บทที่ 77
ที่ห้องโถงพิพากษาของปีลาต
มัทธิว 27 ข้อที่ 2, 11-31; มาระโก 15 ข้อที่ 1-20; ลูกา 23 ข้อที่ 1-25; ยอห์น 18 ข้อที่ 28-40; 19 ข้อที่ 1-16
ในห้องโถงพิพากษาของปีลาตซึ่งเป็นผู้ปกครองชาวโรมัน พระคริสต์ถูกมัดเยี่ยงนักโทษประทับอยู่ที่นั่น ทหารยามล้อมอยู่รไอบพระองค์ และผู้สังเกตการณ์เข้ามายังห้องโถงจนเต็มในเวลาอันสั้น ด้านนอกตรงทางเข้ามีพวกผู้พิพากษาของสภาซันเฮดริน พวกปุโรหิต พวกผู้ปกครอง พวกผู้อาวุโสและฝูงชน {DA 723.1}
หลังจากพิพากษากำหนดโทษพระเยซูแล้ว สภาซันเอดรินได้มาหาปีลาตเพื่อขอคำรับรองกำหนดโทษและประหารชีวิต แต่เจ้าหน้าที่ชาวยิวเหล่านี้ไม่ยอมเข้าไปในห้องพิพากษาของชาวโรมัน เพราะถ้าทำเช่นนั้น พวกเขาจะเป็นมลทินตามกฎของชาวยิวและเข้าร่วมปัสกาไม่ได้ ในความมืดบอด พวกเขามองไม่เห็นว่าความเกลียดชังอย่างฆาตกรได้ทำให้จิตใจของพวกเขาแปดเปื้อนไปแล้ว พวกเขามองไม่เห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นลูกแกะปัสกาองค์เที่ยงแท้ และเนื่องจากพวกเขาปฏิเสธพระองค์ งานเลี้ยงใหญ่ที่จัดไว้สำหรับพวกเขาจึงสูญเสียความสำคัญไป {DA 723.2}
เมื่อพวกเขานำพระผู้ช่วยให้รอดมาถึงห้องโถงพิพากษาแล้ว ปีลาตก็จ้องมองพระองค์ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดโรมันถูกเรียกให้ออกมาจากห้องนอนด้วยความเร่งรีบและเขาตั้งใจที่จะทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ท่านตั้งใจเตรียมพร้อมที่จะใช้การพิพากษาอย่างรุนแรงกับนักโทษ ท่านสวมหน้ากากของความโหดและหันไปมองว่าบุคคลที่ท่านจะสอบสวนมีลักษณะอย่างไรที่ทำให้ท่านต้องถูกเรียกออกมาจากที่พักเพื่อทำงานของการพิพากษาในยามเช้าตรู่เช่นนี้ ท่านรู้ดีว่าจะต้องเป็นใครคนหนึ่งที่ผู้มีอำนาจชาวยิวต้องการสอบสวนและลงโทษอย่างเร็วพลัน {DA 723.3}
ปีลาตมองดูบรรดาคนที่ควบคุมพระเยซู และดวงตาของท่านก็หันไปมองพระเยซูด้วยสายตาที่ตรวจสอบ ท่านเคยจัดการกับอาชญากรทุกรูปแบบมาแล้ว แต่ท่านไม่เคยเห็นชายคนใดที่มีหน้าตาแห่งคุณงามความดีและความงามสง่าเช่นนี้มาก่อน ท่านมองไม่เห็นร่องรอยของความผิดบนพระพักตร์ของพระองค์ ไม่มีการแสดงออกถึงความกลัว ไม่มีความห้าวหาญหรือการต่อต้าน ท่านเห็นชายคนหนึ่งที่สงบและสง่างาม ซึ่งพระพักตร์ไร้ร่องรอยการเป็นอาชญากร แต่ประกอบด้วยสัญลักษณ์แห่งสรวงสวรรค์ {DA 724.1}
บุคลิกที่ปรากฏของพระคริสต์สร้างความประทับใจที่ดีให้กับปีลาต ธรรมชาติฝ่ายดีของท่านถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ภรรยาของท่านเคยเล่าพระราชกิจอันประเสริฐมากมายที่ผู้เผยพระวจนะชาวกาลิลีท่านนี้ได้กระทำให้ท่านฟัง บัดนี้สิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจของปีลาตราวกับฝัน ท่านนึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินจากหลายแหล่ง ท่านตกลงใจทวงข้อกล่าวหานักโทษจากพวกยิวขอชาวยิวให้มอบคำกล่าวหาที่พวกเขามีต่อนักโทษคนนี้ {DA 724.2}
ชายคนนี้เป็นใคร และพวกเจ้านำเขามาหาเราทำไม? ท่านพูด พวกเจ้ากล่าวหาอะไรใส่เขา? พวกยิวกระอักกระอ่วนใจ โดยรู้ดีแก่ใจว่าข้อกล่าวหาของพวกเขาที่มีต่อพระคริสต์นั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ พวกเขาไม่ต้องการให้ตรวจสอบอย่างเปิดเผย พวกเขาตอบว่าพระองค์ทรงเป็นผู้หลอกลวงที่มีชื่อว่าเยซูชาวนาซาเร็ธ {DA 724.3}
ปีลาตถามอีกครั้งว่า "พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้?" พวกปุโรหิตไม่ตอบคำถามของท่าน แต่กล่าวด้วยคำพูดที่แสดงความเคืองใจว่า "ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย เราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน" เมื่อกลุ่มคนที่มาจากสภาซันเฮดรินซึ่งเป็นชนชั้นนำของประเทศได้นำคนหนึ่งที่สมควรตัดสินให้ถึงแก่ความตายมาให้ท่านแล้ว จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องถามถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อเขา? พวกเขาหวังที่จะสร้างความประทับใจให้ปีลาตเห็นถึงความสำคัญของตัวพวกเขาและนั่นจะนำให้ปีลาตยอมรับคำขอของพวกเขาโดยไม่ต้องดำเนินการผ่านขั้นตอนอีกมากมาย พวกเขาใจจดจ่อที่จะให้คำตัดสินของพวกเขาผ่านการรับรอง เพราะพวกเขารู้ดีว่าผู้คนที่ได้เห็นพระราชกิจอันน่าอัศจรรย์ของพระคริสต์สามารถบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างจากเรื่องที่พวกเขากุขึ้นมาและเล่าซ้ำอยู่ในขณะนี้ไปอย่างมาก {DA 724.4}
พวกปุโรหิตคิดว่าความอ่อนแอและความรวนเรของปีลาตจะทำให้พวกเขาดำเนินแผนการไปได้อย่างไม่มีปัญหา ก่อนหน้านี้ปีลาตเคยลงนามด้วยความเร่งรีบในหมายจับประหารชีวิตคนที่ไม่สมควรตายมามากแล้ว ในความเห็นของปีลาตนั้น ชีวิตของนักโทษมีค่าเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือมีความผิดก็ไม่มีผลลัพธ์พิเศษใดตามมา พวกปุโรหิตหวังว่าในครั้งนี้ปีลาตจะลงโทษประหารชีวิตพระเยซูโดยไม่ต้องให้มีการพิจารณาตรวจสอบพระองค์ พวกเขาขอเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษเนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองเทศกาลระดับชาติของพวกเขา {DA 724.5}
แต่มีบางอย่างในนักตัวโทษที่รั้งปีลาตไว้จากการกระทำการนี้ เขาไม่กล้าทำ เขาอ่านวัตถุประสงค์ของพวกปุโรหิตออก เขาจำได้ว่าไม่นานก่อนหน้านี้พระเยซูได้ปลุกลาซารัสที่ตายไปแล้วสี่วันให้กลับเป็นขึ้นจากตาย และเขาตั้งใจที่จะรู้ก่อนที่จะลงนามในคำตัดสินลงโทษพระองค์ว่าพวกเขาตั้งข้อกล่าวหาอะไรและพวกเขาพิสูจน์ได้หรือไม่ {DA 725.1}
ปีลาตพูดว่า หากการวินิจฉัยของพวกเจ้านั้นเพียงพอแล้ว ทำไมต้องนำนักโทษมาหาเราเล่า? "พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด" เมื่อถูกรบเร้าเช่นนี้ ปุโรหิตกล่าวว่าพวกเขาได้ตัดสินโทษพระองค์แล้ว แต่พวกเขาต้องการให้ปีลาตรับรองการตัดสินเพื่อให้การกล่าวโทษถูกต้อง คำตัดสินของพวกเขาเป็นอย่างไร? ปีลาตถาม โทษประหารชีวิต พวกเขาตอบ แต่เป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมายที่พวกเราจะประหารชีวิตผู้ใด พวกเขาขอให้ปีลาตเชื่อคำพูดของพวกเขาว่าพระคริสต์ผิด และเอาคำตัดสินไปลงโทษ พวกเขาเองจะรับผิดชอบผลที่ตามมา {DA 725.2}
ปีลาตไม่ใช่ผู้พิพากษาที่ยุติธรรมหรือมีมโนธรรม แต่แม้ท่านเป็นคนอ่อนแอในด้านศีลธรรม ท่านก็ปฏิเสธที่จะสนองคำขอนี้ ท่านจะไม่ยอมกล่าวโทษพระเยซูจนกว่าจะทราบคำกล่าวหาที่ฟ้องพระองค์ {DA 725.3}
พวกปุโรหิตตกสู่สถานการณ์ที่ลำบาก พวกเขามองเห็นว่าต้องปกปิดความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาด้วยการปกคลุมอย่างหนาที่สุด จะต้องไม่ปล่อยให้เห็นว่าพระคริสต์ถูกจับด้วยข้อกล่าวหาด้านศาสนา หากนำข้อกล่าวหานี้ขึ้นเป็นเหตุผล คำให้การของพวกเขาต่อหน้าปีลาตจะไม่ได้ผล พวกเขาจะต้องทำให้ดูเหมือนว่าพระเยซูวางแผนต่อต้านกฎหมายทั่วไป แล้วจะถูกลงโทษในฐานะผู้กระทำความผิดทางการเมือง ความโกลาหลและการจลาจลต่อต้านรัฐบาลโรมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่ชาวยิว ชาวโรมันจัดการกบฏเหล่านี้อย่างเข้มงวดกวดขันและคอยเฝ้าตรวจสอบอยู่เสมอเพื่อปราบปรามทุกสิ่งที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง {DA 725.4}
เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้พวกฟาริสีพยายามดักจับพระคริสต์ด้วยคำถามว่า "การส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่?" แต่พระคริสต์ทรงกระชากหน้ากากความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา ชาวโรมันที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของผู้วางแผนและความไม่พอใจของพวกเขาในคำตอบของพระองค์ “ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” ลูกา 20 ข้อที่ 22-25 {DA 725.5}
ในเวลานี้พวกปุโรหิตคิดที่จะทำให้ดูเหมือนว่าพระคริสต์ได้สอนสิ่งที่พวกเขาหวังว่าพระองค์จะสอน จากฝั่งสุดขั้วของพวกเขา พวกเขาสั่งพยานเท็จให้เข้ามาช่วย "และตั้งข้อกล่าวหาว่า ‘เราพบว่าคนนี้กำลังทำให้ชนชาติของเราไขว้เขวและไม่ให้ส่งส่วยแก่ซีซาร์ และบอกว่าตัวเองเป็นพระคริสต์กษัตริย์องค์หนึ่ง’" มีข้อกล่าวหาอยู่สามข้อซึ่งแต่ละข้อไม่มีหลักฐานใดเลย พวกปุโรหิตทราบเรื่องนี้ดี แต่พวกเขาเต็มใจที่จะให้การเท็จ เพื่อได้มาซึ่งเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขา {DA 725.6}
ปีลาตมองทะลุเข้าไปถึงจุดประสงค์ของพวกเขา ท่านไม่เชื่อว่านักโทษคนนี้วางแผนต่อต้านรัฐบาล พระลักษณะอันอ่อนโยนและอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์ไม่สอดคล้องกับข้อกล่าวหา ปีลาตมั่นใจว่ามีการวางอุบายอย่างลึกลับเพื่อทำลายผู้บริสุทธิ์ที่ขวางเส้นทางของเหล่าผู้มีเกียรติชาวยิว ท่านหันหน้าไปหาพระเยซูถามว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระผู้ช่วยให้รอดตรัสตอบว่า "ก็ท่านพูดเองแล้ว" และขณะที่พระองค์ตรัสพระพักตร์ของพระองค์ก็สว่างขึ้นราวกับว่ามีลำแสงตะวันส่องมาบนพระพักตร์ {DA 726.1}
เมื่อคายาฟาสและคนที่อยู่กับเขาได้ยินคำตอบของพระองค์ พวกเขาจึงเรียกปีลาตมาเป็นพยานว่าพระเยซูทรงยอมรับความผิดที่พระองค์ถูกตั้งข้อกล่วหาแล้ว ด้วยเสียงร้องดังหนวกหู พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และพวกผู้ปกครองต่างเรียกร้องให้ตัดสินประหารชีวิตพระองค์ เสียงร้องของฝูงชนดังขึ้นและความโกลาหลก็อึกทึก ปีลาตสับสน เมื่อเห็นว่าพระเยซูไม่ทรงตอบโต้ผู้กล่าวหาของพระองค์ ปีลาตจึงทูลถามพระองค์ว่า "เจ้าไม่ตอบอะไรเลยหรือ? ดูซิ พวกเขากล่าวหาเจ้าหลายประการทีเดียว" {DA 726.2}
พระคริสต์ประทับอยู่ข้างหลังปีลาต เป็นมุมที่มองเห็นคนทั้งหมดในศาล พระคริสต์สดับทุกคำสบประมาท แต่คำกล่าวหาเท็จทั้งหมดต่อพระองค์นั้น พระองค์ไม่ทรงตอบสักคำ พระลักษณะบุคลิกทั้งหมดของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์อย่างมีสติ พระองค์ประทับอย่างไม่หวั่นไหวท่ามกลางคลื่นแห่งความโกรธแค้นที่โหมกระหน่ำอยู่รอบพระองค์ คลื่นแห่งความโกรธเกรี้ยวดูราวกับจะพุ่งทยานสูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ คล้ายกับคลื่นในมหาสมุทรที่กระทบใส่พระองค์แต่ไม่ได้สัมผัสพระองค์ พระองค์ประทับนิ่ง ความเงียบของพระองค์นั้นสง่างามดั่งแสงสว่างที่ส่องจากภายในไปสู่ภายนอก {DA 726.3}
ปีลาตประหลาดใจกับพระลักษณะบุคลิกของพระองค์ ชายคนนี้ไม่สนใจการดำเนินคดีเพราะว่าเขาไม่สนใจที่ช่วยชีวิตตัวเขาเองให้รอดหรือ? ท่านถามตัวเอง ขณะที่ท่านมองพระเยซูผู้ทรงทนการดูถูกและเย้ยหยันโดยไม่ตอบโต้ ท่านรู้สึกว่าพระองค์ไม่น่าเป็นคนอธรรมและไม่เที่ยงธรรมตามคำกล่าวหาของพวกปุโรหิตที่ตะโกนโห่ร้องอยู่ ท่านหวังที่จะได้ความจริงจากพระองค์และหนีจากความวุ่นวายของฝูงชนจึงพาพระเยซูหลบไปอยู่ข้างๆ และถามอีกครั้งว่า "เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?" {DA 726.4}
พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามนี้โดยตรง พระองค์ทรงทราบดีว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปล้ำสู้กับปีลาตอยู่และพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ท่านยอมรับความมั่นใจของตนเอง "ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเอง" พระองค์ถาม "หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา? " หมายความว่า สิ่งที่กระตุ้นให้ปีลาตถามคำถามนี้คือข้อกล่าวหาของพวกปุโรหิตหรือคือความปรารถนาที่จะได้รับแสงสว่างจากพระคริสต์? ปีลาตเข้าใจถึงความหมายของพระคริสต์ แต่ความทะนงตนเกิดขึ้นในใจของท่าน ท่านจะไม่ยอมรับความเชื่อมั่นที่เร่งเร้าลงมายังท่าน “เราเป็นยิวหรือ?” เขาพูดขึ้น "ชนชาติของเจ้าเองและพวกหัวหน้าปุโรหิตมอบเจ้าไว้กับเรา เจ้าทำผิดอะไร? " {DA 726.5}
โอกาสทองของปีลาตผ่านไปแล้ว แต่กระนั้นพระเยซูไม่ได้ทรงปล่อยท่านไปโดยปราศจากการประทานแสงสว่างเพิ่มเติมมากขึ้น ในขณะที่พระองค์ไม่ได้ตอบคำถามของปีลาตโดยตรงแต่ได้ตรัสถึงพันธกิจของพระองค์เองอย่างชัดเจน พระองค์ทำให้ปีลาตเข้าใจว่าพระองค์ไม่ได้แสวงหาบัลลังก์ทางโลก {DA 727.1}
"‘ราชอำนาจของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้’” พระองค์ตรัส “’ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็คงจะต่อสู้ไม่ให้เราถูกมอบไว้ในมือของพวกยิว แต่ราชอำนาจของเราไม่ได้มาจากโลกนี้’ ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า ‘ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นกษัตริย์น่ะซี’ พระเยซูตรัสตอบว่า ‘ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ ทุกคนที่อยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา’” {DA 727.2}
พระคริสต์ทรงยืนยันว่าพระวจนะของพระองค์เองที่จะเป็นกุญแจที่ไขปริศนาให้แก่ผู้ที่พร้อมจะรับพระวจนะนี้ไว้ พระวจนะมีพลังแนะนำตนเองและนี่คือเคล็ดลับของการขยายอาณาจักรแห่งความจริงของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ปีลาตเข้าใจว่าโดยการรับและนำพระวจนะไปใช้กับตัวเองเท่านั้น ที่ท่านจะสร้างธรรมชาติที่พังทลายไปแล้วของตนให้กลับขึ้นมาใหม่ได้ {DA 727.3}
ปีลาตปรารถนาที่จะรู้ความจริง จิตใจของท่านสับสน ท่านกระตือรือร้นที่จะคว้าเอาพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดไว้และหัวใจของท่านก็ถูกปลุกขึ้นด้วยความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับรู้ว่าสัจจะคืออะไรและท่านจะรับไว้ได้อย่างไร “สัจจะคืออะไร?" ท่านถาม แต่ไม่ได้รอคำตอบ ความวุ่นวายข้างนอกทำให้ท่านนึกถึงสิ่งที่น่าสนใจของช่วงเวลานั้น พวกปุโรหิตต่างส่งเสียงโห่ร้องอลหม่านเรียกร้องการตัดสินทันที เมื่อออกไปหาชาวยิวแล้วท่านจึงประกาศอย่างหนักแน่นว่า "เราไม่เห็นว่าคนนั้นมีความผิด" {DA 727.4}
