บทที่ 44
หมายสำคัญที่แท้จริง
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 15 ข้อที่ 29-39; 16 ข้อที่ 1-12; มาระโก 7 ข้อที่ 31-37; 8 ข้อที่ 1-21
“ต่อมาพระองค์เสด็จจากเขตแดนเมืองไทระ และทรงผ่านเมืองไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี ไปตามเขตแดนแคว้นทศบุรี” มาระโก 7 ข้อที่ 31 {DA 404.1}
แถบดินแดนของแคว้นทศบุรีนี้เองที่คนถูกผีเข้าสิงแห่งเมืองเก-ราซาได้รับการรักษาให้หาย ประชาชนที่นี่ตื่นตระหนกกับฝูงสุกรที่ถูกทำลาย พวกเขาแทบจะบังคับพระเยซูให้ออกไปจากท่ามกลางพวกเขา แต่พวกเขาได้ฟังผู้สื่อข่าวที่ยังคงอยู่ที่นั่น และแล้วพวกเขาก็ปรารถนาที่จะเข้าเฝ้าพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในภูมิภาคนั้นอีกครั้ง มีฝูงชนกลุ่มหนึ่งมาล้อมอยู่รอบพระองค์ และชายหูหนวกเดินโซซัดโซเซคนหนึ่งถูกนำมาเข้าเฝ้าพระองค์ พระเยซูไม่ได้รักษาคนนั้นให้หายด้วยพระดำรัสดังที่ทรงทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของพระองค์ พระองค์ทรงนำเขาเดินออกห่างไปจากฝูงชนเล็กน้อย เอานิ้วพระหัตถ์ไชเข้าไปยังหูของเขาและสัมผัสลิ้นของเขาและเงยพระพักตร์ขึ้นไปยังสวรรค์ ทรงถอนหายใจเมื่อทรงนึกถึงหูที่ไม่ยอมเปิดรับฟังความจริงและลิ้นที่ปฏิเสธที่จะยอมรับพระผู้ไถ่ เมื่อพระองค์ตรัสคำว่า "จงเปิดออก" ชายคนนั้นก็พูดได้เป็นปกติและประกาศเรื่องราวการรักษาของเขาออกไปโดยเพิกเฉยพระบัญชาที่สั่งห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้ใด {DA 404.2}
พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังภูเขาและที่นั่นฝูงชนก็พากันมาเฝ้าพระองค์ พวกเขานำคนป่วยและคนง่อยมาวางไว้แทบพระบาทของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาพวกเขาทั้งหมดและประชาชนชาวต่างชาติเหล่านี้ต่างถวายพระสิริแด่พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอล เป็นเวลาสามวันที่พวกเขาชุมนุมกันอยู่รอบพระผู้ช่วยให้รอด นอนใต้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนและตลอดทั้งวันเอาใจใส่อย่างกระตือรือร้นฟังพระวจนะของพระคริสต์และคอยติดตามพระราชกิจของพระองค์ เมื่อถึงเย็นวันที่สามอาหารของพวกเขาก็หมด พระเยซูจะไม่ทรงส่งพวกเขาไปในขณะที่ยังหิวอยู่และพระองค์ทรงบัญชาให้สาวกของพระองค์นำอาหารมาเลี้ยงพวกเขา อีกครั้งหนึ่งพวกสาวกเผยให้เห็นถึงความไม่เชื่อ ที่เมืองเบธไซดาพวกเขาเห็นแล้วว่า ด้วยพระพรของพระคริสต์ อาหารเพียงเล็กน้อยของพวกเขากลับมีอย่างเหลือเฟือที่จะเลี้ยงมหาชนได้ แต่ถึงกระนั้นบัดนี้พวกเขาก็ไม่ได้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ด้วยการวางใจในอำนาจของพระองค์ที่จะเพิ่มจำนวนอาหารนั้นเพื่อเลี้ยงฝูงชนที่หิวโหย ยิ่งกว่านั้นผู้ที่พระองค์ทรงเลี้ยงที่เบธไซดาเป็นชาวยิว แต่คนเหล่านี้เป็นคนต่างชาติและคนนอกศาสนา อคติของชาวยิวยังคงฝังแน่นอยู่ในใจของเหล่าสาวกและพวกเขาตอบพระเยซูว่า "ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้จะหาอาหารให้พวกเขากินอิ่มได้ที่ไหน?” แต่ด้วยความเชื่อฟัง พวกเขาได้นำอาหารที่มีอยู่มาถวายพระองค์ คือขนมปังเจ็ดก้อนและปลาสองตัว ฝูงชนรับประทานอิ่มกันทุกคน เก็บเศษอาหารได้เจ็ดตะกร้า มีชายสี่พันคนไม่นับผู้หญิงและเด็กที่ได้รับประทานจนอิ่ม แล้วพระเยซูจึงทรงบัญชาให้พวกเขากลับไปด้วยความชื่นชมยินดีและสำนึกในพระคุณ {DA 404.3}
