บทที่30

“พระองค์จึงทรงตั้งสาวกสิบสองคน”

บทนี้อ้างอิงจาก มาระโก 3 ข้อที่ 13-19; ลูกา6 ข้อที่ 12-16


“แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขา และพอพระทัยจะเรียกผู้ใด พระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้น แล้วเขาได้มาหาพระองค์  พระองค์จึงทรงตั้งสาวกสิบสองคนไว้ให้พวกเขาอยู่กับพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงใช้เขาไปประกาศ  และให้มีอำนาจรักษาโรคต่างๆและขับผีออกได้”  {DA 290.2}                    

ณ บริเวณใต้ร่มต้นไม้เชิงเนินเขาห่างจากทะเลสาบกาลิลีเพียงเล็กน้อย พระเยซูทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคนและประทานคำเทศนาบนภูเขาที่นี่ด้วย  พระองค์ทรงชื่นชอบที่จะพักผ่อนในท้องทุ่งและบนเนินเขาและคำสอนส่วนใหญ่ของพระองค์ก็ประทานภายใต้ท้องฟ้าที่เปิดกว้างมากกว่าในพระวิหารหรือธรรมศาลา  ไม่มีธรรมศาลาแห่งใดใหญ่พอเพื่อรองรับฝูงชนที่ติดตามพระองค์ แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุนี้เท่านั้นที่พระองค์ทรงเลือกสอนในท้องทุ่งและป่าละเมาะ พระเยซูทรงชื่นชอบทิวทัศน์ของธรรมชาติ  สำหรับพระองค์แล้วที่พักเงียบสงบแต่ละที่เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์  {DA 290.2}                

มนุษย์สองคนแรกที่อาศัยอยู่บนโลกเลือกใต้ต้นไม้ในสวนเอเดนเป็นวิหารสถานของตน  ที่นั่นพระคริสต์ทรงสื่อกับบิดาของมวลมนุษยชาติ  เมื่อพวกเขาถูกขับออกจากสวนแห่งสวรรค์ พ่อแม่คู่แรกของเรายังคงนมัสการตามท้องทุ่งและป่าละเมาะ และที่นั่นพระคริสต์ทรงพบกับพวกเขาพร้อมด้วยพระกิตติคุณแห่งพระคุณของพระองค์  พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ตรัสกับอับราฮัมใต้ต้นโอ๊คที่มัมเร ตรัสกับอิสอัคในขณะที่เขาออกไปอธิษฐานในทุ่งนาช่วงเย็น ตรัสกับยาโคบบนเนินเขาที่บ้านเบธเอล  กับโมเสสท่ามกลางภูเขามีเดียน และกับเด็กชายเดวิดในขณะเฝ้าฝูงแกะของเขา  เป็นเวลานานถึงสิบห้าศตวรรษภายใต้พระบัญชาของพระคริสต์ที่ทุกปีชาวฮีบรูเดินทางออกจากบ้านหนึ่งสัปดาห์และเข้าพักอาศัยในเพิงที่สร้างจากกิ่งก้านใบเขียว "จากต้นมะงั่ว ใบอินทผลัม กิ่งไม้ที่มีใบมาก กิ่งต้นหลิวแห่งธารน้ำ”  เลวีนิติ 23 ข้อที่ 40. {DA 290.3}           

