บทที่ 55

ไม่ใช่ด้วยการแสดงออกอย่างโอ้อวด

บทนี้อ้างอิงจาก ลูกา 17 ข้อที่ 20-22


พวกฟาริสีบางคนได้เข้ามาเฝ้าพระเยซูเพื่อทวงถามพระองค์ว่า "แผ่นดินของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไหร่?"  เวลาผ่านไปกว่าสามปีแล้วนับตั้งแต่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาแจ้งข่าวราวกับเสียงแตรดังก้องไปทั่วแผ่นดินว่า "แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" มัทธิว 3 ข้อที่  2. และจวบจนถึงบัดนี้ พวกฟาริสีเหล่านี้ยังไม่เห็นสัญญาณของการจัดตั้งแผ่นดินของพระเจ้า  หลายคนที่ปฏิเสธยอห์นและใช้ทุกย่างก้าวต่อต้านพระเยซูต่างพูดจาเย้ยหยันว่าพันธกิจของพระองค์นั้นล้มเหลว  {DA 506.1}               

พระเยซูทรงตอบว่า "แผ่นดินของพระเจ้าจะไม่มาด้วยสิ่งที่จะสังเกตได้  และเขาจะไม่พูดกันว่า ‘มาดูนี่’ หรือ ‘ไปดูโน่น’ เพราะนี่แน่ะ แผ่นดินของพระเจ้านั้นอยู่ท่ามกลางพวกท่าน"  แผ่นดินของพระเจ้าเริ่มต้นในใจ  อย่ามองที่นี่หรือที่โน่นเพื่อหาปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ทางฝ่ายโลกที่จะบ่งชี้ว่าแผ่นดินนั้นมาถึงแล้ว  {DA 506.2}                

"คงจะมีเวลาหนึ่ง" พระองค์ตรัสขณะทรงหันไปหาสาวก "เมื่อท่านทั้งหลายปรารถนาที่จะเห็นวันของบุตรมนุษย์ แต่จะไม่เห็น"  เนื่องจากในวันนั้นจะไม่มีพิธีเอิกเกริกโอ้อวดแบบทางโลก พวกท่านจึงตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะมองไม่เห็นรัศมีภาพของพันธกิจของเรา [พระเยซู]  ถึงแม้พระองค์จะทรงถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ความเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นชีวิตและเป็นความสว่างของมนุษย์  พวกท่านไม่ได้ตระหนักเลยว่าการที่พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกท่านในเวลานี้นั้นเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่เพียงไร  วันเวลาจะมาถึงเมื่อพวกท่านจะมองย้อนกลับไปด้วยความปรารถนาที่จะมีโอกาสเช่นเดียวกับเวลานี้คือเวลาที่จะมีความสุขสำราญได้เดินและพูดคุยกับพระบุตรของพระเจ้า   {DA 506.3}                     

เนื่องจากความเห็นแก่ตัวและความฝักใฝ่ทางโลกของพวกเขา แม้แต่สาวกของพระเยซูก็ไม่เข้าใจรัศมีภาพทางจิตวิญญาณที่พระองค์ทรงพยายามเปิดเผยให้แก่พวกเขา  จวบจนกระทั่งหลังจากที่พระคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ไปยังพระบิดาของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งลงมาแล้ว สาวกทั้งหลายจึงซาบซึ้งได้อย่างเต็มที่ถึงพระลักษณะและพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอด  หลังจากที่พวกเขาได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วพวกเขาจึงเริ่มตระหนักว่าได้อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าแห่งพระสิริ  ขณะที่หวนรำลึกถึงพระดำรัสของพระคริสต์ จิตใจของพวกเขาก็ถูกเปิดออกทำให้เข้าใจคำพยากรณ์และการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ  สิ่งน่าพิศวงมากมายในชีวิตของพระองค์แล่นผ่านมาต่อหน้าพวกเขาและพวกเขาเป็นเหมือนคนที่ตื่นขึ้นจากฝัน  พวกเขาตระหนักว่า "พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง" ยอห์น 1 ข้อที่ 14  ตามความเป็นจริงแล้วพระคริสต์เสด็จมาจากพระเจ้าลงมายังโลกที่บาปหนาเพื่อช่วยเหล่าบุตรและธิดาของอาดัมที่ล้มลงในบาปให้รอด  บัดนี้เหล่าสาวกดูตัวเองราวกับว่ามีความสำคัญน้อยกว่าก่อนที่พวกเขาจะตระหนักถึงเรื่องนี้  พวกเขาไม่เบื่อหน่ายที่จะกล่าวถึงพระดำรัสและพระราชกิจของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก  บทเรียนของพระองค์ซึ่งในอดีตที่พวกเขาเคยเข้าใจแต่เพียงเลือนราง บัดนี้กลับมายังพวกเขาราวกับการเปิดเผยที่สดใหม่  พระคัมภีร์กลายเป็นหนังสือเล่มใหม่สำหรับพวกเขา  {DA 506.4}                           

