บทที่ 21

สระน้ำเบธซาธาและสภาซันเฮดริน

อ้างอิงจาก ยอห์น 5


ที่ริมประตูแกะในกรุงเยรูซาเล็มมีสระน้ำ ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่าเบธซาธา ที่นั่นมีศาลาห้าหลัง  ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยจำนวนมาก มีทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ คอยน้ำกระเพื่อม”  {DA 201.1}            

ในบางฤดู น้ำในสระนี้จะกระเพื่อมและเชื่อกันทั่วไปว่าเป็นการกระทำของอำนาจเหนือธรรมชาติและผู้ใดก็ตามที่ก้าวลงไปในสระเป็นคนแรกหลังจากน้ำเคลื่อนไหวจะหายจากโรคต่างๆ ที่เขาเป็นอยู่  คนนับร้อยที่ตกทุกข์อยู่จะเข้ามายังสถานที่แห่งนี้  แต่กลุ่มชนมีขนาดใหญ่มากจนเมื่อน้ำกระเพื่อม พวกเขาวิ่งกรูเข้าหาน้ำ เหยียบย่ำชายหญิงและเด็กที่อ่อนแอกว่า  หลายคนเข้าไปใกล้สระน้ำไม่ได้  หลายคนที่วิ่งไปจนถึงสระตายอยู่ริมขอบสระ  รอบบริเวณสระมีการสร้างเพิงเพื่อให้ผู้ป่วยหลบไอร้อนของเวลากลางวันและความหนาวเหน็บในยามกลางคืน  มีบางคนค้างคืนในเพิงเหล่านั้น พวกเขาคลานไปยังขอบสระวันแล้ววันเล่า เพื่อหวังจะหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่พวกเขากลับได้เพียงความผิดหวัง  {DA 201.2}         

อีกครั้งหนึ่งพระเยซูเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  พระองค์ทรงดำเนินไปตามลำพังในขณะที่ทรงใคร่ครวญพระวจนะและอธิษฐานอยู่  จนเสด็จมาถึงสระน้ำ  พระองค์ทอดพระเนตรผู้ป่วยน่าสงสารทั้งหลายต่างเฝ้ามองในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นโอกาสเดียวของการรักษา  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสำแดงอำนาจแห่งการรักษาของพระองค์และรักษาทุกคนที่ทุกข์ทรมานให้หาย  แต่วันนั้นเป็นวันสะบาโต  ประชาชนเดินทางมุ่งหน้าไปนมัสการยังพระวิหารและพระองค์ทรงทราบดีว่าการรักษาเช่นนี้จะปลุกอคติของชาวยิวจนทำให้เวลาการประกอบพระราชกิจของของพระองค์ถูกตัดให้สั้นลง  {DA 201.3}                                                        

แต่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นผู้ป่วยน่าสมเพชเวทนามากอยู่รายหนึ่ง  เป็นผู้ป่วยชายง่อยพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานานถึง 38 ปีแล้ว  สาเหตุส่วนใหญ่ของการป่วยของเขาเกิดจากบาปของเขาเองและคนถือว่าการเจ็บป่วยเป็นการพิพากษาลงโทษที่มาจากพระเจ้า  ผู้ป่วยโดดเดี่ยวไร้มิตรคนนี้รู้สึกว่าตนถูกตัดขาดจากพระเมตตาคุณของพระเจ้า  ทนทุกข์ระทมเช่นนี้อยู่อย่างทรมานมานานนับปี  เมื่อถึงเวลาที่คาดว่าน้ำจะกระเพื่อม คนที่สงสารในความสิ้นหวังของเขาจะแบกหามเขาไปยังลานสระ  แต่เมื่อถึงเวลาแห่งความหวังไม่มีผู้ใดอยู่เพื่อช่วยนำเขาลงสระน้ำ  เขาเคยเห็นน้ำกระเพื่อมแต่เขาไม่เคยได้เข้าไปเกินขอบสระ  คนอื่นๆ ที่แข็งแรงกว่าเขาจะกระโจนลงไปในสระก่อนเขา  เขาแย่งชิงกับความเห็นแก่ตัวของฝูงชนไม่ได้  ความพยายามเพื่อก้าวให้ถึงเป้าหมายและความกังวลและความผิดหวังอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ  {DA 202.1}                

ชายป่วนอนอยู่บนเสื่อและในบางครั้งบางคราวเขาจะผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองไปทางสระน้ำ จนกระทั่งในครั้งนี้พระพักตร์หนึ่งผู้ทรงเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและพระเมตตาทรงก้มลงมายังเขาและพระดำรัสที่ว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?” ปลุกความสนใจของเขาขึ้นมา  ความหวังเข้ามาสู่หัวใจของเขา  เขารู้สึกว่า เขาจะต้องได้รับความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  แต่ความเจิดจ้าแห่งความหวังเลือนลางหายไปในไม่ช้า  เมื่อเขาคิดขึ้นมาได้ว่าบ่อยครั้งเพียงไรที่เขาพยายามไปให้ถึงสระน้ำและบัดนี้เขามีความหวังเล็กน้อยจนถึงเวลาที่น้ำจะกระเพื่อมขึ้นอีก  เขาหันไปและพูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีใครเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ แล้วพอจะลงไปเอง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว”  {DA 202.2}              

พระเยซูไม่ทรงขอให้ผู้ที่ป่วยคนนั้นแสดงออกถึงความเชื่อในพระองค์  พระองค์ตรัสอย่างเรียบง่ายว่า “ลุกขึ้นเถิด จงยกแคร่ของท่านเดินไป”  แต่ความเชื่อของชายผู้นี้ยึดพระดำรัสนั้นไว้แน่น เส้นประสาทและกล้ามเนื้อทุกมัดกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่และแขนขาพิการของเขาขยับเพื่อประกอบกิจที่ให้ประโยชน์ได้  เขาตั้งใจปฏิบัติตามพระบัญชาของพระคริสต์โดยไม่สงสัยและกล้ามเนื้อทั้งหมดของเขาตอบสนองตามความตั้งใจของเขา  เขาลุกขึ้นยืนและรู้ตัวว่าตนเองเป็นคนมีชีวิตชีวา  {DA 202.3}        

พระเยซูไม่ได้ประทานคำมั่นใจแก่เขาว่าจะได้รับการทรงช่วยจากพระเจ้า  ชายนี้อาจ  หยุดชะงักเพื่อตั้งแง่สงสัยและจะสูญเสียโอกาสเดียวของการรักษา แต่เขาเชื่อพระดำรัสของพระคริสต์และโดยการปฏิบัติตามเขาได้รับกำลัง  {DA 203.1}           