ในการฝึกอบรมสาวกของพระองค์นั้น พระเยซูทรงเลือกสถานที่ห่างไกลออกไปจากความสับสนของเมือง ไปยังความเงียบสงบของท้องทุ่งและเนินเขา เพื่อให้สอดคล้องกับบทเรียนเรื่องการปฏิเสธตนได้มากยิ่งขึ้นตามที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสอนพวกเขา  และในระหว่างพันธกิจ พระองค์ทรงชื่นชอบที่จะรวบรวมผู้คนให้มาล้อมอยู่รอบพระองค์ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม นั่งอยู่บนพื้นหญ้าของเนินเขาหรือบนชายหาดข้างทะเลสาบ  ณ ที่นี่ซึ่งรายล้อมด้วยผลงานแห่งการทรงสร้างของพระองค์เอง พระองค์ทรงเปลี่ยนความคิดของผู้ฟังจากสิ่งประดิษฐ์ให้ไปหาสิ่งที่เป็นธรรมชาติได้  การเติบโตและการพัฒนาของธรรมชาติเปิดเผยหลักการของอาณาจักรของพระองค์   ในขณะที่มนุษย์เงยหน้าขึ้นมองเนินเขาของพระเจ้าและเห็นพระราชกิจแห่งการทรงสร้างอันยอดเยี่ยมจากพระหัตถ์ของพระองค์ พวกเขาได้รับบทเรียนอันล้ำค่าแห่งความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ คำสอนของพระคริสต์ถูกกล่าวเน้นย้ำผ่านทางสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ  ทุกคนที่เข้าไปในท้องทุ่งโดยมีพระคริสต์อยู่ในใจก็จะเป็นเช่นนี้  พวกเขาจะรู้สึกถึงอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมอยู่รอบตัวพวกเขา  สิ่งต่างๆ ในธรรมชาติให้บทเรียนอุปมาของพระเจ้าของเรา และกล่าวซ้ำถึงคำปรึกษาของพระองค์ โดยการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าในธรรมชาติ ความคิดจะถูกยกชูให้สูงขึ้นและจิตใจจะได้พัก  {DA 291.1}             

บัดนี้ได้เวลาแล้วที่จะต้องเริ่มลงมือจัดตั้งคริสตจักรเพื่อว่าเมื่อพระคริสต์เสด็จจากไปแล้วคริสตจักรจะเป็นตัวแทนของพระองค์บนแผ่นดินโลก  ไม่มีพระนิเวศราคาแพงให้พวกเขาใช้ แต่พระผู้ช่วยให้รอดทรงนำสาวกของพระองค์ไปยังที่สงบที่พระองค์ทรงชื่นชอบและในความคิดของพวกเขาประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ในวันนั้นถูกเชื่อมโยงกับความงามของภูเขาและหุบเขาและทะเลไปตลอดกาล  {DA 291.2}

พระเยซูทรงเรียกสาวกของพระองค์เพื่อบัญชาให้พวกเขาออกไปเป็นพยานของพระองค์เพื่อประกาศให้โลกรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้ฟังเกี่ยวกับพระองค์ หน้าที่การงานของพวกเขามีความสำคัญที่สุดที่มนุษย์คนใดเคยได้รับเรียกให้ทำและมีความสำคัญรองมาจากพระราชกิจของพระคริสต์เท่านั้น  พวกเขาต้องเป็นคนงานร่วมกับพระเจ้าเพื่อช่วยโลกให้รอด  ดั่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาเดิมบรรพชนสิบสองตระกูลเป็นตัวแทนของชนชาติอิสราเอล อัครสาวกสิบสองคนจะยืนขึ้นมาเป็นตัวแทนของคริสตจักรแห่งกิตติคุณข่าวประเสริฐ  {DA 291.3}                     

พระผู้ช่วยให้รอดทรงทราบลักษณะอุปนิสัยของคนที่พระองค์ทรงเลือก  ความอ่อนแอและข้อผิดพลาดทั้งหมดของพวกเขาถูกเปิดไว้อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงเข้าใจภัยอันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญ ความรับผิดชอบที่จะต้องแบก และพระหทัยของพระองค์ถวิลหาพวกเขาที่ได้รับการทรงเลือกเหล่านี้  พระองค์อยู่ตามลำพังบนภูเขาใกล้ทะเลสาบกาลิลีอธิษฐานตลอดคืนเผื่อพวกเขาในขณะที่พวกเขานอนหลับอยู่ตรงเชิงเขา  ด้วยแสงแรกของรุ่งอรุณพระองค์ทรงเรียกพวกเขาให้มาเฝ้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงมีเรื่องสำคัญที่จะตรัสกับพวกเขา  {DA 291.4}                  