ขณะที่สาวกทั้งหลายศึกษาค้นหาคำพยากรณ์ที่ยืนยันถึงพระคริสต์ พวกเขาก็ได้เข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และเรียนรู้ถึงพระองค์ผู้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์เพื่อประกอบพระราชกิจต่อเนื่องจากที่ทรงเริ่มต้นไว้แล้วในโลกให้สำเร็จ  พวกเขาตระหนักถึงความจริงที่ว่าในพระองค์ทรงมีความรอบรู้ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดที่ปราศจากการทรงช่วยของพระเจ้าจะทำความเข้าใจได้  พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ผู้ซึ่งกษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะและคนชอบธรรมบอกไว้แล้วล่วงหน้า  พวกเขาอ่านคำพยากรณ์ที่อธิบายพระลักษณะและพระราชกิจของพระองค์ ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความประหลาดใจ  โอพวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์ในส่วนของคำพยากรณ์ได้น้อยนิดเพียงไร!  พวกเขาเชื่องช้าเพียงใดในการรับความจริงอันยิ่งใหญ่ที่เป็นพยานถึงพระคริสต์!  เมื่อมองไปที่พระองค์ในความอัปยศอดสู ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินเป็นมนุษย์ในท่ามกลางมนุษย์ พวกเขาไม่เข้าใจความลึกลับของการบังเกิดเป็นเนื้อหนังและพระลักษณะธรรมชาติสองด้านของพระองค์  ตาของพวกเขาค้างไปจนมองไม่เห็นความเป็นพระเจ้าในความเป็นมนุษย์  แต่หลังจากที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ส่องความสว่างเจิดจ้าให้แก่พวกเขาแล้ว พวกเขาปรารถนาที่จะได้พบพระองค์อีกครั้งและเอาตนเองไปอยู่แทบพระบาทของพระองค์!  พวกเขาปรารถนาอย่างมากเพียงไรที่จะเข้าเฝ้าพระองค์และขอให้พระองค์อธิบายพระคัมภีร์ที่พวกเขาไม่เข้าใจ!  พวกเขาจะตั้งใจเพียงใรที่จะฟังพระดำรัสของพระองค์!  พระคริสต์ทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ตรัส "เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว"?  ยอห์น 16 ข้อที่ 12  พวกเขามีใจจดจ่ออยากรู้เรื่องทั้งหมดนี้มากเพียงไร!  พวกเขาเสียใจที่ความเชื่อของพวกเขาอ่อนแอยิ่งนัก ที่ความคิดของพวกเขาห่างไกลจากเป้าที่พวกเขาพลาดที่จะเข้าใจในสิ่งที่เป็นจริง  {DA 507.1}                           

ผู้เป่าประกาศคนหนึ่งได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าให้ประกาศการเสด็จมาของพระคริสต์ และเรียกร้องชนชาติยิวและโลกให้มาสนใจพันธกิจของพระองค์เพื่อเตรียมมนุษย์ให้พร้อมต้อนรับพระองค์  บุคคลสำคัญผู้แสนประเสริฐที่ยอห์นประกาศนั้นประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขามานานกว่าสามสิบปีแล้วและพวกเขาไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริงว่าทรงเป็นพระองค์นั้นที่พระเจ้าประทานมาให้  ความเสียใจเข้าครอบงำพวกสาวกเพราะพวกเขายอมให้ความไม่เชื่อที่กำลังแพร่หลายอยู่นั้นมาเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของพวกเขาและทำให้ความเข้าใจของพวกเขามัวหมอง  พระผู้ทรงเป็นแสงสว่างในโลกที่มืดมิดกำลังส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความเศร้าหมองและพวกเขาพลาดที่จะเข้าใจว่าลำแสงนั้นมาจากไหน  พวกเขาถามกันเองว่าเหตุใดพวกเขาจึงดำเนินตามแนวทางที่ทำให้พระคริสต์จำเป็นต้องตำหนิพวกเขา  บ่อยครั้งพวกเขามักกล่าวคำสนทนาของพระองค์ซ้ำและพูดว่า ทำไมเราจึงปล่อยให้เรื่องของทางโลกและการต่อต้านของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทำให้ความคิดของเราสับสน จนเราไม่ได้เข้าใจว่าผู้ที่ใหญ่กว่าโมเสสอยู่ท่ามกลางพวกเรา และพระองค์ผู้ทรงฉลาดกว่ากษัตริย์ซาโลมอนกำลังสอนเราอยู่เล่า?  หูของเราตึงมากทีเดียว!  ความเข้าใจของเราอ่อนปวกเปียกเพียงได!   {DA 508.1}                      