โดยความเชื่อเดียวกันนี้ เรารับการรักษาทางฝ่ายจิตวิญญาณได้  บาปตัดเราขาดจากชีวิตของพระเจ้า  จิตวิญญาณของเราเป็นอัมพาตไป  โดยตัวเราเองแล้วเราดำเนินชีวิตบริสุทธิ์ไม่ได้ดีไปกว่าความสามารถในการเดินชายง่อย  มีคนมากมายตระหนักว่าเขาช่วยเหลือตนเองไม่ได้และประสงค์ที่จะได้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่จะนำเขาให้ประสานเข้าเป็นหนึ่งกับพระเจ้า พวกเขาดิ้นรนแสวงหาด้วยความผิดหวัง ในความสิ้นหวังพวกเขาร้องขึ้นว่า “โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้”  โรม 7 ข้อที่ 24  ให้ผู้ที่สิ้นหวังและดิ้นรนเหล่านี้มองขึ้น  พระผู้ช่วยให้รอดทรงก้มลงทอดพระเนตรเหล่าผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์แล้วและตรัสด้วยความเอ็นดูและสงสารว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?” พระองค์ทรงเรียกคุณให้ลุกขึ้นด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์และมีสันติสุข  อย่ารอคอยจนคุณรู้สึกว่าได้รับการรักษาให้บริบูรณ์แล้ว  จงเชื่อพระดำรัสของพระองค์และพระองค์จะทรงประกอบกิจให้สำเร็จ  จงนำความตั้งใจของคุณไว้ข้างพระคริสต์  ตั้งใจที่จะปรนนิบัติรับใช้พระองค์และในการปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์ คุณจะได้รับกำลัง  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำชั่วและกิเลสตัณหาอันเลวร้ายที่ผูกมัดจิตวิญญาณและร่างกายที่ปล่อยตัวหมกมุ่นมาช้านานเพียงไร  พระคริสต์ทรงสามารถและทรงปรารถนาที่จะช่วยให้คนทั้งหลายหลุดพ้น  พระองค์จะประทานชีวิตแก่จิตวิญญาณที่ “ตายโดยการละเมิดและการบาป”  เอเฟซัส 2 ข้อที่ 1  พระองค์จะทรงปลดปล่อยผู้ที่ตกอยู่ภายใต้ความอ่อนแอและความโชคร้ายและอยู่ในโซ่ตรวนของบาป  {DA 203.2}           

ชายง่อยที่หายดีแล้วนั้นก้มลงเก็บที่นอนซึ่งเป็นเพียงผ้าปูขาดวิ่นและผ้าห่มหนึ่งผืนขึ้นมา  และขณะที่เขายืดตัวตรงด้วยความรู้สึกชื่นใจเขาเหลียวหลังมองหาพระเจ้าพระผู้ช่วย แต่พระเยซูหายไปในฝูงชนแล้ว  ชายคนนี้กลัวว่าหากเขาจะพบพระองค์อีกครั้งเขาคงจะจำพระองค์ไม่ได้  ขณะที่เขาเร่งฝีเท้าก้าวไปตามทางอย่างมั่นใจและอิสระเสรี สรรเสริญพระเจ้าและชื่นชมยินดีในเรี่ยวแรงที่กลับคืนมาใหม่นั้น เขาพบฟาริสีหลายคนและรายงานทันทีถึงการหายจากอาการเจ็บป่วย  เขาแปลกใจกับความเย็นชาที่พวกเขาฟังเรื่องที่เขาเล่า  {DA 203.3}

พวกเขาถามสวนขึ้นด้วยคิ้วขมวดว่าทำไมจึงแบกที่นอนในวันสะบาโต  พวกเขาเตือนด้วยความดุดันว่าการแบกภาระในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นผิดพระบัญญัติ  ด้วยความชื่นชมยินดีชายคนนี้ลืมไปว่าวันนั้นเป็นวันสะบาโต แต่ถึงกระนั้นเขาไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิอันเนื่องจากการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระผู้ทรงกอปรด้วยอำนาจจากพระเจ้า  เขาตอบอย่างกล้าหาญว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายสั่งว่า ‘จงยกแคร่ของท่านและเดินไป’”  เมื่อพวกเขาถามว่า ใครเป็นผู้ที่สั่งให้ทำเช่นนี้ เขาไม่อาจตอบได้  แต่ผู้ปกครองเหล่านี้ทราบดีว่ามีพระเจ้าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงเปิดเผยตนเองถึงความสามารถของการทำการอัศจรรย์นี้  แต่พวกเขาต้องการพิสูจน์โดยตรงว่าเป็นพระเยซู เพื่อพวกเขาจะได้คาดโทษว่าพระเยซูทำผิดวันสะบาโต  พวกเขาตัดสินว่าพระองค์ไม่เพียงแต่ทำผิดธรรมบัญญัติด้วยการรักษาคนป่วยในวันสะบาโตแต่กระทำผิดในเรื่องของศาสนาโดยการสั่งให้เขาแบกที่นอน  {DA 203.4}                

ชาวยิวบิดเบือนพระบัญญัติจนกระทั่งกลายเป็นแอกแห่งการผูกมัด  กฎระเบียบที่ไร้ความหมายของพวกเขาเป็นขี้ปากของคนชนชาติอื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎระเบียบไร้ซึ่งความหมายทั้งหลายที่ล้อมกรอบวันสะบาโตไว้  สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้เป็นวันปีติยินดี วันบริสุทธิ์ของพระยาห์เวห์และวันมีเกียรติ  พวกธรรมาจารย์และฟาริสีทำให้การถือรักษาวันสะบาโตเป็นภาระที่ทนไม่ไหว  กฎเหล่านี้ไม่อนุญาติให้ชาวยิวจุดไฟหรือแม้กระทั่งจุดเทียนไขในวันสะบาโต  ผลที่ตามมาคือพวกเขาพึ่งคนต่างชาติทำงานบริการมากมายที่กฎระเบียบของพวกเขาห้ามพวกเขาทำเอง  พวกเขาไม่ได้คิดย้อนเอาเองว่าหากการกระทำเหล่านี้บาป ผู้ที่พวกเขาจ้างมาทำงานเหล่านี้จะมีความผิดเสมือนหนึ่งพวกเขาทำงานเหล่านั้นเอง  พวกเขาคิดว่าความรอดนั้นจำกัดอยู่กับชาวยิวและสภาพของคนอื่นๆ ที่สิ้นหวังอยู่แล้วนั้นจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้  แต่พระเจ้าไม่ได้ประทานบัญญัติที่ทุกคนจะปฏิบัติตามไม่ได้  พระบัญญัติของพระองค์ไม่สนับสนุนข้อจำกัดที่ไร้เหตุผลหรือข้อจำกัดที่เห็นแก่ตัว  {DA 204.1}          

ในพระวิหาร พระเยซูทรงพบชายที่หายโรคแล้ว  เขามาเพื่อนำเครื่องถวายชำระบาปและเครื่องถวายบูชาขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระเมตตาคุณอันใหญ่หลวงที่เขาได้รับ  เมื่อพระเยซูทรงพบเขาอยู่ท่ามกลางผู้ที่มานมัสการ  พระองค์ทรงเปิดเผยให้เขารู้จักพระองค์ พร้อมตรัสคำเตือนว่า “นี่แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน”  {DA 204.2}              