คำพูดเหล่านี้ที่ออกมาจากผู้พิพากษาที่เป็นคนนอกศาสนาเป็นการตำหนิอย่างเสียดสีต่อความไม่ซื่อสัตย์และความจอมปลอมของพวกผู้ปกครองของชนชาติอิสราเอลในการกล่าวหาพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อพวกปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากของปีลาต พวกเขาควบคุมความผิดหวังและความเดือดดาลไม่ได้ พวกเขาวางแผนและรอคอยโอกาสนี้มานาน เมื่อพวกเขามองเห็นโอกาสที่พระเยซูจะถูกปล่อย พวกเขาก็ดูราวกับพร้อมที่จะฉีกพระองค์ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเขาติเตียนปีลาตอย่างรุนแรง และขู่จะประณามท่านต่อหน้ารัฐบาลโรมัน พวกเขากล่าวหาท่านที่ปฏิเสธจะกำหนดโทษพระเยซูผู้ที่พวกเขายืนยันแล้วว่าได้ตั้งตัวขึ้นต่อสู้กับซีซาร์ {DA 727.5}
ขณะนี้เสียงโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น ประกาศว่าอิทธิพลในการปลุกระดมของพระเยซูเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งประเทศ พวกปุโรหิตกล่าวว่า "คนนี้ยุยงประชาชนให้วุ่นวายและสั่งสอนไปทั่วยูเดีย ตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่" {DA 728.1}
ในเวลานี้ปีลาตไม่คิดที่จะกำหนดโทษพระเยซู ท่านรู้ว่าชาวยิวกล่าวหาพระองค์ด้วยความเกลียดชังและอคติ ท่านรู้ว่าหน้าที่ของท่านคืออะไร ความยุติธรรมเรียกร้องให้ปล่อยพระคริสต์ไปทันที แต่ปีลาตกลัวความไม่ประสงค์ดีของประชาชน หากท่านปฏิเสธที่จะมอบพระเยซูให้ไปอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว ความโกลาหลก็จะเกิดขึ้นและนั่นเป็นสิ่งที่ท่านกลัวที่จะเผชิญ เมื่อท่านได้ยินว่าพระคริสต์มาจากแคว้นกาลิลี ท่านจึงตัดสินใจส่งพระองค์ไปยังเฮโรดผู้ปกครองมณฑลนั้นซึ่งขณะนั้นอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มพอดี โดยการปฏิบัติเช่นนี้ปีลาตคิดที่จะโอนความรับผิดชอบในการพิจารณาคดีจากตัวเองไปให้เฮโรด และยังคิดด้วยว่านี่เป็นโอกาสดีในการเยียวยาความขัดแย้งเก่าๆ ระหว่างตัวท่านเองกับเฮโรด และก็เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นจริงว่า ผู้พิพากษาทั้งสองกลับคืนเป็นมิตรกันภายหลังการพิพากษาพระผู้ช่วยให้รอด {DA 728.2}
ปีลาตมอบพระเยซูให้กับทหารอีกครั้งและพวกเขารีบนำพระองค์ไปที่ห้องพิพากษาของเฮโรดท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยและการดูถูกของฝูงชน “เมื่อเฮโรดเห็นพระเยซูก็ดีใจมาก” ท่านไม่เคยพบพระผู้ช่วยให้รอดมาก่อน แต่ "ท่านอยากจะพบพระองค์และหวังที่จะได้เห็นพระองค์ทำหมายสำคัญบ้าง” เฮโรดคนนี้คือผู้ที่มือเปื้อนด้วยเลือดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ในครั้งแรกที่เฮโรดได้ยินถึงพระเยซูนั้น ท่านรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากและกล่าวว่า "ยอห์นคนที่เราตัดศีรษะเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว" “เพราะเหตุนี้ท่านจึงทำการอัศจรรย์ได้” มาระโก 6 ข้อที่ 16 มัทธิว 14 ข้อที่ 2 แต่เฮโรดปรารถนาจะพบพระเยซู บัดนี้มีโอกาสที่จะช่วยชีวิตของศาสดาพยากรณ์คนนี้และกษัตริย์ก็หวังที่จะลบความทรงจำของหัวอาบเลือดที่ถูกส่งมาในถาดให้แก่ท่านนั้นออกไปจากสมองของท่านตลอดกาล ท่านยังปรารถนาที่จะสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง และคิดว่าหากพระคริสต์ได้รับการปลดปล่อยแล้ว พระองค์จะทรงทำทุกอย่างที่ขอจากพระองค์ {DA 728.3}
ปุโรหิตและผู้ปกครองกลุ่มใหญ่ร่วมเดินทางกับพระคริสต์ไปหาเฮโรด และเมื่อนำพระผู้ช่วยให้รอดเข้าไปแล้ว บุคคลสำคัญเหล่านี้พูดด้วยความตื่นเต้น กระหน่ำข้อกล่าวหาของพวกเขาใส่พระองค์ แต่เฮโรดใส่ใจกับข้อกล่าวหาของพวกเขาแค่เพียงเล็กน้อย ท่านสั่งพวกเขาให้เงียบ ด้วยหวังมีโอกาสซักถามพระคริสต์ ท่านสั่งให้ปลดโซ่ตรวนของพระคริสต์และในขณะเดียวกันก็กล่าวหาศัตรูของพระองค์ที่ปฏิบัติหยาบคายต่อพระองค์ ในขณะที่จ้องมองพระพักตร์อันสงบของพระผู้ไถ่ของโลกนั้นท่านอ่านพบแต่พระปัญญาและความบริสุทธิ์ ทั้งเฮโรดและปีลาตต่างรู้สึกมั่นใจว่าพระคริสต์ถูกกล่าวหาเนื่องจากความอาฆาตพยาบาทและความอิจฉา {DA 729.1}
เฮโรดไต่สวนพระคริสต์ด้วยคำพูดมากมาย แต่ตลอดเวลานั้น พระผู้ช่วยให้รอดยังคงนิ่งเงียบอย่างยากที่จะหยั่งถึง เมื่อกษัตริย์ตรัสพระบัญชา คนชราภาพและคนพิการก็ถูกนำเข้ามา และพระคริสต์ถูกสั่งให้พิสูจน์คำอ้างของพระองค์เองด้วยการทำอัศจารรย์ มีคนเล่าว่าเจ้ารักษาคนเจ็บป่วยได้ เฮโรดพูด เราอยากเห็นว่าชื่อเสียงโด่งดังของเจ้าไม่ใช่เรื่องโกหก พระเยซูไม่ทรงตอบ และเฮโรดก็ยังคงเร่งเร้าต่อไป หากเจ้าทำการอัศจรรย์เพื่อผู้อื่นได้ เจ้าก็จงทำการอัศจรรย์ในเวลานี้เพื่อผลดีของตัวเองและจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าเอง และอีกครั้งหนึ่งเฮโรดตรัสสั่ง จงแสดงหมายสำคัญที่จะบอกว่าเจ้ามีอำนาจตามที่ลือกันมาเกี่ยวกับตัวเจ้า แต่พระคริสต์ยังทรงแสดงออกราวกับไม่เห็นและไม่ได้ยิน พระบุตรของพระเจ้าทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาเป็นของพระองค์เอง พระองค์ต้องปฏิบัติแบบเดียวกับที่มนุษย์จะทำในสถานการณ์เดียวกัน ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยให้ตัวเองรอดจากความเจ็บปวดและความอัปยศอดสูที่มนุษย์ต้องทนแบกรับเมื่อตกอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกัน {DA 729.2}
เฮโรดสัญญาว่าหากพระคริสต์จะทำการอัศจรรย์ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านจะปล่อยพระองค์ไป บรรดาผู้กล่าวหาพระคริสต์เคยเห็นด้วยตาตนเองถึงพระราชกิจยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำด้วยอำนาจของพระองค์ พวกเขาเคยได้ยินพระองค์ทรงบัญชาให้หลุมศพปล่อยคนตายของมันออกมา พวกเขาเคยเห็นคนตายเดินก้าวออกมาตามพระสุรเสียงของพระองค์อย่างเชื่อฟัง ความกลัวครอบงำพวกเขาไว้เพราะพวกเขาหวั่นกลัวว่าในเวลานี้พระองค์จะประกอบการอัศจรรย์ ในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่พวกเขากลัวมากที่สุดคือการสำแดงอำนาจของพระองค์ การแสดงออกเช่นนี้จะพิสูจน์ให้เห็นถึงจุดจบของแผนการของพวกเขา และอาจทำให้พวกเขาสูญเสียชีวิตของพวกเขาเอง อีกครั้งหนึ่งที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเร่งเร้าคำกล่าวหาของพวกเขาใส่พระองค์ด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก พวกเขาประกาศด้วยระดับน้ำเสียงที่สูงขึ้นว่าพระองค์ทรงเป็นคนทรยศและคนหมิ่นประมาทพระเจ้า พระองค์ทรงประกอบการอัศจรรย์ด้วยอำนาจที่เบอัลเซบูลเจ้าชายแห่งพวกปีศาจให้มา ห้องโถงพิพากษากลายเป็นฉากแห่งความสับสน คนหนึ่งเรียกร้องสิ่งหนึ่งและอีกคนหนึ่งเรียกร้องในอีกสิ่งหนึ่ง {DA 729.3}
