บทที่ 84
“สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่าน”
บทนี้อ้างอิงจากลูกา 24 ข้อที่ 33-48; ยอห์น 20 ข้อที่ 19-29
เมื่อสาวกสองคนเดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาก็เข้าไปทางประตูด้านทิศตะวันออกซึ่งเปิดไว้ในเวลากลางคืนในช่วงการฉลองเทศกาล บ้านเรือนต่างๆ มืดและเงียบ แต่คนเดินทางต่างก็เดินไปตามถนนแคบๆ ด้วยแสงจากดวงจันทร์ที่กำลังขึ้นมา พวกเขาไปยังห้องชั้นบนอันเป็นห้องที่พระเยซูทรงใช้ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ พวกเขาทราบดีว่าจะพบพี่น้องของพวกเขา ณ ที่นี่ แม้จะดึกแค่ไหนพวกเขาก็มั่นใจว่าบรรดาพี่น้องจะไม่เข้านอนจนกว่าจะรู้อย่างแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระศพขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา พวกเขาพบประตูห้องถูกใส่กลอนอย่างแน่นหนา พวกเขาเคาะขอเข้าไปในห้องแต่ไม่มีการตอบรับ เงียบสนิทจนเมื่อพวกเขาบอกชื่อไปประตูจึงถูกเปิดออกด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเดินเข้าไป และพระองค์ที่ตามองไม่เห็นก็เสด็จเข้าไปพร้อมกับพวกเขาด้วย แล้วประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้งเพื่อกันสายลับเล็ดลอดเข้าไป {DA 802.1}
ผู้ที่เดินทางมาถึงพบว่าทุกคนอยู่ในความตื่นเต้น เสียงของคนทั้งห้องร้องขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า ต่างร้องกันว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ และทรงปรากฏแก่ซีโมน" จากนั้นคนเดินทางทั้งสองที่มาถึงในสภาพที่เหนื่อยหอบจากการเดินทางที่เร่งรีบก็เล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ว่าพระเยซูทรงปรากฏต่อพวกเขาอย่างไร ตอนที่พวกเขาพึ่งจะพูดจบและมีคนพูดขึ้นมาว่าไม่เชื่อสิ่งที่พวกเขาเล่าเพราะเป็นเรื่องที่ดีเกินจริง ดูเถิด ในเวลานั้นมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่งประทับอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดวงตาทุกดวงจ้องมองไปยังชายแปลกหน้าพระองค์นี้ ไม่มีใครเคาะประตูขอเข้าห้อง ไม่ได้มีเสียงฝีเท้าใดๆ พวกสาวกต่างตกใจและสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งซึ่งไม่ใช่เสียงใครอื่นนอกจากพระสุรเสียงของพระอาจารย์ของพวกเขา ถ้อยคำที่ออกมาจากริมพระโอษฐ์ของพระองค์ดังชัดเจนและสดใสว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" {DA 802.2}
"พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม? เพราะอะไรท่านถึงเกิดความคิดสงสัยขึ้นในใจ? จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี’ เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระหัตถ์และพระบาทให้เขาเห็น" {DA 803.1}
พวกเขามองพระหัตถ์และพระบาทที่มีรอยตะปูโหด พวกเขาจำพระสุรเสียงของพระองค์ที่ไม่เหมือนเสียงอื่นใดที่เคยได้ยินมาก่อนได้ "เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า ‘ที่นี่มีอะไรกินบ้างไหม?’ พวกเขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา" “เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี” ความเชื่อและความปีติยินดีเข้ามาแทนที่ความไม่เชื่อ และด้วยความรู้สึกที่ไม่มีคำพูดใดจะบรรยายได้ พวกเขายอมรับพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงคืนพระชนม์ของพวกเขา {DA 803.2}
