บทที่ 50

ท่ามกลางกับดัก

บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 7 ข้อที่ 16-36; 40-53; 8 ข้อที่ 1-11


ตลอดเวลาระหว่างงานเทศกาลที่พระเยซูประทับอยู่กรุงเยรูซาเล็มนั้น คนสอดแนมคอยสะกดรอยอยู่รอบพระองค์  วันแล้ววันเล่ามีการใช้แผนการใหม่เพื่อปิดปากพระองค์  พวกปุโรหิตและผู้ปกครองคอยหาทางดักจับพระองค์  พวกเขาวางแผนใช้ความรุนแรงหยุดยั้งพระองค์  แต่ทั้งหมดไม่ใช่มีแค่นี้  ต่อหน้าประชาชนพวกเขาต้องการทำให้รับบีชาวกาลิลีพระองค์นี้อับอายขายหน้า  {DA 455.1}                

ในวันแรกของงานเทศกาลที่พระเยซูทรงปรากฏตัวนั้น ผู้ปกครองทั้งหลายได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ทวงถามว่าพระองค์ใช้สิทธิอำนาจใดในการสั่งสอน  พวกเขาต้องการหันเหความสนใจออกจากพระองค์ไปสู่คำถามเกี่ยวกับสิทธิในการสอนของพระองค์และด้วยเหตุนี้เพื่อเน้นความสำคัญและสิทธิอำนาจของพวกเขาเอง  {DA 455.2}           

"คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง" พระเยซูตรัส “แต่เป็นของผู้ทรงใช้เรามา  ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง”  ยอห์น 7 ข้อที่ 16, 17  พระเยซูไม่ทรงเผชิญคำถามของพวกคนจับผิดเหล่านี้ด้วยการตอบคำถามจับผิด แต่พระองค์ทรงตอบโดยการเปิดเผยความจริงที่สำคัญต่อความรอดของจิตวิญญาณ  พระองค์ตรัสว่าความเข้าใจและความซาบซึ้งในความจริงนั้นขึ้นกับความคิดน้อยกว่าขึ้นกับจิตใจ  จะต้องรับความจริงไว้ในวิญญาณจิต ความจริงจะต้องครอบครองความตั้งใจให้มีความจงรักภักดี  หากความจริงยอมอยู่ใต้เหตุผลเท่านั้นความทะนงตนจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการตอบรับความจริง  แต่จิตใจรับความจริงได้ก็โดยผ่านการประกอบกิจของพระคุณในจิตใจ  และการยอมรับความจริงขึ้นกับการละทิ้งบาปทุกประการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดเผย  ความได้เปรียบต่างๆ ของมนุษย์เพื่อรับความรู้เรื่องความจริง ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะยิ่งใหญ่เพียงไรก็ตามจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขานอกเสียจากว่าเขาจะเปิดใจรับความจริงไว้ และตั้งใจที่จะยอมมอบถวายทุกนิสัยและการกระทำที่ต่อต้านกับหลักการของความจริง  สำหรับผู้ที่ถวายตนเองให้พระเจ้าเช่นนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้และกระทำตามพระประสงค์แล้วความจริงจะเปิดเผยให้เห็นอำนาจของพระเจ้าสำหรับความรอดของพวกเขา  คนเหล่านี้จะมีความสามารถแยกแยะระหว่างคนที่พูดเพื่อพระเจ้าและคนที่พูดเพื่อตัวเอง  พวกฟาริสีไม่ได้เอาความตั้งใจของตนเองไปอยู่ฝ่ายพระประสงค์ของพระเจ้า  พวกเขาไม่ได้แสวงหาความจริงแต่หาข้อแก้ตัวเพื่อหลบเลี่ยงความจริง  พระคริสต์ทรงสำแดงให้เห็นว่านี่คือสาเหตุที่พวกเขาไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์  {DA 455.3}         

