บทที่ 85

ณ ริมฝั่งทะเลสาบอีกครั้ง

 บทนี้อ้างอิงจากยอห์น 21 ข้อที่ 1-22


พระเยซูทรงนัดสาวกของพระองค์ให้ไปพบกันในแคว้นกาลิลี และไม่นานหลังจากสัปดาห์ปัสกาสิ้นสุด พวกเขาก็เร่งเดินหน้าไปยังที่นั่น  การที่พวกเขาจะหายหน้าไปจากกรุงเยรูซาเล็มในช่วงเทศกาลนั้นจะถูกตีความว่าเป็นการไม่พอใจและเป็นพวกคนที่มีความเห็นนอกรีต ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรออยู่จนเสร็จสิ้นการถือเทศกาล แต่เมื่องานเทศกาลสิ้นสุดลง พวกเขาก็มุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความยินดีเพื่อจะไปพบพระผู้ช่วยให้รอดตามที่พระองค์ทรงบัญชาไว้  {DA 809.1}                                

สาวกเจ็ดคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน  พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าของชาวประมงที่ต่ำต้อย  พวกเขายากจนในทรัพย์สินทางโลก แต่อุดมไปด้วยความรู้และการปฏิบัติในความจริง ซึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์แล้ว พวกเขาได้รับตำแหน่งสูงสุดในฐานะครู  พวกเขาไม่ได้เป็นนักเรียนในโรงเรียนของพวกผู้พยากรณ์ แต่เป็นเวลาถึงสามปีที่พวกเขาได้รับการสั่งสอนจากพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก  ภายใต้การสั่งสอนของพระองค์ พวกเขาได้รับการยกระดับขึ้น ฉลาดด้วยปัญญาและได้รับการขัดเกลาเพื่อเป็นตัวแทนในการนำมนุษย์ให้รอบรู้เข้าถึงความจริง  {DA 809.2}                      

เวลาส่วนใหญ่ของพันธกิจแห่งการรับใช้ของพระคริสต์เกิดขึ้นใกล้บริเวณทะเลสาบกาลิลี  ในขณะที่พวกสาวกมารวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะไม่ถูกรบกวนนั้น พวกเขาพบว่าตนเองถูกล้อมรอบไปด้วยสิ่งที่เตือนความทรงจำถึงพระเยซูและพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  บนทะเลสาบแห่งนี้ขณะที่ใจของพวกเขากำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและพายุรุนแรงกำลังเร่งพาพวกเขาไปสู่ความพินาศนั้น พระเยซูเสด็จดำเนินมาบนคลื่นเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด  ณ ที่แห่งนี้เองที่พายุร้ายสงบลงด้วยพระดำรัสของพระองค์  บริเวณไกลออกไปภายในระยะที่สายตามองเห็น คือชายหาดที่มีคนกว่าหมื่นคนรับประทานอาหารที่ได้จากขนมปังเพียงไม่กี่ก้อนและปลาไม่กี่ตัว  ไม่ไกลนักคือเมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งเป็นสถานที่ของการอัศจรรย์มากมาย  ขณะที่พวกสาวกมองดูสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยถ้อยคำและพระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 809.3}                              

ในเวลาพลบค่ำที่แสนสบาย เปโตรผู้ที่ยังคงมีความรักเรือและการตกปลาเช่นเดิมเสนอให้แล่นเรือออกไปทอดอวนจับปลา ทุกคนตอบรับพร้อมกันเพื่อเข้าร่วมแผนการนี้  พวกเขาจำเป็นต้องมีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งรายได้จากการจับปลาที่ประสบความสำเร็จในเวลากลางคืนจะมอบให้พวกเขาได้  ดังนั้นพวกเขาจึงแล่นเรือออกไป แต่พวกเขาจับปลาไม่ได้เลย  พวกเขาทำงานทั้งคืนแต่ไม่ประสบผล  ตลอดคืนที่เหนื่อยล้าพวกเขาพูดกันถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ได้อยู่กับพวกเขา และหวนคิดถึงเหตุการณ์อัศจรรย์หลายอย่างที่พวกเขาได้เห็นในพระราชกิจของพระองค์ที่ริมฝั่งทะเล  พวกเขาสงสัยอนาคตของตนเอง และเริ่มเศร้าใจกับอนาคตที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา  {DA 810.1}                          

ตลอดเวลาเหล่านั้น มีบุคคบท่านหนึ่งประทับอยู่บนฝั่งทรงเฝ้ามองอยู่ ทรงใช้สายพระเนตรของพระองค์เฝ้าติดตามดูพวกเขาโดยไม่ทรงปรากฏตัวให้เห็น  ค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่ก็มาถึง เรืออยู่ห่างจากฝั่งเพียงเล็กน้อย พวกสาวกเห็นคนแปลกหน้าท่านหนึ่งประทับอยู่ที่ชายหาดกล่าวทักทายพวกเขาด้วยคำถามว่า "ลูกเอ๋ย ยังไม่ได้ปลาหรือ?” เมื่อพวกเขาตอบว่า “ยัง” “พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง’  เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมาก จนลากอวนขึ้นไม่ไหว”  {DA 810.2}  