เมื่อพระเยซูประสูติ ทูตสวรรค์ประกาศว่า สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงโปรดปรานนั้น และในเวลานี้ ภายหลังจากการทรงคืนพระชนม์ ขณะที่พระองค์ทรงปรากฏแก่สาวกเป็นครั้งแรก พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับพวกเขาด้วยพระวจนะแห่งพระพรว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" พระเยซูทรงพร้อมเสมอที่จะตรัสพระดำรัสแห่งสันติสุขกับจิตวิญญาณที่แบกภาระแห่งความสงสัยและความกลัว พระองค์ทรงรอให้เราเปิดประตูใจต้อนรับพระองค์และตรัสว่า จงมาอยู่กับเรา พระองค์ตรัสว่า "นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา" วิวรณ์ 3 ข้อที่ 20 {DA 803.3}
การคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นต้นแบบของการคืนชีพครั้งสุดท้ายของทุกคนที่หลับในพระองค์ พระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงคืนพระชนม์ ทั้งบุคลิกพระลักษณะท่าทาง พระดำรัสล้วนเป็นที่คุ้นเคยของพวกสาวก ทุกคนที่นอนหลับในพระองค์จะเป็นขึ้นมาอีกเช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เราจะรู้จักมิตรสหายของเราเหมือนที่สาวกรู้จักพระเยซู พวกเขาอาจมีร่างกายที่เสียรูปโฉมไป เป็นโรคหรือไม่สมประกอบในขณะดำรงชีวิตมตะในโลกนี้ แต่เมื่อพวกเขาเป็นขึ้นมาแล้วพวกเขาจะมีสุขภาพที่สมบูรณ์และสมมาตร กระนั้นในร่างที่ได้รับเกียรติศักดิ์ศรีแล้วนี้ ลักษณะเฉพาะของพวกเขาจะถูกเก็บถนอมรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเราจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า 1 โครินธ์ 13 ข้อที่ 12 ในใบหน้าที่เปล่งประกายด้วยแสงที่ส่องมาจากพระพักตร์ของพระเยซูนั้น เราจะจำลักษณะเฉพาะของคนที่เรารักได้ {DA 804.1}
เมื่อพระเยซูทรงพบกับสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงย้ำเตือนพวกเขาถึงถ้อยคำที่พระองค์ตรัสกับพวกเขาก่อนสิ้นพระชนม์ว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส หมวดผู้เผยพระวจนะ และหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงพระองค์จะต้องสำเร็จ “แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อการยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกท่านเองก็เป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้’” {DA 804.2}
เหล่าสาวกเริ่มตระหนักถึงลักษณะและขอบเขตของพันธกิจ พวกเขาต้องประกาศให้แก่ชนทุกชาติรู้ถึงความจริงอันประเสริฐที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้พวกเขา เหตุการณ์ในชีวิตของพระองค์ การสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ คำพยากรณ์ที่ชี้ไปถึงเหตุการณ์เหล่านี้ ความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมบัญญัติของพระเจ้า ความล้ำลึกของแผนแห่งการไถ่ให้รอด ฤทธิ์อำนาจการอภัยบาปของพระเยซู - เรื่องทั้งหมดนี้พวกเขาต้องเป็นพยาน และจะต้องประกาศออกไปทั่วทั้งโลก พวกเขาต้องประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขและความรอดโดยการกลับใจและโดยอำนาจของพระผู้ช่วยให้รอด {DA 805.1}
"เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า ‘จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย’" ในเวลานั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ทรงสำแดงออกมาอย่างเต็มที่ เพราะพระคริสต์ยังไม่ได้รับเกียรติสิริ การประทานพระวิญญาณอย่างเต็มที่จะยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งหลังจากพระคริสต์เสด็จกลับไปสวรรค์แล้ว จวบจนกระทั่งพวกสาวกได้รับพระวิญญาณแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะประกอบภารกิจของการประกาศข่าวประเสริฐให้แก่โลกได้ แต่ในเวลานี้พระวิญญาณที่ประทานให้มีไว้เพื่อจุดประสงค์พิเศษ ก่อนที่สาวกจะปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรอย่างเป็นทางการจนสำเร็จได้นั้น พระคริสต์ทรงระบายพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่พวกเขา พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแก่พวกเขาและพระองค์ทรงปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจให้พวกเขาด้วยความจริงที่ว่า หากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำพระราชกิจนี้ให้สำเร็จไม่ได้ {DA 805.2}
พระวิญญาณบริสุทธิ์คือลมหายใจของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่อยู่ในตัวบุคคล การประทานพระวิญญาณคือการประทานชีวิตของพระคริสต์ พระวิญญาณทรงทำให้ผู้รับชุ่มโชกด้วยคุณลักษณะของพระคริสต์ มีเพียงผู้ที่พระเจ้าทรงสอนเช่นนี้และผู้ที่พระวิญญาณทรงประกอบกิจอยู่ภายในและผู้ที่ในชีวิตแสดงออกถึงชีวิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนมนุษย์เพื่อปฏิบัติพันธกิจในนามของคริสตจักรได้ {DA 805.3}
"ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร" พระคริสต์ตรัส "บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย" ในที่นี้ พระคริสต์ไม่ทรงให้เสรีภาพแก่ผู้ใดตัดสินกำหนดโทษผู้อื่น พระองค์ทรงตรัสห้ามเรื่องนี้ไว้ในคำเทศนาบนภูเขา การกำหนดตัดสินโทษเป็นอภิสิทธิ์ของพระเจ้า แต่ในคริสตจักรที่มีการจัดระเบียบไว้แล้วนั้น พระองค์ทรงมอบหมายหน้าที่ให้แก่สมาชิกแต่ละคน คริสตจักรมีหน้าที่หนึ่งที่ต้องทำสำหรับผู้ที่ตกลงไปอยู่ในบาปคือ ตักเตือน สั่งสอนและถ้าเป็นไปได้คือฟื้นฟูให้เขากลับสู่สภาพดีดังเดิม “จง. . . . ตักเตือน และหนุนใจ ” พระยาห์เวห์ตรัส “ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่” 2 ทิโมธี 4 ข้อที่ 2 ให้จัดการกับการกระทำผิดอย่างซื่อสัตย์ เตือนจิตวิญญาณทุกดวงที่ตกอยู่ในภัยอันตราย อย่าปล่อยให้ใครคนใดหลอกตัวเอง จงเรียกบาปว่าบาป ให้เปิดเผยว่าพระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการโกหก การทำผิดวันสะบาโต การขโมย การกราบไหว้บูชารูปเคารพ และความชั่วร้ายอื่นๆ ไว้อย่างไร “คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” กาลาเทีย 5 ข้อที่ 21 หากพวกเขายังคงดื้อทำบาปต่อไป คำตัดสินจากพระวจนะของพระเจ้าที่คุณบอกกล่าวจะถูกประกาศใส่พวกเขาในสวรรค์ ด้วยการเลือกทำบาปพวกเขาจึงปฏิเสธพระคริสต์ คริสตจักรจะต้องแสดงให้เห็นว่าคริสตจักรไม่ได้รับรองการกระทำของพวกเขามิเช่นนั้นแล้วเธอเองจะหลู่เกียรติพระเจ้าของเธอ เธอต้องพูดถึงบาปเช่นเดียวกับที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับบาป เธอต้องจัดการกับบาปนั้นตามที่พระเจ้าทรงชี้แนะแล้วการกระทำของเธอจะได้รับรองการรับรองในสวรรค์ ผู้ที่หมิ่นอำนาจของคริสตจักรก็หมิ่นสิทธิอำนาจของพระคริสต์ด้วย {DA 805.4}
