บทที่ 69

บนภูเขามะกอกเทศ

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 24; มาระโก 13; ลูกา 21 ข้อที่ 5-38


พระดำรัสของพระคริสต์ที่ตรัสกับพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองว่า “นี่แน่ะ นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งให้ร้างเปล่า”  มัทธิว 23 ข้อที่ 38  ทำให้ใจของคนเหล่านั้นหวาดกลัว  พวกเขาทำเป็นไม่ใส่ใจ  แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาคาใจพวกเขาตลอดเวลาว่าถ้อยคำเหล่านี้สำคัญอย่างไร  ดูเหมือนว่าภัยอันตรายที่ตาเปล่ามองไม่เห็นกำลังคุกคามพวกเขาอยู่ทุกขณะ  เป็นไปได้หรือที่พระวิหารอันสวยงามยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นสง่าราศีของชาติจะกลายเป็นกองปลักหักพังไปในไม่ช้า?  สาวกก็หวาดกลัวเมื่อคิดถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าและพวกเขาเฝ้ารอที่จะฟังว่าพระเยซูจะตรัสถึงเรื่องนี้อย่างไร  ขณะที่พวกเขาเดินพร้อมกันกับพระเยซูออกไปจากพระวิหาร  พวกเขาทูลเชิญพระองค์ให้ทอดพระเนตรความมั่นคงแข็งแรงและความงามของพระวิหาร  ศิลาที่ใช้ก่อสร้างพระวิหารเป็นหินอ่อนบริสุทธิ์ที่สุด  ขาวนวลอย่างสมบูรณ์ และศิลาบางก้อนมีขนาดใหญ่โตมหึมา  ส่วนหนึ่งของกำแพงวิหารยังคงเหลือจากการล้อมโจมตีของกองทัพของกษัตริย์นะบูคัดเนสซัส  ด้วยฝีมืองานก่อสร้างที่สมบูรณ์ ดูประหนึ่งว่าพระวิหารนี้เป็นก้อนศิลาขนาดใหญ่ก้อนเดียวที่สกัดจากบ่อหิน  กำแพงที่มั่นคงแข็งแรงเช่นนี้จะถูกทำลายได้อย่างไร สาวกทั้งหลายไม่เข้าใจ  {DA 627.1}                                

ในขณะที่ความงามสง่าของพระวิหารดึงดูดความสนพระทัยของคริสต์ พระราชดำริที่ไม่เปล่งออกเป็นวาจาขององค์พระผู้ทรงถูกปฏิเสธนั้นจะเป็นเช่นไร!  ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์สวยงามอย่างยิ่ง  แต่พระองค์ตรัสด้วยความเศร้าพระทัยว่า เราเห็นภาพทั้งหมดแล้ว  ตึกต่างๆ เหล่านั้นเลอเลิศยิ่งนัก  พวกเจ้าชี้ให้เราดูกำแพงเหล่านั้นพูดราวกับว่าไม่มีวันถูกทำลาย  แต่จงฟังถ้อยคำของเรา วันหนึ่งจะมาถึงเมื่อ “ที่นี่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด" {DA 627.2}                            

ถ้อยคำนี้พระคริสต์ตรัสขณะอยู่กับฝูงชนมากมาย แต่เมื่อพระองค์ประทับอยู่ตามลำพัง  เปโตร ยอห์น ยากอบและอันดรูว์เข้ามาเฝ้าพระองค์ขณะที่ประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศ  พวกเขาทูลพระองค์ว่า  "ขอโปรดให้พวกข้าพระองค์ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและยุคเก่าจะสิ้นสุดลง? "  พระเยซูไม่ทรงแยกตอบสาวกเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็มกับวันยิ่งใหญ่ของการเสด็จมา  พระองค์ทรงผสมผสานเหตุการณ์ทั้งสองเรื่องนี้ไว้ด้วยกัน  หากพระองค์ทรงเปิดเผยให้สาวกทราบถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่พระองค์ทรงมองเห็นแล้ว  พวกเขาก็คงทนมองไม่ได้  ด้วยพระเมตตาที่มีต่อพวกเขา พระองค์ทรงรวมวิกฤตยิ่งใหญ่ทั้งสองเข้าด้วยกันและปล่อยให้สาวกไปค้นหาความหมายด้วยตนเอง  เมื่อพระเยซูตรัสถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม  คำพยากรณ์ของพระองค์กล่าวเลยเหตุการณ์นั้นจนไปถึงการเผาไหม้ครั้งสุดท้ายเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลุกขึ้นจากที่ประทับของพระองค์เพื่อตัดสินลงโทษคนทั้งหลายในโลกที่ประพฤติชั่ว เมื่อแผ่นดินโลกจะเปิดเผยโลหิตของเธอและจะไม่ซ่อนคนที่เธอฆ่า  คำสนทนาทั้งหมดที่เปิดเผยนี้ไม่ได้มีไว้ให้กับสาวกเท่านั้น  แต่สำหรับคนทั้งหลายที่จะมีชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดปลายแห่งประวัติศาสตร์ของแผ่นดินโลกนี้ด้วย  {DA 628.1}                          