สาวกเหล่านี้เข้าร่วมสัมพันธ์กับพระเยซูในการรับใช้อย่างแข็งขันมาระยะหนึ่งแล้ว  ยอห์นและยากอบ อันดรูว์และเปโตรกับฟีลิป นาธานาเอลและมัทธิวสนิทกับพระองค์มากกว่าคนอื่น และเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์มามาก  เปโตร ยากอบและยอห์นมีความสัมพันธ์ชิดใกล้สนิทสนมกับพระองค์อยู่ตลอดเวลามากกว่าคนอื่นๆ  เป็นพยานเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์และฟังพระดำรัสของพระองค์  ยอห์นใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูกว่าคนอื่นจนมีความโดดเด่นในฐานะผู้ที่พระเยซูทรงรัก  พระผู้ช่วยให้รอดทรงรักพวกเขาทุกคน แต่ยอห์นมีจิตวิญญาณที่เปิดรับกว้างที่สุด  เขาอายุน้อยกว่าคนอื่นๆ และด้วยความไว้วางใจแบบเด็กเล็กๆ เขาเปิดหัวใจให้กับพระเยซู  ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความเห็นอกเห็นใจกับพระคริสต์มากและคำสอนฝ่ายจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของพระผู้ช่วยให้รอดจึงส่งผ่านเขาไปยังประชากรของพระองค์  {DA 292.1}              

ตรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มหนึ่งของการแบ่งอัครสาวกนั้น ชื่อของฟีลิปปรากฎขึ้นมาอย่างโดดเด่น  เขาเป็นสาวกคนแรกที่พระเยซูตรัสพระบัญชาอย่างชัดเจนว่า "ตามเรามา"  ฟีลิปมาจากเบธไซดาซึ่งเป็นเมืองของอันดรูว์และเปโตร  เขาฟังคำเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมาและได้ยินการประกาศของเขาว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า  ฟีลิปแสวงหาความจริงด้วยความจริงใจ แต่เขาก็เชื่อด้วยความเชื่องช้า  แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมกับพระคริสต์แล้ว แต่คำที่เขาฝากบอกต่อไปให้นาธานาเอลแสดงออกให้เห็นว่าเขามีความไม่เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแม้ว่าพระสุรเสียงจากสวรรค์จะประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแล้วก็ตาม สำหรับฟีลิปแล้วพระองค์คือ "พระเยซูชาวนาซาเร็ธบุตรชายโยเซฟ" ยอห์น 1 ข้อที่ 45  อีกครั้งหนึ่งฟีลิปก็ได้แสดงออกให้เห็นถึงการขาดความเชื่อเมื่อคราวเลี้ยงฝูงชนห้าพันคน พระเยซูทรงประสงค์ทดสอบเขาด้วยการถามว่า "เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้"  คำตอบของฟีลิปแสดงออกถึงความไม่เชื่อ ข้อที่  "สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย" ยอห์น 6 ข้อที่ 5, 7  พระเยซูทรงโศกเศร้า  แม้ว่าฟีลิปเคยเห็นพระราชกิจของพระองค์และรู้สึกได้ถึงอำนาจของพระองค์แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีความเชื่อ  เมื่อชาวกรีกสอบถามฟีลิปเรื่องของพระเยซู เขาไม่ได้ฉวยโอกาสแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับพระผู้ช่วยให้รอด  แต่เขาไปบอกอันดรูว์  อีกครั้งหนึ่งในช่วงไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายก่อนการตรึงกางเขนคำพูดของฟีลิปมีลักษณะที่บั่นทอนความเชื่อ “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?”  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสตอบว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต. . . .ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” ฟีลิปตอบด้วยความไม่เชื่อว่า "ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว”  ยอห์น 14 ข้อที่ 5-8  ใจที่เชื่องช้า อ่อนแอในความเชื่อเช่นนี้คือสาวกที่อยู่กับพระเยซูมานานถึงสามปี  {DA 292.2}             

