บทที่ 32

นายร้อย

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 8 ข้อที่ 5-13; ลูกา 7 ข้อที่ 1-17

พระคริสต์ตรัสกับขุนนางผู้หนึ่งซึ่งมีลูกชายที่พระองค์ทรงรักษาให้หายแล้วนั้นว่า "ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ" ยอห์น 4 ข้อที่ 48  พระองค์ทรงเศร้าพระทัยที่ชนชาติของพระองค์เองต้องการหมายสำคัญพิสูจน์ความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์  ครั้งแล้วครั้งเล่าพระองค์ทรงประหลาดพระทัยกับความไม่เชื่อของพวกเขา  แต่พระองค์กลับทรงประหลาดพระทัยในความเชื่อของนายร้อยที่ได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ไม่ได้ตั้งแง่สงสัยในอำนาจของพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ได้แม้แต่จะขอให้พระองค์เสด็จไปประกอบการอัศจรรย์ด้วยพระองค์เองแต่ทูลว่า "ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น" เขาทูล "บ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค" {DA 315.1}              

บ่าวของนายร้อยป่วยเป็นโรคอัมพาตและนอนแน่นิ่งจวนจะตาย   ชาวโรมันถือว่าคนรับใช้ก็คือทาสที่ซื้อขายกันในตลาดและจะได้รับการปฏิบัติอย่างทารุณและโหดร้าย แต่นายร้อยคนนี้มีความผูกพันอย่างอ่อนโยนกับคนรับใช้ของเขาและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้คนรับใช้หายป่วย  เขาเชื่อว่าพระเยซูทรงรักษาให้หายได้  เขาไม่เคยเห็นพระผู้ช่วยให้รอดมาก่อน  แต่กิตติศัพท์ที่เขาได้ยินสร้างแรงบันดาลใจที่เพิ่มความเชื่อให้แก่เขา  ถึงแม้ศาสนาของชาวยิวจะมีระเบียบพิธีการ แต่ชาวโรมันคนนี้เชื่อมั่นว่าศาสนาของพวกยิวเหนือกว่าศาสนาของตน  เขาฟันฝ่าอุปสรรคของอคติและความเกลียดชังในระดับชาติที่แยกผู้บุกรุกออกจากผู้ถูกปกครอง  เขาเคารพพิธีกรรมของการนมัสการพระเจ้าและแสดงความกรุณาต่อชาวยิวในฐานะผู้นมัสการพระองค์  ในคำสอนของพระคริสต์ตามที่เขาได้รับรายงานนั้น เขาพบสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของจิตใจ  ทุกสิ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณของเขาตอบสนองต่อพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด  แต่เขารู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะเข้ามาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซู เขาจึงวิงวอนขอให้ผู้ปกครองชาวยิวเป็นผู้ร้องขอการรักษาให้แก่คนรับใช้ของเขา  เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ น่าจะรู้วิธีเข้าหาพระองค์เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์  {DA 315.2}             

เมื่อพระเยซูเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุม พระองค์พบกับคณะผู้ใหญ่บางคนของพวกยิวซึ่งทูลพระองค์ถึงความปรารถนาของนายร้อย  พวกเขาทูลอ้อนวอนพระองค์ว่า "นายร้อยคนนั้นเป็นคนที่พระองค์สมควรจะทำสิ่งนี้ให้  เพราะว่าท่านรักชนชาติของเราและสร้างธรรมศาลาให้เรา"  {DA 316.1}                  