พระคริสต์ทรงหันไปหาสาวกและตรัสว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครล่อลวงพวกท่าน เพราะว่าจะมีหลายคนมาโดยอ้างนามของเราและกล่าวว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และพวกเขาจะล่อลวงคนเป็นจำนวนมาก”  จะมีพระเมสสิยาห์เทียมเท็จมากมายปรากฏตัว  และอ้างว่าทำอัศจรรย์ต่างๆ ได้และประกาศว่าเวลาที่พระเจ้าทรงช่วยชนชาวยิวให้รอดมาถึงแล้ว  เรื่องนี้จะนำคนมากมายให้หลงเชื่อ  ถ้อยคำที่พระคริสต์ตรัสไว้ได้สำเร็จบริบูรณ์แล้ว  ระหว่างเวลาที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์และเมื่อกรุงเยรูซาเล็มถูกล้อม  มีเมสสิยาห์เทียมเท็จมากมายปรากฏตัวออกมา  แต่คำเตือนนี้พระคริสต์ตรัสไว้ให้แก่คนทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้ของโลกด้วย  การหลอกลวงแบบเดียวกับที่ปฏิบัติกันก่อนกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายดำเนินมาตลอดทุกยุคสมัยและจะเกิดขึ้นอีกครั้ง  {DA 628.2}                                      

ท่านจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังมาไม่ถึง”  ก่อนกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย  มนุษย์เก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่กัน  บรรดาจักรพรรดิถูกฆาตกรรมและผู้ที่ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อไปถูกสังหารโหด  จะมีสงคราม  เสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม  “เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น”  พระคริสต์ตรัส “แต่ที่สุดปลายยุค [ความเป็นชาติของประเทศยิว] ยังมาไม่ถึง  เพราะว่าประชาชาติกับประชาชาติ และอาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ แต่สิ่งทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์เหมือนเมื่อเริ่มคลอดลูก”  พระคริสต์ตรัสว่า เมื่อพวกธรรมาจารย์เห็นหมายสำคัญเหล่านี้ พวกเขาจะประกาศว่าเหตุการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นเป็นการพิพากษาที่พระเจ้าลงโทษชนชาติที่จับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปเป็นเชลย  พวกเขาประกาศว่าหมายสำคัญเหล่านี้หมายถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์  อย่าได้ถูกหลอดเลย  สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพิพากษาของพระองค์  คนทั้งหลายมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการพึ่งตนเอง  พวกเขาไม่ได้กลับใจใหม่และไม่ได้บังเกิดใหม่เพื่อให้เรารักษาพวกเขาให้หาย  หมายสำคัญที่พวกเขาแปลว่าเป็นสัญญาณของการปลดปล่อยให้พ้นจากการเป็นทาสนั้นเป็นหมายสำคัญของความพินาศของพวกเขาเอง  {DA 628.3}                                

เวลานั้นพวกเขาจะมอบตัวท่านให้ทนทุกข์ลำบากและจะฆ่าท่านทั้งหลายเสีย และประชาชาติทั้งหมดจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา  ในเวลานั้นคนจำนวนมากจะถดถอยไปและจะทรยศกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังกันและกันด้วย”  คริสเตียนตกอยู่ในความยากลำบากทั้งหมดเหล่านี้  บิดามารดาทรยศลูกและลูกทรยศบิดามารดา  มิตรสหายยต่างจับสหายของตนฟ้องต่อสภาซานเฮดริน  ผู้กดขี่ทำตามที่มุ่งหมายไว้ด้วยการฆ่าสเทเฟน  ยากอบและคริสเตียนคนอื่นๆ  {DA 629.1}                                

พระเจ้าทรงประกอบกิจผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยการเปิดโอกาสสุดท้ายเพื่อให้ชาวยิวกลับใจ  พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองให้ปรากฏผ่านพยานของพระองค์ในขณะที่ถูกจับ  ในเวลาที่ถูกสอบสวนและขณะที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ  แต่ถึงกระนั้นผู้พิพากษายังตัดสินลงโทษพวกเขาให้ตาย  โลกนี้ไม่มีคุณค่าที่เหมาะสมสำหรับคนเหล่านั้นและด้วยการฆ่านี้ชาวยิวได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าใหม่อีกครั้ง  เหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นอีก  คนที่มีอำนาจจะตรากฎหมายจำกัดเสรีภาพในการถือศาสนา  พวกเขาบังอาจอ้างสิทธิที่เป็นของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาคิดว่ามีอำนาจบังคับความรู้สึกผิดชอบของมนุษย์ได้  ซึ่งมีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะควบคุมได้  แม้ในเวลานี้พวกเขาได้เริ่มทำงานนี้แล้วและจะดำเนินต่อไปจนถึงขอบเขตที่พวกเขาก้าวข้ามต่อไปอีกไม่ได้  พระเจ้าจะทรงเข้าขัดขวาง เพื่อเห็นแก่ประชากรที่สัตย์ซื่อและถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์  {DA 630.1}                                     

