทางความคิดและทางกายที่แข็งแกร่ง  สง่าราศีของสวนเอเดนล้อมอยู่รอบตัวเขา และเขาสื่อสารกับชาวสวรรค์ทุกวัน  แต่พระเยซูไม่ทรงมีสภาพเช่นนี้เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อไปรับมือกับซาตาน  เป็นเวลาสี่พันปีที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถดถอยในด้านกำลังกาย กำลังทางปัญญาและด้านคุณค่าทางศีลธรรม  และพระองค์ทรงรับความอ่อนแอของมนุษยชาติที่เสื่อมโทรม  ในสภาพเช่นนี้เท่านั้นที่พระเยซูจะทรงช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความเสื่อมโทรมในสภาพที่ต่ำสุดได้  {DA 117.1}

หลายคนอ้างว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระคริสต์จะถูกล่อลวง ดังนั้นพระองค์จึงอยู่ในตำแหน่งของอาดัมไม่ได้  พระองค์ไม่ได้ชัยชนะในส่วนที่อาดัมล้มเหลว หากการทดลองของเรามีสภาพเลวร้ายยิ่งไปกว่าของพระคริสต์ไม่ว่าในแง่ใดแล้ว พระองค์ก็จะไม่ทรงสามารถช่วยพวกเราได้  แต่พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงรับสภาพของมนุษยชาติพร้อมด้วยความบกพร่องอ่อนแอทั้งหมด  พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์พร้อมด้วยความเป็นไปได้ที่จะแพ้ต่อการทดลอง  ไม่มีการทดลองใดของเราที่พระองค์ไม่ได้ทรงผ่านมาก่อน  {DA 117.2}           

ในการทดลองสำหรับพระคริสต์แล้ว ความอยากอาหารเป็นฐานของการทดลองอันยิ่งใหญ่งแรกเช่นเดียวกับสามีภรรยาคู่บริสุทธิ์ในสวนเอเดน  เมื่อความพินาศเริ่มขึ้นที่ใด การทรงช่วยให้รอดก็เริ่มขึ้นที่นั่น  การปล่อยตัวตามใจความอยากทำให้อาดัมล้มลงในบาปฉันใด ชัยชนะของพระคริสต์จะได้มาด้วยการปฏิเสธความอยากฉันนั้น  “และพระองค์ทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงหิว ส่วนผู้ทดลองมาหาพระองค์ทูลว่าถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังพระองค์ตรัสตอบว่า ‘มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”  {DA 117.3}           

ตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงสมัยของพระคริสต์ การตามใจตนเองเพิ่มอำนาจให้กับความอยากอาหารและตัณหาจนถึงขั้นเกือบควบคุมไม่ได้  ด้วยประการฉะนี้มนุษย์ตกต่ำและป่วยเป็นโรคและไม่มีทางเอาชนะได้ด้วยลำพังตัวเขาเอง  พระคริสต์ทรงมีชัยแทนที่มนุษย์ด้วยการอดทนต่อการทดลองที่รุนแรงที่สุด  เพื่อเห็นแก่เรา พระองค์ทรงควบคุมตนเองได้มากยิ่งกว่าความหิวหรือความตาย  และในชัยชนะครั้งแรกนี้ครอบคลุมประเด็นอื่นๆ ทั้งหมดที่ร่วมอยู่ในการต่อสู้กับอำนาจแห่งความืด  {DA 117.4}      

เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงถูกปิดล้อมด้วยพระสิริของพระบิดา  ด้วยการจดจ่ออยู่กับการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์ทรงถูกยกชูขึ้นเหนือความอ่อนแอของมนุษย์  แต่เมื่อพระสิริพรากจากพระองค์ไปแล้วและทรงละให้พระองค์ต่อสู้กับการทดลอง  การทดลองจู่โจมเข้าหาพระองค์ทุกวินาที  ธรรมชาติมนุษย์ถดถอยไปจากความขัดแย้งที่รอคอยพระองค์อยู่  พระองค์ทรงอดพระกระยาหารและทรงอธิษฐานเป็นเวลาสี่สิบวัน  พระองค์ทรงอ่อนเปลี้ยและซูบผอมเนื่องจากความหิว อิดโรยและซูบซีดด้วยความปวดร้าวทางใจ “หน้าตาของท่านเสียโฉมมากเหลือที่จะเหมือนคน และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมเหลือที่จะเหมือนมนุษย์” อิสยาห์ 52 ข้อที่ 14  บัดนี้เป็นโอกาสของซาตานแล้ว บัดนี้มันคิดว่าจะอาชนะพระคริสต์ได้แล้ว  {DA 118.1}         