พระเยซูเสด็จออกเดินทางมุ่งไปยังบ้านของนายร้อยทันที แต่ฝูงชนเบียดเสียดกันจึงทำให้การดำเนินไปได้อย่างช้าๆ  ข่าวการเสด็จมาของพระองค์นำหน้าพระองค์ไปแล้ว และด้วยความไม่เชื่อมั่นในตนเอง นายร้อยจึงส่งข้อความถึงพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าได้ลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนที่ไม่สมควรจะรับพระองค์เข้าใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์"  แต่พระผู้ช่วยให้รอดยังทรงดำเนินมุ่งหน้าไปบ้านของนายร้อยต่อไป และนายร้อยพยายามเดินทางไปเข้าเฝ้าพระองค์จนในที่สุดได้เข้ามาถึงพระองค์จึงทูลพระองค์จนจบข้อความนั้นว่า "เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงเห็นว่าเป็นการไม่สมควรด้วยที่จะไปหาพระองค์" "ขอเพียงแต่รับสั่ง ทาสของข้าพระองค์ก็จะหายโรค  เพราะว่าข้าพระองค์เองก็อยู่ใต้อำนาจทหารและมีทหารที่อยู่ใต้อำนาจถ้าข้าพระองค์บอกคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็จะไป ถ้าบอกคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็จะมา ถ้าบอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘ทำสิ่งนี้’ เขาก็จะทำ”  ข้าพระองค์เป็นตัวแทนของรัฐบาลโรมและทหารของข้าพระองค์ยอมรับว่าอำนาจของข้าพระองค์ยิ่งใหญ่ฉันใด  พระองค์ผู้ทรงเป็นตัวแทนของอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงไร้ขอบเขตจำกัดและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นก็เชื่อฟังพระองค์เช่นกันฉันนั้น  พระองค์ตรัสบัญชาสั่งให้โรคออกไป และมันก็จะเชื่อฟังพระองค์  พระองค์ตรัสบัญชาผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ และพวกเขาก็จะนำคุณความดีแห่งการรักษามาให้  ขอเพียงแค่ตรัสรับสั่ง ทาสของข้าพระองค์ก็จะหายเป็นปกติ  {DA 316.2}          

เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้วก็ประหลาดพระทัย จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับฝูงชนที่ตามพระองค์มาว่า ‘เราบอกพวกท่านว่าเราไม่เคยพบความเชื่อมากเท่านี้แม้แต่ในอิสราเอล’” พระองค์ตรัสกับนายร้อยว่า "ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น’ ในทันใดนั้นเอง บ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ"  {DA 316.3}              

ผู้ใหญ่ชาวยิวบางคนที่แนะนำนายร้อยให้รู้จักพระคริสต์ได้แสดงออกให้เห็นว่าพวกเขาห่างไกลจากการเป็นผู้ครอบครองจิตวิญญาณของข่าวประเสริฐมากเพียงไร  พวกเขาไม่ยอมรับว่าความต้องการยิ่งใหญ่ของเราคือพระเมตตาคุณของพระเจ้าเท่านั้น  ในความชอบธรรมของตนเองพวกเขายกย่องนายร้อยเพราะคุณความดีที่เขาแสดงต่อ "ชาติของเรา" แต่นายร้อยพูดถึงตัวเองว่า "ข้าพระองค์เป็นคนที่ไม่สมควร"  หัวใจของเขาสัมผัสได้ถึงพระคุณของพระคริสต์  เขาเห็นความไม่คู่ควรของตนเองแต่กระนั้นเขาไม่กลัวที่จะขอความช่วยเหลือ  เขาไม่ไว้วางใจในความดีของตนเอง ข้อคิดเห็นที่แสดงออกมาเป็นความต้องการยิ่งใหญ่ของเขา  ความเชื่อของเขายึดพระคริสต์ในพระลักษณะนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ไว้  เขาไม่ได้เชื่อพระองค์เพียงในฐานะผู้ทำการอัศจรรย์เท่านั้นแต่ในฐานะมิตรและพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ  {DA 316.4}  

คนบาปทุกคนก็จะเข้ามาถึงพระคริสต์ได้ในลักษณะเช่นเดียวกันนี้  "ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์” ที่ช่วยเราให้รอด ทิตัส 3 ข้อที่ 5  เมื่อซาตานย้ำบอกว่าคุณเป็นคนบาปและไม่มีหวังที่จะรับพระพรของพระเจ้า ให้บอกมันว่าพระคริสต์เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอด  เราไม่มีสิ่งใดที่จะนำเสนอตัวเราเองกับพระเจ้า เว้นเสียแต่คำวิงวอนที่เราอาจเรียกร้องในเวลานี้และตลอดไปซึ่งเป็นสภาพที่หมดหนทางของเรา เราจึงจำเป็นต้องได้อำนาจของการไถ่ให้รอดของพระองค์  เราต้องละทิ้งการพึ่งตนเองให้หมด เราต้องมองไปยังกางเขนคาลวารีและพูดว่า            