ในทุกเหตุการณ์ของการกดขี่ข่มเหง คนที่เป็นพยานอยู่ในที่เกิดเหตุจะตัดสินอยู่ฝ่ายพระคริสต์หรือเป็นศัตรูต่อต้านพระองค์  ผู้ที่แสดงออกอย่างเห็นใจต่อคนที่ถูกประณามอย่างผิดๆ จะเป็นผู้ที่เข้าข้างพระคริสต์  คนอื่นๆ ที่โกรธเคืองเพราะหลักคำแห่งความจริงของพระเจ้าตำหนิการกระทำของพวกเขาโดยตรง  หลายคนสะดุดล้มลง ละทิ้งความเชื่อเดิมไป  คนที่ละทิ้งความเชื่อในเวลาที่เขาได้รับความทุกข์ยากลำบากเพื่อจะช่วยตัวเองให้ปลอดภัยนั้นเป็นพยานเท็จและทรยศต่อพวกพี่น้อง  พระคริสต์ทรงเตือนพวกเราถึงเรื่องนี้เพื่อจะได้ไม่ประหลาดใจเมื่อเห็นแนวการปฏิบัติที่ไม่ปกติและโหดเหี้ยมทารุณของกลุ่มคนที่ปฏิเสธแสงสว่าง  {DA 630.2}    

พระคริสต์ประทานหมายสำคัญของความพินาศที่จะมาถึงกรุงเยรูซาเล็มให้แก่สาวกของพระองค์และพระองค์ตรัสบอกวิธีที่จะหนีให้พ้นภัยอันตรายว่า  “เมื่อพวกท่านเห็นกองทัพมาโอบล้อมกรุงเยรูซาเล็ม จงรู้ว่าวิบัติของเมืองนั้นใกล้เข้ามาแล้ว  เวลานั้นให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปบนภูเขา และคนที่อยู่ในเมืองให้ออกจากที่นั่น และคนที่อยู่นอกเมืองอย่าให้เข้ามาในเมือง  เพราะว่าเวลานั้นเป็นวันแห่งการลงโทษ เพื่อจะให้สิ่งสารพัดที่เขียนไว้นั้นสำเร็จ”  พระคริสต์ประทานคำเตือนเพื่อให้ปฏิบัติในเวลาสี่สิบปีต่อมาเมื่อกรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย  คริสเตียนเชื่อคำเตือนและไม่มีคริสเตียนสักคนพินาศเมื่อเมืองนี้แตก  {DA 630.3}         

พระคริสต์ตรัสว่า “จงอธิษฐานขอให้วันที่ท่านหนีนั้นจะไม่เกิดในฤดูหนาวหรือวันสะบาโต”  พระองค์ผู้ทรงสถาปนาวันสะบาโตไม่ทรงเลิกล้มวันสะบาโตนั้นด้วยการเอาไปตรึงกางเขนของพระองค์  ความมรณาของพระองค์ไม่ได้ทำให้วันสะบาโตโมฆะหรือหมดสภาพไป  สี่สิบปีหลังจากการกรตรึงกางเขจของพระเยซู วันสะบาโตยังคงเป็นวันศักดิ์สิทธิ์  ตลอดเวลาสี่สิบปี  สาวกยังคงอธิษฐานต่อไปเพื่อขอไม่ให้การหนีต้องตกอยู่ในวันสะบาโต  {DA 630.4}  

จากการบรรยายถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พระคริสต์ทรงข้ามไปยังเรื่องของเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งใหญ่กว่า  เป็นข้อต่อสุดท้ายของโซ่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินโลกนี้ นั่นคือการเสด็จมาของพระบุตรของพระเจ้าด้วยฤทธานุภาพและพระสิริ  ระหว่างเหตุการณ์ทั้งสองนี้ พระคริสต์ทรงมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีแห่งความมืด เป็นระยะเวลาหลายร้อยปีที่คริสตจักรของพระองค์จะต้องประทับด้วยโลหิต  และน้ำตาและความทรมาน  ภาพเหตุการณ์เช่นนี้สาวกของพระเยซูทนดูไม่ได้  และพระเยซูทรงข้ามเหตุการณ์เหล่านั้นไปด้วยการตรัสเพียงสั้นๆ ว่า “เพราะว่าในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย ถ้าไม่ได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่พวกที่ทรงเลือก จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า”  ตลอดระยะเวลาหนึ่งพันกว่าปี  การกดขี่ข่มเหงที่ไม่มีใครในโลกเคยเห็นมาก่อนจะมาถึงผู้ที่ติดตามพระคริสต์  พยานผู้สัตย์ซื่อของพระองค์นับล้านถูกสังหาร  หากพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ได้เอื้อมไปช่วยรักษาประชากรของพระองค์ไว้แล้ว คนทั้งหมดก็จะพินาศ  “แต่เพราะทรงเห็นแก่พวกที่ทรงเลือก” พระองค์ตรัสว่า  “จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า”  {DA 630.5}                             