ชายที่หายป่วยชื่นชมยินดีอย่างล้นพ้นเมื่อพบพระผู้ช่วยของเขา เขาไม่เคยทราบถึงความอาฆาตแค้นที่พวกฟาริสีมีต่อพระเยซู  จึงไปบอกพวกฟาริสีที่ซักถามเขามาแล้วว่าพระองค์ท่านนี้แหละที่ทรงรักษาเขาให้หาย  “เพราะเหตุนี้พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ฝ่าฝืนกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า”  {DA 204.3}          

พวกเขานำพระเยซูไปยังสภาซันเฮดรินเพื่อตอบข้อกล่าวหาเรื่องการทำผิดพระบัญญัติวันสะบาโต  หากในเวลานี้ชนชาติยิวเป็นประเทศอิสระ การกล่าวหานี้จะสนับสนุนเป้าหมายของพวกเขาเพื่อประหารพระเยซู  การปกครองของโรมห้ามการกระทำนี้  ชาวยิวไม่มีสิทธิอำนาจสั่งโทษประหารชีวิตผู้ใดและคำกล่าวหาพระคริสต์ไม่ร้ายแรงพอในศาลของชาวโรมัน  แต่พวกเขามีเป้าหมายอื่นที่ปิดซ่อนไว้  แม้ว่าพวกเขามุ่งมั่นต่อต้านพระราชกิจของพระคริสต์ แต่การกระทำของพวกเขากลับทำให้อิทธิพลของพระองค์ที่มีต่อประชาชนยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าของพวกเขาเสียอีกแม้ในกรุงเยรูซาเล็ม  บัดนี้ฝูงชนที่ไม่เคยสนใจคำปราศรัยของพวกธรรมาจารย์กลับสนใจคำสอนของพระองค์  พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระองค์และหัวใจของพวกเขาได้รับความอบอุ่นและความปลอบประโลม  พระองค์ตรัสถึงพระเจ้าไม่ใช่ในฐานะของผู้พิพากษาที่อาฆาตแค้นแต่เป็นพระบิดาผู้ทรงเอ็นดูและพระองค์ทรงเปิดเผยพระฉายาของพระเจ้าตามที่สะท้อนออกมาจากพระองค์เอง  พระดำรัสของพระองค์เป็นเสมือนน้ำมันชโลมจิตวิญญาณที่ฟกช้ำ  ด้วยทั้งพระดำรัสและการกระทำแห่งพระเมตตา พระองค์ทรงทำลายอำนาจการกดขี่ของประเพณีเก่าแก่และบัญญัติที่มนุษย์ตราขึ้น และทรงนำเสนอความรักอันบริบูรณ์อย่างไม่มีวันหมดของพระเจ้า  {DA 204.4}        

ในคำเผยพระวจนะอันหนึ่งของยุคแรกสุดที่กล่าวถึงพระคริสต์บันทึกไว้ว่า “คทาจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ ทั้งไม้ถือของผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา และชนชาติทั้งหลายจะเชื่อฟังเขา"  ปฐมกาล 49 ข้อที่ 10  ประชาชนเข้ามาเฝ้าพระคริสต์  หัวใจของฝูงชนยอมรับบทเรียนแห่งความรักและความกรุณามากกว่าพิธีกรรมอันเคร่งครัดที่ปุโรหิตกำหนด  หากพวกปุโรหิตและธรรมาจารย์ไม่ขัดขวางแล้ว คำสอนของพระองค์อาจปฏิรูปโลกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  แต่เพื่อรักษาอำนาจของผู้นำเหล่านี้ไว้ พวกเขาตั้งใจทำลายอิทธิพลของพระเยซู  คำกล่าวหาพระเยซูต่อหน้าสภาซันเฮดรินและการตำหนิคำสอนของพระองค์อย่างเปิดเผยจะช่วยเรื่องนี้ให้เกิดผลได้ เพราะประชาชนยังให้ความเคารพผู้นำศาสนาของพวกเขา  ผู้ใดกล้าตำหนิกฎระเบียบของธรรมาจารย์หรือพยายามทำให้ภาระที่พวกเขานำมาวางบนประชาชนให้เบาลงจะมีความผิดไม่เพียงแต่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าแต่ยังเป็นกบฏ  ด้วยเหตุนี้พวกธรรมาจารย์หวังที่จะปลุกประชาชนให้สงสัยพระคริสต์  พวกเขากล่าวหาว่าพระคริสต์พยายามล้มล้างประเพณีที่ได้จัดวางไว้แล้ว ด้วยประการฉะนี้จึงก่อความแตกแยกขึ้นท่ามกลางประชาชนและเปิดทางให้ชาวโรมันปกครองพวกเขาได้อย่างเต็มที่  {DA 205.1}             

แต่แผนการที่ธรรมาจารย์เหล่านี้ลงแรงกระทำอย่างกระตือรือร้นให้สำเร็จนั้นริเริ่มขึ้นในอีกสภาหนึ่งที่ไม่ใช่สภาซันเฮดริน  หลังจากซาตานเอาชนะพระคริสต์ในถิ่นทุกรกันดารไม่ได้ มันก็รวบรวมกองกำลังของมันเข้ามาต่อต้านพันธกิจของพระองค์ และหากเป็นไปได้เพื่อสกัดกั้นพระราชกิจของพระองค์  สิ่งที่มันทำไม่สำเร็จได้ด้วยความพยายามโดยตรงและเป็นส่วนตัว มันก็มุ่งมั่นทำให้เกิดผลด้วยกลยุทธ์  มันถอยหนีจากความขัดแย้งในถิ่นทุรากันดารไปได้ไม่นานเท่าไรมันก็ร่วมปรึกษาหารือกับสมุนของมันเพื่อพัฒนาแผนการต่อไปในการทำให้ความคิดของชาวยิวมืดบอดเพื่อทำให้พวกเขามองไม่เห็นพระผู้ช่วยของพวกเขา  มันวางแผนทำงานผ่านสื่อมนุษย์ในโลกของศาสนาด้วยการดลใจให้พวกเขาเอาความโกรธแค้นของมันต่อต้านพวกที่ต่อสู้เพื่อความจริง  มันจะนำพวกเขาให้ปฏิเสธพระคริสต์และทำให้ชีวิตของพระองค์ขมขื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหวังที่จะทำให้พระองค์ท้อแท้ในพันธกิจของพระองค์  และผู้นำของชนชาติอิสราเอลเป็นเครื่องมือของซาตานในการทำศึกสงครามต่อสู้กับพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 205.2}

