บทที่ 34

คำเชิญ

บทนี้อ้างอิงจากมัทธิว 11 ข้อที่ 28-30


"บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก" {DA 328.1}                    

พระเยซูตรัสพระดำรัสแห่งการปลอบโยนเหล่านี้กับมหาชนที่ติดตามพระองค์  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้แล้วว่าโดยทางพระองค์เท่านั้นที่มนุษย์จะรับความรู้เรื่องพระเจ้าได้  พระองค์ตรัสถึงสาวกของพระองค์ว่าเป็นผู้ที่ได้รับมอบความรู้เรื่องสวรรค์ที่ทรงโปรดประทานมาให้  แต่พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ใครรู้สึกว่าตัวเองถูกปิดกั้นจากการดูแลและความรักของพระองค์  ทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักให้เข้ามาหาพระองค์ได้  {DA 328.2}               

พวกอาลักษณ์และธรรมาจารย์ที่มีการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ยังรู้สึกขาดบางสิ่งที่พิธีกรรมแห่งการชดใช้บาปไม่อาจได้ให้ความพึงพอใจ  พวกคนเก็บภาษีและคนบาปอาจแสร้งทำเป็นพอใจกับราคะและการฝักใฝ่ทางโลก แต่ในใจของพวกเขามีความไม่ไว้วางใจและความกลัว  พระเยซูทอดพระเนตรคนที่ทุกข์ใจและแบกภาระหนัก คนที่ความหวังพังทลาย และคนที่กำลังใช้ความสุขทางโลกเพียงเพื่อจะทำให้ความปรารถนาของจิตใจสงบลง และพระองค์ทรงเชิญทุกคนให้แสวงหาการหยุดพักในพระองค์  {DA 328.3}                     

พระองค์ทรงบอกประชาชนที่ตรากตรำเหน็ดเหนื่อยด้วยความอ่อนโยนว่า "จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก"  {DA 328.4}                

ด้วยพระดำรัสเหล่านี้พระคริสต์ตรัสกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ ทุกคนเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก ทุกสิ่งทับถมลงใส่พวกเขาด้วยภาระที่พระคริสต์ทรงยกออกไปได้  ภาระหนักที่สุดที่เราแบกไว้คือภาระของบาป  ถ้าปล่อยให้เราแบกรับภาระนี้มันก็จะบดขยี้เรา  แต่พระองค์ผู้ทรงไร้บาปทรงเข้ามารับบาปนั้นแทนเราแล้ว  "พระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาปของเราทุกคนลงบนตัวท่าน" อิสยาห์ 53 ข้อที่ 6  พระองค์ทรงแบกรับภาระความผิดของเรา  พระองค์จะรับภาระจากไหล่ที่อ่อนล้าของเราและจะมอบการพักผ่อนให้แก่เรา  พระองค์จะทรงแบกภาระของความกังวลและความทุกข์โศกไว้ด้วย  พระองค์ทรงเชิญชวนให้เราวางภาระทั้งหมดของเราไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงอุ้มเราไว้ในพระหทัยของพระองค์  {DA 328.5}                   

พระเจ้าพระเชษฐาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ประทับบนบัลลังก์นิรันดร์  พระองค์ทอดพระเนตรจิตวิญญาณทุกดวงที่หันหน้าเข้าหาพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงทราบจากประสบการณ์ว่าจุดอ่อนของมนุษยชาติคืออะไร ความต้องการของเราคืออะไรและจุดแข็งของการทดลองของเราอยู่ที่ไหน  เพราะพระองค์ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป   ลูกของพระเจ้าที่กำลังกลัวจนตัวสั่นเอ๋ย พระองค์ทรงเฝ้ามองคุณอยู่  คุณถูกทดลองใจหรือไม่? พระองค์จะทรงช่วยคุณให้หลุดพ้น คุณอ่อนกำลังหรือ? พระองค์ทรงทำให้เข้มแข็งได้ คุณไม่มีความรู้หรือ? พระองค์จะทรงทำให้รู้แจ้ง คุณบาดเจ็บหรือ?  พระองค์ทรงรักษาได้  พระเจ้า "ทรงนับจำนวนดาว" และยัง "ทรงรักษาคนที่ใจแตกสลาย และทรงพันแผลให้เขา"  สดุดี 147 ข้อที่ 4, 3  "จงมาหาเรา"  เป็นพระดำรัสเชิญของพระองค์  ไม่ว่าความวิตกกังวลและการทดลองของคุณจะเป็นเช่นไร จงเอาปัญหาของคุณไปกางไว้ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์  วิญญาณจิตของคุณจะถูกเสริมไว้ด้วยความแข็งแกร่ง  หนทางจะถูกเปิดออกเพื่อให้คุณได้ปลดเปลื้องตัวเองออกจากความลำบากใจและความยากลำบาก   ยิ่งเมื่อคุณรู้ว่าตนเองอ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่าใด คุณก็จะยิ่งเข้มแข็งในพระกำลังของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  ภาระของคุณยิ่งหนัก คุณก็จะยิ่งได้พระพรแห่งการพักมากขึ้นเมื่อคุณมอบถวายภาระไว้กับพระเจ้าผู้ทรงแบกภาระของคุณไว้  การพักผ่อนที่พระคริสต์ทรงเสนอให้นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไข แต่เงื่อนไขเหล่านี้ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้ว เป็นเงื่อนไขที่ทุกคนปฏิบัติตามได้ พระองค์ตรัสบอกเราแล้วว่าจะพบการพักผ่อนในพระองค์ได้อย่างไร  {DA 329.1}                               