แต่มีภาพอีกด้านหนึ่งที่สว่างไสวกว่า "ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย" จงเอาความคิดนี้เทิดทูนไว้ให้สูงส่งที่สุด ในการลงแรงทำงานเพื่อคนทำผิด จงให้สายตาของทุกคนมุ่งหันไปยังพระคริสต์ จงให้ผู้เลี้ยงแกะเอาใจใส่ดูแลฝูงแกะในทุ่งหญ้าของพระเจ้าด้วยความอ่อนโยน ให้พวกเขาพูดกับคนทำผิดถึงพระเมตตาแห่งการให้อภัยของพระผู้ช่วยให้รอด หนุนให้คนบาปกลับใจ และหนุนให้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงอภัยบาป ให้พวกเขาประกาศด้วยสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าว่า "ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น" 1 ยอห์น 1 ข้อที่ 9 ทุกคนที่กลับใจมีความเชื่อมั่นว่า "พระองค์ท่านจะทรงหวนกลับมาเมตตาเราอีก และจะทรงเหยียบความผิดทั้งหลายของเราไว้ พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของเรา ลงไปในที่ลึกของทะเล" มีคาห์ 7 ข้อที่ 19 {DA 806.1}
จงให้การกลับใจของคนบาปได้รับการยอมรับจากคริสตจักรด้วยใจที่ชื่นชมยินดี ขอใหนำคนที่กลับใจแล้วออกมาจากความมืดมนของการไม่เชื่อเพื่อเข้าสู่แสงแห่งความเชื่อและความชอบธรรม จงนำมืออันสั่นเทาของเขามาไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซู การให้อภัยเช่นนี้เป็นที่ยอมรับในสวรรค์ {DA 806.2}
ในแง่นี้เท่านั้นที่คริสตจักรมีอำนาจประกาศว่าคนบาปพ้นผิด การอภัยให้พ้นจากบาปจะได้มาโดยพระคุณความดีของพระคริสต์เท่านั้น ไม่มีมนุษย์คนใด ไม่มีคนกลุ่มใดได้รับอำนาจปลดปล่อยจิตวิญญาณจากความผิด พระคริสต์ตรัสบัญชาให้สาวกประกาศการอภัยในพระนามของพระองค์ท่ามกลางประชาชาติ แต่พวกเขาเองไม่มีอำนาจกำจัดรอยเปื้อนของบาป พระนามของพระเยซูเป็นพระนามเดียวที่ให้เรารอดได้ "ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" กิจการ 4 ข้อที่ 12 {DA 806.3}
เมื่อพระเยซูทรงพบสาวกครั้งแรกในห้องชั้นบนนั้น โธมัสไม่ได้อยู่กับพวกเขา เขาได้ยินรายงานต่างๆ ของคนอื่น และได้รับหลักฐานมากมายว่าพระเยซูทรงคืนพระชนม์แล้ว แต่ความเศร้าโศกและความไม่เชื่อทับถมหัวใจของเขา ขณะที่เขาฟังพวกสาวกเล่าถึงการสำแดงอันประเสริฐของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงชนม์นั้นเขายิ่งจมดิ่งลงไปสู่ความหมดหวังมากขึ้น หากพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายจริง แล้วก็จะไม่มีความหวังในอาณาจักรทางโลกอีกต่อไป เรื่องนี้ทำลายความหยิ่งทะนงตนของเขา เมื่อคิดว่าพระอาจารย์ทรงเปิดเผยตนเองให้สาวกทุกคนยกเว้นตัวเขา เขาตั้งใจที่จะไม่เชื่อ และตลอดสัปดาห์เขาเศร้าสร้อยหมกมุ่นอยู่กับความน่าเวทนาของตนเองซึ่งทำให้เขามืดมนสิ้นหวังมากขึ้นเมื่อเทียบกับความหวังและความเชื่อของพวกพี่น้องของเขา {DA 806.4}
ในระหว่างนี้เขาประกาศแล้วประกาศอีกว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย" เขาไม่ต้องการมองผ่านสายตาของพวกพี่น้องของเขาหรือใช้ความเชื่อที่อาศัยคำพยานของพวกเขา เขารักพระเจ้าของเขาอย่างแรงกล้า แต่เขาปล่อยให้ความอิจฉาและความไม่เชื่อเข้าครอบงำจิตใจและหัวใจของเขา {DA 807.1}
ในเวลานี้ พวกสาวกจำนวนหนึ่งใช้ห้องชั้นบนที่คุ้นเคยเป็นบ้านพักชั่วคราวของพวกเขา และในเวลาเย็นสาวกทั้งหมดยกเว้นโธมัสจะมารวมตัวกันที่นี่ เย็นวันหนึ่งโธมัสตั้งใจมาพบกับคนอื่นๆ ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อแต่เขาก็ยังมีความหวังเลือนรางว่าข่าวดีนี้เป็นเรื่องจริง ในขณะที่สาวกกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น พวกเขาพูดคุยถึงหลักฐานต่างๆ ในคำพยากรณ์ที่พระคริสต์ประทานแก่พวกเขา "ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า ‘สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย’" {DA 807.2}