โธมัสไม่ยอมเชื่อจนกว่าเขาเอานิ้วแยงเข้าไปในแผลที่ทหารโรมันแทง  เปโตรปฏิเสธพระองค์ในช่วงเวลาแห่งความอัปยศอดสูและในขณะที่คนทั้งปวงปฏิเสธของพระองค์  ความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาอย่างละเอียดชัดเจน  พวกเขาเคยอยู่กับพระองค์ แต่ไม่รู้จักหรือชื่นชมซาบซึ้งในพระองค์  แต่บัดนี้ สิ่งเหล่านี้ปลุกเร้าหัวใจของพวกเขาในขณะที่พวกเขามองเห็นความไม่เชื่อของพวกเขา!  {DA 508.2}                          

ขณะที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองรวมตัวกันต่อต้านพวกเขา และพวกเขาถูกนำตัวไปปรากฏต่อหน้าสภาและถูกจับเข้าเรือนจำ ผู้ติดตามของพระคริสต์ “ยินดีที่พระเจ้าทรงนับว่าพวกเขามีค่าสมควรได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น”  กิจการ 5 ข้อที่ 41  พวกเขายินดีที่ได้พิสูจน์ต่อหน้ามนุษย์และทูตสวรรค์ว่าพวกเขายอมรับพระสิริของพระคริสต์และเลือกที่จะติดตามพระองค์ด้วยการยอมสูญเสียทุกสิ่ง  {DA 508.3}

สมัยของอัครทูตเป็นอย่างไร สมัยนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเช่นกัน หากไม่มีการทรงดลใจของพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว  มนุษยชาติจะมองไม่เห็นพระสิริของพระคริสต์  คริสเตียนที่รักและประนีประนอมกับโลกจะไม่ชื่นชอบกับความจริงและพระราชกิจของพระเจ้า  ในเส้นทางของความสนุกสบายและเกียรติยศทางโลกหรือเส้นทางที่นำไปสู่การร่วมเดินไปกับชาวโลกจะไม่พบผู้ติดตามของพระเจ้าอยู่ที่นั่น  พวกเขาล่วงหน้าไปไกลแล้วในเส้นทางแห่งการทำงานตรากตรำ และความอัปยศอดสูและการถูกตำหนิ พวกเขาอยู่ในแนวหน้าของสงคราม "ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน" เอเฟซัส 6 ข้อที่ 12  บัดนี้เหมือนเช่นในสมัยของพระคริสต์ พวกเขาถูกปุโรหิตและพวกฟาริสีในสมัยของพวกเขาเข้าใจผิดและถูกตำหนิและถูกกดขี่  {DA 508.4}                    

แผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้มาพร้อมกับการแสดงออกอย่างโอ้อวด  ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าที่มาพร้อมกับวิญญาณของการละทิ้งตน ไม่มีทางที่จะผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณทางฝ่ายโลกได้อยงแน่นอน  หลักการทั้งสองเป็นปฏิปักษ์กัน "คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ"  1 โครินธ์ 2 ข้อที่ 14  {DA 509.1} 

แต่ในโลกศาสนาของทุกวันนี้ มีคนจำนวนมากเชื่อว่าพวกเขากำลังทำงานเพื่อสถาปนาแผ่นดินของพระคริสต์ให้เป็นอาณาจักรชั่วคราวทางโลก  พวกเขาปรารถนาที่จะเชิดชูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรต่างๆ ของโลกนี้ เป็นผู้ปกครองในศาลและในค่ายต่างๆ ในห้องโถงนิติบัญญัติ ในพระราชวังและในตลาดของโลก  พวกเขาหวังให้พระองค์ทรงปกครองผ่านการตรากฎหมายซึ่งบังคับใช้โดยอำนาจของมนุษย์  เนื่องจากในเวลานี้ พระคริสต์ไม่ได้สถิตอยู่ร่วมด้วยตัวของพระองค์เอง พวกเขาเองจะรับหน้าที่นี้แทนเพื่อบังคับใช้กฎหมายของอาณาจักรของพระองค์  การสถาปนาอาณาจักรเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชาวยิวในสมัยของพระคริสต์ประสงค์ที่จะทำ  พวกเขาคงรับพระเยซูได้ หากพระองค์ทรงยอมสถาปนาอาณาจักรชั่วคราว เพื่อบังคับใช้กฎที่พวกเขาถือว่าเป็นกฎของพระเจ้าและทำให้พวกเขาเป็นผู้ดำเนินตามพระประสงค์ของพระองค์และเป็นตัวแทนอำนาจของพระองค์ แต่พระองค์ตรัสว่า "ราชอำนาจของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้" ยอห์น 18 ข้อที่ 36  พระองค์ไม่ทรงยอมรับบัลลังก์ของทางโลก  {DA 509.2}                  