บัดนี้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเฮโรดมีความไวน้อยกว่าเมื่อครั้งที่ท่านสั่นสะท้านด้วยความสยดสยองต่อคำร้องขอของเฮโรเดียสเพื่อขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นระยะเวลาหนึ่งที่ท่านรู้สึกถึงความเศร้าเสียใจอย่างเจ็บปวดรุนแรงที่ได้ทำสิ่งที่น่ากลัวลงไป แต่การรับรู้ทางศีลธรรมของท่านเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากชีวิตมักมากในกามอย่างไร้ศีลธรรม ในเวลานี้หัวใจของท่านแข็งกระด้างมากจนกระทั่งกล้าโอ้อวดถึงการลงโทษที่ท่านได้กระทำต่อยอห์นที่กล้ามาตำหนิสั่งสอนท่าน และบัดนี้ท่านข่มขู่พระเยซูโดยประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าท่านมีอำนาจที่จะปลดปล่อยหรือตัดสินลงโทษพระองค์ได้ แต่ไม่มีสัญญาณใดจากพระเยซูที่บ่งบอกว่าพระองค์ทรงได้ยินแม้แต่คำเดียว {DA 730.1}
เฮโรดหงุดหงิดกับความเงียบนี้ซึ่งดูเหมือนจะบ่งบอกถึงความเฉยเมยต่ออำนาจของท่านอย่างเต็มที่ สำหรับกษัตริย์ที่ทะนงตนถือตัวและโอ้อวด การตำหนิอย่างเปิดเผยน่าจะทำให้โกรธน้อยกว่าการถูกเพิกเฉย ท่านข่มขู่พระเยซูอย่างโกรธเคืองอีกครั้ง แต่พระเยซูยังคงไม่หวาดหวั่นและยังคงนิ่งเงียบ {DA 730.2}
พันธกิจของพระคริสต์ในโลกนี้ไม่ใช่เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นที่ไร้สาระ พระองค์เสด็จมาเพื่อรักษาหัวใจที่แตกสลาย หากพระองค์จะต้องตรัสถ้อยคำใดเพื่อรักษาจิตวิญญาณที่ฟกช้ำซึ่งป่วยด้วยบาปได้ พระองค์จะไม่ทรงนิ่งเฉย แต่พระองค์ไม่ทรงมีพระดำรัสใดให้กับผู้ที่เหยียบย่ำความจริงด้วยเท้าอันไม่บริสุทธิ์ของพวกเขา {DA 730.3}
พระคริสต์น่าจะตรัสถ้อยคำใส่เฮโรดที่จะทิ่มแทงเข้าไปยังหูของกษัตริย์ผู้แข็งกระด้างองค์นี้ พระองค์น่าจะจู่โจมท่านให้กลัวและสั่นสะท้านด้วยการประจานต่อหน้าถึงความชั่วทั้งชีวิตของท่านและเปิดเผยความน่าสยดสยองของชะตากรรมของท่านที่กำลังใกล้เข้ามา แต่ความนิ่งเงียบของพระคริสต์เป็นการตำหนิที่ร้ายแรงที่สุดที่พระองค์ทรงจะประทานให้ได้ เฮโรดได้ปฏิเสธความจริงที่ผู้เผยพระวจนะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดได้บอกท่านแล้วและไม่มีข่าวสารใดที่ท่านจะรับได้อีก ไม่มีพระดำรัสแม้เพียงคำเดียวที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะมีให้แก่ท่าน พระกรรณที่คอยเปิดไว้รับฟังความทุกข์ยากนั้นไม่มีไว้ให้กับคำสั่งของเฮโรด พระเนตรที่คอยเฝ้ามองคนบาปที่กลับใจด้วยความรักอันสงสารและให้อภัยนั้นไม่ได้มีไว้ให้แก่เฮโรด ริมพระโอษฐ์ที่ตรัสความจริงอันน่าประทับใจที่สุดด้วยสำเนียงร้องเรียกอันอ่อนโยนที่สุดที่อ้อนวอนคนบาปหนาที่สุดและตกต่ำที่สุดถูกปิดไว้จากกษัตริย์โอหังผู้ไม่รู้สึกต้องการพระผู้ช่วยให้รอด {DA 730.4}
ใบหน้าของเฮโรดมืดลงด้วยกิเลสตัณหา ท่านหันหน้าไปทางฝูงชนและประณามว่าพระเยซูเป็นนักต้มตุ๋น และแล้วท่านพูดกับพระคริสต์ว่า หากเจ้าจะไม่ให้หลักฐานตามที่อ้างแล้ว เราจะมอบตัวเจ้าไว้ในมือของทหารและประชาชน พวกเขาอาจประสบความสำเร็จในการทำให้เจ้าพูดก็ได้ หากเจ้าเป็นนักต้มตุ๋นแล้ว เจ้าก็จะได้ความตายเป็นรางวัลตอบแทน หากเจ้าเป็นพระบุตรของพระองค์ ก็จงช่วยตัวเจ้าเองด้วยการทำการอัศจรรย์ {DA 730.5}
เฮโรดไม่ทันได้พูดจบ ฝูงชนจู่โจมเข้าหาพระคริสต์อย่างรวดเร็ว พวกเขาเข้าตะครุบใส่เหยื่อราวกับสัตว์ป่า พระเยซูถูกดึงไปทางนี้และทางโน้น เฮโรดเข้าร่วมกับฝูงชนลงมือทำให้พระบุตรของพระเจ้าเสียเกียรติ หากทหารชาวโรมันไม่ได้เข้าขวางและผลักดันฝูงชนบ้าคลั่งให้ถอยออกไปแล้วไซร้ พระผู้ช่วยให้รอดคงจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว {DA 731.1}
"เฮโรดกับพวกทหารของท่านก็ดูหมิ่นและเยาะเย้ยพระองค์ เมื่อเอาเสื้อผ้าที่สวยงามมาสวมให้พระองค์" พวกทหารโรมันเข้าร่วมในการกระทำทารุณกรรมนี้ด้วย ความโหดเหี้ยมทั้งหมดที่บรรดาทหารชั่วเสื่อมทรามภายใต้ความช่วยเหลือของเฮโรดและเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของชาวยิวสามารถยุยงได้นั้น พวกเขากระหน่ำใส่พระผู้ช่วยให้รอด แต่กระนั้นความอดทนแบบพระเจ้าของพระองค์ก็ไม่ล้มเหลว {DA 731.2}
หากผู้กดขี่ข่มเหงของพระคริสต์พยายามเปรียบพระลักษณะนิสัยของพระองค์ด้วยลักษณะอุปนิสัยของพวกตน พวกเขาถือว่าพระองค์ทรงชั่วช้าเช่นเดียวกับตัวพวกเขาเอง แต่ด้านหลังของภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ มีภาพฉากหนึ่งปรากฏแทรกขึ้นมา จะเป็นฉากภาพเหตุการณ์ที่เมื่อวันหนึ่งพวกเขาจะเห็นพระรัศมีภาพทั้งหมด มีบางคนตัวสั่นเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระคริสต์ ในขณะนี้ที่ฝูงชนหยาบโลนเกเรแสร้งก้มกราบอย่างเย้ยหยันต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์นั้น มีบางคนที่ก้าวออกมาเพื่อจะทำสิ่งนั้นกลับหันหลังกลับด้วยความรู้สึกกลัวและเงียบไป เฮโรดรู้สำนึกในเรื่องนี้ด้วย ลำแสงแห่งความเมตตาสุดท้ายส่องลงบนหัวใจที่แข็งกระด้างของท่าน ท่านรู้สึกว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะความเป็นพระเจ้าส่องผ่านความเป็นมนุษย์ ในขณะที่พระคริสต์ถูกคนเยาะเย้ย ถูกคนล่วงประเวณีและฆาตกรห้อมล้อมอยู่นั้น เฮโรดรู้สึกได้ว่าท่านกำลังเฝ้ามองพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ {DA 731.3}
แม้ใจจะแข็งกระด้างเพียงไรก็ตาม เฮโรดไม่กล้ารับรองการพิพากษากำหนดโทษพระคริสต์ ท่านหวังที่จะเอาตัวเองหลุดพ้นจากหน้าที่รับผิดชอบอันน่ากลัวนี้ จึงส่งพระเยซูกลับไปยังศาลพิพากษาของโรมัน {DA 731.4}
ปีลาตผิดหวังและไม่พอใจมากเมื่อชาวยิวกลับมาพร้อมกับนักโทษของพวกเขา ท่านถามด้วยความหงุดหงิดว่าพวกเขาต้องการให้ท่านทำอะไร ท่านเตือนสติพวกเขาว่าท่านได้ตรวจสอบพระเยซูแล้ว และไม่พบความผิดใดในพระองค์ ท่านบอกว่าพวกเขาเองเป็นผู้ที่เอาความผิดต่างๆ ใส่ให้พระองค์แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้สักข้อเดียว ท่านส่งพระเยซูไปยังเฮโรดเจ้าเมืองแคว้นกาลิลีซึ่งเป็นคนหนึ่งในชนชาติของพวกเขาเองแต่เฮโรดก็ไม่พบหลักฐานใดในตัวพระองค์ที่สมควรรับโทษความตายเช่นเดียวกัน "เพราะฉะนั้นหลังจากที่เราเฆี่ยนเขาแล้ว” ปีลาตพูด "เราก็จะปล่อยไป" {DA 731.5}
ในที่นี้ ปีลาตแสดงออกถึงจุดอ่อนของตนเอง ท่านลั่นวาจาประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ท่านก็เต็มใจให้พระองค์ถูกโบยตีเพื่อให้ผู้กล่าวหาพระองค์สงบ ท่านยอมสละความยุติธรรมและหลักการเพื่อประนีประนอมกับฝูงชน การนี้ทำให้ท่านเสียเปรียบ ฝูงชนสันนิษฐานได้ถึงความไม่มั่นใจของท่านและโห่ร้องมากยิ่งขึ้นเพื่อเอาชีวิตของนักโทษ ถ้าหากปีลาตยืนหยัดตั้งแต่แรกที่จะไม่ยอมกล่าวโทษชายคนหนึ่งที่ท่านพบว่าไม่มีความผิด ท่านก็จะทำลายโซ่ตรวนแห่งความเสียใจและสำนึกผิดที่จะผูกมัดท่านไปตลอดชีวิต หากท่านปฏิบัติตามจิตใต้สำนึกที่ถูกต้อง ชาวยิวจะไม่อาจบงการท่านได้ พระคริสต์จะต้องถูกนำไปประหารแต่ความผิดนั้นจะไม่ตกอยู่กับปีลาต แต่ปีลาตก้าวเข้าสู่การล่วงละเมิดจิตใต้สำนึกของตนเองก้าวแล้วก้าวเล่า ท่านมีข้ออ้างของตัวเองจากการตัดสินด้วยความยุติธรรมและความเสมอภาค และบัดนี้ท่านพบว่าตัวเองตกอยู่ในมือของพวกปุโรหิตและผู้ปกครองอย่างแทบจะช่วยตัวเองไม่ได้ ความลังเลและไม่แน่วแน่ของท่านพิสูจน์ให้เห็นถึงความพินาศของท่าน {DA 731.6}