บัดนี้พระองค์ประทานการทดสอบเพื่อแยกแยะระหว่างครูที่แท้จริงกับครูหลอกลวง ข้อที่  "ใครที่พูดตามใจชอบเองย่อมแสวงหาเกียรติสำหรับตนเอง แต่คนที่แสวงหาเกียรติให้ผู้ที่ใช้ตนมา คนนั้นเป็นคนจริง ไม่มีอธรรมในตัวเขาเลย” ยอห์น 7 ข้อที่ 18  ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศใส่ตัวเองก็จะคอยพูดแต่เรื่องตัวเองเท่านั้น  วิญญาณแห่งการแสวงหาเพื่อตัวเองทรยศต่อแหล่งกำเนิดของที่มาของเกียรติยศนั้น  แต่พระคริสต์ทรงแสวงหาพระสิริของพระเจ้า  พระองค์ตรัสพระวจนะของพระเจ้า นี่คือหลักฐานของสิทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะผู้สอนความจริง  {DA 456.1}

พระเยซูประทานหลักฐานความเป็นพระเจ้าของพระองค์ให้แก่พวกรับบีด้วยการสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงอ่านใจพวกเขาได้  นับตั้งแต่การรักษาที่ข้างสระน้ำเบธซาธาพวกเขาวางแผนที่จะสังหารพระองค์  ด้วยการทำเช่นนี้พวกเขากำลังละเมิดพระบัญญัติที่พวกเขาทำตัวว่าเป็นผู้ปกป้อง  "โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ?" พระองค์ตรัส " แต่ไม่มีใครในพวกท่านประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราทำไม? "  {DA 456.2}  

ดั่งแสงวาบที่ส่องมาอย่างฉับพลัน พระดำรัสเหล่านี้เปิดให้พวกรับบีเห็นหลุมแห่งความพินาศที่พวกเขากำลังพุ่งลงไป  ชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาหวาดกลัวอย่างเต็มที่  พวกเขามองเห็นว่ากำลังขัดแย้งกับอำนาจของพระเจ้า  แต่พวกเขาไม่ต้องการรับคำเตือน  เพื่อคงไว้ซึ่งอิทธิพลที่เหนือประชาชน พวกเขาปกปิดแผนฆาตกรรมไว้  พวกเขาหลีกเลี่ยงคำถามของพระเยซู ร้องอุทานขึ้นมาว่า "ท่านมีผีสิงอยู่ ใครเล่าหาโอกาสจะฆ่าท่าน"  พวกเขาพูดเป็นนัยว่าวิญญาณชั่วหนุนการกระทำอันประเสริฐของพระเยซู  {DA 456.3}                  

พระคริสต์ไม่ทรงใส่ใจกับคำที่พูดเชิงนัยนี้  พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นต่อไปว่าการรักษาที่ข้างสระน้ำเบธซาธานั้นสอดคล้องตามพระบัญญัติของวันสะบาโต และยังได้รับการรับรองตามการแปลความหมายของชาวยิวเองตามที่นำมาใส่ไว้ในพระบัญญัติ  พระองค์ตรัสว่า "โมเสสให้พวกท่านเข้าสุหนัต. . . .และท่านก็ยังให้คนเข้าสุหนัตในวันสะบาโต"  ตามกฎบัญญัติ ทารกทุกคนจะต้องทำสุหนัตในวันที่แปด  หากวันที่กำหนดไว้ตรงกับวันสะบาโตจะต้องประกอบพิธีสุหนัตในวันนั้น  การกระทำของเราจะต้องสอดคล้องกับวิญญาณของธรรมบัญญัติมากยิ่งกว่านี้สักเพียงใด เมื่อ "เราทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโต"  และพระองค์ทรงเตือนพวกเขาว่า "อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก แต่จงพิพากษาอย่างยุติธรรมเถิด" {DA 456.4}

พวกผู้ปกครองแน่นิ่งไป และคนมากมายร้องอุทานว่า "คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาหาโอกาสจะฆ่า?  เขาก็อยู่นี่แล้วไง กำลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย และพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่าคนนี้เป็นพระคริสต์?" {DA 457.1}        