พระองค์ทรงหันไปหาโธมัสตรัสว่า "เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ" พระดำรัสเหล่านี้แสดงว่าพระองค์ทรงคุ้นเคยกับความคิดและคำพูดของโธมัส สาวกขี้สงสัยคนนี้รู้ดีว่าไม่มีเพื่อนของเขาคนใดได้เข้าเฝ้าพระเยซูในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะทูลพระอาจารย์เรื่องความไม่เชื่อของเขา เขาเห็นแล้วและยอมรับว่าพระเจ้าผู้ประเสริฐองค์หนึ่งทรงยืนอยู่ต่อหน้าเขา พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไม่ประสงค์หลักฐานอื่นใดอีกแล้ว หัวใจของเขาโลดเต้นด้วยความปีติยินดี และเขาก็หมอบกราบลงแทบพระบาทของพระเยซูร้องทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์" {DA 807.3}
พระเยซูทรงตอบรับการยอมรับของเขา แต่ทรงตำหนิความไม่เชื่อของเขาด้วยความอ่อนโยนว่า "เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” ความเชื่อของโธมัสน่าจะเป็นที่พอพระทัยพระคริสต์มากยิ่งขึ้นหากเขาเต็มใจที่จะเชื่อตามคำพยานของพี่น้องของเขา หากโลกจะทำตามแบบอย่างของโธมัส จะไม่มีใครสักคนเชื่อจนได้รับความรอด เพราะทุกคนที่ต้อนรับพระคริสต์ต้องเชื่อโดยผ่านคำพยานของผู้อื่น {DA 807.4}
หลายคนที่ปล่อยตัวให้อยู่ในความสงสัยจะแก้ตัวโดยอ้างว่า ถ้าพวกเขามีหลักฐานเหมือนอย่างที่โธมัสได้รับจากเพื่อนของเขาแล้ว พวกเขาก็จะเชื่อ พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าพวกเขาไม่ใช่ได้แค่เพียงหลักฐานนั้นเท่านั้น แต่ยังได้มากกว่านั้นอีก หลายคนทำตัวเหมือนเช่นโธมัสที่ต้องการรอให้ความสงสัยทั้งหมดถูกกำจัดออกไปเสียก่อนซึ่งพวกเขาจะไม่มีวันสมปรารถนา กลับกลายเป็นพวกเขาจะค่อยๆ ได้รับการยืนยันถึงความไม่เชื่อ คนที่ฝึกตัวเองให้มองในด้านมืด คอยบ่นและตำหนินั้นไม่รู้ว่าตนทำอะไรอยู่ พวกเขากำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยและพวกเขาจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตของความสงสัย เมื่อถึงเวลาที่ความเชื่อและความมั่นใจเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดนั้นหลายคนจะพบว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะหวังและเชื่อ {DA 807.5}
ด้วยการปฏิบัติของพระเยซูต่อโธมัส พระองค์ประทานบทเรียนหนึ่งให้แก่ผู้ติดตามของพระองค์ แบบอย่างของพระองค์ทรงสำแดงให้เราเห็นว่าเราควรปฏิบัติอย่างไรต่อผู้ที่มีความเชื่ออ่อนแอและผู้ที่มีความสงสัยซึ่งเห็นได้ชัด พระเยซูไม่ทรงโหมกระหน่ำคำตำหนิใส่โธมัสและพระองค์ไม่ทรงขัดแย้งกับเขา พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้แก่ผู้สงสัย โธมัสเคยทำตัวไร้เหตุผลที่สุดด้วยการกำหนดเงื่อนไขให้แก่ความเชื่อของเขา แต่พระเยซูทรงทำลายอุปสรรคทั้งหมดที่ขวางกั้นด้วยความรักและความเมตตาอย่างโอบอ้อมอารี น้อยครั้งนักที่ความขัดแย้งจะเอาชนะความไม่เชื่อ มันกลับเป็นการตั้งป้อมป้องกันตนเองและหาที่ยึดและหาข้อแก้ตัวใหม่ แต่จงเปิดเผยพระเยซูพร้อมทั้งความรักและพระเมตตาของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และแล้วจะได้ยินเสียงออกมาจากริมฝีปากมากมายที่ในอดีตไม่ยอมรับจะร้องประกาศยอมรับออกมาเช่นเดียวกับโธมัสว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์" {DA 808.1}
************