บัดนี้ ด้วยพระดำรัสที่ไม่ผิดเพี้ยน พระเป็นเจ้าของเราตรัสถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์และพระองค์ประทานคำเตือนถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมายังแผ่นดินโลกว่า  “ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้  นี่แน่ะ เราบอกพวกท่านไว้ก่อนแล้ว  เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกท่านว่า ‘ดูซิ ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ อย่าออกไป หรือบอกว่า ‘ดูซิ [พระองค์] อยู่ที่ห้องชั้นใน’ ก็อย่าเชื่อ เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” เหมือนเช่นหมายสำคัญของการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม  พระคริสต์ตรัสไว้ว่า “ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนจะเกิดขึ้น และล่อลวงคนจำนวนมาก”  ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเกิดขึ้นจริง  พวกเขาล่อลวงประชากรและนำคนจำนวนมากออกไปยังป่ากันดาร  พวกโหรและนักวิทยาคมต่างอ้างว่าตนมีอำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ  ได้ชักจูงคนมากมายให้ติดตามพวกเขาไปยังที่เปล่าเปลี่ยวตามภูเขา  แต่คำพยากรณ์นี้ตรัสไว้เพื่อยุคสุดปลายด้วย  หมายสำคัญนี้เป็นหมายสำคัญของการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์  แม้ในเวลานี้พระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จแสดงหมายสำคัญและแสดงการอัศจรรย์เพื่อล่อลวงบรรดาสาวกของพระองค์อยู่  เราไม่ได้ยินเสียงร้องที่ว่า “ดูซิ ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร” และคนนับพันไม่ได้ออกไปในยังถิ่นทุรกันดารเพื่อหวังที่จะได้พบพระคริสต์หรือ?  และจากสถานที่ชุมนุมนับพัน คนต่างอ้างว่าติดต่อกับวิญญาณของคนที่ตายแล้วนั้นเราไม่ได้ยินเสียงร้องว่าท่าน “‘ดูซิ อยู่ที่ห้องชั้นใน” หรือ?  นี่คือเสียงร้องประกาศของคนทั้งหลายที่เชื่อถือในลัทธิทรงวิญญาณ  แต่พระคริสต์ตรัสไว้อย่างไร?  “อย่าเชื่อ เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น”  {DA 631.1}   

พระผู้ช่วยให้รอดประทานหมายสำคัญเรื่องการเสด็จกลับมาของพระองค์และนอกเหนือจากนี้พระองค์ยังทรงกำหนดเวลาเมื่อหมายสำคัญแรกสุดในบรรดาหมายสำคัญทั้งหลายจะปรากฏ  “แต่พอความทุกข์ลำบากในวันเหล่านั้นหมดแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง  ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์ และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง  แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น”  {DA 631.2}                               

พระคริสต์ทรงเปิดเผยว่า เมื่อสิ้นสุดเวลาการกดขี่ข่มเหงยิ่งใหญ่ภายใต้ระบบเปปาซีแล้ว  ดวงอาทิตย์จะต้องมืดไปและดวงจันทร์จะไม่ส่องสว่าง  ต่อจากนั้น ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากท้องฟ้า  และพระองค์ตรัสว่า  “จงเรียนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อใดที่กิ่งของมันเริ่มแตกหน่ออ่อนและออกใบ ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้วก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว”  มัทธิว 24 ข้อที่ 32, 33  {DA 632.1}   

พระคริสต์ตรัสถึงหมายสำคัญของการเสด็จมาของพระองค์  พระองค์ตรัสว่าเราจะทราบว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จวนจะถึงประตูแล้ว  พระคริสต์ตรัสถึงคนเหล่านั้นที่เห็นหมายสำคัญเหล่านี้ว่า “คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น”  หมายสำคัญเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว  บัดนี้เรามั่นใจว่าพระคริสต์จวนจะเสด็จมาแล้วอย่างแน่นอน  “ฟ้าและดินจะล่วงไป” พระองค์ตรัส ”แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย”  {DA 632.2}            