ในท่ามกลางผู้ฟังของพระคริสต์ มีคนจำนวนจำนวนมากพักอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและไม่ใช่ไม่รู้ถึงเรื่องพวกผู้ปกครองวางแผนต่อต้านพระองค์  พวกเขายังถูกอำนาจหนึ่งที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ชักนำให้เข้าหาพระองค์ด้วย  พวกเขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  แต่ซาตานพร้อมเสนอความสงสัยคลางแคลงใจ และเพื่อการนี้จึงปูทางนำสู่แนวคิดผิดอันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์และการเสด็จมาของพระองค์  โดยทั่วไปเชื่อกันว่าพระคริสต์จะประสูติที่บ้านเบธเลเฮม  แต่หลังจากนั้นไม่นานพระองค์จะหายตัวไป และเมื่อกลับมาปรากฏตัวครั้งที่สองจะไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน  มีคนไม่น้อยที่เชื่อว่าพระเมสสิยาห์จะไม่มีความสัมพันธ์ตามธรรมชาติกับมนุษยชาติ  และเนื่องจากคุณสมบัติของพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธไม่ตรงกับความเข้าใจอย่างแพร่หลายอันเกี่ยวกับพระสิริของพระเมสสิยาห์ คนมากมายจึงรับข้อเสนอแนะที่ว่า "แต่เรารู้แล้วว่าคนนี้มาจากไหน เพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน"  {DA 457.2}                

ในขณะที่พวกเขาลังเลอยู่ระหว่างความสงสัยและความเชื่อ พระเยซูทรงอ่านความคิดในใจของพวกเขาและตรัสตอบว่า ข้อที่  "พวกท่านรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริงและพวกท่านไม่รู้จักพระองค์  เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงใช้เรามา”   พวกเขาอ้างว่าพวกเขามีความรู้ต้นกำเนิดของพระคริสต์เป็นอย่างดี แต่ว่าพวกเขาไม่มีความรู้เรื่องนี้อย่างสิ้นเชิงเลย  หากพวกเขาดำเนินชีวิตเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาน่าจะรู้จักพระบุตรของพระองค์เมื่อพระองค์ทรงปรากฎท่ามกลางพวกเขา  {DA 457.3}         

ผู้ฟังไม่อาจเข้าใจพระดำรัสของพระคริสต์ไปเป็นอย่างอื่น  เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป็นพระดำรัสที่ตรัสซ้ำย้ำเรื่องที่พระองค์ตรัสไว้กับสภาซันเฮดรินเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้เมื่อพระองค์ประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  ในขณะนั้นบรรดาผู้ปกครองพยายามวางแผนโอบล้อมให้พระองค์ตาย ในเวลานี้พวกเขาลงแรงเอาชีวิตของพระองค์ แต่อำนาจที่ตาเปล่ามองไม่เห็นจำกัดวามโกรธแค้นของพวกเขาไว้ และตรัสกับพวกเขาว่าเจ้าไปได้ไกลแค่นี้แหละ อย่าเลยไปอีก   {DA 457.4}             

ท่ามกลางประชาชนมีคนมากมายเชื่อพระองค์และพวกเขาพูดกันว่า “เวลาที่พระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงทำหมายสำคัญมากยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านผู้นี้ได้ทำหรือ?“  ผู้นำของพวกฟาริสีซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อได้แสดงความเห็นอกเห็นใจในท่ามกลางประชาชน  พวกเขารีบไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิตเพื่อวางแผนจับกุมพระองค์  อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตรียมที่จะจับพระองค์เมื่อพระองค์อยู่ตามลำพัง เพราะพวกเขาไม่กล้าจับพระองค์ต่อหน้าประชาชน  อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงอ่านจุดประสงค์ของพวกเขาได้  "เราจะอยู่กับพวกท่านต่อไปอีกไม่นาน แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้เรามา  พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ที่เราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้"  อีกไม่นานเกินรอ พระองค์จะทรงหาที่หลบภัยที่ใกลจนความเหยียดหยามและความเกลียดชังจะไปไม่ถึง  พระองค์จะทรงขึ้นไปหาพระบิดาเพื่อเป็นที่เคารพรักของเหล่าทูตสวรรค์อีกครั้ง และที่นั่นพวกฆาตกรของพระองค์จะไม่มีทางเข้าไปถึงได้  {DA 457.5}                 