บัดนั้น ราวกับว่าคำอธิษฐานได้รับคำตอบ มีผู้หนึ่งที่มีรูปลักษณ์ชองทูตสวรรค์จากสวรรค์เเข้ามาหาพระผู้ช่วยให้รอดอ้างว่าตนได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า เพื่อประกาศว่าการรอดพระกายาหารของพระคริสต์สิ้นสุดลงแล้ว  เหมือนเช่นพระเจ้าทรงบัญชาทูตสวรรค์องค์หนึ่งไปห้ามมือของอับราฮัมในขณะถวายอิสอัคเป็นเครื่องเผาบูชาฉันใด พระบิดาทรงพอพระทัยพระคริสต์ที่ทรงดำเนินบนเส้นทางเปื้อนโลหิต จึงทรงรับสั่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาช่วยพระองค์ให้หลุดพ้นความทุกข์ฉันนั้น  เป็นข่าวที่นำมาถึงพระเยซู  พระผู้ช่วยให้รอดทรงหมดแรง พระองค์ทรงหิวพระกระยาหาร  ทันใดนั้นซาตานเข้ามาหาพระองค์  มันชี้ไปยังก้อนหินที่กระจายกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นทะเลทราย หินเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายขนมปัง  ผู้ล่อลวงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  {DA 118.2}          

แม้มารปรากฏตัวเป็นดั่งทูตสวรรค์แห่งความสว่าง แต่คำพูดนำหน้าเหล่านี้เปิดเผยให้เห็นถึงลักษณะอุปนิสัยที่แท้จริงของมัน  “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า”  เป็นคำพูดที่ส่อให้เห็นถึงการไม่ไว้วางใจ หากพระองค์ทรงกระทำตามคำเสนอของซาตานแล้ว ก็จะเป็นการยอมรับความสงสัย  ผู้ล่อลวงวางแผนเอาชนะพระคริสต์โดยใช้วิธีเดียวที่ทำสำเร็จกับมนุษย์ตั้งแต่เริ่มแรก วิธีที่ซาตานเข้าหาเอวานั้นเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพียงไร!  “จริงหรือ? ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’” ปฐมกาล 3 ข้อที่ 1 คำพูดของผู้ล่อลวงนั้นเป็นจริงเพียงแค่นี้ แต่วิธีการพูดของมันนั้นซ่อนเร้นด้วยการหมิ่นประมาทพระวจนะของพระเจ้า  แฝงด้วยแง่ลบ สงสัยความสัตย์จริงของพระเจ้า  ซาตานหาทางที่จะปลูกฝังความคิดของเอวาว่าพระเจ้าไม่ทรงกระทำตามที่ตรัสไว้  และการสงวนผลไม้อันสวยงามเช่นนี้ขัดแย้งกับความรักและความเห็นใจของพระองค์ที่มีให้กับมนุษย์  แล้วบัดนี้ผู้ล่อลวงพยายามเร้าใจพระคริสต์ด้วยความรู้สึกของเขาเองว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า”  คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นในใจของมัน  น้ำเสียงของมันแสดงออกถึงความไม่เลื่อมใสจนถึงที่สุด พระเจ้าทรงปล่อยให้พระบุตรของพระองค์อยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงละพระบุตรให้อยู่กับสัตว์ป่าในถิ่นทุรกันดารโดยไม่มีอาหาร ไม่มีมิตร ไม่มีผู้ปลอบใจเช่นนี้ได้อย่างไร?  มันพูดเป็นนัยว่า พระเจ้าไม่ทรงตั้งพระทัยให้พระบุตรตกลงไปสู่สภาพเช่นนี้  “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” ก็จงสำแดงอำนาจด้วยการปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความหิวโหยเช่นนี้  จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเสีย  {DA 118.3}      