พระคริสต์จะเสด็จมาบนเมฆด้วยพระสิริยิ่งใหญ่  ทูตสวรรค์ที่สว่างเจิดจ้าจำนวนมากจะเสด็จมากับพระองค์  พระองค์จะเสด็จมาเพื่อปลุกคนตายให้กลับเป็นขึ้นมาใหม่และทรงเปลี่ยนธรรมิกชนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้มีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป พระองค์จะเสด็จมาเพื่อประทานเกียรติให้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์และที่ถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และจะทรงรับคนเหล่านั้นไปอยู่กับพระองค์  พระองค์ไม่ได้ลืมพวกเขาหรือพระสัญญาของพระองค์  จะมีการเชื่อมสายโซ่ครอบครัวกลับมาอีกครั้ง  เมื่อเรามองดูคนที่ตายไปของเรา  เราคิดถึงเช้าวันใหม่ที่เราจะได้ยินเสียงแตรของพระเจ้าเมื่อ “พวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่” 1 โครินธ์ 15 ข้อที่ 52  อีกหน่อยหนึ่งเราจะได้เห็นพระเจ้าจอมราชันผู้ทรงรัศมีภาพอันงดงาม  อีกหน่อยหนึ่งพระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดไปจากตาของเรา  อีกหน่อยหนึ่งพระองค์จะ “ทรงตั้งพวกท่านอยู่เบื้องหน้าพระสิริของพระองค์ โดยปราศจากตำหนิและมีความร่าเริงยินดี” ยูดา 24  ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์ตรัสถึงหมายสำคัญเรื่องการเสด็จกลับมา  พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เริ่มจะเกิดขึ้นนั้น จงลุกขึ้นยืนและผงกศีรษะขึ้น เพราะว่าการไถ่ตัวพวกท่านใกล้จะมาถึงแล้ว"  ลูกา 21 ข้อที่ 28  {DA 632.3}           

       แต่วันและชั่วโมงที่พระองค์จะเสด็จมายังไม่ได้เปิดเผย  พระองค์ตรัสกับสาวกอย่างตรงไปตรงมาว่า พระองค์เองจะบอกวันหรือชั่วโมงที่พระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สองไม่ได้  หากพระองค์ทรงมีเสรีภาพที่จะบอกสาวกทั้งหลายให้ทราบถึงเรื่องนี้แล้ว เหตุไรพระองค์จึงต้องตักเตือนสั่งสอนพวกเขาให้คอยเฝ้าระวังอยู่เสมอเล่า?  มีคนที่อ้างว่ารู้กำหนดวันและชั่วโมงที่พระคริสต์จะเสด็จกลับมาอย่างแน่นอน  พวกเขาจริงใจมากในการกำหนดอนาคต  แต่พระเป็นเจ้าทรงเตือนพวกเขาให้ไปจากที่ของพวกเขา  กำหนดเวลาแน่นอนของการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์เป็นความลึกลับของพระเจ้า  {DA 632.4}                        

พระคริสต์ตรัสต่อไปถึงสภาพของโลกในเวลาที่พระองค์จะเสด็จกลับมาว่า “เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายพากันกินดื่มกัน สมรสกันและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ และน้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคนโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น”  ในที่นี้ พระคริสต์ไม่ได้ตรัสถึงระยะเวลาพันปีชั่วคราวที่ทุกคนจะใช้เตรียมตัวเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์  พระองค์ตรัสว่าในสมัยของโนอาห์ มนุษย์ในโลกมีสภาพอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จกลับมาเขาก็จะมีสภาพอย่างนั้นด้วยเช่นกัน  {DA 633.1}  

คนสมัยโนอาห์เป็นเช่นไร?  “พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา” ปฐมกาล 6 ข้อที่ 5  คนในโลกสมัยก่อนน้ำท่วมหันหน้าออกไปจากพระยาห์เวห์  ไม่ยอมปฏิบัติตามน้ำพระทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  พวกเขาทำตามความนึกคิดไม่บริสุทธิ์และความคิดที่ผิดเพี้ยนของตน  ความชั่วเป็นเหตุที่พวกเขาถูกทำลายและในวันนี้โลกกำลังเดินตามไปในทางเดียวกัน  ไม่มีเครื่องหมายใดแสดงออกให้เห็นถึงรัศมีอันสุกใสของยุคพันปี  การล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าทำให้โลกเต็มไปด้วยความชั่ว  การพนัน  การแข่งม้า  การเสี่ยงโชค  ความเสเพล  การกระทำที่ผิดศีลธรรม  ความฝักใฝ่ในกามารมณ์อย่างควบคุมไม่ได้  เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนนำความโหดเหี้ยมมาเติมใส่โลกอย่างรวดเร็ว  {DA 633.2}                           

