บทที่ 42
ขนบธรรมเนียมประเพณี
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 16 ข้อที่ 1-20; มาระโก 7 ข้อที่ 1-23
พวกอาลักษณ์และพวกฟาริสีคาดว่าจะได้เห็นพระเยซูในเทศกาลปัสกา จึงได้วางกับดักพระองค์ไว้ แต่พระเยซูทรงทราบจุดประสงค์ของพวกเขาจึงไม่เสด็จไปยังที่ชุมนุมชนแห่งนี้ “พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคนที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระองค์” เนื่องจากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปหาพวกเขา พวกเขาจึงเข้ามาหาพระองค์ ดูราวกับว่าชั่วขณะหนึ่งนั้น ชาวกาลิลียอมรับว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์และเมื่อเป็นอย่างนั้นอำนาจการปกครองเป็นลำดับชั้นของแถบนั้นก็จะถูกทำลายไป พันธกิจของสาวกสิบสองคนที่บ่งบอกว่าพวกเขาจะสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์จะนำสาวกเข้าสู่การขัดแย้งโดยตรงกับพวกธรรมาจารย์มากยิ่งขึ้นนั้น ได้ปลุกความริษยาในตัวผู้นำของกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สายลับที่พวกเขาส่งไปยังเมืองคาเปอรนาอุมในช่วงแรกเริ่มของพันธกิจของพระองค์ซึ่งพยายามเอาข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดวันสะบาโตมาผูกมัดพระองค์นั้น ก็ถูกทำให้สับสน แต่พวกธรรมาจารย์ก็ยังคงมุ่งมั่นดำเนินตามเป้าหมายที่วางไว้ บัดนี้มีการส่งตัวแทนกลุ่มใหม่เพื่อคอยติดตามการเคลื่อนไหวของพระองค์และเพื่อรวบรวมข้อกล่าวหาใส่พระองค์ {DA 395.1}
เช่นเคย เรื่องราวการร้องเรียนคือการที่พระองค์ทรงละเลยขนบธรรมเนียมคำสอนที่ขัดขวางพระบัญญัติของพระเจ้า คำสอนเหล่านี้ถูกออกแบบมาอย่างเชี่ยวชาญเพื่อปกป้องการถือรักษาพระบัญญัติ แต่พวกเขานับถือคำสอนว่าศักดิ์สิทธิ์กว่าพระบัญญัติเอง เมื่อใดที่คำสอนขัดแย้งกับพระบัญญัติของพระเจ้าที่ประทานจากภูเขาซีนาย พวกเขาจะเข้าข้างคำสอนของพวกธรรมาจารย์ {DA 395.2}
ในบรรดากฎข้อบังคับต่างๆ ข้อที่ต้องถือรักษาอย่างเข้มงวดที่สุดคือ พิธีกรรมการชำระ การไม่ทำตามระเบียบที่กำหนดไว้สำหรับก่อนรับประทานอาหาร จะถูกนับว่าเป็นบาปอันเลวร้ายซึ่งจะต้องได้รับโทษทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า และการทำลายผู้ล่วงละเมิดกฎนี้จะถูกนับว่าเป็นการทำคุณประโยชน์ {DA 395.3}
กฎที่เกี่ยวข้องกับการชำระนั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ช่วงเวลาหนึ่งของช่วงชีวิตนี้แทบไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้ได้ทั้งหมด ชีวิตของผู้ที่พยายามปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ของธรรมาจารย์ จัดเป็นารดิ้นรนอย่างยาวนานกับการชำระมลทินตามพิธีการซึ่งเป็นพิธีการชำระล้างและการชำระให้บริสุทธิ์ที่วนเวียนไปมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับลักษณะพิเศษไร้ค่าและข้อปฏิบัติที่พระเจ้าไม่ทรงกำหนดเหล่านี้ ความสนใจของพวกเขาก็หันเหออกไปจากหลักการอันยิ่งใหญ่แห่งพระบัญญัติของพระองค์ {DA 396.1}