พระดำรัสจากสวรรค์ “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก’”  มัทธิว 3 ข้อที่ 17  ยังคงดังก้องอยู่ในหูของซาตาน  แต่มันมุ่งมั่นที่จะทำให้พระคริสต์ไม่เชื่อคำพยานนี้ พระดำรัสของพระเจ้าเป็นพระวจนะที่ประทานเพื่อให้พระเยซูทรงมั่นใจในพระราชกิจของพระเจ้า  พระองค์เสด็จมาดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์ท่ามกลางมนุษย์ เป็นพระวจนะที่ประกาศให้ทราบถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับสวรรค์ของพระองค์  ซาตานมีเป้าหมายทำให้พระองค์สงสัยพระดำรัสนั้น  หากความวางใจของพระคริสต์ในพระเจ้าจะหวั่นไหวซาตานก็มั่นใจว่าชัยชนะของการต่อสู้ทั้งหมดจะเป็นของมัน  มันก็จะเอาชนะพระเยซูได้  มันหวังว่าภายใต้ความสิ้นหวังและความหิวอย่างรุนแรง พระคริสต์จะทรงสูญเสียความเชื่อในพระบิดาของพระองค์ และทรงทำการอัศจรรย์เพื่อพระองค์เอง  หากพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ แผนการแห่งการไถ่ให้รอดก็จะสูญสลายไป  {DA 119.1}      

เมื่อซาตานและพระบุตรของพระเจ้าเผชิญหน้ากันในความขัดแย้งครั้งแรกนั้น พระคริสต์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระผู้บัญชาการของจอมทัพสวรรค์และซาตานเป็นหัวหน้าของการจลาจลในสวรรค์ และมันก็ถูกขับออกไป  บัดนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานภาพของทั้งสองฝ่ายกลับกันและในความได้เปรียบซาตานฉวยโอกาสอย่างเต็มที่  มันเองทึกทักขึ้นด้วยการพูดว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดถูกขับออกจากสวรรค์แล้ว  สภาพภายนอกของพระเยซูในเวลานี้บ่งบอกว่าพระองค์คือทูตองค์นั้นที่ถูกขับออกมา พระองค์ทรงถูกพระเจ้าทอดทิ้งและถูกมนุษย์ละเลย  เทพองค์หนึ่งจะสามารถรักษาสถานภาพความเป็นพระเจ้าได้ด้วยการสำแดงการอัศจรรย์  “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  ผู้ล่อลวงเน้นย้ำว่าการกระทำด้วยอำนาจของการเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังเช่นนี้เป็นหลักฐานสำแดงถึงความเป็นพระเจ้าที่จะทำให้ความขัดแย้งนี้สิ้นสุดลง  {DA 119.2}

พระเยซูสดับฟังจ้าวแห่งการหลอกลวงไม่ใช่ด้วยปราศจากการต่อสู้ดิ้นรน  แต่พระบุตรของพระเจ้าไม่ต้องพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าต่อหน้าซาตานหรืออธิบายถึงเหตุผลของการถ่อมตนของพระองค์  โดยการยินยอมต่อข้อเรียกร้องของผู้ทรยศ ไม่มีสิ่งดีประการใดที่จะได้มาไม่ว่าจะเพื่อมนุษย์หรือถวายพระสิริแด่พระเจ้า หากพระองค์ปฏิบัติตามข้อเสนอของศัตรูแล้ว ซาตานยังคงจะพูดต่อว่า จงสำแดงหมายสำคัญเพื่อเราจะเชื่อว่าท่านคือพระบุตรของพระเจ้า  หลักฐานต่างๆ นั้นไร้ค่าเพื่อทำลายอำนาจการกบฏในใจของมัน  และพระคริสต์ไม่ทรงต้องสำแดงฤทธิ์อำนาจใดเพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง  พระองค์เสด็จมาเพื่อแบกรับความทุกข์ยากเหมือนที่พวกเราจะต้องแบก  เพื่อวางแบบอย่างแห่งความเชื่อและการยอมจำนนเชื่อฟัง  พระองค์ไม่เคยกระทำการอัศจรรย์เพื่อตนเอง ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือที่ใดๆ ของชีวิตบนโลกนี้ในเวลาต่อมา  พระราชกิจอันอัศจรรย์ทั้งหมดของพระองค์กระทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นทั้งสิ้น  ถึงแม้ว่าพระเยซูทรงจำซาตานได้ตั้งแต่แรก ทว่าพระองค์ก็ไม่ทรงยั่วยุเพื่อที่จะเข้าประจันหน้ากับมัน  ความทรงจำพระสุรเสียงจากสวรรค์เสริมพลังของพระองค์  พระองค์ทรงวางพระทัยในความรักของพระบิดาของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงต่อกรกับการทดลอง  {DA 119.3}     

พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับซาตานด้วยพระวจนะ  พระองค์ตรัสว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า”  ในทุกการทดลอง อาวุธในการต่อสู้ของพระองค์คือพระวจนะของพระเจ้า  ซาตานเรียกร้องให้พระคริสต์กระทำการอัศจรรย์เพื่อแสดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์  แต่สิ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการอัศจรรย์ทั้งปวงคือคำตอบอันมั่นคงที่จะวางใจใน “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า” อาโมส 1 ข้อที่ 3  นี่เป็นหมายสำคัญที่ไม่อาจโต้แย้งได้  ตราบใดที่พระคริสต์ทรงยึดมั่นอยู่ในหลักการนี้ ผู้ล่อลวงเอาเปรียบพระองค์ไม่ได้  {DA 120.1}               

การทดลองรุนแรงที่สุดโหมกระหน่ำเข้าหาพระคริสต์ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงอ่อนแอที่สุด  ในสภาพเช่นนี้ ซาตานคิดว่าจะต้องชนะ  ด้วยอุบายนี้มันเอาชนะมวลมนุษย์มาแล้ว  เมื่อกำลังทางกายอ่อนลง อำนาจทางใจจะอ่อนแอลงและความเชื่อจะหยุดวางใจในพระเจ้า  ศัตรูเอาชนะผู้ที่ยึดมั่นในความถูกต้องอย่างยาวนานและกล้าหาญได้  โมเสสอ่อนเปลี้ยกับการวนเวียนร่วมกับชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี  ในเสี้ยววินาทีเมื่อเขาปล่อยความเชื่อของเขาให้หลุดไปจากอำนาจของพระเจ้า เขาล้มลงขณะอยู่ชายแดนของดินแดนแห่งคำมั่นสัญญา  เช่นเดียวกับเอลียาห์ผู้ยืนหยัดอย่างไม่สะท้านต่อหน้ากษัตริย์อาหับพร้อมทั้งผู้ทำนายของพระบาอัล 450 คนในแนวหน้าที่เผชิญกับชนชาติอิสราเอลทั้งประเทศ หลังจากวันอันน่ากลัวบนภูเขาคาเมลเมื่อผู้ทำนายเทียมเท็จถูกประหารและประชากรประกาศความจงรักภักดีต่อพระเจ้า เอลียาห์หนีเอาตัวรอดเมื่อได้ยินคำขู่ของพระนางเยเซเบลผู้กราบไหว้รูปเคารพ  ด้วยวิธีนี้ซาตานฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของมนุษย์  และมันยังคงทำในทำนองเดียวกันนี้  เมื่อใดที่คนหนึ่งถูกเมฆหมอกปกคลุม ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงหรือรุมเร้าด้วยความอดอยากหรือความทุกข์ลำบาก ซาตานเตรียมพร้อมเพื่อล่อและทำให้ระคายเคือง มันจู่โจมลักษณะอุปนิสัยที่เป็นจุดอ่อนของเรา มันพยายามสั่นคลอนความไว้วางใจของเราในพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น  เราถูกล่อลวงให้ไม่วางใจพระเจ้าและสงสัยในความรักของพระองค์  บ่อยครั้งผู้ล่อลวงเข้ามาหาเราเหมือนเช่นที่มันเข้าหาพระคริสต์ โดยแผ่ความอ่อนแอและความบกพร่องไว้ต่อหน้าเรา  มันหวังที่จะทำให้จิตวิญญาณหมดกำลังใจและทำลายความมั่นใจของเราในพระเจ้า และมันก็จะได้เหยื่อมาอย่างแน่นอน หากเราเผชิญหน้ากับมันเหมือนเช่นพระเยซูทรงเผชิญแล้ว เราจะรอดพ้นจากการพ่ายแพ้มากมาย  ด้วยการแลกเปลี่ยความคิดเห็นกับศัตรู เราเปิดโอกาสให้มันได้เปรียบ  {DA 120.2}        