ยอห์นจำคนแปลกหน้าได้และร้องอุทานกับเปโตรว่า "เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า"  เปโตรปีติยินดีอย่างล้นพ้นและดีใจมากจนกระโดดลงไปในน้ำด้วยความกระตือรือร้นและในไม่ช้าก็มายืนอยู่เคียงข้างพระอาจารย์ของเขา  สาวกคนอื่นๆ มาในเรือลากอวนที่เต็มไปด้วยปลา "เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง"  {DA 810.3}     

พวกเขาประหลาดใจเกินกว่าที่จะถามว่าไฟและอาหารมาจากไหน  "พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้าง’"  เปโตรรีบไปยังอวนที่เขาเป็นคนทอดลงไปในน้ำ และช่วยพี่น้องลากอวนเข้ามายังฝั่ง  หลังจากทำงานเสร็จและเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วพระเยซูตรัสบัญชาสาวกให้มาร่วมรับประทานอาหาร  พระองค์ทรงหักอาหารและแบ่งให้พวกเขา คนทั้งเจ็ดเห็นและจำได้  ในเวลานี้ ภาพการอัศจรรย์ของการเลี้ยงคนห้าพันตรงบริเวณไหล่เขาได้กลับมายังความคิดของพวกเขา แต่ความยำเกรงอย่างลึกลับน่าพิศวงปกคลุมอยู่เหนือพวกเขา และในความเงียบพวกเขาจ้องมองพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงคืนพระชนม์  {DA 810.4}              

พวกเขาหวนนึกถึงภาพริมฝั่งทะเลสาบเมื่อพระเยซูทรงเรียกให้พวกเขาติดตามพระองค์  พวกเขาจำได้ดีว่าพวกเขาได้ทำตามพระบัญชาให้แล่นเรือออกไปยังที่ลึกและปล่อยอวนลงไปและมีปลาติดอวนมากจนอวนจะขาด  แล้วพระเยซูตรัสสั่งให้พวกเขาทิ้งเรือประมงและทรงสัญญาที่จะให้พวกเขาจับคนเหมือนจับปลา  พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์อีกครั้งเพื่อให้พวกเขาหวนคิดถึงภาพเก่าที่จะสร้างความประทับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงประกอบกิจนี้เพื่อประสงค์จะนำพระมหาบัญชามาประทานให้สาวกอีกครั้ง  พระองค์ทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าการสิ้นพระชนม์ของพระอาจารย์ไม่ได้ทำให้สัญญาผูกมัดอ่อนลงไปแม้แต่น้อย  แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่มีพระองค์อยู่ด้วยและขาดแคลนเงินสนับสนุนที่เคยได้จากการทำมาหาเลี้ยงชีพในอดีตก็ตาม พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงชนม์ยังคงใส่พระทัยดูแลพวกเขาอยู่  ในขณะที่พวกเขาทำงานรับใช้พระองค์อยู่นั้น พระองค์จะทรงจัดเตรียมตามความต้องการของพวกเขา  และในการที่พระเยซูทรงบอกบอกให้พวกเขาหย่อนอวนลงทางด้านขวาของเรือนั้นเป็นเพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์บางอย่างด้านนั้นคือด้านที่พระองค์ประทับอยู่บนฝั่ง  ด้านนั้นเป็นด้านของความเชื่อ  หากพวกเขาทำงานรับใช้โดยมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ซึ่งหมายความว่ามีอำนาจของพระเจ้าผสานเข้ากับการลงแรงของมนุษย์แล้ว พวกเขาจะไม่พลาดจากความสำเร็จ  {DA 810.5}                  

มีอีกบทเรียนหนึ่งที่พระคริสต์ทรงประสงค์จะประทานให้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเปโตรโดยเฉพาะ  การปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเปโตรเป็นเรื่องน่าอับอายซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อพระอาจารย์  เขาหลู่เกียรติพระคริสต์และทำให้พี่น้องไม่ไว้วางใจเขา พวกเขาคิดว่าจะไม่มีวันยอมให้เปโตรรับตำแหน่งเดิมในกลุ่มของพวกเขาอีก และตัวเขาเองก็คิดว่าตนสูญเสียความไว้วางใจไปแล้ว  ก่อนที่เขาจะได้รับการทรงเรียกให้กลับคืนมารับงานของอัครทูตอีกครั้ง เขาจะต้องให้หลักฐานที่แสดงออกถึงการกลับใจ  หากปราศจากขั้นตอนนี้ ถึงแม้เขาจะกลับใจจากบาปแล้วก็ตาม บาปนั้นก็ยังอาจทำลายอิทธิพลของเขาในฐานะผู้รับใช้ของพระคริสต์ได้  พระผู้ช่วยให้รอดประทานโอกาสให้เขาได้รับความมั่นใจจากพี่น้องกลับคืนมาอีกครั้ง และเพื่อกำจัดคำตำหนิที่เขานำมายังข่าวประเสริฐเท่าที่จะทำได้  {DA 811.1}                          