พระคริสต์และสาวกของพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติตามพิธีชำระล้างเหล่านี้และผู้สอดแนมรวบรวมการเพิกเฉยนี้เพื่อเป็นฐานที่จะใช้กล่าวหาของพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้โจมตีพระคริสต์โดยตรง แต่เข้ามาเฝ้าพระองค์ด้วยการตำหนิพวกสาวกของพระองค์ พวกเขากล่าวต่อหน้าฝูงชนว่า "ทำไมสาวกของท่านจึงละเมิดคำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ? เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร” {DA 396.2}
เมื่อใดก็ตามที่ข่าวสารแห่งความจริงเข้าถึงจิตวิญญาณด้วยอำนาจพิเศษ ซาตานจะปลุกปั่นตัวแทนของมันให้เริ่มการโต้เถียงด้วยปัญหาที่ไม่สำคัญ ด้วยวิธีเช่นนี้มันจึงหาทางที่จะดึงความสนใจออกจากประเด็นที่แท้จริง เมื่อใดก็ตามที่กิจอันดีที่ได้เริ่มต้นขึ้นผู้จับผิดก็พร้อมจะโต้แย้งในเรื่องของรูปแบบหรือวิธีการ เพื่อดึงความคิดออกจากความเป็นจริงแห่งชีวิต เมื่อดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงกำลังจะประกอบกิจในรูปแบบพิเศษเพื่อประชากรของพระองค์ ก็ขออย่าให้พวกเขาถูกล่อลวงเข้าสู่การโต้เถียงซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดการทำลายจิตวิญญาณ คำถามที่เราควรเป็นห่วงมากที่สุดคือ ฉันเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าด้วยความเชื่อที่ช่วยให้รอดหรือไม่? ชีวิตของฉันประสานเข้ากับพระบัญญัติของพระเจ้าหรือไม่? "คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา" "ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์" ยอห์น 3 ข้อที่ 36; 1 ยอห์น 2 ข้อที่ 3 {DA 396.3}
พระเยซูไม่ทรงพยายามปกป้องตัวพระองค์เองหรือสาวกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงอ้างถึงข้อกล่าวหาพระองค์ แต่ทรงดำเนินการต่อไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิญญาณที่ปลุกเร้ากลุ่มคนเหล่านี้ที่ยึดถือพิธีกรรมของมนุษย์ พระองค์ทรงยกตัวอย่างสิ่งที่พวกเขาทำซ้ำแล้วซ้ำอีกและที่เพิ่งจะทำก่อนที่มาตามหาพระองค์ “วิเศษจริงนะ ที่พวกท่านได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ยึดถือคำสอนที่รับมาจากบรรพบุรุษ เพราะโมเสสสั่งไว้ว่า‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้าและ‘ใครประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’ แต่พวกท่านกลับสอนว่า ‘ใครที่กล่าวกับบิดามารดาว่า “ของสิ่งใดของข้าพเจ้าที่อาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบาน” ’ (แปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) พวกท่านจึงไม่อนุญาตให้คนนั้นเลี้ยงดูบิดามารดาของตนอีกต่อไป” พวกเขาปัดพระบัญญัติข้อที่ห้าทิ้งไปราวกับว่าจะไม่มีผลลัพธ์ใดตามมา แต่กลับเคร่งครัดที่จะทำตามธรรมเนียมประเพณีของพวกผู้ปกครอง พวกเขาสอนประชาชนว่าการอุทิศถวายทรัพย์สินให้พระวิหารเป็นหน้าที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าการเลี้ยงดูพ่อแม่ของพวกเขา และสอนว่าไม่ว่าจะมีความขัดสนมากยิ่งเพียงใดก็ตาม การเอาส่วนหนึ่งที่ถวายแล้วไปให้แก่พ่อหรือแม่จะเป็นการลบหลู่ศาสนา ลูกที่ไม่สำนึกในหน้าที่เพียงแค่กล่าวคำว่า “โกระบาน” เหนือสมบัติของเขา ก็เท่ากับได้มอบถวายสิ่งนั้นแด่พระเจ้า และเขาสามารถเก็บสิ่งนั้นไว้เพื่อใช้เองตลอดชีวิตของเขา และหลังจากเขาตาย จึงเหมาะที่จะนำไปใช้ในพระวิหาร ด้วยประการฉะนี้ เขาจึงมีอิสระเสรี ทั้งในชีวิตนี้และในความตายที่จะไม่ให้เกียรติและหลอกพ่อแม่ภายใต้ผ้าคลุมของการเสแสร้งว่าได้อุทิศเพื่อพระเจ้า {DA 396.4}
ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ พระเยซูไม่ทรงเคยลดภาระหน้าที่ของมนุษย์ในเรื่องการถวายของขวัญและเงินถวายแด่พระเจ้า พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ประทานแนวทางทั้งหมดของธรรมบัญญัติในเรื่องเงินถวายสิบลดและเงินถวายอื่นๆ ขณะที่ทรงอยู่ในโลกพระองค์ทรงชื่นชมหญิงยากจนที่ถวายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเข้าคลังของพระวิหาร แต่ในส่วนของปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ ความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้าตามที่เห็นนั้นเป็นการเสแสร้งเพื่อปกปิดความปรารถนาที่มุ่งแสวงหาประโยชน์ใส่ตน ประชาชนถูกพวกเขาหลอก พวกเขาแบกรับภาระอันหนักอึ้งซึ่งพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดไว้ แม้แต่สาวกของพระคริสต์ก็ไม่ได้หลุดพ้นจากแอกที่ผูกติดพวกเขาด้วยอคติที่สืบทอดมาตามสายเลือดและด้วยข้อกำหนดจากอำนาจของพวกธรรมาจารย์ บัดนี้โดยการเปิดเผยให้เห็นถึงธาตุแท้ของพวกธรรมาจารย์ พระเยซูทรงหาทางที่จะปลดปล่อยทุกคนที่ปรารถนาอย่างจริงใจที่จะรับใช้พระเจ้าให้หลุดพ้นจากพันธนะของประเพณี {DA 397.1}
"พวกหน้าซื่อใจคด " พระองค์ตรัสกับสายลับเจ้าเล่ห์ว่า "อิสยาห์พยากรณ์ถึงท่านทั้งหลายถูกแล้วว่า ‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’" คำตรัสของพระคริสต์เป็นการกล่าวโทษระบบฟาริสีทั้งระบบ พระองค์ทรงประกาศว่าพวกธรรมาจารย์กำลังตั้งตนขึ้นอยู่เหนือพระเจ้าด้วยการวางข้อกำหนดของพวกเขาไว้อยู่เหนือพระบัญญัติของพระเจ้า {DA 397.2}
เหล่าผู้แทนจากกรุงเยรูซาเล็มเต็มโกรธจัด พวกเขาตั้งข้อกล่าวหาพระคริสต์ว่าเป็นผู้ละเมิดพระบัญญัติที่ประทานจากภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ตรัสในฐานะผู้ปกป้องพระบัญญัติจากประเพณีของพวกเขา หลักธรรมบัญญัติอันยิ่งใหญ่ของพระบัญญัติที่พระองค์ทรงนำเสนอนั้นปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าแตกต่างจากข้อบังคับหยุมหยิมที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดขึ้นเอง {DA 397.3}
พระเยซูทรงอธิบายกับมหาชนและต่อมาภายหลังทรงอธิบายกับสาวกอย่างละเอียดมากขึ้นว่ามลทินความด่างพร้อยไม่ได้มาจากภายนอกแต่มาจากภายใน ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์นั้นอยู่ที่จิตวิญญาณ กล่าวคือการกระทำชั่ว คำพูดชั่ว ความคิดชั่ว และการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ไม่ใช่การละเลยพิธีกรรมภายนอกที่มนุษย์สร้างขึ้น {DA 397.4}