เมื่อพระคริสต์ตรัสกับผู้ล่อลวงว่า  “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” พระองค์ตรัสพระดำรัสที่ตรัสไว้เมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยปีที่แล้วกับชนชาติอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งว่า “พระเจ้าของท่านทรงนำท่านในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี. . . .พระองค์ทรงทำให้ท่านถ่อมใจ ทรงปล่อยท่านให้หิว และทรงเลี้ยงท่านด้วยมานาซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงทำให้ท่านเข้าใจว่า มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงสิ่งเดียว แต่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์” เฉลยธรรมบัญญัติ 8 ข้อที่ 2, 3  ในถิ่นทุรกันดาร ขณะที่หนทางแห่งการยังชีพสูญสลายไป พระเจ้าประทานมานาจากสวรรค์ให้แก่ประชากรของพระองค์และประทานให้อย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ  การประทานนี้มีไว้เพื่อสอนให้พวกเขาทราบว่า เมื่อพวกเขาวางใจในพระเจ้าและดำเนินตามพระมรรคาของพระองค์แล้วพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา  บัดนี้พระผู้ช่วยให้รอดทรงปฏิบัติตามบทเรียนที่พระองค์เองทรงสอนชนชาติอิสราเอล  พระองค์ประทานการทรงช่วยให้แก่ชนชาวฮีบรูโดยผ่านพระวจนะของพระเจ้าและโดยพระวจนะเดียวกันนี้ก็จะทรงโปรดประทานการทรงช่วยให้แก่พระเยซูด้วย  พระองค์ทรงรอคอยกาลเวลาของพระเจ้าเพื่อการบรรเทา  พระองค์ทรงปฏิบัติตามพระดำรัสของพระเจ้า จึงเสด็จมายังถิ่นทุรกันดาร และพระองค์ไม่ทรงต้องการรับอาหารโดยปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของซาตาน  พระองค์ทรงยืนยันต่อหน้าพยานทั่วทั้งจักรวาลว่าการตกอยู่ในความทุกข์ลำบากใดๆ ก็ตามจะได้รับความหายนะน้อยกว่าที่จะเดินห่างจากพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ว่าจะในลักษณะใด  {DA 121.1}            

 “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ”  บ่อยครั้งผู้ติดตามพระคริสต์ถูกนำไปในที่เขาไม่อาจรับใช้พระเจ้าและดำเนินกิจการทางโลกต่อไปได้ อาจดูประหนึ่งว่าการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องอย่างเรียบง่ายของพระเจ้าจะตัดเขาออกจากวิถีทางของการเลี้ยงชีพ  ซาตานทำให้เขาเชื่อว่าเขาจะต้องสละทิ้งซึ่งความเชื่อที่มีอยู่ในตัวเขา  แต่สิ่งเดียวในโลกที่เราวางใจได้คือพระวจนะของพระเจ้า “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้” มัทธิว 6 ข้อที่ 33  หากเราเดินออกไปจากพระประสงค์ของพระบิดาในสวรรค์ของเราก็จะไม่เป็นการดีเลยแม้แต่ในชีวิตนี้  เมื่อเราเรียนรู้อำนาจพระวจนะของพระเจ้า เราจะไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอของซาตานเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารหรือเพื่อช่วยชีวิตของเรา  คำถามเดียวที่เราควรถามคือ อะไรคือพระบัญชาของพระเจ้า?  และพระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างไร?  เมื่อเราเรียนรู้เช่นนี้แล้ว เราจะปฏิบัติตามพระบัญชาและวางใจในพระสัญญา  {DA 121.2}           