นี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมดของพระคริสต์  ข่าวประเสริฐไม่เคยประนีประนอมกับความชั่ว  ข่าวประเสริฐไม่เคยแก้ตัวให้บาป  บาปที่ทำในที่ลับจะต้องสารภาพบาปนั้นอย่างลับๆ ต่อพระเจ้า แต่บาปที่ทำกันอย่างเปิดเผย จะต้องสารภาพอย่างเปิดเผย  คำตำหนิที่มาจากบาปของสาวกถูกโยนใส่พระคริสต์  เรื่องนี้ทำให้ซาตานได้รับชัยชนะและทำให้จิตวิญญาณที่หวั่นไหวรู้สึกสะดุด  สิ่งที่สาวกพอจะทำได้ในการกำจัดคำตำหนิออกไปก็คือ การแสดงหลักฐานของการกลับใจออกมาให้เห็น  {DA 811.2}                      

ขณะที่พระคริสต์และเหล่าสาวกรับประทานอาหารด้วยกันที่ริมฝั่งทะเลสาบ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?"  คำว่าพวกนี้หมายถึงพี่น้องของเขา  เปโตรเคยประกาศไปแล้วครั้งหนึ่งว่า "แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย" มัทธิว 26 ข้อที่ 33  แต่ในเวลานี้เขาประเมินตัวเองอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นว่า "ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า" เขาพูด " พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์"  ไม่มีการตอบรับรองอย่างแรงกล้าว่าความรักของเขายิ่งใหญ่กว่าของพี่น้องของเขา  เขาไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นของตัวเองในเรื่องการอุทิศตนของเขา   เขาอ้อนวอนให้พระองค์ผู้ทรงสามารถอ่านจุดมุ่งหมายทั้งหมดในหัวใจให้เป็นผู้ตัดสินความจริงใจของเขาโดยกล่าวว่า – “พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” และพระเยซูทรงบัญชาว่า "จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด" {DA 811.3}                            

พระเยซูทรงนำพระดำรัสตรัสครั้งก่อนมาทดสอบเปโตรอีกครั้งหนึ่งว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?"  ครั้งนี้พระองค์ไม่ตรัสถามเปโตรว่าเขารักพระองค์มากกว่าพี่น้องของเขาหรือไม่  คำตอบครั้งที่สองก็เหมือนกับครั้งแรกโดยปราศจากความเชื่อมั่นที่โอ้อวดเกินควร "ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์”  พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด"  อีกครั้งหนึ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงตั้งคำถามที่หลักแหลมว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?"  เปโตรเสียใจ  เขาคิดว่าพระเยซูทรงสงสัยในความรักของเขา  เขารู้ดีว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขามีสาเหตุที่จะไม่ไว้วางใจตัวเขา และด้วยหัวใจที่ปวดร้าวเขาตอบว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์"  พระเยซูตรัสกับเขาอีกครั้งว่า "จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด"  {DA 812.1}                                  

สามครั้งที่เปโตรปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาอย่างเปิดเผยและสามครั้งที่พระเยซูทรงดึงความมั่นใจในความรักและความภักดีของเขาออกมาจากตัวเขาโดยทรงรุกด้วยคำถามจี้จุดนั้นซึ่งเป็นดั่งหัวลูกศรปลายแหลมทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจที่บาดเจ็บของเขา  ต่อหน้าสาวกที่ร่วมชุมนุมกันนี้ พระเยซูทรงเปิดเผยความจริงใจของการกลับใจของเปโตรและทรงแสดงให้เห็นว่าสาวกคนหนึ่งที่อดีตเคยโอ้อวดบัดนี้ถ่อมตนลงแล้วอย่างสมบูรณ์เพียงไร  {DA 812.2}

โดยธรรมชาติแล้ว เปโตรเป็นคนเปิดเผยและหุนหันพลันแล่นและซาตานใช้ประโยชน์จากลักษณะเหล่านี้เพื่อทำให้เขาล้ม  ก่อนที่เปโตรจะล้มลง พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ซาตานขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี  แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” ลูกา 22 ข้อที่ 31, 32  บัดนี้ เวลานั้นมาถึงแล้ว และเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตัวเปโตร  คำถามทดสอบอย่างใกล้ชิดขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เรียกคำตอบที่โอ้อวดพึงพอใจในตนเอง  จากความอัปยศอดสูและการกลับใจของเขานี่เอง เปโตรจึงได้รับการเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่ผู้เลี้ยงแกะได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน  {DA 812.3}                            