จงเอาแอกของเราแบกไว้” พระเยซูตรัส  แอกเป็นเครื่องมือเพื่อการทำงาน  เราเอาโคสวมแอกเพื่อใช้ให้มันทำงาน  และแอกเป็นเครื่องมือจำเป็นเพื่อช่วยให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ด้วยการใช้ภาพอธิบายนี้พระคริสต์สอนพวกเราว่า เราได้รับการทรงเรียกให้รับใช้ตราบเท่าที่ยังคงมีชีวิตอยู่  เราต้องรับแอกของพระองค์เพื่อพวกเราจะเป็นเพื่อนร่วมงานกับพระองค์ {DA 329.2}              

แอกที่ผูกมัดไว้กับการทำงานรับใช้คือพระบัญญัติของพระเจ้า  บัญญัติยิ่งใหญ่แห่งรักที่เปิดเผยในสวนเอเดนและที่ประกาศจากภูเขาซีนายและที่ในพันธสัญญาใหม่ได้ถูกจารึกไว้ในใจคือสิ่งที่ผูกมัดคนงานมนุษย์ไว้กับพระประสงค์ของพระเจ้า  หากพวกเราถูกปล่อยให้ทำตามความโน้มเอียงของตนเองและไปตามที่ความต้องการของเราชักนำไปแล้ว เราก็จะตกเข้าไปในฝั่งของซาตานและกลายเป็นผู้ครอบครองคุณลักษณะของมัน  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงตีกรอบเราไว้ให้อยู่กับน้ำพระทัยของพระองค์ซึ่งสูงส่ง ประเสริฐและยกชูเราให้สูงขึ้น  พระองค์ทรงประสงค์ให้เรารับหน้าที่แห่งการรับใช้อย่างอดทนและชาญฉลาด  แอกแห่งการรับใช้นี้พระคริสต์เองก็ทรงแบกไว้ในขณะที่ทรงดำรงเป็นมนุษย์อยู่  พระองค์ตรัสว่า "ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์”  สดุดี 40 ข้อที่  8 "เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา"  ยอห์น 6 ข้อที่ 38  ความรักที่มีต่อพระเจ้า ความกระตือรือร้นเพื่อพระสิริของพระองค์ และความรักที่มีต่อมนุษยชาติที่ล้มลงในบาปได้นำพระเยซูมายังโลกเพื่อทนทุกข์และสิ้นพระชนม์  นี่คือพลังควบคุมชีวิตของพระองค์  พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรานำหลักการนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน  {DA 329.3}                     