ในการต่อสู้ยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายกับซาตาน ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าจะเห็นว่าการสนับสนุนทางฝ่ายโลกทุกทางจะถูกตัดขาดเนื่องจากว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะละเมิดพระบัญญัติของพระองค์เพื่อปฏิบัติตามอำนาจทางฝ่ายโลก  พวกเขาจะถูกสั่งห้ามการซื้อหรือขาย  ในที่สุดจะมีคำสั่งประกาศให้ประหารชีวิตพวกเขาเสีย โปรดดูวิวรณ์ 13 ข้อที่ 11-17   แต่พระสัญญาที่ทรงโปรดประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังคือ “เขาจะอาศัยอยู่บนที่สูง ที่ลี้ภัยของเขาจะเป็นป้อมหิน จะมีผู้ให้อาหารแก่เขา น้ำดื่มของเขาจะมีแน่” อิสยาห์ 33 ข้อที่ 16  บุตรของพระเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยพระสัญญานี้  เมื่อการกันดารอาหารทำให้โลกนี้แห้งแล้งไป  พวกเขาจะได้รับการเลี้ยงให้อิ่ม “เขาจะไม่อับอายในเวลาเลวร้าย ในยามขาดแคลนเขาจะมีบริบูรณ์”  สดุดี 37 ข้อที่ 19  ในเวลาของความยากลำบากเมื่อผู้เผยพระวจนะฮาบากุกมองไปยังข้างหน้าและคำพูดที่แสดงถึงความเชื่อของคริสตจักรกล่าวไว้ว่า “แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกก็ขาดไป ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง  ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า” ฮาบากุก 3 ข้อที่ 17, 18  {DA 121.3}             

จากบรรดาบทเรียนทั้งหมดที่ได้จากการทดลองครั้งแรกและครั้งยิ่งใหญ่ของพระองค์เจ้าของเรานั้น ไม่มีบทเรียนใดสำคัญมากไปกว่าการควบคุมความอยากอาหารและกิเลสตัณหา  ในทุกยุคสมัยการทดลองที่เข้าหาธรรมชาติฝ่ายกายส่งผลต่อการทำให้มนุษยชาติเสื่อมโทรม และตกต่ำมากที่สุด ซาตานทำงานผ่านการไม่ยับยั้งตนเพื่อทำลายพลังสมองและศีลธรรมที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงไม่ซาบซึ้งถึงสิ่งที่มีคุณค่าทางนิรันดร์กาล โดยการหมกมุ่นอยู่กับการปล่อยตัวให้กับตัณหาราคะอันเลวทราม ซาตานหาทางลบทิ้งทุกร่องรอยของพระฉายาของพระเจ้าให้ออกไปจากจิตวิญญาณ  {DA 122.1}         

การปล่อยตัวตามใจตนอย่างควบคุมไม่ได้และผลของโรคภัยต่างๆ รวมถึงความตกต่ำที่มีอยู่ในช่วงเวลาที่พระคริสต์เสด็จมาครั้งที่หนึ่งนั้นจะพบได้ทั่วไปอีกครั้งพร้อมกับความรุนแรงอันเลวร้ายก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์  พระคริสต์ตรัสว่าสภาพของโลกจะเป็นเหมือนเช่นในสมัยก่อนวันน้ำท่วมโลก และเป็นเหมือนเช่นโสโดมและโกโมราห์  เค้าความคิดในใจทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา  พวกเรากำลังอยู่ตรงรอยต่อของช่วงเวลาอันน่ากลัวนั้น และเราควรนำบทเรียนของการอดพระกระยาหารของพระผู้ช่วยให้รอดฝังไว้ในใจของเรา ความทุกข์ลำบากซึ่งไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดที่พระคริสต์ทรงอดทนนี้เท่านั้นที่เราจะประเมินความชั่วร้ายของการปล่อยตัวตามใจตนอย่างไม่ควบคุมได้ แบบอย่างของพระองค์เปิดเผยให้เห็นว่าความหวังเดียวของชีวิตนิรันดร์จะได้มาด้วยการให้ความอยากอาหารและตัณหาทั้งหลายอยู่ภายใต้การควบคุมของน้ำพระทัยของพระเจ้า  {DA 122.2}       

ด้วยกำลังของเราเอง เราปฏิเสธการร้องเรียกของธรรมชาติที่ตกต่ำของเราเองไม่ได้  ซาตานนำการทดลองมาให้เราโดยผ่านช่องทางนี้  พระคริสต์ทรงทราบดีว่าศัตรูจะมายังมนุษย์ทุกคน มันจะหลอกทุกคนที่ไม่ได้วางใจในพระเจ้าโดยฉวยเอาความได้เปรียบของความอ่อนแอที่ตกทอดมาทางสายเลือดและโดยคำเสนอแนะอย่างจอมปลอม และพระเจ้าของเราทรงดำเนินผ่านทางที่มนุษย์จะต้องเดินนั้นก็เพื่อเตรียมทางให้เราได้ชัยชนะ  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบในการต่อสู้กับซาตาน  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เราตกอยู่ในความหวาดกลัวหรือความสิ้นหวังภายใต้การจู่โจมของงู  “จงมีใจกล้าเถิด” พระองค์ตรัส “เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”  ยอห์น 16 ข้อที่ 33  {DA 122.3}             