ด้วยความสุข ให้เรามาเปรียบเทียบความไม่เชื่อของฟีลิปที่แตกต่างจากความไว้วางใจอย่างไร้เดียงสาของนาธานาเอล  นาธานาเอลเป็นชายที่มีลักษณะความจริงใจอย่างมาก มีความเชื่อที่ยืดมั่นในความเป็นจริงที่มองไม่เห็น  แต่ถึงกระนั้นฟีลิปเป็นนักเรียนในโรงเรียนของพระคริสต์และพระอาจารย์ก็ทรงอดทนกับความไม่เชื่อและความเชื่องช้าของเขา  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหลั่งลงมายังสาวก ฟีลิปกลายเป็นครูตามแนวทางของพระเจ้า  เขาทราบดีว่าเขาต้องพูดอะไรและเขาสอนด้วยความมั่นใจที่ทำให้ผู้ที่ฟังแล้วเกิดความเชื่อมั่น  {DA 293.1}             

ในขณะที่พระเยซูทรงเตรียมสถาปนาแต่งตั้งสาวกอยู่นั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้รับการทรงเรียก  เขาผลักดันตนเองให้เข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วย  เขาคนนั้นคือยูดาส อิสคาริโอก  ชายผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์  บัดนี้เขาก้าวเข้ามาอยู่แนวหน้าเรียกร้องให้ตนมีตำแหน่งอยู่วงในของสาวก  ด้วยความจริงจังและการแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดถึงความจริงใจเขาประกาศว่า  “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”  พระเยซูไม่ทรงขับไล่ใสส่งเขาไปหรือแม้ต้อนรับเขา แต่พระองค์ตรัสพระดำรัสอันน่าเศร้าใจว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ"  มัทธิว 8 ข้อที่ 19, 20  ยูดาสเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ และด้วยการเข้าร่วมกับอัครสาวกเขาหวังว่าจะได้รับตำแหน่งสูงในอาณาจักรใหม่  พระเยซูทรงวางแผนที่จะตัดความหวังนี้ทิ้งไปด้วยพระดำรัสที่กล่าวถึงความยากจนของพระองค์  {DA 293.2}          

สาวกทั้งหลายร้อนใจอยากได้ยูดาสเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในจำพวกเขาทั้งหลาย  เขามีรูปร่างหน้าตาที่เห็นว่าเป็นผู้มีอำนาจ เป็นคนฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถบริหารและพวกเขายกชูยูดาสให้กับพระเยซูว่าเป็นผู้ที่จะช่วยพระองค์อย่งมากในงานของพระองค์ พวกเขาประหลาดใจที่พระเยซูทรงต้อนรับเขาด้วยความเย็นชา  {DA 294.1}              

สาวกผิดหวังอย่างมากยิ่งเมื่อพระเยซูไม่ทรงพยายามหาทางร่วมมือกับผู้นำของชนชาติอิสราเอล  พวกเขารู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่เสริมความแข็งแกร่งในพระราชกิจของพระองค์โดยรับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลเหล่านี้  หากพระองค์ทรงปฏิเสธยูดาสพวกเขาคงก็คงจะสงสัยในพระปัญญาของพระอาจารย์  ประวัติศาสตร์ในช่วงปลายของยูดาสจะแสดงให้พวกเขาเห็นถึงภัยอันตรายของการยอมให้ความคิดเห็นทางโลกมีน้ำหนักตัดสินความเหมาะสมของมนุษย์เพื่อรับใช้พระราชกิจของพระเจ้า  การร่วมมือกับคนเช่นนี้ตามที่สาวกต่างต้องการเป็นการทรยศให้พระราชกิจตกอยู่ในมือของศัตรูที่เลวร้ายที่สุด {DA 294.2}                    

ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อยูดาสเข้าร่วมกับสาวกเขาก็ไม่ใช่ไม่ตระหนักได้ถึงความงดงามของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์เลย  เขารู้สึกถึงอิทธิพลของอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงชักนำจิตวิญญาณให้เข้ามาหาพระผู้ช่วยให้รอด  พระผู้ไม่หักไม้อ้อที่ช้ำแล้วและไม่ดับไส้ตะเกียงรีบหรี่นั้นจะไม่ขับไล่ใสส่งจิตวิญญาณนี้ไปแม้มีเพียงความปรารถนาเดียวที่มุ่งเข้าหาแสงสว่าง  พระผู้ช่วยให้รอดทรงอ่านใจของยูดาส พระองค์หยั่งได้ถึงส่วนลึกของความชั่วช้าซึ่งยูดาสจะจมลงหากไม่ได้รับพระคุณของพระเจ้า  ด้วยการเชื่อมโยงชายคนนี้ให้เข้ากับพระองค์เอง พระองค์ทรงจัดวางเขาไปไว้ในที่ที่เขาสัมผัสกับความรักที่หลั่งออกมาอย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ในทุกวัน  หากเขาเปิดใจให้กับพระคริสต์พระคุณของพระเจ้าจะขับไล่ปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัวและแม้แต่ยูดาสก็จะกลายมาเป็นประชากรคนหนึ่งในอาณาจักรของพระเจ้า  {DA 294.3}             

พระเจ้าทรงรับมนุษย์ในสภาพที่พวกเขาเป็นอยู่โดยมีส่วนประกอบของความเป็นมนุษย์อยู่ในลักษณะอุปนิสัยของพวกเขาและฝึกฝนพวกเขาเพื่อทำงานรับใช้พระองค์ หากพวกเขาจะยอมฝึกวินัยและเรียนรู้จากพระองค์  พวกเขาไม่ได้รับเลือกเพราะพวกเขาเป็นคนสมบูรณ์แบบ แม้พวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตามโดยอาศัยความรู้และการปฏิบัติตามความจริง โดยพระคุณของพระคริสต์พวกเขาก็ยังจะเปลี่ยนให้เป็นไปตามพระฉายาของพระองค์ได้  {DA 294.4}             

ยูดาสมีโอกาสเช่นเดียวกันกับสาวกคนอื่นๆ  เขาฟังบทเรียนล้ำค่าอันเดียวกัน  แต่การปฏิบัติตามความจริงซึ่งพระคริสต์ทรงกำหนดนั้นขัดแย้งกับความปรารถนาและจุดประสงค์ของยูดาส และเขาจะไม่ยอมจำนนความคิดของเขาเพื่อรับปัญญาจากพระเจ้าแห่งสวรรค์  {DA 294.5}     

พระผู้ช่วยให้รอดทรงปฏิบัติอย่างอ่อนโยนต่อผู้ที่จะทรยศพระองค์เพียงใด!  ในคำสอนของพระเยซู พระองค์อาศัยหลักธรรมแห่งความเมตตากรุณาจู่โจมเข้าไปถึงรากเง้าของความโลภ พระองค์ทรงนำเสนอลักษณะอันชั่วร้ายของความโลภต่อยูดาสและบ่อยครั้งสาวกคนนี้ตระหนักว่าลักษณะอุปนิสัยของเขาถูกตีแผ่ออกให้คนอื่นเห็นและบาปของเขาถูกเปิดเผย แต่เขาก็ไม่ยอมสารภาพและละทิ้งความอธรรมของเขา  เขาพึ่งพาตัวเอง และแทนที่จะต้านการล่อลวง เขากลับยังคงดำเนินการอันหลอกลวงฉ้อฉลของเขาต่อไป  พระคริสต์ทรงอยู่ตรงเบื้องหน้าเขา ทรงเป็นแบบอย่างที่มีชีวิตของรูปแบบที่เขาจะเป็นหากเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้จากการไกล่เกลี่ยและพันธกิจของพระเจ้า แต่ไม่มีการตอบสนองใดเกิดขึ้นจากบทเรียนแล้วบทเรียนเล่าที่ตกใส่หูของยูดาส  {DA 295.1}             