ด้วยความเย้ยหยัน พวกรับบีพูดว่า "คนนี้จะไปไหนที่เราจะหาเขาไม่พบ?  เขาตั้งใจจะไปหาคนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีกและสั่งสอนพวกกรีกหรือ?"   ผู้กล่าวหาพวกนี้ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าคำพูดเย้ยหยันของพวกเขากำลังวาดภาพพันธกิจของพระคริสต์!  ตลอดทั้งวัน พระองค์ยื่นพระหัตถ์ต้อนรับชนชาติหนึ่งซึ่งไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น  แต่ถึงกระนั้น พวกที่ไม่ได้แสวงหาได้พบพระองค์ พระองค์ทรงปรากฏแก่คนที่ไม่ได้ถามหาพระนามของพระองค์  โรม 10 ข้อที่ 20, 21  {DA 458.1}               

คนมากมายที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าถูกชักนำไปเดินในทางที่ผิดด้วยการใช้เหตุผลที่ผิดของพวกปุโรหิตและรับบี  ครูเหล่านี้ลงแรงกล่าวย้ำคำพยากรณ์ของพระเมสสิยาห์ว่าพระองค์จะ "ครองราชย์บนภูเขาศิโยนและในเยรูซาเล็ม และต่อหน้าพวกผู้อาวุโสของพระองค์ด้วยพระสิริ"  พวกเขายังกล่าวว่าพระองค์จะ "ครอบครองจากทะเลถึงทะเล และจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" อิสยาห์ 24 ข้อที่ 23; สดุดี 72 ข้อที่  8. จากนั้นพวกเขาก็เปรียบเทียบอย่างดูถูกเหยียดหยามระหว่างพระสิริในภาพนี้กับลักษณะอันต่ำต้อยของพระเยซู  ถ้อยคำของคำพยากรณ์ถูกบิดเบือนไปมากจนกระทั่งสนับสนุนความผิด  หากประชาชนใส่ใจศึกษาพระวจนะด้วยความจริงใจ พวกเขาก็จะไม่หลงผิด  พระธรรมอิสยาห์บทที่หกสิบเอ็ดให้คำยืนยันถึงพระราชกิจที่พระคริสต์จะทำและได้ทำมาแล้ว  บทที่ห้าสิบสามกล่าวถึงการปฏิเสธและการทนทุกข์ของพระองค์ในโลกนี้และบทที่ห้าสิบเก้าบรรยายถึงลักษณะอุปนิสัยของพวกปุโรหิตและพวกรับบี  {DA 458.2}               

พระเจ้าไม่ทรงบังคับมนุษย์คนใดให้ทิ้งความไม่เชื่อ  แสงสว่างและความมืด ความจริงและความผิดอยู่ต่อหน้าพวกเขา  การตัดสินใจที่จะเลือกอันใดอันหนึ่งขึ้นกับพวกเขา  สมองของมนุษย์ ได้รับอำนาจของการแยกแยะระหว่างความถูกต้องและความผิด  พระเจ้าทรงออกแบบให้มนุษย์ไม่ต้องตัดสินใจจากแรงหุนหัน แต่จากน้ำหนักของหลักฐานด้วยการเปรียบเทียบพระคัมภีร์กับพระคัมภีร์  หากชาวยิววางอคติลงและเปรียบเทียบคำพยากรณ์ที่บันทึกไว้แล้วนั้นกับข้อเท็จจริงที่บรรยายพระลักษณะนิสัยชีวิตของพระเยซูแล้ว พวกเขาจะได้เข้าใจความสอดคล้องกันอย่างงดงามระหว่างคำพยากรณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตและพันธกิจแห่งการรับใช้ของพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นชาวกาลิลีผู้ต่ำต้อย  {DA 458.3}             