“สิ่งควรค่าใดหามีไม่ในมือฉัน

กางเขนท่านนั้นฉันยึดไว้มั่น”  {DA 317.1}           

ตั้งแต่วัยเด็กชาวยิวได้รับการสั่งสอนในเรื่องพระราชกิจของพระเมสสิยาห์  พระคำแห่งการดลใจของปิตุลาและผู้เผยพระวจนะและคำสอนเชิงสัญลักษณ์ของการถวายบูชาเป็นของพวกเขามาช้านาน  แต่พวกเขาละเลยแสงสว่าง และบัดนี้พวกเขาไม่เห็นสิ่งน่าปรารถนาอันใดในตัวของพระเยซู  แต่นายร้อยที่เกิดในศาสนานอกรีต ได้รับการศึกษาเรื่องการบูชารูปเคารพของจักรวรรดิโรมและผ่านการฝึกเป็นทหารซึ่งดูเหมือนจะถูกตัดขาดจากชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วยการศึกษาและสภาพแวดล้อมของเขาและยังถูกปิดกั้นเพิ่มขึ้นอีกจากความดื้อรั้นของชาวยิวและการดูถูกที่เพื่อนร่วมชาติของเขามีต่อชนชาติอิสราเอล  ชายคนนี้มองเห็นความจริงที่ลูกหลานของอับราฮัมตาบอดมองไม่เห็น   เขาไม่รอดูว่าชาวยิวจะรับผู้ที่อ้างว่าเป็นพระเมสสิยาห์ของพวกเขาหรือไม่  ในขณะที่ "ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก" ยอห์น 1 ข้อที่ 9  ส่องลงมาที่เขา  เขามองเห็นพระสิริของพระบุตรของพระเจ้าแม้จะอยู่ไกลออกไป  {DA 317.2}             

สำหรับพระเยซูแล้วนี่คือผลงานของข่าวประเสริฐที่จะต้องทำให้สำเร็จท่ามกลางคนต่างชาติ  พระองค์ทรงรอคอยด้วยความชื่นชมยินดีที่จะรวบรวมจิตวิญญาณจากทุกประชาชาติมาสู่อาณาจักรของพระองค์  ด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งพระองค์ทรงกล่าวให้ชาวยิวเห็นถึงผลของการปฏิเสธพระคุณของพระองค์  "เราบอกพวกท่านว่า คนจำนวนมากที่มาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วมงานเลี้ยงกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในแผ่นดินสวรรค์  แต่ทายาททั้งหลายของแผ่นดินนั้นจะถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืด ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"  อนิจจา มีคนอีกมากสักเท่าไรที่ยังคงกำลังเตรียมรับความผิดหวังครั้งร้ายแรงเดียวกันนี้!  ในขณะที่จิตวิญญาณในความมืดมิดของคนต่างแดนยอมรับพระคุณของพระองค์ แต่มีสักกี่คนในดินแดนคริสเตียนที่แสงส่องสว่างมาถึงพวกเขาก็เพียงเพื่อจะถูกเพิกเฉย  {DA 317.3}          

ห่างจากเมืองคาเปอรนาอุมกว่ายี่สิบไมล์ [32.2 กิโลเมตร] บนพื้นที่ราบสูงซึ่งมองเห็นที่ราบเอสดราลอนอันกว้างใหญ่และสวยงามนั้นเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านนาอิน และพระเยซูทรงย่างพระบาทของพระองค์ไปที่นั่น  สาวกหลายคนและผู้คนอื่นๆ ก็อยู่เคียงข้างพระองค์ และตลอดการเดินทางมีประชาชนเข้ามาร่วมกลุ่มเพื่อหวังที่จะรอคอยพระดำรัสแห่งรักและพระเมตตาสงสารของพระอ บ้างเพื่อนำคนป่วยของพวกเขามาให้พระองค์รักษา และบ้างก็เพื่อหวังที่จะคอยให้พระองค์ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่เปิดตัวเป็นกษัตริย์ของประเทศอิสราเอล มหาชนรวมกลุ่มกันเดินตามพระองค์ เป็นกลุ่มคนที่มีความคาดหวังและความยินดีขณะเดินตามพระองค์ขึ้นไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินมุ่งหน้าไปยังประตูของหมู่บ้านบนภูเขา  {DA 318.1}                