จากนั้นพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับสาวก ทรงแล่นเรือข้ามทะเลสาบไปยังเมืองมักดาลาทางตอนใต้สุดของที่ราบเยนเนซาเรท ที่ชายแดนไทระและไซดอนจิตวิญญาณของพระองค์ทรงรับความชุ่มชื่นจากหญิงชาวซีเรียฟีนิเซียคนหนึ่งที่มอบถวายความไว้วางใจให้พระองค์ คนต่างชาติของแคว้นทศบุรีต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี บัดนี้พระองค์เสด็จมาขึ้นฝั่งที่แคว้นกาลิลีอีกครั้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงสำแดงอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ที่ทรงประกอบพระราชกิจแห่งความเมตตาและประทานคำสอนของพระองค์มากที่สุด แต่ต้องเผชิญกับความไม่เชื่ออย่างเหยียดหยาม {DA 405.1}
พวกสะดูสีได้ส่งตัวแทนให้เข้ามาร่วมกับคณะผู้แทนกลุ่มหนึ่งของพวกฟาริสี พวกสะดูสีเป็นคนร่ำรวยและมีความงามสง่าอย่างขุนนาง พวกเขาเป็นพรรคของปุโรหิต เป็นผู้ชอบเยาะเย้ยสงสัยและเป็นชนชั้นสูงของชาติ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นศัตรูกันอย่างดุเดือด พวกสะดูสีคอยเอาใจอำนาจปกครองเพื่อคงไว้ซึ่งตำแหน่งและอำนาจของตนเอง ในทางตรงกันข้ามพวกฟาริสีถนอมเก็บความเกลียดชังที่มีต่อชาวโรมันซึ่งเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและเฝ้าคอยวันที่พวกเขาจะเหวี่ยงแอกของผู้ครอบครองทิ้งไป แต่บัดนี้พวกฟาริสีและพวกสะดูสีรวมตัวกันต่อต้านพระคริสต์ ความเหมือนจะเข้าได้กับความเหมือน และความชั่วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะผูกมิตรกับความชั่วเพื่อทำลายสิ่งที่ดี {DA 405.2}
บัดนี้พวกฟาริสีและพวกสะดูสีมาเข้าเฝ้าพระคริสต์เพื่อขอหมายสำคัญจากสวรรค์ ในสมัยของโยชูวา เมื่อชนชาติอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวคานาอันที่เมืองเบธโฮโรน ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งตามคำสั่งของผู้นำจนกระทั่งได้รับชัยชนะ และสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่คล้ายคลึงกันปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์ของพวกเขา หมายสำคัญดังกล่าวบางอย่างอยู่ภายใต้พระบัญชาของพระเยซู แต่หมายสำคัญเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ชาวยิวต้องการ ไม่มีหลักฐานแค่ภายนอกที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นไม่ใช่การรู้แจ้งทางปัญญา แต่จิตวิญญาณที่ปรับปรุงใหม่ {DA 406.1}
"โอ คนหน้าซื่อใจคด” พระเยซูตรัส “พวกท่านรู้จักวิจัยความเป็นไปของแผ่นดินและท้องฟ้า?" - โดยการศึกษาท้องฟ้าพวกเขาพยากรณ์เรื่องดินฟ้าอากาศได้ "เพราะอะไรท่านถึงวิจัยความเป็นไปของยุคนี้ไม่ได้" พระดำรัสของพระคริสต์เองซึ่งตรัสด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ตัดสินบาปของพวกเขาเป็นหมายสำคัญที่พระเจ้าประทานให้เพื่อความรอดของพวกเขา และมีหมายสำคัญอีกมากมายที่ส่งตรงลงมาจากสวรรค์เพื่อรับรองพันธกิจของพระองค์ บทเพลงของทูตสวรรค์ที่มาถึงคนเลี้ยงแกะ ดวงดาวที่นำทางนักปราชญ์ นกพิราบและเสียงจากสวรรค์เมื่อพระองค์รับบัพติศมาล้วนเป็นพยานให้กับพระองค์ {DA 406.2}