ในวันนี้ คนมากมายถูกหลอกในลักษณะเดียวกันกับชาวยิว  ครูสอนศาสนาทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์ด้วยแสงสว่างของความเข้าใจและประเพณีของตนเอง และประชาชนไม่ได้ศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์ด้วยตนเองและตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรคือความจริง แต่พวกเขายอมมอบการตัดสินและมอบจิตวิญญาณของพวกเขาให้กับผู้นำของพวกเขา  การเทศนาและการสอนพระวจนะของพระองค์เป็นวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับการกระจายแสงสว่าง แต่เราต้องเอาพระคัมภีร์มาทดสอบคำสอนของมนุษย์  ใครก็ตามที่จะศึกษาพระคัมภีร์ด้วยการอธิษฐานโดยปรารถนาที่จะเรียนรู้ความจริงเพื่อเขาจะได้เชื่อฟังพระคัมภีร์นั้น จะได้รับความกระจ่างแจ้งจากพระเจ้า  เขาจะเข้าใจพระคัมภีร์  “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้า” ยอห์น 7 ข้อที่ 17  {DA 459.1}           

ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล เจ้าหน้าที่ที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองได้ส่งออกไปเพื่อนำจับพระเยซูกลับมาโดยไม่มีพระองค์  พวกเขาซักถามเจ้าหน้าที่ด้วยความโกรธว่า "ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จับเขามา?"  พวกเขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า "ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย"  {DA 459.2}          

แม้หัวใจของพวกเขาจะแข็งกระด้างเพียงไรก็ตาม ก็ยังหลอมละลายได้ด้วยพระดำรัสของพระองค์  ขณะที่พระองค์ตรัสอยู่ในลานพระวิหาร พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยจับเอาพระดำรัสสักคำเพื่อนำมากล่าวหาพระองค์  แต่ในขณะที่พวกเขาฟังอยู่นั้น พวกเขาลืมเป้าหมายที่ได้รับมาให้ปฏิบัติ  พวกเขายืนด้วยความลุ่มหลงงงงวย  พระคริสต์ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้แก่จิตวิญญาณเหล่านั้น  พวกเขามองเห็นในสิ่งที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองมองไม่เห็น  นั่นคือความเป็นมนุษย์พรั่งพรูด้วยพระสิริของพระเจ้า  ด้วยสมองที่เต็มไปด้วยความคิดนี้ ด้วยความประทับใจกับพระดำรัสของพระองค์ เมื่อพวกเขากลับมา เผชิญหน้ากับคำถามที่ว่า "ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จับเขามา?" พวกเขาตอบได้แต่เพียงว่า "ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย"  {DA 459.3}          

เมื่อพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเข้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์พระคริสต์เป็นครั้งแรกก็มีความเชื่อมั่นแรงกล้าอย่างนี้เช่นกัน  จิตใจของพวกเขาได้รับการดลใจอย่างลึกซึ้งและความคิดก็โน้มน้าวพวกเขาว่า "ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย" แต่พวกเขาขัดขวางการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บัดนี้ด้วยความโกรธที่แม้แต่เครื่องมือของกฎหมายก็ยังได้รับอิทธิพลของชาวกาลิลีที่พวกเขาเกลียดชัง พวกเขาตะโกนร้องว่า "พวกเจ้าโดนหลอกด้วยหรือ?  มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสีที่ศรัทธาในตัวเขา?  ก็มีแต่ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ พวกเขาต้องถูกสาปแช่ง”  {DA 459.4}                

ผู้ที่ได้รับข่าวสารแห่งความจริงมักไม่ถามว่า "เป็นเรื่องจริงหรือ?" แต่ "ใครละเป็นผู้สนับสนุนความจริงนี้?" ฝูงชนประเมินความจริงโดยจำนวนคนที่ยอมรับ และยังคงถามกันต่อว่า "มีคนความรู้สูงหรือผู้นำทางศาสนาเชื่อบ้างหรือยัง?"  มนุษย์ในวันนี้ไม่ได้ชื่นชอบกับเรื่องพระเจ้ามากไปกว่าคนในสมัยของพระคริสต์  พวกเขายังมุ่งมั่นแสวงหาผลประโยชน์ทางโลกโดยละเลยสมบัติของนิจนิรันดร์  และการจะเอาหลักฐานของคนจำนวนมากไม่พร้อมรับหรือบุคคลสำคัญยิ่งใหญ่หรือแม้ผู้นำทางศาสนาก็ยังไม่ยอมรับมาโต้ความจริงไม่ได้  {DA 459.5}