แม้จนกระทั่งถึงเวลานี้ปีลาตก็ไม่ได้ถูกปล่อยให้ทำการอย่างมืดบอด มีข่าวสารจากพระเจ้าส่งมาเตือนท่านถึงสิ่งที่ท่านกำลังจะทำ เพื่อตอบคำอธิษฐานของพระคริสต์ มีทูตแห่งฟ้าสวรรค์องค์หนึ่งได้ไปเยี่ยมภรรยาของปีลาต และในฝันเธอได้เข้าเฝ้าพระผู้ช่วยให้รอดและสนทนากับพระองค์ ภรรยาของปีลาตไม่ใช่ชาวยิว แต่เมื่อเธอเฝ้ามองพระเยซูในความฝัน เธอไม่มีความสงสัยใดในพระลักษณะนิสัยหรือพันธกิจของพระองค์ เธอรู้จักพระองค์ในฐานะเจ้าชายของพระเจ้า เธอเห็นพระองค์ถูกพิพากษาในห้องโถงของศาลยุติธรรม เธอเห็นพระหัตถ์ที่ถูกมัดแน่นราวกับเป็นมือของอาชญากรคนหนึ่ง เธอเห็นเฮโรดและทหารของท่านทำกิจที่น่าหวาดกลัว เธอได้ยินพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและอาฆาตพยาบาทกล่าวหากันอย่างบ้าคลั่ง เธอได้ยินคำพูดที่ว่า "เรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย" เธอเห็นปีลาตมอบพระเยซูให้พวกเขาโบยตีหลังจากที่ท่านประกาศว่า "เราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย" เธอได้ยินปีลาตลั่นคำตัดสินลงโทษและเห็นท่านมอบพระคริสต์ให้กับพวกฆาตกรของพระองค์ เธอเห็นไม้กางเขนถูกชูขึ้นบนกลโกธา เธอเห็นความมืดห่อหุ้มโลกไว้และได้ยินเสียงร้องลึกลับว่า "สำเร็จแล้ว" ยังมีอีกฉากหนึ่งที่เผชิญหน้ากับสายตาของเธอ เธอเห็นพระคริสต์ประทับบนเมฆขาวขนาดใหญ่ในขณะที่โลกหมุนไปในห้วงอวกาศและพวกฆาตกรของพระองค์ก็หนีไปจากที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์ เธอตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอันสยดสยองและเขียนข้อความคำเตือนส่งไปให้ปีลาตทันที {DA 732.1}
ในขณะที่ปีลาตกำลังลังเลว่าควรทำอย่างไรอยู่นั้น มีผู้ส่งสารคนหนึ่งวิ่งแทรกผ่านฝูงชนและยื่นจดหมายจากภรรยาของท่านซึ่งเขียนไว้ว่า {DA 732.2}
"อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย เพราะว่าวันนี้ดิฉันไม่สบายใจมากเนื่องด้วยความฝันที่เกี่ยวกับคนนั้น" {DA 732.3}
หน้าของปีลาตซีดไป ท่านสับสนกับอารมณ์ของตนเองที่ขัดแย้งกัน แต่ในขณะที่ท่านกำลังประวิงเวลาที่จะทำหน้าที่อยู่นั้น พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองก็ยังคงทำให้จิตใจของประชาชนลุกเป็นไฟต่อไป ปีลาตถูกบังคับให้ลงมือปฏิบัติการ บัดนี้ตัวท่านเองคิดถึงธรรมเนียมซึ่งท่านจะนำมาใช้เพื่อปล่อยพระคริสต์ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงเทศกาลนี้ที่จะปล่อยนักโทษคนหนึ่งที่ประชาชนเลือก เป็นประเพณีที่คนนอกศาสนาคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมในการปฏิบัติ แต่เป็นสิ่งที่ชาวยิวถือว่ามีคุณค่าสูงส่ง ในเวลานี้อำนาจของโรมได้จับนักโทษคนหนึ่งที่ชื่อว่าบารับบัส นักโทษคนนี้ถูกตัดสินประหารชีวิต ชายคนนี้เคยอ้างว่าตนเป็นพระเมสสิยาห์ เขาอ้างว่ามีอำนาจจัดลำดับระเบียบที่ไม่เหมือนกับของคนอื่นเพื่อจัดการให้โลกไปในแนวทางที่ถูก ภายใต้การหลอกลวงของซาตานเขาอ้างว่าสิ่งที่เขาหามาได้จากการขโมยและการปล้นเป็นของเขา เขาทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมผ่านตัวแทนของซาตาน เขาได้ผู้ติดตามมากลุ่มหนึ่งและปลุกระดมให้ต่อต้านรัฐบาลโรมัน เขาเป็นผู้ร้ายที่แข็งกร้าวและทำไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงค่อนไปทางการก่อกบฏและความโหดร้ายภายใต้การอำพรางว่าคลั่งศาสนา ปีลาตคิดที่จะปลุกให้พวกเขาสำนึกถึงความยุติธรรมผ่านทางของการเลือกระหว่างชายคนนี้กับพระผู้ช่วยให้รอดผู้บริสุทธิ์ ท่านหวังให้พวกเขาเห็นใจพระเยซูเพื่อจะได้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงหันไปหาฝูงชนและพูดด้วยความจริงจังอย่างยิ่งว่า "พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยคนไหน บารับบัสหรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์? " {DA 733.1}
ดั่งเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่า คำตอบของฝูงชนดังมาว่า "ปล่อยบารับบัสให้เรา!" เสียงนั้นดังขึ้นและดังยิ่งขึ้นว่า บารับบัส! บารับบัส! ปีลาตคิดว่าประชาชนคงยังไม่เข้าใจคำถามของท่าน จึงถามอีกว่า "พวกท่านต้องการจะให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ? " แต่พวกเขาร้องอีกครั้งว่า "จงเอาคนนี้ไปจัดการ และปล่อยบารับบัสให้เรา"! “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?” ปีลาตถาม อีกครั้งฝูงชนที่พล่านไปมาแผดเสียงราวปีศาจ ตัวปีศาจเองในรูปมนุษย์กำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและจะคาดหวังสิ่งใดเหล่านอกจากคำตอบที่ว่า "ให้ตรึงที่กางเขน"? {DA 733.2}
ปีลาตเป็นทุกข์ ท่านไม่คาดคิดว่าจะมาถึงจุดนั้น ท่านกลัวที่จะส่งชายบริสุทธิ์พระองค์นี้ไปสู่ความตายอันน่าอัปยศอดสูและโหดเหี้ยมที่สุดที่เกิดขึ้นได้ หลังจากเสียงร้องคำรามสิ้นสุดลงแล้ว ท่านก็หันไปหาประชาชน พูดว่า "ตรึงทำไม? เขาทำผิดอะไร?" แต่คดีนี้ไปไกลเกินกว่าจะโต้แย้งได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่หลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ของพระคริสต์ที่พวกเขาต้องการ แต่ต้องการกำหนดโทษพระองค์ {DA 733.3}
ปีลาตยังคงพยายามที่จะช่วยพระองค์ให้รอด "ปีลาตจึงถามพวกเขาเป็นครั้งที่สามว่า ‘ตรึงทำไม? เขาทำผิดอะไร? เราไม่พบเหตุผลอะไรที่เขาสมควรจะตาย เพราะฉะนั้นหลังจากที่เราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยไป’" แต่การกล่าวถึงการปลดปล่อยพระองค์กลับทำให้ผู้คนบ้าคลั่งขึ้นไปอีกเป็นสิบเท่า "เอาไปตรึง เอาไปตรึงที่กางเขน" พวกเขาร้อง เป็นเสียงที่ดังขึ้นและดังยิ่งขึ้นไปอีกเนื่องจากความลังเลของปีลาตเป็นต้นเหตุ {DA 733.4}
พวกเขานำพระเยซูที่มีสภาพอ่อนกำลัง อิดโรยเหนื่อยอ่อนและทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลไปและโบยตีต่อหน้าฝูงชน "พวกทหารจึงนำพระองค์เข้าไปยังลานของราชสำนัก (คือกองบัญชาการปรีโทเรียม) แล้วเรียกพวกทหารทั้งกองมาประชุมกัน พวกเขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมให้พระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎมาสวมพระเศียรพระองค์ แล้วคำนับพระองค์กล่าวว่า ‘ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ!’ แล้วพวกเขา. . . .ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และคุกเข่าลงนมัสการพระองค์” ในบางครั้งบางคราวมีมือของคนชั่วไปกระชากไม้อ้อจากพระหัตถ์ของพระองค์และพวกเขาก็เอามงกุฎหนามอัดใส่พระกรรเจียก (ขมับ) ของพระองค์ และทำให้พระโลหิตไหลลงมาเป็นทางบนพระพักตร์และพระทาฐิกะ(เครา) ของพระองค์ {DA 734.1}