เมื่อเดินเข้าใกล้หมู่บ้าน พวกเขาเห็นขบวนศพที่กำลังเคลื่อนด้วยฝีก้าวช้าๆ และแสนเศร้าออกมาจากประตูหมู่บ้านมุ่งหน้าไปยังสุสาน  บนแคร่หามศพที่อยู่ด้านหน้าคือร่างของผู้ตายและรอบๆ คือคนร้องไห้ไว้ทุกข์ซึ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของพวกเขา ดูเหมือนว่าคนทั้งเมืองได้มาชุมนุมรวมตัวกันเพื่อแสดงความเคารพผู้ตายและแสดงความเห็นใจต่อญาติของเขา  {DA 318.2}           

เป็นภาพที่ปลุกความเห็นอกเห็นใจ  ผู้ตายเป็นลูกชายคนเดียวของแม่และเธอก็เป็นหม้าย  ผู้โศกเศร้าที่โดดเดี่ยวเดินตามผู้ที่เลี้ยงดูและผู้ปลอบประโลมเพียงคนเดียวในโลกของเธอไปยังหลุมฝังศพ   “เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นมารดาคนนั้น พระองค์ทรงสงสารนาง” ขณะที่เธอเดินไปอย่างไม่มองหน้าเหลียวหลังและร้องไห้โดยไม่สังเกตถึงการเสด็จมาปรากฏของพระองค์  พระองค์เสด็จเข้ามาใกล้เธอและตรัสอย่างแผ่วเบาว่า "อย่าร้องไห้" พระเยซูกำลังจะเปลี่ยนความโศกเศร้าของเธอให้เป็นความสุข แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงห้ามที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจอันอ่อนโยนนี้ไม่ได้ {DA 318.3}                  

"พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้แตะต้องโลง"  แม้แต่การสัมผัสกับความตายก็ไม่ทำให้พระองค์เป็นมลทิน  ผู้หามหยุดนิ่งและเสียงคร่ำครวญของผู้ไว้ทุกข์ก็หยุด  กลุ่มคนทั้งสองยืนห้อมล้อมโลงศพคาดหวังบางสิ่งจากเหตุการณ์  พระเจ้าองค์หนึ่งผู้กำจัดโรคและปราบมารประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา ความตายจะอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ด้วยหรือ?  {DA 318.4}    

พระดำรัสของพระองค์ดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและทรงพลังอำนาจว่า "ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งท่านให้ลุกขึ้น"  เสียงนั้นทิ่มแทงหูของคนตาย  ชายหนุ่มลืมตา  พระเยซูทรงจับมือของเขาและยกเขาขึ้น  เขาจ้องมองไปยังคุณแม่ที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ เขา แม่และลูกกอดกันในอ้อมกอดยาวนานและแนบแน่นอย่างมีความสุข  ฝูงชนมองด้วยความเงียบราวกับถูกมนต์สะกด  “ทุกคนก็เกิดความเกรงกลัว” พวกเขานิ่งไปและยืนด้วยความเคารพอยู่สักครู่ราวกับอยู่เบื้องพระเจ้า  จากนั้นพวกเขา "สรรเสริญพระเจ้าว่า ‘ผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่มาเกิดท่ามกลางเราแล้ว พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์’’" ขบวนแห่ศพได้เดินทางกลับหมู่บ้านนาอินอย่างขบวนแห่งชัยชนะ “แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปตลอดทั่วยูเดียและทั่วแว่นแคว้นโดยรอบ” {DA 318.5}                