พระเยซูเสด็จมาเพื่อ “ทำให้ธรรมบัญญัตินั้นยิ่งใหญ่และมีเกียรติ"  พระองค์ไม่ทรงกระทำการใดเพื่อลดเกียรติแต่เพื่อยกชู  พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ท่านจะไม่อ่อนล้าหรือชอกช้ำ จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และแผ่นดินชายทะเลรอคอยธรรมบัญญัติของท่าน"  อิสยาห์ 42 ข้อที่ 21, 4  พระองค์เสด็จมาเพื่อปลดปล่อยวันสะบาโตจากข้อเรียกร้องอันหนักหน่วงที่ทำให้วันสะบาโตเป็นคำสาปแช่งมากว่าเป็นพระพร  {DA 206.1}        

ด้วยเหตุผลนี้พระองค์ทรงเลือกวันสะบาโตเพื่อประกอบกิจแห่งการรักษาที่สระน้ำเบธซาธา  พระองค์น่าจะรักษาผู้ป่วยรายนี้ในวันอื่นของสัปดาห์ หรือพระองค์น่าจะรักษาเขาให้หายโดยไม่ต้องบัญชาให้เขาแบกที่นอน  แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้เปิดโอกาสตามที่พระองค์ทรงประสงค์  เป้าหมายที่เปี่ยมด้วยพระปัญญาอยู่เบื้องหลังทุกการกระทำในชีวิตของพระคริสต์บนโลก  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำมีความสำคัญอยู่ในตัวและในการสั่งสอน  จากจำนวนผู้เจ็บป่วยข้างสระน้ำ พระองค์ทรงเลือกรายที่ปวยหนักที่สุดเพื่อสำแดงอำนาจแห่งการรักษาและสั่งชายนี้ให้แบกที่นอนไปเพื่อประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเขา  การกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาของเรื่องที่ว่าควรหรือไม่ควรทำสิ่งใดในวันสะบาโตและเป็นการเปิดทางให้พระองค์ประณามกฎระเบียบของชาวยิวในเรื่องวันของพระผู้เป็นเจ้าและลบล้างประเพณีไปเสีย  {DA 206.2}                

พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่าการช่วยบรรเทาคนที่มีความทุกข์สอดคล้องกับพระบัญญัติวันสะบาโต  เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับภารกิจของทูตสวรรค์ของพระเจ้า  ทูตเหล่านี้ขึ้นลงระหว่างสวรรค์กับโลกเสมอเพื่อรับใช้มนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์ลำบาก  พระเยซูทรงเปิดเผยว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อยๆ และเราก็ทำด้วย”  เวลาทั้งวันเป็นของพระเจ้าเพื่อใช้ทำการตามแผนการเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์  หากชาวยิวตีความหมายของพระบัญญัติถูกต้องแล้วพระยาห์เวห์ทรงเป็นฝ่ายผิด  พระราชกิจของพระองค์ทรงปลุกจิตสำนึกและยกชูทุกชีวิตตั้งแต่พระองค์ทรงวางรากฐานของโลก พระองค์ผู้ทรงประกาศว่าการงานของพระองค์ดีและทรงสถาปนาวันสะบาโตเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างนั้นก็จะต้องให้พระราชกิจของพระองค์หยุดพัก และยุติกิจวัตรของจักรวาลที่ไม่เคยหยุดหย่อน  {DA 206.3}

ควรหรือที่จะให้พระเจ้าบัญชาห้ามดวงอาทิตย์หยุดปฏิบัติหน้าที่ในวันสะบาโต ตัดลำแสงอันสดใสจากการทำให้โลกอบอุ่นและเลี้ยงบำรุงต้นพืช?  ควรหรือที่จะให้ระบบต่างๆ ของโลกหยุดนิ่งตลอดวันบริสุทธิ์?  ควรหรือที่พระเจ้าจะบัญชาให้ลำธารหยุดให้ความชุ่มฉ่ำแก่ทุ่งนาและป่าไม้และทรงห้ามคลื่นแห่งท้องทะเลเคลื่อนและไหลเชี่ยวไป?   แล้วจะให้ต้นข้าวสาลีและข้าวโพดในนาหยุดการเจริญและช่อดอกองุ่นหยุดชะงักที่จะออกผลสีม่วงของมันหรือ?  ต้นไม้และดอกไม้จะต้องไม่ชูดอกตูมหรือมีดอกบานในวันสะบาโตหรือ?  {DA 206.4}          

ในกรณีเช่นนี้แล้ว มนุษย์ก็จะขาดผลไม้ของโลกและพระพรที่ทำให้ชีวิตเป็นที่ปรารถนา  ธรรมชาติจะต้องดำเนินต่อไปตามวิถีที่ไม่แปรเปลี่ยน  พระเจ้าทรงหยุดยั้งพระหัตถ์เพียงเสี้ยววินาทีไม่ได้  หากเป็นเช่นนั้นแล้วมนุษย์จะล้มลงหมดสติและตาย  และมนุษย์มีงานที่ต้องทำเพื่อวันนี้เช่นกัน  พวกเขาจะต้องเอาใจใส่สิ่งที่จำเป็นของชีวิต จะต้องคอยดูแลคนป่วย คอยเติมความขัดสนของผู้ยากไร้ให้เต็ม  ผู้ที่ละเลยการปลดปล่อยความทุกข์ในวันสะบาโตจะไม่มีโทษก็หามิได้  พระเจ้าทรงสร้างวันพักผ่อนบริสุทธิ์ของพระองค์ไว้เพื่อมนุษย์ และการกระทำด้วยความเมตตาสอดคล้องกันอย่างบริบูรณ์กับความมุ่งหมายที่ทรงจัดวางไว้  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้สิ่งทรงสร้างใดตกทนทุกข์ลำเค็ญสักชั่วโมงเดียวหากจะปลดเปลื้องความเจ็บปวดในวันสะบาโตหรือในวันอื่นๆ ได้  {DA 207.1}                 

มนุษย์เรียกหาพระเจ้าในวันสะบาโตมากกว่าในวันอื่นๆ  ประชากรของพระองค์จะหยุดทำงานประจำและใช้เวลาใคร่ครวญพระวจนะและนมัสการพระองค์   พวกเขาทูลขอพระองค์ในวันสะบาโตมากกว่าในวันอื่นๆ  พวกเขาเรียกหาให้พระองค์ใส่พระทัยพวกเขาเป็นพิเศษ  พวกเขาร้องขอพระพรที่ดีที่สุด พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้วันสะบาโตผ่านพ้นไปก่อนที่พระองค์จะประทานให้ตามคำเรียกร้องเหล่านี้  พระราชกิจของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ไม่เคยหยุดนิ่งและมนุษย์ไม่ควรหยุดพักจากการทำดี  วันสะบาโตไม่ได้จัดตั้งไว้ให้เป็นเวลาของการอยู่อย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่ทำอะไร  พระบัญญัติสั่งห้ามการทำงานทางฝ่ายโลกในวันหยุดพักผ่อนในพระเจ้า  จะต้องหยุดงานตรากตรำของการทำมาหาเลี้ยงชีพ ในวันนั้น ไม่มีงานใดเพื่อความสนุกเพลิดเพลินหรือเพื่อแสวงหาผลกำไรเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างถูกต้อง แต่พระเจ้าทรงหยุดจากพระราชกิจแห่งการทรงสร้างและพักผ่อนในวันสะบาโตและทรงอวยพระพรแก่วันนั้นเช่นไร มนุษย์ก็ควรละทิ้งอาชีพการทำงานประจำวันและอุทิศเวลาอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเพื่อการพักผ่อนที่ถูกสุขลักษณะ เพื่อการนมัสการและเพื่อการงานที่บริสุทธิ์เช่นนั้น  พระราชกิจของพระคริสต์ในการรักษาคนป่วยสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์กับพระบัญญัติ  เป็นการถวายเกียรติวันสะบาโต  {DA 207.2}              