อีกครั้งพวกปุโรหิตและผู้ปกครองยังคงดำเนินวางแผนจับกุมพระเยซูต่อไป  มีการเร่งเร้าว่าหากปล่อยพระองค์ให้อยู่อย่างอิสระ พระองค์จะดึงผู้คนไปจากผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งมาแล้ว และแนวทางปลอดภัยเดียวคือให้ปิดปากพระองค์โดยไม่รอช้า  ในการปรึกษาหารืออย่างเผ็ดร้อน พวกเขาถูกทักท้วงอย่างกระทันหัน   นิโคเดมัสตั้งข้อสงสัยว่า "กฎหมายของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ?"  ความเงียบเกิดขึ้นในที่ประชุม  คำพูดของนิโคเดมัสตอกลงจิตใต้สำนึกของพวกเขา  พวกเขากำหนดโทษคนใดโดยยังไม่ได้ฟังคำในศาลเลยไม่ได้  แต่ผู้ปกครองยโสทั้งหลายแน่นิ่งไปไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เหตุผลเดียว พวกเขามองหน้าคนที่ลุกขึ้นพูดเข้าข้างความยุติธรรม  พวกเขาสะดุ้งและเสียใจอย่างผิดหวังที่มีคนหนึ่งในพวกเขาเองที่ประทับใจพระลักษณะนิสัยของพระเยซูเพื่อพูดคำเข้าข้างพระองค์  เมื่อพวกเขาตื่นจากความตกตะลึงพวกเขาจึงกล่าวกับนิโคเดมัสด้วยการตัดพ้ออย่างเสียดสีว่า "ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองค้นดูเถิดแล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี"  {DA 460.1}                

แต่กระนั้น คำประท้วงส่งผลทำให้สภาหยุดดำเนินการต่อไป  พวกผู้ปกครองทำตามเป้าประสงค์และตัดสินลงโทษพระเยซูต่อไปโดยไม่ได้ฟังความก่อนไม่ได้  ในครั้งนี้ พวกเขาพ่ายแพ้ "แล้วต่างคนต่างก็กลับไปที่บ้านของตน แต่พระเยซูเสด็จไปที่ภูเขามะกอกเทศ "  {DA 460.2}           

จากความตื่นเต้นและความวุ่นวายสับสนของเมือง จากฝูงชนที่กระตือรือร้นและพวกรับบีที่ทรยศ พระเยซูทรงหันหลังมุ่งตรงไปยังสวนมะกอกอันเงียบสงบซึ่งเป็นที่ที่พระองค์พำนักอยู่ตามลำพังกับพระเจ้าได้  แต่ในเวลาเช้าตรู่พระองค์เสด็จกลับไปยังพระวิหาร และขณะที่ประชาชนมารวมตัวกันรอบพระองค์ พระองค์ประทับลงและทรงสั่งสอนพวกเขา  {DA 460.3}  

ไม่นานต่อมา พระองค์ก็ทรงถูกขัดจังหวะ  มีพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์อยู่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาเฝ้าพระองค์ ฉุดลากหญิงคนหนึ่งที่หวาดกลัวอกสั่นขวัญหายเข้ามาเฝ้า ด้วยเสียงพูดที่กระตือรือร้นกล่าวหาว่าเธอล่วงละเมิดพระบัญญัติข้อที่เจ็ด  เมื่อผลักเธอเข้าไปอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูแล้ว พวกเขาพูดกับพระองค์ด้วยการแสดงความเคารพอย่างเสแสร้งว่า "ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร?" {DA 460.4}

ความเคารพที่แสร้งทำของพวกเขาปกปิดแผนการฝังลึกที่วางไว้เพื่อให้พระองค์พินาศ  พวกเขาฉวยโอกาสนี้หวังได้คำยืนยันเพื่อนำมาลงโทษพระองค์โดยคิดในระหว่างพวกเขากันว่าไม่ว่าพระองค์จะตัดสินใจอย่างไรพวกเขาจะหาโอกาสกล่าวโทษพระองค์จนได้  หากพระองค์ปล่อยผู้หญิงคนนี้ ก็จะถูกตั้งข้อหาดูหมิ่นกฎบัญญัติของโมเสส  หากพระองค์ประกาศว่าเธอสมควรตาย พระองค์ก็จะถูกชาวโรมันกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ถือกุมอำนาจที่เป็นของพวกเขาเท่านั้น  {DA 460.5}                  