"พระองค์ถอนพระทัยแล้วตรัสว่า ‘ทำไมคนยุคนี้ถึงแสวงหาหมายสำคัญ?’” “จะไม่ประทานหมายสำคัญแก่คนยุคนี้” "จะไม่ประทานหมายสำคัญให้ เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ” โยนาห์อยู่ในท้องปลามหึมาสามวันสามคืนอย่างไร บุตรมนุษย์จะอยู่ใน “ท้องแผ่นดินสามวันสามคืนอย่างนั้น” และการเทศนาของโยนาห์เป็นหมายสำคัญให้กับชาวนีนะเวห์ฉันใด การเทศนาของพระคริสต์ก็เป็นหมายสำคัญให้กับคนในยุคของพระองค์ฉันนั้น แต่การตอบรับพระดำรัสนั้นแตกต่างกันอย่างมากยิ่งเพียงไร! ประชากรของเมืองยิ่งใหญ่ของพวกนอกศาสนาตัวสั่นเมื่อได้ยินคำเตือนจากพระเจ้า กษัตริย์และขุนนางถ่อมตนเองลง ทั้งคนชนชั้นสูงและชนชั้นต่ำร่วมร้องทูลหาพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเมตตาคุณของพระองค์ก็ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขา “ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนในยุคนี้” พระคริสต์ตรัส “และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่เพราะการประกาศของโยนาห์และผู้ที่ใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่” มัทธิว 12 ข้อที่ 40, 41 {DA 406.3}
การอัศจรรย์ทุกประการที่พระคริสต์ทรงกระทำนั้นเป็นหมายสำคัญแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงประกอบกิจที่ได้พยากรณ์ไว้แล้วล่วงหน้าว่าเป็นพระราชกิจของพระเมสสิยาห์ แต่สำหรับพวกฟาริสีพระราชกิจแห่งความเมตตาเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงการฝ่าฝืนพระบัญญัติ ผู้นำชาวยิวเหล่านี้มองความระทมทุกข์ของมนุษย์อย่างไร้ความเมตตาปรานี ในหลายกรณีที่ความเห็นแก่ตัวและการกดขี่ของพวกเขาทำให้เกิดความทุกขเวทนาที่พระคริสต์ทรงช่วยปลดปล่อย ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วการอัศจรรย์ของพระองค์จึงเป็ นเหตุของการกล่าวโทษพระองค์ {DA 406.4}
สิ่งที่ชักนำชาวยิวให้ปฏิเสธพระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นหลักฐานขั้นสูงสุดที่แสดงถึงพระลักษณะความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ความสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุดของการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์มองเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าทรงทำเพื่อเป็นพระพรแก่มวลมนุษยชาติ หลักฐานยิ่งใหญ่สุดที่แสดงว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้าคือชีวิตของพระองค์ที่เปิดเผยถึงพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า พระองค์ทรงประกอบกิจและตรัสพระดำรัสของพระเจ้า ชีวิตเช่นนี้คือการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาการอัศจรรย์ทั้งหมด {DA 406.5}
ในสมัยของเรา เมื่อข่าวสารแห่งความจริงถูกนำเสนอออกไปมีหลายคนทำตัวเหมือนชาวยิวที่ร้องว่า โปรดแสดงหมายสำคัญให้แก่เรา โปรดทำการอัศจรรย์ให้พวกเรา พระคริสต์ไม่ทรงทำการอัศจรรย์ตามคำเรียกร้องของพวกฟาริสี พระองค์ไม่ทรงทำการอัศจรรย์ตามคำเสนอแนะอย่างประจบประแจงของซาตาน พระองค์ไม่ได้ประทานอำนาจแก่เราเพื่อแก้ต่างให้ตัวเราเองหรือเพื่อสนองความต้องการของคนไม่เชื่อและหยิ่งยโส แต่ข่าวประเสริฐก็ไม่ได้ปราศจากหมายสำคัญที่ชี้บอกว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากพระเจ้า