พระองค์ผู้ประทับอยู่ข้างมารดาผู้โศกเศร้าที่ประตูหมู่บ้านนาอินทรงเฝ้ามองความโศกเศร้าของทุกคนที่ยืนอยู่ข้างโลงศพ  พระองค์ทรงเห็นอกเห็นใจและสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกของพวกเรา  หัวใจแห่งรักและสงสารของพระองค์เป็นหัวใจของความอ่อนโยนที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  พระดำรัสของพระองค์ที่ปลุกคนตายให้มีชีวิตนั้นยังคงมีประสิทธิภาพในปัจจุบันนี้ไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้นตรัสกับชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านนาอิน  พระองค์ตรัสว่า "สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว" มัทธิว 28 ข้อที่ 18  อำนาจนั้นไม่ได้ลดลงไปแม้เวลาล่วงผ่านไปหลายปีหรือหมดไปเนื่องจากกิจกรรมแห่งพระคุณของพระองค์ที่หลั่งไหลออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน  สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงชนม์  {DA 319.1}                

พระเยซูทรงเปลี่ยนความเศร้าโศกของแม่ให้เป็นความปีติยินดีเมื่อพระองค์ประทานบุตรชายของเธอกลับคืนมา  แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้แค่ได้รับชีวิตทางโลกนี้อีกครั้งเพื่อมาทนรับความโศกเศร้า ความทุกข์ยากลำบากและภัยอันตรายของโลกใบนี้และต้องเดินผ่านความตายอีกครั้ง  แต่พระเยซูทรงปลอบประโลมความโศกเศร้าจากการที่เรามีผู้ที่เสียชีวิตด้วยข่าวสารแห่งความหวังอันไม่สิ้นสุดว่า  เรา "เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่นี่แน่ะ เรายังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และเราถือลูกกุญแจทั้งหลายแห่งความตาย"  "บุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อเช่นกันอย่างไร พระองค์ก็ทรงมีส่วนเช่นนั้นด้วยอย่างนั้น เพื่อโดยทางความตายนั้น พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจแห่งความตาย  และจะทรงปลดปล่อยบรรดาคนเหล่านั้นที่ตกเป็นทาสมาตลอดชีวิตเนื่องจากความกลัวตาย" วิวรณ์ 1 ข้อที่ 18; ฮีบรู 2 ข้อที่ 14, 15  {DA 320.1}        

ซาตานกักขังคนตายไว้ในอุ้งมือของมันไม่ได้เมื่อพระบุตรของพระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขากลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่  มันกักขังจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่มีความเชื่อและรับพระคำแห่งอำนาจของพระคริสต์ไว้ในความตายแห่งจิตวิญญาณไม่ได้  พระเจ้าตรัสกับทุกคนที่ตายในบาปว่า "คนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้นและจงเป็นขึ้นจากตาย" เอเฟซัส 5 ข้อที่ 14  พระดำรัสนั้นคือชีวิตนิรันดร์  เช่นเดียวกับพระวจนะของพระเจ้าที่เรียกมนุษย์คนแรกให้มีชีวิตก็ยังให้ชีวิตแก่เราในขณะนี้ด้วย พระวจนะของพระคริสต์ที่ว่า "ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งท่านให้ลุกขึ้น" ให้ชีวิตแก่ชายหนุ่มของหมู่บ้านนาอินฉันใด คำที่ว่า "ลุกขึ้นจากความตาย" ก็เป็นชีวิตแก่จิตวิญญาณที่รับพระดำรัสนั้นไว้เช่นกันฉันนั้น  พระเจ้า "ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และทรงย้ายเราเข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์" โคโลสี 1 ข้อที่ 13  พระดำรัสทั้งหมดนี้นำเสนอไว้ให้แก่เราในพระวจนะของพระองค์ หากเรารับพระวจนะนั้นไว้ เราก็จะได้รับการช่วยกู้ให้รอด  {DA 320.2}                 

และ “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน"  “คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์”โรม 8 ข้อที่ 11; 1 เธสะโลนิกา 4 ข้อที่ 16, 17  นี่คือคำปลอบโยนที่พระองค์ทรงกำชับให้เราปลอบโยนซึ่งกันและกัน  {DA 320.3}         

***************