จงให้ผู้ที่ต่อสู้กับอำนาจของความอยากอาหารหันเข้าหาพระผู้ช่วยให้รอดในถิ่นทุรกันดารแห่งการทดลอง  จงเฝ้ามองพระองค์ขณะอยู่ในความทุกข์ของกางเขนและร้องขึ้นว่า “เรากระหายน้ำ”  พระองค์ทรงทนทุกข์ทุกอย่างเพื่อที่เราจะสามารถทนได้ ชัยชนะของพระองค์เป็นของเรา  {DA 123.1}     

พระเยซูทรงวางพระทัยบนพระปัญญาและพละกำลังของพระบิดาบนสวรรค์  พระองค์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถูกทำให้อัปยศ. . . .นี่แน่ะ พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายทรงช่วยข้าพเจ้า”  พระองค์ทรงใช้พระองค์เองเป็นแบบอย่าง ตรัสกับพวกเราว่า “ใครบ้างในพวกเจ้าที่เกรงกลัวพระยาห์เวห์. . . .เขาผู้ดำเนินในความมืด และปราศจากความสว่าง?  แต่ยังวางใจในพระนามพระยาห์เวห์ และพึ่งอาศัยพระเจ้าของเขา”  อิสยาห์ 50 ข้อที่ 7-10  {DA 123.2}      

พระเยซูตรัสว่า “ผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา ” ยอห์น 14 ข้อที่ 30  ไม่มีสิ่งใดในพระองค์สนองการหลอกลวงของซาตาน  พระองค์ไม่ทรงยอมต่อบาป  ไม่เคยแม้ด้วยความคิดที่จะยอมต่อบาป  เรากระทำตามเช่นนี้ได้  ความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์รวมเข้าด้วยกันกับความเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเหมาะเพื่อการต่อสู้โดยพระวิญาณบริสุทธิ์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย และพระองค์เสด็จมาเพื่อให้เรามีส่วนร่วมในธรรมชาติของพระเจ้า  ตราบใดที่เราเข้าร่วมอยู่กับพระองค์ด้วยความเชื่อ บาปไม่มีอำนาจเหนือเรา พระเจ้าทรงจับมือแห่งความเชื่อของเรานำไปวางไว้ให้มั่นคงในพระคริสต์ เพื่อเราจะก้าวไปให้ถึงลักษณะนิสัยที่สมบูรณ์แบบได้  {DA 123.3}      

แล้วเราจะทำการนี้ให้สำเร็จได้อย่างไรนั้น พระคริสต์ทรงสำแดงให้เราเห็นแล้ว  พระองค์ทรงเอาชนะการต่อสู้กับซาตานด้วยวิธีใด?  ด้วยพระวจนะของพระเจ้า  โดยพระดำรัสเท่านั้นที่เราจะต่อต้านการทดลองได้ “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า”  พระองค์ตรัส และทรงโปรด “ประทานพระสัญญาอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่แก่เรา เพื่อว่าโดยพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะพ้นจากความเสื่อมทรามที่มีอยู่ในโลกอันเกิดจากความปรารถนาชั่ว และจะมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” .ให้แก่เรา  2 เปโตร 1 ข้อที่ 4  พระสัญญาทุกข้อในพระวจนะของพระเจ้าเป็นของเรา เรามีชีวิตอยู่ได้โดย “พระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”  เมื่อการทดลองรุกเร้าเข้ามาหา จงอย่ามองดูเหตุการณ์รอบข้าง หรือความอ่อนแอของตัวเราแต่จงมองไปยังอำนาจของพระวจนะ  พระกำลังทั้งหมดเป็นของคุณ   ผู้ประพันธ์บทเพลงสดุดีตรัสว่า “ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจเพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์”  “โดยอาศัยพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ได้เลี่ยงพ้นทางของคนโหดร้าย”   สดุดี 119 ข้อที่ 11; 17 ข้อที่ 4  {DA 123.4}

*************