ในการพยากรณ์ถึงเรื่องของการทำลายกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระคริสต์ตรัสว่า “ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป แต่ผู้ที่สู้ทนจนถึงที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอด ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง”  คำพยากรณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งตามที่บอกไว้ล่วงหน้า  ความชั่วอย่างดกดื่นของมนุษย์ในสมัยนั้นจะเกิดขึ้นอีกในยุคนี้ และคำทำนายเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐก็จะสำเร็จบริบูรณ์เช่นเดียวกัน  ก่อนกรุงเยรูซาเล็มแตกอัครทูตเปาโลเขียนภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ว่า  “ข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยิน ซึ่งได้ประกาศแก่มนุษย์ทุกคนทั่วใต้ฟ้า” โคโลสี 1 ข้อที่ 23  ดังนั้น ในเวลานี้ก่อนที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา  จะต้องประกาศข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะแก่ชนชาวโลกทั้งปวง ให้แก่ชน “ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ” วิวรณ์ 14 ข้อที่  6, 14  พระเจ้า “ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้แล้ว ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลก” กิจการ 17 ข้อที่ 31  พระคริสต์ตรัสให้เราทราบว่าวันนั้นจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไร  พระองค์ไม่ได้ตรัสว่ามนุษย์ทุกคนในโลกจะกลับใจใหม่  แต่ “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง” การประกาศข่าวประเสริฐไปยังโลกทำให้เรามีอำนาจที่จะเร่งวันเสด็จกลับมาของพระเจ้าให้เร็ว  เราไม่เพียงคอยเฝ้าให้วันของพระเจ้ามาถึง แต่เราต้องเร่งให้วันนั้นมาถึงให้เร็วด้วย  2 เปโตร 3 ข้อที่ 12  หากคริสตจักรของพระคริสต์ทำงานตามที่พระองค์ทรงมอบหมายแล้ว มนุษย์ทั่วทั้งโลกก็จะรับคำเตือนแล้วและพระเยซูคริสต์ก็จะเสด็จกลับมายังแผ่นดินโลกด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีอันรุ่งเรือง  {DA 633.3}                              

หลังจากที่พระคริสต์ประทานหมายสำคัญเรื่องการเสด็จมาของพระองค์แล้ว  พระองค์ตรัสว่า  “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าแผ่นดินของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว”  “จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน” พระเจ้าประทานคำเตือนให้มนุษย์ทราบล่วงหน้าก่อนถึงการพิพากษาเสมอ  ผู้ที่มีความเชื่อ่ในข่าวสารของยุคและปฏิบัติตามความเชื่อด้วยการประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์จะหลุดพ้นจากคำพิพากษาที่ตกลงมายังคนที่ไม่เชื่อและไม่ยอมประพฤติตามคำสอนของพระองค์  พระวจนะมาถึงโนอาห์ว่า “เจ้าและครัวเรือนทั้งหมดของเจ้าจงเข้าไปในเรือ เพราะในชั่วอายุคนรุ่นนี้เราเห็นเจ้าเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าเรา”  โนอาห์เชื่อฟังและรอด  ข่าวสารที่มายังโลทว่า  “ลุกขึ้น ออกจากที่นี่เถอะ เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะทำลายเมืองนี้” ปฐมกาล 7 ข้อที่ 1; 19 ข้อที่ 14  โลทเอาตัวเองไปอยู่ใต้การดูแลของผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์  และเขาก็รอด  ด้วยประการฉะนี้สาวกทั้งหลายของพระคริสต์ได้รับคำเตือนถึงเรื่องกรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย  คนทั้งหลายที่เฝ้าดูหมายสำคัญเรื่องภัยพิบัติที่กำลังมาถึงนี้หนีออกจากเมืองและรอดพ้นจากการทำลาย  ดังนั้นเวลานี้เราทั้งหลายได้รับคำเตือนเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์  และภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลก  ผู้ที่เชื่อคำเตือนนี้จะรอด  {DA 634.1}                            

เพราะเราไม่ทราบเวลาที่แน่นอนของการเสด็จกลับมาของพระองค์ เราจึงได้รับพระบัญชาให้เฝ้าระวัง  “บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข”  ลูกา12 ข้อที่ 37  ผู้ที่คอยเฝ้าการเสด็จกลับมาของพระคริสต์จะไม่นั่งรออย่างเกียจคร้าน  ผู้ที่คอยเฝ้าการเสด็จกลับมาของพระเป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ทั้งหลายยำเกรงพระเจ้าและกลัวการพิพากษาที่จะตกลงมายังคนทั้งหลายที่ล่วงละเมิดพระปัญญัติของพระองค์  เป็นการปลุกคนเหล่านั้นให้รู้สึกถึงบาปยิ่งใหญ่ของการปฏิเสธพระเมตตาคุณที่พระองค์ทรงเสนอ  ผู้ที่คอยเฝ้าพระคริสต์จะชำระจิตวิญญาณของเขาให้สะอาดบริสุทธิ์ด้วยการเชื่อฟังความจริง  ขณะเฝ้าคอยอย่างตื่นตัวอยู่นั้น พวกเขาผนวกการทำงานอย่างร้อนรนเข้าไปด้วย  เพราะพวกเขาทราบดีว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้เกือบจะถึงประตูอยู่แล้ว  เขามีใจร้อนรนที่จะร่วมมือกับบรรดาชาวสวรรค์เพื่อช่วยจิตวิญญาณให้รอด  คนเหล่านี้เป็นคนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อและฉลาดซึ่ง “แจกอาหารตามเวลา” ลูกา 2 ข้อที่ 42  พวกเขาประกาศความจริงของพระเจ้าซึ่งบัดนี้นำไปใช้งานได้อย่างเหมาะเจาะ  ในสมัยของเอโนด  โนอาห์  อับราฮัมและโมเสสที่ต่างประกาศความจริงในยุคของเขาฉันใด  ผู้รับใช้ของพระคริสต์ในสมัยนี้ก็จะประกาศคำเตือนพิเศษสำหรับคนในชั่วอายุของพวกเขาด้วยฉันนั้น  {DA 634.2}                                  