หัวใจของคนมากมายกำลังเจ็บปวดรวดร้าวภายใต้ภาระแห่งความกังวลเพราะพวกเขาพยายามไปให้ถึงมาตรฐานของโลก  พวกเขาเลือกใช้มาตรฐาน ยอมรับความสับสนอลหม่านของมันและรับธรรมเนียมของโลก  ด้วยเหตุนี้ลักษณะอุปนิสัยของพวกเขาจึงเปรอะเปื้อนและชีวิตของพวกเขาก็เหนื่อยล้า  เพื่อตอบสนองต่อความทะเยอทะยานและความปรารถนาทางโลกพวกเขาจึงได้ทำลายความรู้สึกผิดชอบและเพิ่มภาระแห่งความสำนึกผิดให้แก่ตัวเอง  ความกังวลอย่างต่อเนื่องได้บั่นทอนพลังชีวิตให้หมดไป  พระเจ้าของเราทรงปรารถนาให้พวกเขาละทิ้งแอกแห่งความเป็นทาสนี้  พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเขายอมรับแอกของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า "แอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”  พระองค์ทรงเชิญให้พวกเขาแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระสัญญาของพระองค์คือทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาในชีวิตนี้จะได้รับการเพิ่มเติมให้  ความกังวลทำให้ตาบอดและมองไม่เห็นอนาคต แต่พระเยซูทรงมองเห็นจุดจบตั้งแต่เริ่มต้น ในทุกๆ ความทุกข์ยากลำบาก พระองค์ทรงเตรียมหนทางเพื่อบรรเทาทุกข์  พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงจัดเตรียมหนทางมากมายให้เราโดยที่เราไม่รู้  บรรดาผู้ที่ยอมรับหลักการเดียวที่สำคัญที่สุดคือการรับใช้และการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นสิ่งที่สูงสุดจะพบว่าความสับสนอลหม่านอันตรธานหายไปและหนทางเรียบง่ายปรากฏอยู่เบื้องหน้าเท้าของพวกเขา  {DA 330.1}                   

"เรียนจากเรา”  พระเยซูตรัส "เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก"  เราต้องเข้าเรียนในโรงเรียนของพระคริสต์เพื่อรับบทเรียนแห่งความอ่อนโยนและความสุภาพของพระองค์  การไถ่บาปคือกระบวนการที่จิตวิญญาณได้รับการฝึกฝนเพื่อสวรรค์  การฝึกอบรมนี้หมายถึงความรู้เรื่องพระคริสต์  ซึ่งหมายถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากแนวคิด นิสัยและการปฏิบัติที่ได้รับจากโรงเรียนของเจ้าชายแห่งความมืด  จะต้องช่วยจิตวิญญาณให้หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความภักดีในพระเจ้า {DA 330.2}             

ในพระหทัยของพระคริสต์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบนั้น มีสันติสุขที่สมบูรณ์แบบ  การปรบมือแสดงความชื่นชมไม่เคยทำให้พระองค์ปีติยินดีหรือคำตำหนิหรือความผิดหวังไม่เคยทำให้พระองค์เศร้าสลดพระทัย  ท่ามกลางการต่อต้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมที่สุด พระองค์ยังทรงกล้าหาญ  แต่หลายคนที่แสดงตนว่าเป็นผู้ติดตามของพระองค์กลับมีจิตใจที่ห่วงกังวลและทุกข์ใจเพราะพวกเขากลัวที่จะวางใจในพระเจ้า  พวกเขาไม่ยอมจำนนอย่างหมดสิ้นต่อพระองค์ เพราะพวกเขากลัวผลที่จะตามมาจากการยอมจำนนนี้  หากพวกเขาไม่ยอมจำนนเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่มีทางพบความสงบสุขได้  {DA 330.3}                 

การรักตนเองนำความไม่สงบสุขมาให้  เมื่อเราบังเกิดจากเบื้องบน จิตใจแบบเดียวกับที่อยู่ในพระเยซูจะอยู่ในตัวเรา เป็นจิตใจที่ชักนำพระองค์ให้ถ่อมพระองค์เองลงเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้ได้รับความรอด  แล้วเราก็จะไม่แสวงหาตำแหน่งสูงสุด  เราจะปรารถนาที่จะนั่งแทบพระบาทของพระเยซูและเรียนจากพระองค์  เราจะเข้าใจว่าคุณค่างานของเราไม่ได้ประกอบด้วยการโอ้อวดและการส่งเสียงดังในโลกและทำตัวขยันขันแข็งและกระตือรือร้นด้วยกำลังของเราเอง คุณค่างานของเราเป็นสัดส่วนโดยตรงกับการหลั่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ความไว้วางใจในพระเจ้านำมาซึ่งคุณลักษณะของจิตใจที่บริสุทธิ์มากขึ้นเพื่อที่โดยความอดทนเราจะได้ครอบครองจิตวิญญาณของเรา  {DA 330.4}        