รัฐบาลในสมัยที่พระเยซูทรงดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้นั้นคดโกงและกดขี่ รอบตัวมีแต่เสียงร่ำไห้ถึงการทำทารุณกรรมเช่นการขู่กรรโชก การไม่ยอมผ่อนปรน และการบดขยี้อย่างเหี้ยมโหด  แต่กระนั้นพระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้พยายามลงแรงปฏิรูปการปกครอง  พระองค์ไม่ทรงโจมตีการทำร้ายในชาติ หรือไม่ทรงประณามศัตรูของชาติ  พระองค์ไม่ได้ขัดขวางอำนาจหรือการบริหารของผู้ที่อยู่ในอำนาจ  พระองค์ผู้ทรงเป็นแบบอย่างของเรานำตัวออกห่างจากรัฐบาลทางโลก  ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่ใส่พระทัยในความทุกข์ยากของมนุษย์ แต่เป็นเพราะวิธีเยี่ยวยาไม่ได้อยู่ที่มาตรการของมนุษย์และการจัดการเฉพาะภายนอกเท่านั้น  การรักษาจะต้องเข้าถึงมนุษย์แต่ละคน และต้องสร้างหัวใจดวงใหม่   {DA 509.3}                     

แผ่นดินของพระคริสต์จะได้รับการสถาปนาไม่ใช่โดยการตัดสินของศาลหรือสภาหรือสภานิติบัญญัติ ไม่ใช่โดยการอุปถัมภ์ของผู้ยิ่งใหญ่ทางโลก แต่โดยการปลูกฝังธรรมชาติของพระคริสต์ในมนุษยชาติผ่านทางการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  "ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า  ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า"  ยอห์น 1 ข้อที่ 12, 13  นี่คืออำนาจเดียวที่จะทำงานเพื่อยกระดับมนุษยชาติได้  และสื่อตัวแทนมนุษย์ที่จะทำให้พระราชกิจนี้สำเร็จคือการสอนและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  {DA 509.4}            

เมื่ออัครสาวกเปาโลเริ่มพันธกิจในเมืองโครินธ์ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ร่ำรวยมั่งคั่งและชั่วร้าย และยังเปรอะเปื้อนไปด้วยความชั่วร้ายที่ไมอาจระบุชื่อได้ของพวกศาสนานอกรีตนั้น ท่านได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลยเว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน"  1 โครินธ์ 2 ข้อที่ 2  ต่อมาภายหลังเมื่อเขียนจดหมายถึงคนทั้งหลายที่ถูกบาปน่ารังเกียจที่สุดทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว ท่านยังสามารถกล่าวได้ว่า "แต่ท่านทั้งหลายได้รับการล้างชำระแล้ว ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว และได้รับการชำระให้ชอบธรรมแล้วโดยพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและโดยพระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเรา"  "ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าในเรื่องท่านทั้งหลายเสมอ เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์" 1 โครินธ์ 6 ข้อที่ 11; 1 ข้อที่ 4  {DA 510.1}                    

เช่นเดียวกับในสมัยของพระคริสต์ พระราชกิจของแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นกับผู้ที่แสวงหาการยอมรับและการสนับสนุนจากผู้ปกครองทางโลกและกฎหมายของมนุษย์ แต่ขึ้นกับคนทั้งหลายที่ประกาศความจริงทางจิตวิญญาณแก่ผู้คนในพระนามของพระองค์ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับที่เปาโลได้รับ "ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว  ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า" กาลาเทีย 2 ข้อที่ 20. จากนั้นพวกเขาจะทำงานเหมือนเช่นเปาโลเพื่อทำให้มนุษย์ได้ประโยชน์  ท่านกล่าวว่า "เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายผ่านทางเรา เราจึงวิงวอนท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า"  2 โครินธ์ 5 ข้อที่ 20  {DA 510.2}                              

*********