พระเยซูทรงยืนยันสิทธิของความเท่าเทียมกับพระเจ้าในการประกอบกิจอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นพระราชกิจอันเดียวกันกับของพระบิดาในสวรรค์  แต่เรื่องนี้ทำให้พวกฟาริสีโกรธมากยิ่งกว่าเดิม  ตามความเข้าใจพวกเขา พระองค์ไม่เพียงล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ด้วยการทูลเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดาของตน” พระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์เองทรงเสมอภาคกับพระเจ้า ยอห์น 5 ข้อที่ 18, 19  {DA 207.3}                  

ชาวยิวทั้งประเทศทูลเรียกพระเจ้าว่าเป็นพระบิดาของตน ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่โกรธเท่าไรนักหากพระคริสต์แทนตนในฐานะเหมือนเช่นพวกเขา  แต่พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์หมิ่นประมาทพระเจ้า แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจว่าพระองค์ทรงอ้างถึงตำแหน่งสูงที่สุด  {DA  207.4}               

ศัตรูเหล่านี้ของพระคริสต์หาข้อโต้แย้งอื่นใดไม่ได้เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่พระเยซูทรงตอกย้ำลงจิตใต้สำนึกของพวกเขา  พวกเขาอ้างได้แต่ประเพณีและขนบธรรมเนียมและเป็นข้ออ้างที่อ่อนและน่าเบื่อหน่ายเมื่อเปรียบเทียบกับข้อโต้แย้งของพระเยซูที่อ้างจากพระวจนะของพระเจ้าและธรรมชาติที่ไม่มีวันเสื่อมสลายได้  หากพวกธรรมาจารย์ปรารถนาที่จะรับแสงสว่าง พวกเขาน่าจะต้องยอมรับว่าพระเยซูตรัสความจริง  แต่พวกเขาหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงที่พระองค์ตรัสถึงเรื่องวันสะบาโตและคอยปลุกปั่นความโกรธแค้นต่อพระองค์อันเนื่องจากพระองค์ทรงยืนยันความเสมอภาคกับพระเจ้า  ความโกรธของผู้ปกครองทั้งหลายหามีที่สิ้นสุดไม่  หากพวกปุโรหิตและธรรมาจารย์ไม่เกรงกลัวประชาชนแล้ว พวกเขาคงลงมือฆ่าพระเยซูทันที แต่ความรู้สึกนิยมชมชอบเข้าข้างพระองค์ยังคงแรงอยู่  หลายคนมองว่าพระเยซูทรงเป็นสหายรักษาโรคของพวกเขาและทรงปลอบประโลมความเศร้าโศกของพวกเขาและพวกเขาก็ยอมรับว่าการรักษาผู้ป่วยที่สระน้ำเบธซาธานั้นถูกต้อง  ดังนั้นผู้นำถูกบังคับให้ระงับความเกลียดชังไว้ชั่วขณะ  {DA 208.1}           

พระเยซูทรงต้านข้อกล่าวหาของการหมิ่นประมาทพระเจ้า  พระองค์ตรัสว่าอำนาจของเราในการกระทำสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวหาเรานั้นได้มาโดยที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราอยู่ร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์ในธรรมชาติ ในพระทัยและในเป้าหมาย  ในพระราชกิจแห่งการทรงสร้างและการทรงจัดเตรียมทั้งหมด เราร่วมมือกับพระเจ้า “พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ”  ปุโรหิตและธรรมาจารย์ทั้งหลายกำลังลองดีกับพระบุตรของพระเจ้าในพระราชกิจที่พระองค์ได้รับบัญชาให้เสด็จมาทำในโลกนี้  บาปของพวกเขาได้แยกพวกเขาเองออกจากพระเจ้า และด้วยความหยิ่งยโสพวกเขากำลังเดินออกห่างจากพระองค์อย่างอิสระเสรี  พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีความพอเพียงในทุกสิ่งและตระหนักว่าไม่ต้องการปัญญาจากเบื้องบนเพื่อชี้นำการกระทำของพวกเขา  แต่พระบุตรของพระเจ้าทรงทรงยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระบิดาและพึ่งพิงในอำนาจของพระองค์  พระคริสต์ทรงละทิ้งตนเองอย่างสิ้นเชิงโดยที่พระองค์ไม่ทรงวางแผนใดสำหรับตัวเอง และพระบิดาทรงเปิดเผยแผนเหล่านี้แก่พระองค์วันต่อวัน เราจึงควรพึ่งพระเจ้าในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อชีวิตของพวกเราจะเป็นผลสำเร็จอันเรียบง่ายตามพระประสงค์ของพระองค์  {DA 208.2}             

เมื่อโมเสสวางแผนสร้างสถานนมัสการเพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้านั้น เขาได้รับบัญชาให้สร้างตามแบบที่เขาเห็นบนภูเขา  โมเสสมีความร้อนรนทำงานรับใช้พระเจ้า ช่างผู้ชำนาญงานและมีฝีมือที่สุดคอยอยู่พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำชี้แนะ  ถึงกระนั้นเขาจะไม่ทำกระดิ่ง ลูกทับทิม พู่ ผ้าระบาย ผ้าม่านหรือภาชนะใดๆ ในพระนิเวศนอกเสียจากทำตามแบบที่ได้ทรงโปรดสำแดงให้เขาเห็น  พระเจ้าทรงบัญชาให้เขาขึ้นไปยังภูเขาและเปิดเผยให้เขาเห็นสิ่งของต่างๆ ในสวรรค์  พระเจ้าทรงปกปิดเขาไว้ด้วยพระสิริของพระองค์เพื่อเขาจะเห็นแบบและทำทุกสิ่งตามแบบเหล่านั้น  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะประทับท่ามกลางชนชาติอิสราเอลจึงทรงเปิดเผยลักษณะนิสัยอันเป็นเลิศแห่งสง่าราศีให้แก่พวกเขา  พระองค์ประทานแบบอย่างเหล่านี้แก่พวกเขาในภูเขาเมื่อพระองค์ประทานพระบัญญัติจากภูเขาซีนายและเมื่อขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไปต่อหน้าโมเสสและประกาศว่า “พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง  ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงจนถึงพันๆ ชั่วอายุคน ผู้ประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป” อพยพ 34 ข้อที่ 6, 7  {DA 208.3}                 