พระเยซูมิทรงตำหนิความโลภของเขาอย่างรุนแรง แต่ด้วยความอดทนนานของพระเจ้า พระองค์ทรงทนกับผู้หลงผิดคนนี้ แม้ยังประทานหลักฐานว่าพระองค์ทรงอ่านใจเขาได้เหมือนหนังสือที่กางออก  พระองค์ทรงนำเสนอสิ่งจูงใจที่สูงที่สุดแก่เขาเพื่อให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและด้วยการปฏิเสธแสงสว่างของพระเจ้าแห่งสวรรค์ยูดาสจะไม่มีข้อแก้ตัวใดเลย  {DA 295.2}             

แทนที่จะเดินในความสว่าง ยูดาสเลือกที่จะคงเก็บรักษาข้อบกพร่องของตนไว้  ความปรารถนาชั่ว ตัณหาอาฆาตแค้น ความคิดชั่วร้ายและบูดบึ้งถูกถนอมเก็บไว้จนซาตานควบคุมชายคนนี้ได้อย่างเต็มที่  ยูดาสจึงกลายเป็นตัวแทนของศัตรูของพระคริสต์  {DA 295.3}                    

เมื่อเขาเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับพระเยซู เขามีลักษณะอุปนิสัยอันล้ำค่าบางประการที่น่าจะเป็นพระพรต่อคริสตจักร  หากเขาเต็มใจที่จะสวมแอกของพระคริสต์ เขาอาจอยู่ในท่ามกลางบรรดาหัวหน้าอัครสาวก แต่เขากลับทำใจแข็งกระด้างเมื่อข้อบกพร่องถูกเปิดโปง และในความทะนงตนและใจทรยศเขาเลือกความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง และด้วยเหตุนี้เขาจึงทำตัวเองให้เป็นคนไม่เหมาะกับงานที่พระเจ้าจะประทานให้เขาทำ  {DA 295.4}                    

สาวกทุกคนมีความบกพร่องอย่างร้ายแรงเมื่อพระเยซูทรงเรียกพวกเขาให้เข้ามารับใช้ร่วมกับพระองค์  แม้แต่ยอห์นซึ่งมีความสนิทสนมอันใกล้ชิดกับพระองค์ผู้ทรงอ่อนโยนและต่ำต้อยก็ไม่ได้เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนและยอมจำนนมาแต่กำเนิด  เขาและพี่ชายถูกตั้งสมญานามว่า "ลูกฟ้าร้อง"  ในขณะที่พวกเขาอยู่กับพระเยซู เมื่อมีใครสักคนดูแคลนพระองค์ พวกเขาจะแสดงออกอย่างขุ่นเคืองและโต้ตอบ  อารมณ์ชั่ว อาฆาตแค้น นิสัยตำหนิติเตียนมีในสาวกที่พระองค์ทรงรัก  เขาเป็นคนหยิ่งและทะเยอทะยานใฝ่สูงที่จะเป็นคนแรกในอาณาจักรของพระเจ้า  แต่วันแล้ววันเล่า ด้วยการเปรียบเทียบวิญญาณรุนแรงของตัวเขาเอง เขาเฝ้ามองและเห็นความอ่อนโยนและความอดทนอดกลั้นของพระเยซูและได้ยินบทเรียนเรื่องความถ่อมตนและความอดทนนาน  เขาเปิดใจรับอิทธิพลของพระเจ้าและไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟัง แต่เป็นผู้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอด  ตัวตนของเขาถูกเก็บซ่อนไว้ในพระคริสต์  เขาเรียนรู้ที่จะสวมแอกของพระคริสต์และแบกรับภาระของพระองค์  {DA 295.5}                      