จงพิศวง โอ ฟ้าสวรรค์ เอ๋ย! จงตกตะลึง โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย! จงดูเถิด ผู้กดขี่และผู้ที่ถูกกดขี่ ฝูงชนบ้าคลั่งล้อมพระผู้ช่วยให้รอดของโลกไว้ การล้อเลียนและการเยาะเย้ยปนเปกับคำสบประมาทอันหยาบโลนของการหมิ่นประมาทพระเจ้า ฝูงชนสิ้นคิดนำการประสูติอันต่ำต้อยและชีวิตอันถ่อมตนของพระองค์ขึ้นมาวิจารณ์ พวกเขาเอาพระดำรัสของพระองค์ที่ว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั้นมาเย้ยหยัน และคำล้อเล่นหยาบคายและคำเยาะเย้ยเหยียดหยามเหล่านี้ถูกส่งต่อกันไปปากต่อปาก {DA 734.2}
ซาตานนำฝูงชนที่โหดเหี้ยมทำทารุณกรรมต่อพระผู้ช่วยให้รอด เป็นเป้าประสงค์ของมันที่จะยั่วยุให้พระองค์โต้กลับหากเป็นไปได้ หรือผลักดันให้พระองค์ทำการอัศจรรย์เพื่อปลดปล่อยตัวพระองค์เองและจะได้ยกเลิกแผนแห่งการไถ่ให้รอด รอยเปื้อนเดียวในชีวิตมนุษย์ของพระองค์ การล้มเหลวที่จะอดทนต่อการทดสอบอันเลวร้ายเพียงครั้งเดียวในฐานะมนุษย์ของพระองค์ แล้วพระเมษโปดกของพระเจ้าก็จะเป็นเครื่องบูชาที่ไม่สมบูรณ์และการไถ่มนุษย์ให้รอดก็จะล้มเหลว แต่พระองค์ผู้ทรงสามารถบัญชาชาวสวรรค์ให้มาช่วยพระองค์ได้คือพระองค์ผู้สามารถขับฝูงชนให้ถอยหนีด้วยความหวาดกลัวไปจากเบื้องพระเนตรของพระองค์โดยการส่องประกายความสง่างามแห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์ออกมานั้น กลับทรงยอมมอบตัวเองด้วยความสงบอย่างสมบูรณ์ต่อการดูถูกและการกระทำที่โหดเหี้ยมอย่างหยาบโลนที่สุด {DA 734.3}
ศัตรูของพระคริสต์เรียกร้องการอัศจรรย์เพื่อเป็นหลักฐานแสดงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พวกเขามีหลักฐานที่ยิ่งใหญ่กว่าหลักฐานอื่นใดๆ ที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน ในขณะที่ความโหดร้ายของพวกเขาทำให้ความเป็นมนุษย์ในตัวผู้ทรมานพระองค์ตกต่ำลงจนมีลักษณะเหมือนซาตานฉันใด ความอ่อนโยนและความอดทนนานของพระองค์ก็ได้ยกพระเยซูขึ้นเหนือความเป็นมนุษย์และพิสูจน์ถึงความเป็นเครือญาติที่พระองค์ทรงมีกับพระเจ้าเช่นเดียวกันฉันนั้น การน้อมตัวลงต่ำของพระองค์เป็นพันธสัญญาของการเชิดชูพระองค์ให้สูงขึ้น เป็นคำมั่นสัญญาถึงความสูงส่งของพระองค์ หยดพระโลหิตแห่งความระทมทุกข์จากพระกรรเจียกที่บาดเจ็บของพระองค์ไหลอาบพระพักตร์และพระทาฐิกะของพระองค์เป็นพันธสัญญาแห่งการเจิมด้วย “น้ำมันแห่งความยินดี” ฮีบรู 1 ข้อที่ 9 ในฐานะมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของเรา {DA 734.4}
ซาตานโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อมันเห็นว่าการทารุณกรรมที่กระหน่ำใส่พระผู้ช่วยให้รอดไม่อาจบีบบังคับคำบ่นใดให้ออกมาจากริมพระโอษฐ์ของพระองค์ได้ แม้พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็ได้รับการค้ำจุนไว้ด้วยความเข้มแข็งเหมือนกับพระเจ้า และพระองค์ไม่ทรงออกห่างไปจากพระประสงค์ของพระบิดาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย {DA 735.1}
เมื่อปีลาตปล่อยให้พวกเขาโบยตีและเย้ยหยันพระเยซูแล้ว ท่านคิดที่จะปลุกฝูงชนให้สงสารพระองค์ ท่านหวังว่าพวกเขาจะลงความเห็นกันว่านี่เป็นการลงโทษที่เพียงพอแล้ว ท่านคิดว่าแม้แต่ความอาฆาตพยาบาทของพวกปุโรหิตก็น่าจะได้รับความพึงพอใจแล้ว แต่ด้วยความเฉียบแหลม พวกยิวมองเห็นจุดอ่อนของการลงโทษชายคนหนึ่งที่ถูกประกาศว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขารู้ว่าปีลาตพยายามช่วยชีวิตของนักโทษ และพวกเขาตั้งใจไม่ปล่อยพระเยซู พวกเขาคิดต่อว่า ปีลาตโบยตีพระองค์เพื่อให้เราพอใจ และหากเราผลักดันต่อไปจนถึงประเด็นที่ตัดสินไว้แล้ว พวกเขาจะต้องได้รับตามความมุ่งหมายของตนอย่างแน่นอน {DA 735.2}
บัดนี้ปีลาตสั่งให้นำตัวบารับบัสเข้ามาในศาล จากนั้นท่านก็นำนักโทษทั้งสองมายืนเคียงข้างกัน และในขณะที่ชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอด ท่านพูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนอย่างเคร่งขรึมว่า “คนนี้ไงล่ะ” "นี่แน่ะ เราพาคนนี้ออกมามอบให้พวกท่าน เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าเราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย!" {DA 735.3}
พระบุตรของพระเจ้าประทับอยู่ที่นั่นสวมเสื้อคลุมแห่งความเย้ยหยันและมงกุฎหนาม เสื้อถูกกระชากขาดจนถึงเอว หลังของพระองค์มีรอยแผลอันโหดร้ายยาวเป็นทาง พระโลหิตไหลไม่หยุด พระพักตร์เปื้อนพระโลหิต และมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวด แต่ไม่เคยปรากฏว่างดงามมากกว่านี้มาก่อน หน้าตาของพระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้เสียโฉมเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู ทุกลักษณะหน้าตาแสดงออกถึงความอ่อนโยนและการยอมจำนนและความสงสารรักใคร่ที่ทรงมีต่อศัตรูผู้โหดเหี้ยมของพระองค์ ลักษณะท่าทางของพระองค์ไม่มีความอ่อนแอขี้ขลาด มีแต่ความเข้มแข็งและศักดิ์ศรีของความอดกลั้นที่ปราฏให้เห็น ส่วนนักโทษที่อยู่เคียงข้างพระองค์แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ทุกริ้วรอยบนใบหน้าของบารับบัสประกาศว่าเขาเป็นอันธพาลที่แข็งกร้าว ความแตกต่างบอกให้ทุกคนที่เฝ้ามองอยู่มองเห็น บางคนที่นั่นร้องไห้ ในขณะที่พวกเขามองไปทางพระเยซู หัวใจของพวกเขาเต็มล้นไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ แม้กระทั่งพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองก็ยังถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นตามที่พระองค์ทรงอ้างมาทั้งหมดว่าเป็น {DA 735.4}
ทหารโรมันที่ล้อมรอบพระคริสต์ไม่ได้ใจแข็งไปหมดทุกคน บางคนกำลังมองพระพักตร์พระองค์อย่างจริงจังเพื่อหาสักหลักฐานหนึ่งว่าพระองค์ทรงเป็นอาชญากรหรือบุคคลอันตราย พวกเขาหันไปมองบารับบัสเป็นครั้งคราวด้วยความเหยียดหยาม มันไม่จำเป็นต้องใช้เชาวน์ปัญญาอันลึกซึ้งเพื่ออ่านเขาออกได้อย่างชัดเจน และอีกครั้งพวกเขาก็จะหันกลับไปมองพระองค์ผู้ทรงถูกนำขึ้นศาลพิพากษา พวกเขามองไปยังพระผู้ทรงทนทุกข์ทรมานอยู่ด้วยความรู้สึกสงสารอย่างสุดซึ้ง การยอมจำนนอย่างเงียบๆ ของพระคริสต์เป็นภาพประทับลงบนความคิดของพวกเขา ซึ่งไม่มีวันถูกลบออกไปจนกว่าพวกเขาจะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์หรือโดยการปฏิเสธพระองค์ซึ่งจะเป็นการตัดสินชะตากรรมของตนเอง {DA 735.5}
ปีลาตเต็มไปด้วยความประหลาดใจในความอดทนโดยไม่บ่นของพระผู้ช่วยให้รอด ท่านไม่สงสัยเลยว่าภาพของชายผู้ทรงเป็นพระเจ้าองค์นี้ที่ซึ่งแตกต่างจากบารับบัสจะทำให้ชาวยิวเห็นใจได้ แต่ท่านไม่เข้าใจความเกลียดชังอย่างบ้าคลั่งของพวกปุโรหิตที่มีต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นแสงสว่างของโลกผู้ได้เปิดเผยความมืดและความผิดของพวกเขา พวกเขาเร้าให้ฝูงชนโกรธเกรี้ยว และพวกปุโรหิต พวกผู้ปกครองและประชาชนต่างส่งเสียงร้องที่น่ากลัวขึ้นมาอีกครั้งว่า "เอาไปตรึง เอาไปตรึงที่กางเขน" ในที่สุดเมื่อหมดความอดทนกับความโหดร้ายอันไร้เหตุผลของพวกเขา ปีลาตก็ร้องออกมาอย่างสิ้นหวังว่า "พวกท่านจงพาเขาไปตรึงเอาเอง เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย" {DA 736.1}