พวกสาวได้มองเห็นว่าเมื่อคำสอนเทียมเท็จของพวกผู้สอดแนมถูกเปิดโปงพวกเขาก็โกรธจัด พวกเขามองเห็นใบหน้าที่โกรธและได้ยินคำพูดกึ่งพึมพำที่ออกมาอย่างไม่พอใจและผูกพยาบาท พวกเขาทูลพระองค์ถึงผลกระทบจากพระดำรัสของพระองค์โดยลืมไปว่าบ่อยครั้งเพียงไรที่พระคริสต์ประทานหลักฐานว่าพระองค์ทรงอ่านใจได้ราวกับเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เปิดอยู่ ด้วยความหวังว่าพระองค์จะประนีประนอมกับเจ้าหน้าที่ที่โกรธแค้น พวกเขาจึงทูลพระเยซูว่า "พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้นเขาทั้งหลายไม่พอใจมาก?” {DA 398.1}
พระองค์ตรัสตอบว่า "ต้นไม้ทุกต้นซึ่งพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ไม่ได้ทรงปลูกไว้จะต้องถูกถอนออกเสีย" ขนบธรรมเนียมและประเพณีที่พวกธรรมาจารย์ได้ยกชูอย่างสูงส่งนั้นมาจากโลกนี้ไม่ใช่มาจากสวรรค์ ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจเหนือประชาชนมากเพียงไร พวกเขาก็ไม่อาจผ่านการทดสอบของพระเจ้าได้ สิ่งประดิษฐ์ทุกอย่างของมนุษย์ที่เข้ามาแทนที่พระบัญญัติของพระเจ้า จะไร้ค่าในวันนั้นเมื่อ "พระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกอย่างเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว" ปัญญาจารย์ 12 ข้อที่ 14 {DA 398.2}
การเอาคำสอนของมนุษย์ไปแทนที่พระบัญญัติของพระเจ้ายังดำเนินต่อไปไม่รู้สิ้น แม้แต่ท่ามกลางคริสเตียนยังมีสถาบันและธรรมเนียมที่มีพื้นฐานไม่ได้ดีไปกว่าประเพณีของเหล่าบรรพบุรุษ สถาบันในลักษณะเช่นนั้นที่วางอยู่บนฐานอำนาจของมนุษย์เพียงอย่างเดียวได้เข้ามาแทนที่ข้อกำหนดของพระเจ้า มนุษย์ยึดมั่นอยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณี และเคารพนับถือขนบธรรมเนียมของพวกเขาเอง และเก็บความเกลียดชังต่อผู้ที่พยายามแสดงให้พวกเขาเห็นข้อผิดพลาดของตนไว้ในใจ ในปัจจุบันนี้เมื่อมีการเรียกร้องให้เราสนใจพระบัญญัติของพระเจ้าและความเชื่อของพระเยซู เราจะเห็นความเป็นศัตรูแบบเดียวกับที่แสดงออกในสมัยพระคริสต์ มีคำเขียนบรรยายถึงประชากรที่เหลืออยู่ของพระเจ้าว่า "และพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของนาง คือคนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและยึดถือคำพยานของพระเยซู " วิวรณ์ 12 ข้อที่ 17 {DA 398.3}
แต่ "ต้นไม้ทุกต้น ซึ่งพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ไม่ได้ทรงปลูกไว้จะต้องถูกถอนออกเสีย" พระเจ้าทรงวิงวอนให้เรารับพระวจนะของพระบิดานิรันดร์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลกแทนที่จะรับอำนาจของผู้ที่เราขนานนามกันว่าเป็นบิดาของคริสตจักร พระวจนะของพระบิดานิรันดร์เท่านั้นที่มีความจริงซึ่งไม่ผสมกับข้อผิดพลาด กษัตริย์ดาวิดตรัสไว้ว่า "ข้าพระองค์ฉลาดกว่าครูทั้งหมดของข้าพระองค์ เพราะพระโอวาทของพระองค์เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าผู้อาวุโส เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์" สดุดี 119 ข้อที่ 99, 100 ให้ทุกคนที่ยอมรับอำนาจของมนุษย์ ขนบธรรมเนียมของคริสตจักร หรือประเพณีของบรรพบุรุษใส่ใจระวังคำเตือนที่ถ่ายทอดมาในพระวจนะของพระคริสต์ที่ว่า "พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน” {DA 398.4}
**********