พระเยซูทอดพระเนตรภาพเหตุการณ์อยู่สักครู่หนึ่ง  ภาพของเหยื่อสั่นสะท้านด้วยความอับอาย  เจ้าหน้าที่เหี้ยมโหดที่ปราศจากแม้กระทั่งความสงสารของมนุษย์  วิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ไร้ด่างพร้อยของพระองค์หดหายไปกับภาพที่อยู่เบื้องพระพักตร์  พระองค์ทรงทราบดีว่าคดีนี้มาถึงพระองค์ด้วยจุดประสงค์ใด  พระองค์ทรงอ่านใจและทรงทราบลักษณะอุปนิสัยและประวัติชีวิตของทุกคนที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์  ผู้พิทักษ์ความยุติธรรมเหล่านี้ได้นำเหยื่อของตนให้ไปทำบาปเพื่อพวกเขาจะวางบ่วงดักจับพระเยซู  โดยที่พระองค์ไม่สำแดงสัญญาณใดว่าพระองค์ทรงได้ยินคำถามของพวกเขา พระองค์ทรงก้มลงและทรงจ้องมองที่พื้น แล้วเริ่มเขียนลงในผงคลี  {DA 461.1}         

ด้วยหงุดหงิดกับความล่าช้าและความเฉยเมยที่พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ผู้กล่าวหาจึงย่องเข้ามาใกล้เพื่อเร่งเร้าให้พระองค์สนพระทัย  แต่ขณะสายตาของพวกเขาที่ติดตามพระเยซูอยู่นั้นพวกเขาได้มองลงไปตามทางเดินที่ใต้พระบาท สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป  ณ ที่ นั่น สิ่งที่จารึกไว้อยู่ต่อหน้าพวกเขาเป็นความผิดลับๆ ของชีวิตพวกเขา  ประชาชนที่มุงดูอยู่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและกรูเข้าไปใกล้เพื่อจะดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ทำให้พวกเขามองดูด้วยความพิศวงและความอับอาย  {DA 461.2}         

ด้วยการแสดงออกถึงความเคารพทั้งหมดที่พวกเขามีให้กับธรรมบัญญัติ  พวกรับบีที่ได้ฉุดลากผู้หญิงคนหนึ่งที่พวกเขากล่าวโทษเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงบทบัญญัติของกฏหมาย เป็นหน้าที่ของผู้เป็นสามีที่จะต้องดำเนินการกับเธอและฝ่ายที่ผิดจะต้องได้รับโทษอย่างเท่าเทียมกัน  การกระทำของผู้กล่าวหาไม่ได้รับอนุมัติให้ทำเช่นนี้โดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงเผชิญหน้ากับพวกเขาในระดับของพวกเขาเอง  บทบัญญัติระบุว่าการลงโทษด้วยการขว้างก้อนหินนั้น พยานในเหตุการณ์จะต้องเป็นคนแรกในการขว้างก้อนหิน  บัดนี้พระเยซูทรงลุกขึ้น และด้วยพระเนตรทรงจ้องไปยังผู้ปกครองที่วางแผน พระองค์ตรัสว่า "ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” และทรงก้มลง ทรงเขียนบนพื้นดินต่อไป  {DA 461.3}

พระองค์ไม่ทรงปัดธรรมบัญญัติที่ประทานผ่านโมเสสไปหรือละเมิดอำนาจของโรม  ผู้กล่าวหาพ่ายแพ้  บัดนี้ เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์อันเสแสร้งถูกกระชากออกไปจากพวกเขา พวกเขามีความผิดและถูกประณามต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงความบริสุทธิ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาสั่นไปทั้งตัวเกรงว่าความชั่วที่ซ่อนอยู่ในชีวิตของพวกเขาจะถูกเปิดเผยต่อมหาชน  และด้วยศีรษะที่ตกและตามองต่ำ พวกเขาแอบย่องออกไปทีละคนๆ ปล่อยเหยื่ออยู่กับพระผู้ช่วยให้รอดพระผู้ทรงเมตตาสงสาร  {DA 461.4}          