ชนชาติอิสราเอลเลือกวิถีทางเดินของตนเอง  พวกเขาไม่ได้สร้างตามแบบ แต่พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระนิเวศองค์เที่ยงแท้ของการทรงร่วมสถิตของพระเจ้าทรงปั้นแต่งรายละเอียดทุกขั้นตอนของชีวิตของพระองค์ในโลกให้เข้ากับพระประสงค์ของพระเจ้า  พระองค์ตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์”  สดุดี 40 ข้อที่ 8  เช่นเดียวกันเราจะต้องสร้างอุปนิสัยของเราขึ้นเพื่อ “เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ” เอเฟซัส 2 ข้อที่ 22 และเราจะต้องทำ “ตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา” ตามพระองค์ผู้ “ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์”  ฮีบรู 8 ข้อที่ 5; 1 เปโตร 2 ข้อที่ 21  {DA 209.1}

พระวจนะของพระคริสต์สอนว่าเราจะต้องคิดอยู่เสมอว่าเราผูกพันกับพระบิดาในสวรรค์อย่างแยกกันไม่ออก  ไม่ว่าเราจะมีฐานะเช่นใด เราต้องพึ่งพระเจ้าผู้ทรงกำชะตากรรมทั้งหมดในพระหัตถ์ของพระองค์  พระองค์ทรงมอบหมายงานแก่เราและประทานความสามารถและวิธีการเพื่อทำงานนั้น  ตราบใดที่เรามอบถวายความตั้งใจของเราแก่พระเจ้าและวางใจในอำนาจและพระปัญญาของพระองค์แล้ว พระองค์จะทรงนำเราไปในทางที่ปลอดภัย เพื่อให้เราทำส่วนที่ได้รับมอบหมายในแผนการยิ่งใหญ่ของพระองค์  แต่ผู้ที่พึ่งสติปัญญาและอำนาจของตนเองกำลังแยกตัวเองออกจากพระเจ้า  แทนที่จะทำงานร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ เขากำลังทำตามแผนของศัตรูของพระเจ้าและของมนุษย์ให้สำเร็จ  {DA 209.2}           

พระผู้ช่วยให้รอดตรัสต่อไปว่า “สิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน. . . .พระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาและประทานชีวิตให้อย่างไร พระบุตรก็จะให้ชีวิตแก่คนที่ท่านปรารถนาจะให้อย่างนั้น”  พวกสะดูสีเชื่อว่าร่างของคนตายจะไม่กลับเป็นขึ้นสู่ชีวิตอีก แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่าพระราชกิจยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของพระบิดาคือการปลุกคนตายให้กลับเป็นขึ้นมาใหม่และพระองค์ทรงมีอำนาจกระทำการเดียวกันนี้ “เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต”  พวกฟาริสีเชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  พระคริสต์ทรงประกาศว่า บัดนี้อำนาจที่ประทานชีวิตแก่ผู้ที่ตายแล้วประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา และพวกเขาจะได้เห็นการสำแดงความยิ่งใหญ่นี้  อำนาจเดียวกันนี้ที่ปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมาเป็นอำนาจที่ประทานชีวิตแก่จิตวิญญาณที่ “ตายโดยการละเมิดและการบาป”  เอเฟซัส 2 ข้อที่ 1  วิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์เจ้าคือ “ฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์” จะทำให้มนุษย์ “พ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย”  ฟีลิปปี 3 ข้อที่ 10; โรม 8 ข้อที่ 2  อำนาจการครอบครองของความชั่วถูกทำลายและจิตวิญญาณถูกปกป้องจากบาปโดยความเชื่อ  ผู้ที่เปิดหัวใจรับพระวิญญาณของพระคริสต์จะเข้าส่วนในอำนาจยิ่งใหญที่จะนำกายของเขาออกจากหลุมฝังศพ  {DA 209.3}             

พระผู้ถ่อมตนชาวเมืองนาซาเร็ธพระองค์นี้สำแดงออกถึงคุณสมบัติอันประเสริฐที่แท้จริงของพระองค์  พระองค์ทรงก้าวขึ้นเหนือความเป็นมนุษย์ กระชากหน้ากากแห่งความบาปและความอับอายออกและเปิดเผยให้เห็นพระองค์ที่ทูตสวรรค์ถวายพระเกียรติ  พระบุตรของพระเจ้าพระผู้สถิตอยู่ร่วมกับพระผู้ทรงสร้างจักรวาล  ผู้ฟังของพระองค์ตะลึง ไม่เคยมีผู้ใดพูดอย่างพระองค์หรือแสดงตนว่ามีสง่าราศีอันทรงเกียรติเช่นนี้ พระดำรัสที่พระองค์ตรัสนั้นชัดเจนและเรียบง่าย เปิดเผยอย่างเต็มที่ถึงพันธกิจของพระองค์และหน้าที่ของโลก “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร  เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตรเหมือนที่พวกเขาถวายเกียรติแด่พระบิดา คนไหนไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร คนนั้นก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา. . . .เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองอย่างนั้น  และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์”  {DA 210.1}  

พวกปุโรหิตและผู้ปกครองตั้งตัวเองขึ้นเป็นผู้พิพากษาตำหนิพระราชกิจของพระคริสต์ แต่พระองค์กลับประกาศตนเป็นผู้พิพากษาของพวกเขาและเป็นผู้พิพากษาของคนทั้งโลก  โลกนี้ได้มอบไว้ให้แก่พระคริสต์แล้วและโดยพระองค์ ทุกพระพรของพระเจ้าได้มาถึงเผ่าพันธุ์ที่ล้มลงในบาปแล้ว  พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ทั้งก่อนและหลังการเสด็จมาบังเกิดเป็นเนื้อหนัง  ในทันทีที่บาปเกิดขึ้น ก็มีพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ประทานแสงสว่างและชีวิตแก่คนทั้งมวล และแต่ละคนจะถูกพิพากษาตามขนาดของแสงสว่างที่ได้รับ  และพระผู้ประทานแสงสว่าง พระผู้ติดตามจิตวิญญาณด้วยการวิงวอนอย่างอ่อนโยน แสวงหาเพื่อนำพวกเขาออกจากบาปไปสู่ความบริสุทธิ์นั้น ทรงเป็นทั้งทนายและผู้พิพากษาของเขา  นับตั้งแต่การเปิดฉากของการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในสวรรค์ ซาตานยังคงรักษาอุดมการณ์ของมันโดยการหลอกลวง และพระคริสต์ยังประกอบพระราชกิจอยู่ตลอดเวลาเพื่อเปิดโปงแผนของมันและทำลายอำนาจของมัน  พระองค์เองผู้ทรงเผชิญกับเจ้าผู้หลอกลวงและตลอดทุกยุคพระองค์ทรงเป็นผู้แสวงหาทางที่จะฉกชิงผู้ที่อยู่ในอุ้งมือของมันออกมา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะพิพากษาจิตวิญญาณทุกดวง  {DA 210.2}