แอกที่วางไว้บนโคก็ใช้เพื่อช่วยให้มันลากสัมภาระและทำให้ภาระเบา  แอกของพระคริสต์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน  เมื่อความตั้งใจของเราและพระประสงค์ของพระเจ้ากลมกลืนกันจนแยกกันไม่ออกและเราใช้ของประทานของพระองค์เพื่อให้เป็นพระพรแก่ผู้อื่นแล้ว เราจะพบว่าภาระของชีวิตจะเบา  ผู้ที่ดำเนินชีวิตไปในทางของพระบัญญัติของพระเจ้าจะร่วมดำเนินไปกับพระคริสต์ และในความรักของพระองค์หัวใจก็จะได้พัก  เมื่อโมเสสอธิษฐานว่า "ขอโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์”  พระเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก"  และข่าวสารที่ผ่านมาทางผู้เผยพระวจนะคือ "จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้น ว่าทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น และให้จิตใจของเจ้าได้ความสงบ" อพยพ 33 ข้อที่ 13, 14  เยเรมีย์ 6 ข้อที่ 16  และพระองค์ตรัสว่า "ถ้าเจ้าเชื่อฟังบัญญัติของเราแล้วความสมบูรณ์พูนสุขของเจ้าจะเป็นเหมือนแม่น้ำ และความชอบธรรมของเจ้าจะเหมือนคลื่นทะเล" อิสยาห์ 48 ข้อที่ 18  {DA 331.1}

ผู้ที่ยอมรับพระคริสต์ตามพระวจนะของพระองค์และยอมจำนนถวายจิตวิญญาณของตนให้พระองค์เก็บถนอมรักษาไว้และถวายชีวิตของพวกเขาให้เป็นตามพระบัญชาของพระเจ้าแล้ว จะได้พบสันติสุขและความสงบ  ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้พวกเขาเศร้าสลดได้เมื่อพระเยซูทรงทำให้พวกเขาปีติยินดีจากการที่พระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย  ในการยอมรับอย่างสมบูรณ์แบบจะมีสันติสุขที่สมบูรณ์แบบ  พระเจ้าตรัสว่า "พระองค์จะทรงพิทักษ์ผู้มีใจแน่วแน่ไว้ในสวัสดิภาพที่สมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์"  อิสยาห์ 26 ข้อที่ 3 ชีวิตของเราอาจดูยุ่งเหยิง แต่ในขณะที่เรามอบถวายตัวเองให้กับพระเจ้าผู้ทรงประกอบกิจ พระองค์จะทรงนำเอารูปแบบชีวิตและลักษณะอุปนิสัยที่จะเป็นไปตามพระสิริของพระองค์เองออกมา  และลักษณะอุปนิสัยนั้นที่แสดงออกถึงพระสิรินั้นซึ่งก็คือลักษณะนิสัยของพระคริสต์จะได้รับการต้อนรับเข้าไปสู่พระอุทยานของพระเจ้า เผ่าพันธุ์ที่ปรับปรุงใหม่แล้วในชุดสีขาวจะร่วมเดินไปกับพระองค์เพราะพวกเขานั้นคู่ควร  {DA 331.2}            

เมื่อเราเข้าสู่การพักผ่อนโดยทางพระเยซู สวรรค์ก็ได้เริ่มต้นในโลกนี้แล้ว  เราตอบสนองคำเชิญของพระองค์ที่ว่า เชิญมาเรียนจากเรา และด้วยการมาเช่นนี้เราก็ได้เริ่มต้นชีวิตนิรันดร์  สวรรค์คือการเข้าใกล้พระเจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยผ่านทางพระคริสต์  ยิ่งเราอยู่ในสวรรค์แห่งความสุขนานขึ้นเท่าไร พระสิริก็จะเปิดออกให้พวกเรามากยิ่งขึ้นเท่านั้น  และยิ่งเราได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร ความสุขของเราจะยิ่งท่วมท้นขึ้นเท่านั้น  ในขณะที่เราดำเนินไปกับพระเยซูในชีวิตนี้ ความรักของพระองค์และความรู้สึกพึงพอใจกับการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์จะเติมเราให้เต็ม  สิ่งของทั้งหมดที่ธรรมชาติของมนุษย์สามารถจะรับได้ พวกเราจะรับได้ที่นี่  แต่สิ่งเหล่านี้จะเปรียบกับสิ่งที่จะรับในภายภาคหน้าได้หรือ?  ที่นั่น "เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืนและพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงคุ้มครองพวกเขา พวกเขาจะไม่หิวหรือกระหายอีกเลย ดวงอาทิตย์และความร้อนจะไม่แผดเผาเขาอีกต่อไป  เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูพวกเขา และจะทรงนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิตและพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย" วิวรณ์ 7 ข้อที่ 15-17  {DA 331.3}               

**********