พระเยซูทรงว่ากล่าวสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงเตือนและประทานคำตักเตือนให้แก่พวกเขา แต่ยอห์นและพี่ชายไม่ละทิ้งพระองค์ไป พวกเขาเลือกพระเยซูแม้ถูกตำหนิก็ตาม  พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงปล่อยพวกเขาไปเพราะความอ่อนแอและความผิดพลาด  พวกเขาดำเนินต่อไปจนถึงที่สุดเพื่อแบ่งรับการทดลองของพระองค์และเรียนรู้บทเรียนชีวิตของพระองค์  โดยการมองไปยังพระคริสต์ ลักษณะอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนไป  {DA 296.1}                      

อัครสาวกมีนิสัยและอารมณ์ที่แตกต่างกันมาก  เลวี มัทธิวคนเก็บภาษี ซีโมนผู้ร้อนแรงที่เกลียดชังอำนาจโรมอย่างไม่ประณีประนอม  เปโตรที่ใจกว้างและใจหุนหันพลันแล่น ยูดาสที่มีใจโหดร้าย โธมัสผู้จริงใจ แต่กระนั้นขี้อายและขี้กลัว ฟีลิปผู้มีใจเชื่องช้าและสงสัยอยู่เสมอและบุตรชายของเศเบดีที่ทะเยอทะยานและพูดตรงไปตรงมากับพี่น้องของพวกเขา คนเหล่านี้พร้อมด้วยความบกพร่องที่แตกต่างกันทั้งที่สืบทอดมาทางสายเลือดและที่ดัฒนาขึ้นได้มาอยู่รวมกัน แต่ในทางพระคริสต์และโดยทางพระคริสต์พวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เรียนรู้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อ ในหลักคำสอนและในพระวิญญาณ  พวกเขาจะพบกับการทดสอบ ความเจ็บใจ และความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ขณะที่พระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจจะไม่มีความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน  ความรักของพระองค์จะนำไปสู่ความรักซึ่งกันและกัน บทเรียนของพระอาจารย์จะนำไปสู่การประสานความแตกต่างทั้งหมดเข้าด้วยกัน นำสาวกเข้าสู่ความสามัคคีจนกว่าพวกเขาจะมีใจเดียวกันและมีวิจารณญาณเป็นหนึ่งเดียว  พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่และพวกเขาจะเข้าหากันในสัดส่วนที่เหมาะสมเมื่อเข้าใกล้จุดศูนย์กลางนั้น  {DA 296.2}           

เมื่อพระเยซูทรงสอนสาวกเสร็จแล้ว พระองค์ทรงรวบรวมกลุ่มคนขนาดเล็กที่พระองค์ทรงเลือกให้มาล้อมอยู่รอบพระองค์ และคุกเข่าท่ามกลางพวกเขาและวางพระหัตถ์ลงบนศีรษะของพวกเขา พระองค์ทรงอธิษฐานถวายพวกเขาเพื่อทำงานศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  ด้วยประการฉะนี้สาวกของพระเจ้าจึงได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานในพันธกิจพระกิตติคุณ  {DA 296.3}                    

พระคริสต์ไม่ทรงเลือกทูตสวรรค์ที่ไม่เคยล้มลงในบาป แต่ทรงเลือกมนุษย์ผู้ซึ่งมีความปรารถนาอย่างเดียวกันกับผู้ที่พวกเขาต้องการจะช่วยให้รอดให้เป็นตัวแทนของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์  พระคริสต์ทรงรับความเป็นมนุษย์เพื่อพระองค์จะทรงเข้าถึงมนุษยชาติ  ความเป็นพระเจ้าต้องการความเป็นมนุษย์ เพราะการนำความรอดมาให้โลกนั้นต้องการทั้งพระเจ้าและมนุษย์  ความเป็นพระเจ้าต้องการความเป็นมนุษย์เพื่อเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  ผู้รับใช้และผู้สื่อข่าวของพระคริสต์ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้  มนุษย์ต้องการอำนาจภายนอกและอำนาจที่เหนือกว่าตัวเองเพื่อนำเขากลับคืนสู่พระฉายาของพระเจ้าและเสริมให้เขามีกำลังทำงานรับใช้พระเจ้าได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้สื่อตัวแทนมนุษย์เป็นสิ่งไม่จำเป็น  มนุษยชาติยึดมั่นในอำนาจของพระเจ้า พระคริสต์สถิตอยู่ในดวงใจโดยความเชื่อ และโดยทางการร่วมมือกับพระเจ้า อำนาจของมนุษย์จึงมีประสิทธิภาพที่จะประกอบการดีได้  {DA 296.4}             