และพระเจ้า “ทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์”  เนื่องจากพระองค์ทรงลิ้มรสความเลวร้ายของความทุกข์ยากและการทดลองของมนุษย์และทรงเข้าพระทัยความบอบบางและบาปของมนุษย์และพระองค์ทรงเอาชนะการทดลองของซาตานเพื่อเราและจะทรงปฏิบัติต่อจิตวิญญาณที่พระโลหิตของพระองค์ทรงหลั่งเพื่อช่วยเขาผู้นั้นอย่างยุติธรรมและเมตตา เนื่องด้วยเหตุนี้ บุตรมนุษย์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำเนินการพิพากษา  {DA 210.3}        

แต่พันธะกิจของพระคริสต์ไม่ใช่เพื่อการพิพากษา แต่เพื่อการทรงช่วยให้รอด “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” ยอห์น 3 ข้อที่ 17  และพระเยซูทรงประกาศต่อหน้าสภาซันเฮดรินว่า “ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” ยอห์น 5 ข้อที่ 24  {DA 210.4}                  

พระองค์ทรงกำชับผู้ฟังว่าอย่าแปลกใจ  โดยเปิดเผยให้พวกเขาเห็นความลึกลับของอนาคตในทัศนะที่กว้างขวางขึ้นว่า “ใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงของพระบุตร และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็เป็นขึ้นมาสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็เป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา”  {DA 211.1}                

ความมั่นใจที่จะได้รับชีวิตในภายภาคหน้านี้เป็นเรื่องที่ชนชาติอิสราเอลรอคอยมาช้านาน และเป็นความหวังที่จะได้รับเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา  ความสว่างเดียวที่ส่องมาถึงความหม่นหมองของหลุมศพกำลังส่องมายังพวกเขา แต่การถือทิฐิทำให้ตาบอด  พระเยซูทรงฝ่าฝืนกฎประเพณีของธรรมาจารย์และละเลยอำนาจของพวกเขาและพวกเขาไม่ยอมเชื่อ  {DA 211.2}

เวลา สถานที่ โอกาสและความรุนแรงของความรู้สึกที่มีอยู่ขณะร่วมชุมนุมกันนี้รวมเข้าด้วยกันจนทำให้พระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสต่อหน้าสภาซันเฮดรินได้รับความประทับใจมากยิ่งขึ้น  อำนาจสูงสุดฝ่ายศาสนาของประเทศกำลังคอยหาทางที่จะเอาชีวิตของพระองค์ผู้ทรงประกาศตนว่าเป็นผู้จะช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลกลับคืนมา  พระเจ้าแห่งวันสะบาโตกำลังอยู่หน้าบัลลังก์ศาลทางฝ่ายโลกเพื่อให้การกับข้อกล่าวหาของการทำผิดกฎวันสะบาโต  เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยพันธกิจของของพระองค์อย่างไม่เกรงกลัว  ผู้พิพากษาของพระองค์มองพระองค์ด้วยความแปลกใจและอย่างบ้าคลั่ง แต่พวกเขาโต้พระดำรัสของพระองค์ไม่ได้  พวกเขาปรักปรำพระองค์ไม่ได้  พระองค์ทรงปฏิเสธสิทธิอำนาจของปุโรหิตและธรรมาจารย์ในการสอบสวนพระองค์ หรือแทรกแซงพระราชกิจของพระองค์  พวกเขาไม่ได้รับมอบอำนาจเช่นนี้  คำอ้างของพวกเขาวางอยู่บนพื้นฐานของความยโสและความทะนงตนของพวกเขาเอง  พระองค์ปฏิเสธที่จะรับผิดตามคำกล่าวหาของพวกเขาหรือให้พวกเขาตรวจสอบ {DA 211.3}

แทนที่พระเยซูจะกล่าวคำขอโทษต่อการกระทำที่พวกเขากล่าวหาหรืออธิบายจุดประสงค์ของการกระทำการนั้น พระองค์ทรงกลับกล่าวหาผู้ปกครอง และผู้ที่ถูกกล่าวหากลับกลายเป็นผู้กล่าวหา  พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาที่มีหัวใจดื้อรั้นและความไม่รู้พระคัมภีร์ของพวกเขา  พระองค์ทรงประกาศว่า พวกเขาปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยการปฏิเสธพระองค์ผู้ที่พระเจ้าประทานมา  “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา”  {DA 211.4}                  

พระสิริของพระบุตรของพระเจ้าส่องประกายลงในทุกหน้าของพระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาเดิมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์หรือคำสอนหรือคำเผยพระวจนะ  เท่าที่เป็นสถาบันของพระเจ้า ศาสนายิวทั้งระบบอัดแน่นด้วยคำพยากรณ์เรื่องของพระกิตติคุณ “บรรดาผู้เผยพระวจนะก็เป็นพยานถึง” พระคริสต์  กิจการ 10 ข้อที่ 43  จากพระสัญญาที่ประทานให้แก่อาดัมเรื่อยไปจนถึงการสืบทอดของเหล่าบรรพชนและระบบการปกครองด้านกฎหมาย แสงแห่งรัศมีภาพของสวรรค์เปิดเผยไว้อย่างชัดแจ้งถึงทุกการกระทำของพระผู้ไถ่  โหราจารย์เห็นดวงดาวของหมู่บ้านเบธเลเฮม  ชีโลห์ผู้ที่จะเสด็จมา ขณะเหตุการณ์ในภายภาคหน้าแล่นผ่านสายตาของพวกเขาไปเป็นฉากๆ อย่างลึกลับอัศจรรย์  การถวายเครื่องบูชาทุกครั้งแสดงให้เห็นถึงความมรณาของพระคริสต์  ในควันของการเผาเครื่องหอมที่ลอยขึ้นไปทุกครั้ง ความชอบธรรมของพระองค์ลอยขึ้นไปด้วย  โดยเสียงแตรแห่งความชื่นชมยินดีพระนามของพระองค์ดังก้องขึ้น  ในความลึกลับอันน่าเกรงขามของความบริสุทธิ์ทั้งมวลพระสิริของพระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย  {DA 211.5}            

ชาวยิวมีพระคัมภีร์อยู่ในการครอบครองและเชื่อกันว่าความรู้ในพระคำอย่างที่เห็นได้อย่างออกหน้าออกตานั้นทำให้พวกเขาได้รับชีวิตนิรันดร์  แต่พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน”  ด้วยปฏิเสธพระดำรัสของพระคริสต์ จึงเป็นการปฏิเสธพระองค์ไปด้วย พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต”  {DA 212.1}