ผู้ว่าราชการจังหวัดชาวโรมัน แม้จะคุ้นเคยกับฉากที่โหดเหี้ยม แต่ก็รู้สึกเห็นใจนักโทษที่ต้องทนทุกข์ทรมานพระองค์นี้ซึ่งถึงแม้จะถูกตัดสินโทษและโบยตีจนมีพระโลหิตอาบหน้าผากและหลังเต็มไปด้วยแผลฉีกขาดแต่ยังคงความภูมิฐานของพระราชาผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์ พวกปุโรหิตประกาศว่า "เรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย เพราะเขาตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า" {DA 736.2}
ปีลาตสะดุ้งตกใจกลัว ท่านไม่มีแนวคิดที่เกี่ยวกับพระคริสต์และพันธกิจของพระองค์อย่างถูกต้อง แต่ท่านมีความเชื่อที่คลุมเครือเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์ ความคิดหนึ่งที่ในอดีตเคยผ่านใจของท่านนั้นบัดนี้ได้ก่อตัวเป็นรูปร่างที่ชัดเจนมากขึ้น ท่านสงสัยขึ้นมาว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าองค์หนึ่งประทับอยู่เบื้องหน้าท่านทรงสวมเสื้อคลุมสีม่วงแห่งความเย้ยหยันและสวมมงกุฎหนาม {DA 736.3}
อีกครั้งหนึ่งท่านเดินเข้าไปในห้องพิพากษาและพูดกับพระเยซูว่า "เจ้ามาจากไหน? " แต่พระเยซูไม่ประทานคำตอบให้แก่ท่าน พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับปีลาตอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ทรงอธิบายถึงพันธกิจของพระองค์เองในฐานะพยานแห่งความจริง ปีลาตละเลยแสงสว่างนั้น ท่านใช้ตำแหน่งสูงส่งของการพิพากษาไปในทางที่ผิดด้วยการยอมทิ้งหลักการและมอบอำนาจของท่านให้กับคำเรียกร้องของฝูงชน พระเยซูไม่ทรงมีแสงสว่างเพิ่มเติมให้ท่านอีกแล้ว ปีลาตขุ่นเคืองในความเงียบของพระองค์จึงพูดอย่างยโสถือตัวว่า {DA 736.4}
"เจ้าจะไม่พูดกับเราหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะปล่อยเจ้า และมีอำนาจที่จะตรึงเจ้าที่กางเขนได้?" {DA 736.5}
พระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านจะไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรานอกจากจะประทานแก่ท่านจากเบื้องบน เพราะเหตุนี้คนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดมากกว่าท่าน" {DA 736.6}
ด้วยประการฉะนี้ ทั้งๆ ที่อยู่ในความทุกข์ทรมานและความเศร้าโศกอย่างแสนสาหัส พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาได้ประทานข้อแก้ตัวให้แก่การกระทำของผู้ปกครองชาวโรมันที่ปล่อยพระองค์ให้ไปถูกตรึงกางเขน ช่างเป็นฉากอะไรเช่นนี้ที่ส่งต่อให้กับโลกไปตลอดกาลทุกยุค! ช่างเป็นแสงสว่างอะไรเช่นนี้ที่ส่องลงมายังพระลักษณะนิสัยของพระองค์พระผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของแผ่นดินโลกทั้งหมด! {DA 736.7}
"คนที่มอบเราไว้กับท่าน" พระเยซูตรัส "จึงมีความผิดมากกว่าท่าน" ในพระดำรัสนี้ พระคริสต์ทรงหมายถึงคายาฟาสซึ่งในตำแหน่งมหาปุโรหิตนับเป็นตัวแทนของชนชาติยิว พวกเขารู้หลักการในการควบคุมเจ้าหน้าที่ชาวโรมัน พวกเขามีแสงสว่างจากคำพยากรณ์รวมถึงในคำสอนและการอัศจรรย์ของพระองค์เองที่เป็นพยานถึงพระคริสต์ ผู้พิพากษาชาวยิวได้รับหลักฐานที่ชัดเจนอย่างไม่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าของพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขากำหนดพิพากษาให้ประหารชีวิต และพวกเขาจะถูกตัดสินตามความสว่างที่พวกเขาได้รับ {DA 737.1}
ความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและอย่างรุนแรงที่สุดเป็นของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของประเทศ ความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ที่ฝากไว้นั้น พวกเขากำลังทรยศไปอย่างต่ำช้า เมื่อเปรียบเทียบแล้วทั้งปีลาต เฮโรดและทหารโรมันแทบจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเยซู พวกเขาคิดเอาใจพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองด้วยการทารุณข่มเหงพระองค์ พวกเขาไม่มีแสงสว่างที่ชนชาติยิวได้รับอย่างล้นเหลือ หากแสงสว่างนี้ได้ทรงโปรดประทานให้แก่พวกทหารแล้ว พวกเขาก็คงจะไม่ปฏิบัติต่อพระคริสต์ด้วยความโหดเหี้ยมอย่างที่พวกเขาได้ทำ {DA 737.2}
อีกครั้งหนึ่งปีลาตเสนอให้ปล่อยพระผู้ช่วยให้รอด “แต่พวกยิวร้องอื้ออึงว่า ‘ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์’” จากข้อความข้างต้นคนหน้าซื่อใจคดเหล่านี้แสร้งทำเป็นหวงแหนอำนาจของซีซาร์ ในบรรดาคู่ต่อสู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของโรมนั้น ชาวยิวจัดเป็นพวกที่ขมขื่นที่สุด ถ้าสิ่งที่ทำปลอดภัยต่อตนเอง พวกเขาก็จะบังคับใช้ข้อกำหนดของชาติและของศาสนาตนเองอย่างเผด็จการที่สุด แต่เมื่อพวกเขาปรารถนาจะทำสิ่งที่โหดร้าย พวกเขาก็จะยกชูอำนาจของซีซาร์ขึ้น ดังนั้นเพื่อจะทำลายพระคริสต์ พวกเขาจึงแสดงความภักดีต่อการปกครองของชาวต่างชาติที่พวกเขาเกลียดชัง {DA 737.3}
"ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์" พวกเขาพูดต่อ "ก็ต่อต้านซีซาร์" คำพูดเช่นนี้โดนจุดอ่อนของปีลาต รัฐบาลโรมจับตาสงสัยตัวท่านอยู่และท่านรู้ดีว่ารายงานเช่นนี้จะทำลายท่าน ท่านรู้ว่าถ้าชาวยิวถูกขัดขวาง ความโกรธแค้นของพวกเขาจะหันมาที่ตัวท่าน พวกเขาจะไม่ปล่อยสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาจะทำได้เพื่อแก้แค้นให้สำเร็จ อยู่เบื้องหน้าของท่านมีตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตของพระเจ้าองค์นี้ผู้ซึ่งพวกเขาเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล {DA 737.4}
จากนั้นปีลาตขึ้นนั่งบัลลังก์พิพากษาและท่านนำเสนอพระเยซูแก่ประชาชนอีกครั้งว่า "ดูเถิด นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย!" TKJV อีกครั้งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นมาว่า "เอามันไป เอามันไป เอาไปตรึงที่กางเขน" จากเสียงที่ได้ยินทั้งไกลและใกล้ ปีลาตถามว่า "จะให้เราตรึงกษัตริย์ของพวกท่านหรือ?" แต่มีคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากที่หมิ่นเหยียดหยามและหมิ่นประมาทพระเจ้าว่า "เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์" {DA 737.5}
ด้วยการเลือกผู้ปกครองนอกศาสนาเช่นนี้ ชนชาติยิวจึงถอนตัวออกไปจากระบบการปกครองที่ยึดถือพระเจ้า พวกเขาไม่ให้พระเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีผู้ช่วยกู้ให้รอด พวกเขาไม่มีกษัตริย์นอกจากซีซาร์ พวกปุโรหิตและพวกอาจารย์ได้นำประชาชนมาถึงจุดนี้ พวกเขาจึงต้องรับผิดชอบผลลัพธ์อันน่ากลัวที่ตามมา บาปของประเทศและความพินาศของประเทศสืบเนื่องมาจากบรรดาผู้นำทางศาสนา {DA 737.6}
“เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การ มีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ท่านจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน แล้วกล่าวว่า ‘เราไม่มีความผิดเรื่องความตายของคนนี้ พวกเจ้าต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด’” ปีลาตมองดูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความกลัวและกล่าวโทษตนเอง จากท่ามกลางใบหน้าจำนวนมหาศาลที่มองมาด้านหน้า มีเพียงพระพักตร์ของพระองค์เท่านั้นที่สงบนิ่ง ดูราวกับมีแสงนวลส่องอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์ ปีลาตบอกกับใจตนเองว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์หนึ่ง ท่านหันไปยังฝูงชนและประกาศว่า เราไม่มีความผิดในเรื่องโลหิตของเขา เอาเขาไปและตรึงเขาบนกางเขน แต่พวกท่านปุโรหิตและผู้ปกครองทั้งหลาย จงจดจำไว้ว่าเราตัดสินว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์ไม่มีความผิด ขอให้พระบิดาของเขาตามที่เขาอ้างถึงนั้นพิพากษาพวกเจ้าและไม่ลงโทษเราสำหรับงานที่เราทำในวันนี้ แล้วท่านพูดกับพระเยซูว่า โปรดให้อภัยการกระทำของเราด้วย เราช่วยเจ้าไม่ได้ และเมื่อท่านโบยตีพระเยซูอีกครั้ง ท่านก็มอบพระองค์ให้แก่พวกเขาเอาไปตรึงกางเขน {DA 738.1}
ปีลาตปรารถนาที่จะปล่อยพระเยซู แต่ก็มองเห็นว่าเขาทำเช่นนี้พร้อมกับยังคงรักษาตำแหน่งและเกียรติยศของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ แทนที่จะยอมสูญเสียอำนาจทางโลก ท่านเลือกที่จะสังเวยชีวิตบริสุทธิ์ไร้ความผิด มีสักกี่คนที่ต้องการหนีให้พ้นจากการสูญเสียหรือความทุกข์ทรมานโดยการยอมสังเวยหลักการเช่นเดียวกัน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและหน้าที่ชี้ไปยังเส้นทางหนึ่ง แต่ผลประโยชน์ส่วนตนชี้ไปยังอีกทางหนึ่ง กระแสกระหน่ำอย่างแรงไปยังทิศทางที่ผิด แล้วผู้ที่ประนีประนอมกับความชั่วก็จะถูกกวาดไปยังความรู้สึกผิดที่มืดมนที่สุด {DA 738.2}
ปีลาตยอมทำตามข้อเรียกร้องของฝูงชน แทนที่จะเสี่ยงต่อการสูญเสียตำแหน่ง ท่านกลับมอบพระเยซูให้ไปตรึงกางเขน แต่ถึงแม้ท่านจะเฝ้าระวังป้องกันไว้แล้ว สิ่งที่ท่านหวาดกลัวก็มาถึงตัวท่านในเวลาต่อมา เกียรติยศของท่านถูกปลด ท่านถูกขับออกจากตำแหน่งสูงศักดิ์และจมปลักอยู่ในความสำนึกผิดและสูญเสียความภาคภูมิใจ ไม่นานหลังจากการตรึงกางเขน ท่านก็จบชีวิตของตัวเอง ดังนั้นทุกคนที่ประนีประนอมกับบาปจะได้รับแต่ความเศร้าโศกและความพินาศ "มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก แต่ปลายทางคือความมรณา" สุภาษิต 14 ข้อที่ 12 {DA 738.3}
เมื่อปีลาตประกาศว่าตัวเองไม่มีความผิดเรื่องพระโลหิตของพระคริสต์นั้น คายาฟาสตอบอย่างหมิ่นประมาทว่า "ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา" พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองรับถ้อยคำอันน่าสยดสยองนี้ไว้และฝูงชนขานรับไว้ด้วยเสียงโห่ร้องที่ไร้มนุษยธรรม ฝูงชนทั้งหมดตอบและพูดว่า "ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา" {DA 738.4}
ชนชาติอิสราเอลได้ตัดสินใจเลือกแล้ว พวกเขาชี้ไปทางพระเยซูและพูดว่า "อย่าปล่อยคนนี้ แต่ให้ปล่อยบารับบัส" บารับบัสเป็นโจรและฆาตกรที่เป็นตัวแทนของซาตาน พระคริสต์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้า พวกเขาปฏิเสธพระคริสต์ และได้เลือกเอาบารับบัส พวกเขาต้องการบารับบัส ด้วยการเลือกเช่นนี้พวกเขายอมรับผู้ที่เป็นเจ้าแห่งการมุสาและเป็นฆาตกรตั้งแต่แรกเริ่ม ซาตานเป็นผู้นำของพวกเขา ในฐานะประเทศพวกเขาจะทำตามคำสั่งของมัน งานของมันพวกเขาจะทำ การปกครองของมันพวกเขาต้องยอมทนรับ ประชาชนที่เลือกบารับบัสแทนที่จะเลือกพระคริสต์จะรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยมของบารับบัสจนถึงสิ้นยุค {DA 738.5}
ในขณะที่ชาวยิวเพ่งมองไปยังพระเมษโปดกของพระเจ้าที่ทรงถูกเฆี่ยนอย่างบาดเจ็บ พวกเขาร้องขึ้นมาว่า "ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา" เสียงร้องอันน่าสยองขวัญดังขึ้นไปถึงพระบัลลังก์ของพระเจ้า ประโยคนั้นซึ่งประกาศตัดสินตัวพวกเขาเองได้ถูกจารึกไว้บนสวรรค์ คำอธิษฐานนั้นทรงได้ยินแล้ว พระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้าตกอยู่บนลูกๆ ของพวกเขาและลูกของลูกของพวกเขาและเป็นคำสาปที่สืบเนื่องต่อๆ ไป {DA 739.1}
สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงอย่างน่ากลัวในขณะที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย ความน่ากลัวสยองขวัญปรากฏให้เห็นในสภาพของชนชาติยิวเป็นระยะเวลานานถึงหนึ่งพันแปดร้อยปี พวกขเป็นกิ่งหนึ่งที่ถูกตัดออกจากเถาองุ่น เป็นกิ่งตายกิ่งหนึ่งที่ไม่เกิดผลซึ่งถูกรวบรวมและถูกเผาทิ้ง จากดินแดนหนึ่งไปสู่อีกดินแดนหนึ่งทั่วโลก จากศตวรรษหนึ่งไปสู่อีกศตวรรษหนึ่ง นั่นคือตาย และตายโดยการละเมิดและการบาปทั้งหลาย! {DA 739.2}
คำอธิษฐานนั้นจะสำเร็จเป็นจริงอย่างน่าสยดสยองในวันแห่งการพิพากษาอันยิ่งใหญ่ เมื่อพระคริสต์จะเสด็จมายังโลกใบนี้อีกครั้ง มนุษย์จะไม่เห็นพระองค์ในฐานะนักโทษที่ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงชนบ้าคลั่ง พวกเขาจะมองเห็นพระองค์ในฐานะพระราชาแห่งสวรรค์ พระคริสต์จะเสด็จมาด้วยพระสิริของพระองค์เอง ด้วยพระสิริของพระบิดาของพระองค์และด้วยรัศมีของทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ ทูตสวรรค์มากมายนับแสนล้านและบรรดาบุตรผู้สวยงามและมีชัยของพระเจ้าซึ่งมีความน่ารักและสง่าราศีอันเลิศล้ำจะร่วมเดินทางกับพระองค์ไปตามทางของพระองค์ จากนั้นพระองค์จะประทับบนบัลลังก์แห่งพระสิริของพระองค์ และทุกชาติจะถูกรวบรวมมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ แล้วนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์รวมถึงคนทั้งหลายที่แทงพระองค์ด้วย แทนมงกุฎหนาม พระองค์จะทรงสวมมงกุฎแห่งพระสิริซึ่งเป็นมงกุฎซ้อนอยู่ในมงกุฎ แทนเสื้อคลุมพระราชาสีม่วง พระองค์จะสวมฉลองพระองค์สีขาวที่สุดที่ "ไม่มีช่างฟอกผ้าคนใดในโลกจะฟอกให้ขาวอย่างนั้นได้" มาระโก 9 ข้อที่ 3 และบนฉลองพระองค์และบนต้นพระอูรุของพระองค์จะมีพระนามจารึกไว้ว่า "กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย" วิวรณ์ 19 ข้อที่ 16 ผู้ที่เยาะเย้ยและตีพระองค์จะอยู่ที่นั่น บรรดาปุโรหิตและผู้ปกครองจะเห็นฉากในห้องโถงพิพากษาอีกครั้ง ทุกสถานการณ์จะปรากฏต่อหน้าพวกเขาราวกับถูกเขียนด้วยอักษรไฟ แล้วคนเหล่านั้นที่อธิษฐานว่า "ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา” จะได้รับคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของพวกเขา เมื่อนั้นคนทั้งโลกจะรู้และเข้าใจ พวกเขาจะตระหนักว่าพวกเขาที่เป็นมนุษย์ที่น่าสมเพศ อ่อนปวกเปียก และต้องตายกำลังต่อสู้กับใครและต่อสู้กับอะไร พวกเขาจะร้องเรียกภูเขาและโขดหินด้วยความระทมทุกข์และความสยดสยองอย่างยิ่งว่า "จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และจากพระพิโรธของพระเมษโปดก เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และใครจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เล่า?" วิวรณ์ 6 ข้อที่ 16, 17 {DA 739.3}
***********