พระเจ้าพระผู้ทรงเรียกชาวประมงในแคว้นกาลิลีก็ยังคงเชิญคนทั้งหลายให้มารับใช้พระองค์  และพระองค์ก็ทรงเต็มพระทัยที่จะสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ผ่านทางเราเหมือนที่ผ่านทางสาวกกลุ่มแรก  ไม่ว่าคนเราจะไม่สมบูรณ์และบาปหนาเพียงไร พระเจ้าทรงยื่นข้อเสนอใหเรเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์แลให้เราฝึกงานกับพระคริสต์  พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราให้เข้ามาภายใต้คำสั่งสอนจากพระเจ้าเพื่อว่าเราจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์และจะได้ร่วมทำงานรับใช้พระเจ้า  {DA 297.1}                    

"แต่ว่าเรามีทรัพย์สมบัตินี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่าฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง" 2 โครินธ์ 4 ข้อที่ 7 TKJV  นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงมอบหมายการประกาศพระกิตติคุณไว้กับมนุษย์ที่ล้มลงในบาปแทนที่จะฝากไว้กับทูตสวรรค์  เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าอำนาจที่ประกอบกิจผ่านความอ่อนแอของมนุษยชาติคือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับการหนุนใจที่จะเชื่อว่าอำนาจที่ช่วยผู้อื่นที่อ่อนแอเหมือนกับตัวเราสามารถช่วยตัวเราได้  และ “เพราะท่านเองก็มีความอ่อนแอ" ควร "ปฏิบัติอย่างนุ่มนวลต่อคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และที่หลงผิด" ฮีบรู 5 ข้อที่ 2  เมื่อเคยตกอยู่ในภัยอันตราย พวกเขาจึงคุ้นเคยกับภัยอันตรายและความยากลำบากในระหว่างทางและด้วยเหตุนี้จึงได้รับการทรงเรียกให้เข้าถึงผู้อื่นที่ตกอยู่ในสภาพอันตรายเช่นเดียวกัน   ยังมีจิตวิญญาณที่งงงวยตกอยู่ในความสงสัย แบกรับภาระความอ่อนแอ มีความเชื่อที่อ่อนแอและไม่อาจยื่นมือคว้าพระเจ้าที่ตามองไม่เห็นไม่ได้ แต่มีมิตรคนหนึ่งที่ตาเขามองเห็นได้เข้ามาหาพวกเขาในฐานะตัวแทนของพระคริสต์เพื่อเป็นตัวเชื่อมที่จะผูกความเชื่ออันสั่นคลอนให้ยึดติดกับพระคริสต์  {DA 297.2}        

เราต้องร่วมแรงร่วมใจกับเหล่าทูตในสรวงสวรรค์ในการนำเสนอพระเยซูให้กับโลก  ทูตสวรรค์ทั้งหลายรอคอยด้วยความกระตือรือร้นอย่างร้อนรนใจ  เพื่อให้เราร่วมมือกับพวกเขา เพราะมนุษย์ต้องเป็นช่องทางสื่อสารกับมนุษย์  และเมื่อเราอุทิศถวายทั้งตัวแด่พระคริสต์แล้ว เหล่าทูตสวรรค์ปลื้มปิติที่พวกเขาพูดผ่านเสียงของเราเพื่อเปิดเผยความรักของพระเจ้าได้  {DA 297.3}       

*************