ผู้นำชาวยิวศึกษาคำสอนของผู้เผยพระวจนะในเรื่องของอาณาจักรของพระเมสสิยาห์  แต่พวกเขากระทำไปไม่ใช่ด้วยความต้องการอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริง แต่ด้วยจุดประสงค์ของการค้นหาหลักฐานเพื่อสนับสนุนความหวังอันทะเยอทะยานของพวกเขา  เมื่อพระคริสต์เสด็จมาในลักษณะที่ต่างจากความคาดหวังของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมรับพระองค์และเพื่อแก้ตัวเข้าข้างตนเองจึงพยายามพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้หลอกลวง  เมื่อพวกเขาเริ่มวางเท้าลงในทางเดินนี้ ก็เป็นการง่ายที่จะให้ซาตานช่วยเสริมแรงพวกเขาต้านพระคริสต์  คำที่พวกเขารับฟังนั้นน่าจะใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนความเป็นพระเจ้าของพระองค์แต่กลับถูกพวกเขานำมาแปลความหมายต่อต้านพระองค์  ด้วยเหตุนี้พวกเขาดัดแปลงความจริงของพระเจ้าให้เป็นคำโกหก และพระผู้ช่วยตรัสกับพวกเขาเรื่องแห่งความเมตตาอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นเพียงไร พวกเขาก็ยิ่งตั้งหน้าต่อต้านแสงสว่างมากขึ้นเท่านั้น  {DA 212.2}

พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์”  พระองค์ไม่ทรงประสงค์อิทธิพลของสภาซันเฮดริน ไม่ทรงประสงค์การยอมรับอย่างเป็นทางการของพวกเขา  พระองค์ไม่ได้รับเกียรติใดด้วยการยอมรับของพวกเขา  พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยเกียรติยศและอำนาจของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์  หากพระองค์ทรงประสงค์ ทูตสวรรค์จะมากราบนมัสการพระองค์  พระบิดาจะทรงเปิดเผยความเป็นพระเจ้าของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง  แต่เพื่อพวกเขาและเพื่อประเทศชาติที่พวกเขาเป็นผู้นำอยู่นั้น พระองค์ทรงปรารถนาให้ผู้นำชาวยิวเหล่านี้เรียนรู้พระลักษณะนิสัยของพระองค์และรับพระพรที่พระองค์ทรงนำมาให้แก่พวกเขา  {DA 212.3}            

เรามาในพระนามพระบิดาของเราและพวกท่านไม่ยอมรับเรา ถ้าคนอื่นมาในนามของเขาเอง พวกท่านก็จะรับคนนั้น” พระเยซูเสด็จมาตามพระบัญชาของพระเจ้า เสด็จมาพร้อมด้วยพระฉายาของพระองค์ ประกอบกิจสำเร็จตามพระดำรัสของพระองค์และแสวงหาพระสิริของพระองค์ ถึงกระนั้นผู้นำของชนชาติอิสราเอลก็ยังไม่ยอมรับพระองค์ แต่ว่าหากผู้อื่นที่มาโดยอ้างพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์และหนุนด้วยความตั้งใจของตนเองและแสวงหาเกียรติใส่ตนเองแล้ว พวกเขาจะยอมรับ  แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้?  เป็นเพราะว่าผู้ที่ใฝ่หาเกียรติยศใส่ตนเองย่อมสนองความต้องการที่จะให้ผู้อื่นยกตนเองขึ้น  ชาวยิวสนองต่อการเรียกหาเช่นนี้  พวกเขาจะยอมรับครูเทียมเท็จเนื่องจากครูเหล่านี้เยินยอความทะนงตนของตนเองโดยยอมรับแนวคิดและขนบธรรมเนียมประเพณีที่พวกเขารักหวงแหน  แต่คำสอนของพระคริสต์ไม่เข้ากับความคิดของพวกเขา  เป็นคำสอนเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณและเรียกหาการละทิ้งตนเอง  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ยอมรับพระคำ  พวกเขาไม่คุ้นเคยกับพระเจ้าและสำหรับพวกเขาแล้วพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสผ่านพระคริสต์เป็นเสียงของคนแปลกหน้า  {DA 212.4}                

เรื่องเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอีกครั้งในยุคของเราไม่ใช่หรือ?  มีคนมากมายไม่ใช่หรือแม้ในผู้นำศาสนาที่ทำใจแข็งกระด้างต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนทำให้พวกเขาไม่มีทางที่จะรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า?  พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดำเนินไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมิใช่หรือ?  {DA 213.1}          

พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านก็น่าจะเชื่อเรา เพราะโมเสสเขียนถึงเรา  แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราได้อย่างไร?”  ผู้ที่ตรัสกับชนชาติอิสราเอลผ่านโมเสสคือพระคริสต์  หากพวกเขาฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสผ่านผู้นำยิ่งใหญ่ของพวกพวกเขา พวกเขาก็จะเรียนรู้และรู้จักได้จากคำสอนของพระคริสต์  หากเขาเชื่อโมเสส พวกเขาน่าจะเชื่อพระองค์ผู้ซึ่งโมเสสได้เขียนถึง  {DA 213.2}              

พระเยซูทรงทราบดีว่าพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ตั้งใจเอาชีวิตพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์ยังคงอธิบายให้พวกเขาเห็นอย่างแจ่มแจ้งถึงความเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดาและความสัมพันธ์ของพระองค์กับโลก  พวกเขามองเห็นว่าความขัดแย้งของเขาที่มีต่อพระองค์นั้นเป็นเรื่องให้อภัยไม่ได้  แต่พวกเขาไม่ได้ระงับความเกลียดชังอย่างฆาตกร ความกลัวครอบงำพวกเขาไว้ในขณะที่พวกเขาเห็นเป็นประจักษ์พยานถึงอำนาจอันเร้าใจที่มากับพระราชกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ แต่พวกเขาต่อต้านคำเรียกร้องของพระองค์และกักเก็บตนเองอยู่ในความมืด  {DA 213.3}             

พวกเขาประสบความล้มเหลวที่จะล้มล้างอำนาจของพระเยซูหรือบอกให้ประชาชนเลิกเคารพและสนใจพระองค์อย่างเห็นได้ชัด คนมากมายเหล่านี้รู้สึกว่าตนเป็นคนบาปจากพระดำรัสของพระองค์ ตัวผู้ปกครองเองรู้สึกถูกตำหนิขณะที่พระองค์ทรงตอกย้ำความผิดลงสู่จิตใต้สำนึก ถึงกระนั้นเรื่องนี้ได้แต่ทำให้พวกเขาขมขื่นต่อพระองค์มากยิ่งขึ้น  พวกเขามุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะเอาชีวิตพระองค์  พวกเขาส่งผู้สื่อข่าวออกทั่วประเทศเตือนคนว่าพระเยซูทรงเป็นนักหลอกลวง  นักสืบถูกส่งออกไปเพื่อคอยติดตามพระเยซูและส่งรายงานสิ่งที่พระองค์ตรัสและกระทำ  บัดนี้พระผู้ช่วยให้รอดอันทรงเป็นที่รักยิ่งกำลังประทับอยู่ภายใต้เงาของกางเขนแล้ว  {DA 213.4}

**************