การหลุดพ้นจากพันธนาการของซาตานไม่ใช่การอัศจรรย์หรือ? การเป็นศัตรูกับซาตานไม่ใช่เรื่องธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ปลูกฝังไว้ เมื่อมีคนหนึ่งที่ถูกควบคุมด้วยความดื้อรั้นเอาแต่ใจได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระและมอบถวายตนอย่างหมดใจให้แก่การชักนำของตัวแทนจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์การอัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อมีคนหนึ่งที่ตกอยู่ภายใต้ความคิดเพ้อเจ้อของความเชื่อที่ผิดได้มาเข้าใจความจริงฝ่ายศีลธรรม ทุกครั้งเมื่อมีจิตวิญญาณกลับใจและเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าและถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ พระสัญญาของพระเจ้าก็สำเร็จในตัวของเขาแล้ว "เราจะให้ใจใหม่แก่พวกเจ้า และเราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ภายในของเจ้าทั้งหลาย" เอเสเคียล 36 ข้อที่ 26 การเปลี่ยนแปลงในจิตใจของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงลักษณะอุปนิสัยเป็นการอัศจรรย์ที่เปิดเผยถึงพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงชนม์ตลอดกาล ทรงประกอบกิจเพื่อกู้จิตวิญญาณกลับคืนมา ในการเทศนาพระวจนะของพระเจ้านั้น หมายสำคัญที่ควรจะแสดงออกมาในเวลานี้และตลอดไปคือการสถิตร่วมอยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อทำให้พระวจนะมีอำนาจฟื้นฟูในตัวผู้ฟัง นี่เป็นประจักษ์พยานของพระเจ้าต่อหน้าโลกถึงพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระบุตรพระองค์ {DA 407.1}
ผู้ที่ปรารถนาหมายสำคัญจากพระเยซูได้ทำให้หัวใจของตนเองแข็งกระด้างด้วยความไม่เชื่อจนพวกเขาไม่เข้าใจพระลักษณะนิสัยของพระองค์ที่เหมือนพระฉายาของพระเจ้า พวกเขาไม่ต้องการเห็นพันธกิจของพระองค์สำเร็จแล้วตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในอุปมาเรื่องของเศรษฐีและลาซารัสนั้น พระเยซูตรัสกับพวกฟาริสีว่า "ถ้าพวกเขาไม่ฟังโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะ แม้จะมีใครเป็นขึ้นมาจากตาย เขาก็ยังจะไม่เชื่อ" ลูกา 16 ข้อที่ 31 ไม่มีหมายสำคัญใดที่ประทานให้ทั้งในสวรรค์หรือบนโลกจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา {DA 407.2}
พระเยซูทรง "ถอนพระทัย" และทรงหันหลังไปจากกลุ่มคนที่หาเรื่องตำหนิติเตียนแล้วเสด็จกลับลงเรือพร้อมสาวก พวกเขาแล่นข้ามทะเลสาบไปอย่างเงียบๆ ด้วยความเศร้า แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้กลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาจากมา แต่มุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองเบธไซดาใกล้กับบริเวณที่เลี้ยงคนห้าพันคน เมื่อมาถึงอีกด้านอันไกลโพ้นที่สุดแล้ว พระเยซูตรัสว่า "จงสังเกตและระวังเชื้อของพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี" ชาวยิวคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยของโมเสสเรื่องกำจัดเชื้อ [เชื้อทำขนมปังหรือผงฟูทำขนมปัง-ผู้แปล] ออกจากบ้านของพวกเขาในช่วงเทศกาลปัสกา และด้วยประการฉะนี้พวกเขาจึงได้รับการสอนให้ถือว่าเชื้อนี้เป็นบาปชนิดหนึ่ง กระนั้นสาวกก็ไม่เข้าใจพระเยซู ในการเดินทางออกจากเมืองมักดาลาอย่างกะทันหันนั้นพวกเขาลืมเอาขนมปังติดตัวไปด้วยและมีขนมปังอยู่เพียงก้อนเดียว ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้พวกสาวกจึงเข้าใจว่าพระคริสต์กำลังเตือนพวกเขาอย่าไปซื้อขนมปังจากพวกฟารีสีหรือพวกสะดูสี บ่อยครั้งที่การขาดความเชื่อและขาดความเข้าใจในเรื่องทางจิตวิญญาณนำพวกเขาให้เข้าใจพระวจนะของพระองค์ผิดไป บัดนี้พระเยซูทรงตำหนิพวกเขาที่คิดว่าพระองค์ผู้ทรงใช้ปลาเพียงไม่กี่ตัวและขนมปังไม่กี่ก้อนเลี้ยงหลายพันคนนั้นตรัสหมายความถึงเฉพาะอาหารเลี้ยงร่างกาย ยังมีภัยอันตรายของการอ้างเหตุผลอย่างเจ้าเล่ห์ของพวกฟาริสีและพวกสะดูสีอาจเป็นเชื้อที่ปนเปื้อนพวกสาวกทำให้ไม่เชื่อและทำให้พวกเขาคำนึงถึงพระราชกิจของพระคริสต์อย่างไม่เอาใจใส่ {DA 407.3}
พวกสาวกมีความโน้มที่จะคิดว่าพระอาจารย์ของพวกเขาควรจะสนองสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องให้สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงมีความสามารถอย่างเต็มที่ที่จะทำสิ่งนี้ได้และเชื่อว่าหมายสำคัญนี้จะสยบศัตรูของพระองค์ให้เงียบไปเลย พวกเขามองไม่เห็นความหน้าซื่อใจคดของพวกที่คอยหาเรื่องติเตียนตำหนิเหล่านี้ {DA 408.1}
หลายเดือนต่อมา “ในช่วงนั้นมีฝูงชนนับพันๆ ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ก่อนว่า ‘ท่านทั้งหลายจงระวังเชื้อของพวกฟาริสีคือความหน้าซื่อใจคด’” ลูกา 12 ข้อที่ 1. {DA 408.2}
เชื้อขนมปังที่อยู่ในก้อนแป้งทำงานอย่างเงียบๆ เปลี่ยนก้อนแป้งให้เป็นเนื้อของขนมปัง ดังนั้นหากปล่อยให้ความหน้าซื่อใจคดมีอยู่ในหัวใจ มันจะแทรกซึมเข้าไปในลักษณะอุปนิสัยและชีวิต ตัวอย่างที่โดดเด่นอันหนึ่งในเรื่องความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสีนั้น พระคริสต์ทรงเคยตำหนิแล้วในการประณามการปฏิบัติแบบ "โกระบาน" ซึ่งเป็นการละเลยหน้าที่กตัญญูกตเวทีต่อบุพการีแต่ถูกปกปิดไว้ภายใต้การเสแสร้งทำเป็นใจกว้างถวายให้แก่พระวิหาร พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีกำลังสอดแทรกหลักการที่หลอกลวง พวกเขาปกปิดแนวโน้มที่แท้จริงของหลักคำสอนของพวกเขาและใช้ทุกโอกาสเพื่อปลูกฝังหลักคำสอนเข้าไปสู่สมองของผู้ฟังอย่างแนบเนียน หลักการเทียมเท็จเหล่านี้เมื่อรับเข้าไปจะทำงานเหมือนเชื้อขนมปังในก้อนแป้งเข้าแทรกซึมและเปลี่ยนแปลงลักษณะอุปนิสัย คำสอนอันหลอกลวงนี้แหละที่ทำให้ประชาชนรับพระวจนะของพระคริสต์ได้อย่างยากลำบาก {DA 408.3}
อิทธิพลแบบเดียวกันนี้กำลังทำงานอยู่ในยุคปัจจุบันผ่านผู้ที่พยายามอธิบายพระบัญญัติของพระเจ้าในลักษณะที่เป็นไปตามหลักปฏิบัติของพวกเขา คนกลุ่มนี้จะไม่โจมตีพระบัญญัติอย่างเปิดเผย แต่นำเสนอทฤษฎีการคาดเดาซึ่งบ่อนทำลายหลักการของพระบัญญัติ พวกเขาอธิบายเพื่อมุ่งทำลายอำนาจของพระบัญญัตินั้น {DA 408.4}
ความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสีเป็นผลผลิตจากการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง การเชิดชูเกียรติตนเองเป็นเป้าหมายชีวิตของพวกเขา การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชักนำให้พวกเขาบิดเบือนพระคัมภีร์และใช้พระคัมภีร์ไปในทางที่ผิดและทำให้พวกเขาตาบอดมองไม่เห็นเป้าหมายแห่งพันธกิจของพระคริสต์ แม้แต่สาวกของพระคริสต์ก็ยังตกอยู่ในภัยอันตรายของการเก็บถนอมความชั่วอันเจ้าเล่ห์นี้ไว้ ผู้ที่จัดว่าตัวเองเป็นผู้ติดตามพระเยซู แต่ไม่ยอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเป็นสาวกของพระองค์ จะยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของการคิดหาเหตุผลแบบพวกฟาริสี พวกเขาโอนไปเอนมาอยู่ระหว่างความเชื่อและความไม่เชื่อ และพวกเขามองไม่เห็นขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ แม้แต่ตัวสาวกเอง จากลักษณะภายนอกดูเหมือนว่าพวกเขาได้ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่พระเยซู แต่ก็ไม่หยุดที่จะแสวงหาสิ่งยิ่งใหญ่สำหรับตนเอง จิตวิญญาณเช่นนี้เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการแก่งแย่งว่าใครจะได้เป็นใหญ่ที่สุด จิตวิญญาณเช่นนี้เองที่เข้ามาคั่นอยู่ระหว่างพวกเขากับพระคริสต์ ทำให้พวกเขาไม่ค่อยเห็นใจพันธกิจแห่งการเสียสละตนของพระองค์และเข้าใจความลึกลับของการไถ่บาปได้ช้า หากปล่อยให้เชื้อนี้ทำงานของมันจนเสร็จสมบูรณ์จะก่อให้เกิดความเสียหายและความเสื่อมโทรม เช่นเดียวกับจิตวิญญาณที่แสวงหาเพื่อตัวเอง เมื่อถูกทะนุถนอมเก็บเอาไว้จะทำให้จิตวิญญาณเปรอะเปื้อนและถูกทำลาย {DA 409.1}
เช่นเดียวกับสมัยโบราณ บาปที่หลอกลวงอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมนี้ได้แพร่สะพัดไปในบรรดาผู้ติดตามพระยาห์เวห์ในวันนี้อย่างมากยิ่งเพียงใด! บ่อยครั้งเพียงใดที่การรับใช้ของเราเพื่อพระคริสต์และการสื่อสัมพันธ์ระหว่างกันถูกทำให้มัวหมองด้วยความปรารถนาอย่างลับๆ ที่มุ่งหวังจะยกตนขึ้น! ความคิดพร้อมอยู่เสมอที่จะรับคำชมมาใส่ตนและใคร่อยากได้ความเห็นชอบของมนุษย์! การรักตนเองและความปรารถนาที่จะเดินในทางที่ง่ายกว่าที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เป็นสิ่งที่ชักนำไปสู่การเอาทฤษฎีและประเพณีของมนุษย์มาแทนที่พระบัญญัติของพระเจ้า พระคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์เองว่า "จงสังเกตและระวังเชื้อของพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี" {DA 409.2}
ศาสนาของพระคริสต์คือความจริงใจอันบริสุทธิ์ ความกระตือรือร้นเพื่อพระสิริของพระเจ้าคือแรงจูงใจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปลูกฝังไว้ และการประกอบกิจอย่างเกิดผลของพระวิญญาณเท่านั้นที่จะปลูกฝังแรงจูงใจนี้ได้ มีเพียงอำนาจของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถกำจัดการยกตนและความหน้าซื่อใจคดให้ออกไปได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นหมายสำคัญของการประกอบกิจของพระองค์ เมื่อความเชื่อที่เรายอมรับทำลายความเห็นแก่ตัวและการเสแสร้ง เมื่อความเชื่อนี้นำเราไปสู่การแสวงหาพระเกียรติสิริของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อตนเองแล้ว เราจะรู้ได้ว่าเรากำลังดำเนินไปในแนวทางที่ถูกต้อง "ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์ได้รับเกียรติ" (ยอห์น 12 ข้อที่ 28 TKJV) เป็นหัวใจสำคัญในชีวิตของพระคริสต์ และเมื่อเราติดตามพระองค์ พระดำรัสนี้จะเป็นคติพจน์ประจำใจในชีวิตของเราด้วย พระองค์ทรงบัญชาให้เรา "ดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์" และ "ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์" 1 ยอห์น 2 ข้อที่ 6, 3 {DA 409.3}
*********