แต่พระคริสต์ทรงเน้นให้เห็นถึงผู้รับใช้อีกจำพวกหนึ่งไว้ว่า “แต่ถ้าบ่าวชั่วนั้นคิดในใจของเขาว่า ‘นายของข้ามาช้า’ และเริ่มต้นโบยตีเพื่อนบ่าวและกินดื่มอยู่กับพวกขี้เมา  นายของบ่าวคนนั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิด ในชั่วโมงที่ไม่รู้”  {DA 634.3}                   

บ่าวชั่วคิดในใจว่า “นายของข้ามาช้า”  เขาไม่ได้พูดว่าพระคริสต์จะไม่มา  เขาไม่ได้เยาะเย้ยความคิดเรื่องของการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์  แต่ในใจของเขาและการกระทำและคำที่เขาพูดล้วนประกาศว่าพระคริสต์จะเสด็จมาช้า  เขาลบล้างความเชื่อมั่นว่าพระเป็นเจ้าจะเสด็จมาโดยเร็วพลันออกจากสมองของคนอื่น  อิทธิพลของเขาชักจูงให้คนอื่นอวดดีประมาทเลินเล่ออย่างไม่ใส่ใจ  ใจของพวกเขาฝักใฝ่อย่างหลงระเริงไปในทางโลกและอย่างไร้สติ  ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความคิดเสื่อมทรามครอบงำจิตใจ  บ่าวชั่วกินและดื่มกับคนเมาและเข้าร่วมพวกกับคนทั้งหลายที่แสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินทางโลก  เขาเฆี่ยนตีบ่าวชายหญิงที่เป็นพวกเดียวกัน  กล่าวตำหนิติเตียนและปรับโทษบ่าวทั้งหลายที่สัตย์ซื่อต่อนายของพวกเขา  เขาคบค้าสมาคมกับชาวโลก ในเรื่องการล่วงละเมิดนั้นสิ่งที่เหมือนกันจะเติบใหญ่ขึ้นไปด้วยกัน  เป็นการผสานเข้าด้วยกันอยางน่าวิตก  เขาตกลงสู่กับดักพร้อมกับโลก “นายของบ่าวคนนั้นจะมาในวันที่เขาไม่คาดคิด ในเวลาที่เขาไม่รู้. . . .และจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวกที่ไม่เชื่อ. . . .และจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด”  DA 635.1}                

เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน” วิวรณ์ 3 ข้อที่ 3  การเสด็จมาของพระคริสต์จะทำให้ครูสอนเทียมเท็จตกตะลึงใจ  พวกเขาจะพูดว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว”  เหมือนเช่นที่พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์พูดกันก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย  พวกเขาหวังพึ่งคริสตจักรเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางฝ่ายโลกและเกียรติยศชื่อเสียง และพวกเขาแปลความหมายเครื่องหมายของกาลเวลาว่าเป็นนิมิตบอกเหตุนี้  แต่พระวจนะแห่งการทรงดลใจของพระเจ้ากล่าวไว้อย่างไร  “ความพินาศก็จะมาถึงทันที” 1 เธสะโลนิกา 5 ข้อที่ 3  วันของพระเจ้าจะมาถึงราวกับเป็นกับดักที่ตกลงมาอยู่เหนือทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลก และตกลงมาอยู่เหนือทุกคนที่ทำให้โลกนี้เป็นบ้าน  วันนั้นของพระเจ้าจะมาถึงพวกเขาเหมือนกับขโมยที่แอบย่องมาในยามวิกาล  {DA 635.2}                      