พระเยซูทรงลุกและมองไปยังหญิงคนนั้นตรัสว่า “’หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?’  นางทูลว่า ‘ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย’ แล้วพระเยซูตรัสว่า ‘เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’”  {DA 461.5}            

หญิงคนนั้นยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูด้วยความกลัว  พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า "ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก" ลงมาที่เธอดั่งคำตัดสินประหาร  เธอไม่กล้าแม้เงยหน้าขึ้นเฝ้ามองพระพักตร์ของผู้ช่วยให้รอด แต่รอคอยชะตาของเธอในความเงียบ  ด้วยความประหลาดใจเธอเห็นผู้กล่าวหาของเธอจากไปอย่างพูดไม่ออกและงุนงงสับสน และแล้วถ้อยคำแห่งความหวังก็ตกกระทบหูของเธอว่า "เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก"  หัวใจของเธอหลอมละลายไปแล้ว เธอทิ้งตัวเองลงแทบพระบาทของพระเยซู สะอึ้นร้องไห้ด้วยความรักอันซาบซึ้งและน้ำตาอันขมขื่นสารภาพบาปของเธอ  {DA 462.1}               

สำหรับเธอแล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เป็นชีวิตแห่งความบริสุทธิ์และสันติสุขเพื่ออุทิศถวายรับใช้พระเจ้า  ด้วยการยกระดับจิตวิญญาณที่ตกต่ำนี้ขึ้น พระเยซูทรงประกอบการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการรักษาโรคทางกายร้ายแรงที่สุด  พระองค์ทรงรักษาความเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณซึ่งนำไปสู่ความตายนิรันดร์  หญิงที่สำนึกผิดคนนี้ได้มาเป็นผู้ติดตามที่มั่นคงที่สุดคนหนึ่งของพระองค์  เธอตอบแทนพระเมตตาแห่งการอภัยของพระองค์ด้วยความรักและการอุทิศตนอย่างเสียสละตน  {DA 462.2}          

ในการประกอบกิจแห่งการอภัยและการหนุนใจแก่หญิงคนนี้ให้ดำเนินชีวิตที่ดีกว่า พระลักษณะนิสัยของพระเยซูส่องประกายออกมาในความงามแห่งความชอบธรรมอันสมบูรณ์แบบ  ในขณะที่พระองค์ไม่ทรงลดบาปหรือลดความรู้สึกผิด พระองค์ก็ไม่ทรงประณามแต่พระองค์ทรงช่วยให้รอด  โลกมอบแต่ความหมิ่นประมาทและความเหยียดหยามแก่หญิงที่ทำผิดนี้ แต่พระเยซูตรัสคำปลอบโยนและความหวัง  พระเจ้าผู้ทรงปราศจากบาปทรงสงสารความอ่อนแอของคนบาป และทรงยื่นพระหัตถ์แห่งการทรงช่วยให้แก่เธอ  ในขณะพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดประณาม พระเยซูทรงเชิญชวนเธอว่า "จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก"  {DA 462.3}

คนที่เบนสายตาหันหน้าออกไปจากคนทำผิด ปล่อยพวกเขาไปอย่างไม่ถูกขัดขวางเพื่อดำเนินไปตามวิถีที่ดิ่งลงต่ำไม่ใช่สาวกของพระคริสต์  ผู้ที่อยู่แนวหน้ากล่าวโทษผู้อื่นและออกหน้าออกตานำพวกเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมบ่อยครั้งมักจะเป็นคนทำผิดในชีวิตมากว่าพวกเขา  มนุษย์เกลียดคนบาปในขณะที่รักบาป  พระคริสต์ทรงเกลียดบาป แต่ทรงรักคนบาป  จิตใจเช่นนี้จะต้องเป็นของทุกคนที่ติดตามพระองค์  ความรักของคริสเตียนจะตำหนิช้า ว่องไวต่อคนที่สำนึกผิด พร้อมให้อภัย พร้อมให้กำลังใจ เพื่อนำคนพเนจรให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความบริสุทธิ์และรักษาเท้าของเขาให้มั่นในทางนั้น  {DA 462.4}          

********