โลกที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายและความสำราญแบบไม่มีพระเจ้ากำลังหลับอยู่ในความปลอดภัยฝ่ายเนื้อหนัง  มนุษย์เลื่อนการเสด็จมาของพระผู้เป็นเจ้าให้นานออกไป  พวกเขาเยาะเย้ยคำเตือนของพระเจ้าและคุยอย่างโอ้อวดว่า “ทุกสิ่งก็เป็นอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่ทรงสร้างโลก"  วัน “พรุ่งนี้ก็จะเหมือนวันนี้ จะใหญ่โตและมากมายยิ่งกว่าอีก”  2 เปโตร 3 ข้อที่ 4  อิสยาห์ 56 ข้อที่ 12  เราจะหลงระเริงไปในความสนุกสนานเพลิดเพลิน  แต่พระคริสต์ตรัสว่า เรา “มาเหมือนอย่างขโมย” วิวรณ์ 16 ข้อที่ 15  ในเวลาที่โลกถามกันอย่างเหยียดหยามว่า “พระสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน? "  หมายสำคัญเหล่านั้นกำลังสำเร็จบริบูรณ์  ในขณะที่เขาเหล่านั้นร้องว่า "สงบสุขและปลอดภัยแล้ว”  ความพินาศก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน  ในเวลาที่คนยโสบังอาจลบหลู่ดูหมิ่นความจริง  ในเวลาที่พวกเขาขะมักเขม้นทำการหาเงินหาทองเพิ่มความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงหลักคำสอนของพระเจ้า  และนักเรียนทะเยอทะยานค้นคว้าหาความรู้ทุกเรื่องนอกจากเรื่องของพระคัมภีร์นั้น พระคริสต์จะเสด็จมาเหมือนอย่างขโมย  {DA 635.3}

ทุกสิ่งในโลกกำลังปั่นป่วน  หมายสำคัญของกาลเวลากำลังใกล้เข้ามาแล้ว  เหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าทอดเงาอยู่ต่อหน้า  พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังถูกถอนออกไปจากแผ่นดินโลก  และมีเหตุร้ายครั้งแล้วครั้งเหล่าเกิดขึ้นต่อเนื่องกันทั้งทางทะเลและทางบก  มีพายุ  แผ่นดินไหว ไฟไหม้ น้ำท่วมและฆาตกรรมทุกระดับ  ผู้ใดเล่าอ่านกาลเวลาอนาคตได้?  ความปลอดภัยอยู่ที่ไหน?  ไม่มีความแน่นอนใดสำหรับมนุษย์หรือสิ่งของในโลก  มนุษย์มอบตัวเข้าไปอยู่ใต้ร่มธงที่เขาเลือกเองอย่างรวดเร็ว  ด้วยความกระสับกระส่ายพวกเขาเฝ้ารอและติดตามการเคลื่อนไหวของผู้นำของพวกเขา  มีคนที่คอยเฝ้าและทำงานขณะรอคอยการเสด็จกลับมาปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ส่วนอีกพวกหนึ่งยอมอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ละทิ้งความเชื่อยิ่งใหญ่คนแรก  มีน้อยคนเชื่ออย่างจริงใจว่าเรามีนรกที่จะหลีกหนีและมีแผ่นดินสวรรค์ที่จะต้องเอาชนะ  {DA 636.1}                      

วิกฤตกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ตัวเรา  ดวงอาทิตย์ส่องสว่างในท้องฟ้าและโคจรไปตามเส้นทางเช่นเคยและฟ้าสวรรค์ยังประกาศพระสิริของพระเจ้า  มนุษย์ก็ยังกินและดื่ม  ยังก่อสร้างและเพาะปลูก  ยังแต่งงานและยกให้เป็นสามีภรรยากัน  พ่อค้ายังคงทำการซื้อและขาย  มนุษย์ทั้งหลายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพื่อจะได้รับตำแหน่งสูงสุด  พวกที่รักความสนุกเพลิดเพลินยังเข้าโรงมหรสพ  สนามแข่งม้าและขุมนรกดงพนัน  ทั่วทั้งแผ่นดินโลกมีแต่ความตื่นเต้นและโกลาหลวุ่นวาย  แตกระนั้น ระยะเวลาที่พระเจ้าทรงพระกรุณาผ่อนผันให้มนุษย์กลับใจใหม่กำลังจะปิดลงและมนุษย์ทุกคนกำลังจะถูกพิพากษาตัดสินไปตลอดกาล  ซาตานเห็นว่ามันมีเวลาเหลือน้อย  มันจึงใช้สื่อตัวแทนทั้งหมดของมันทำงานเพื่อล่อลวงให้มนุษย์หลงกระทำผิดและหลงระเริงไปในความสนุกสนานเพลิดเพลินฝ่ายโลกจนถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงพระกรุณาผ่อนผันให้มนุษย์กลับใจใหม่สิ้นสุดลง  และประตูแห่งความเมตตากรุณาจะปิดลงไปตลอดกาล  {DA 636.2}                                    

ตลอดหลายศตวรรษ  เราได้ยินพระสุรเสียงแห่งคำเตือนของที่พระคริสต์ทรงกล่าวตักเตือนสาวกของพระองค์บนภูเขามะกอกเทศว่า “จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้า และการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่คาดฝัน” “จงเฝ้าระวังอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อพวกท่านจะมีกำลังรอดพ้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้"  {DA 636.3}                            

********