ภาระกิจแรกที่พระคริสต์ทรงมอบหมายเปโตรเพื่อฟื้นฟูเขากลับคืนสู่พันธกิจคือการเลี้ยงลูกแกะ  นี่เป็นงานที่เปโตรมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย  เป็นงานที่ต้องการความเอาใจใส่และความอ่อนโยน และความอดทนและความพากเพียรบากบั่น  เป็นพระบัญชาให้เขาเอาใจใส่ผู้ที่มีความเชื่อใหม่ ให้สอนคนขาดความรู้ ให้เปิดพระคัมภีร์กับพวกเขา และอบรมสั่งสอนพวกเขาเพื่อทำงานให้เกิดประโยชน์ในการรับใช้พระคริสต์  ก่อนหน้านี้เปโตรไม่เหมาะที่จะทำงานนี้ หรือไม่แม้แต่จะเข้าใจความสำคัญของงาน  แต่นี่เป็นงานที่พระเยซูทรงเรียกร้องให้เขาทำในเวลานี้  ประสบการณ์ความทุกข์ทรมานและการกลับใจของตัวเขาเองได้เตรียมเขาไว้สำหรับงานนี้  {DA 812.4}                        

ก่อนที่เขาจะล้ม เปโตรมักจะพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิดจากแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นในเวลานั้น  เขาพร้อมเสมอที่จะแก้ไขผู้อื่นและแสดงความคิดเห็นของตนออกมาก่อนที่จะเข้าใจตัวเองหรือในสิ่งที่จะพูดอย่างถ่องแท้   แต่เปโตรที่กลับใจแล้วเป็นคนละคนกัน  เขายังคงมีความศรัทธาอันแรงกล้าเหมือนเดิม แต่พระคุณของพระคริสต์ควบคุมความกระตือรือร้นเกินไปของเขาไว้  เขาไม่ได้เป็นคนหุนหัน มั่นใจในตนเองและยกตนขึ้นอีกต่อไป  แต่สงบ ควบคุมตนได้และว่านอนสอนง่าย  เขาจึงเลี้ยงลูกแกะรวมทั้งแกะในฝูงแกะของพระคริสต์ได้ {DA 812.5}        

วิธีของพระผู้ช่วยให้รอดที่ปฏิบัติต่อเปโตรมีบทเรียนสำหรับเขาและพี่น้องของเขา  เป็นบทเรียนที่สอนพวกเขาให้เข้าหาผู้ล่วงละเมิดด้วยความอดทน ความเห็นอกเห็นใจและความรักที่ให้อภัย  แม้ว่าเปโตรจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาแต่ความรักที่พระเยซูทรงมีให้แก่เขานั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ผู้ช่วยผู้เลี้ยงแกะควรมีความรักเช่นนี้ให้กับแกะและลูกแกะที่มอบไว้ให้อยู่ในการดูแลของพวกเขา  เมื่อเปโตรจดจำความอ่อนแอและความล้มเหลวของเขาได้นั้น เขาก็จะปฏิบัติต่อฝูงแกะด้วยความอ่อนโยนเช่นเดียวกับที่พระคริสตทรงปฏิบัติต่อเขา  {DA 815.1}

คำถามที่พระคริสต์ทรงถามเปโตรนั้นสำคัญมาก  พระองค์ทรงกล่าวถึงเงื่อนไขเพียงข้อเดียวของการอยู่ในหน้าที่ของการเป็นสาวกและการรับใช้  “ท่านรักเราหรือ?” พระองค์ตรัส  นี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญจำเป็นที่สุด  ถึงแม้เปโตรจะมีคุณสมบัติอื่นๆ แต่ถ้าปราศจากความรักของพระคริสต์ เขาก็เป็นผู้เลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่ซื่อสัตย์ไม่ได้  ความรอบรู้ ความเมตตากรุณ ความคล่องแคล่วทางวาจา  ความกตัญญู และความร้อนรนเป็นตัวช่วยในการประกอบการดี แต่ถ้าไม่มีความรักของพระเยซูในใจ งานของคริสเตียนผู้รับใช้ก็จะล้มเหลว  {DA 815.2}

พระเยซูทรงดำเนินไปกับเปโตรตามลำพังเพราะมีบางเรื่องที่พระองค์ประสงค์จะสื่อสารกับเขาเท่านั้น  ก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์ พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ท่านจะตามไปภายหลัง”  “ เปโตรจึงตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมข้าพระองค์ถึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้?  ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” ยอห์น 13 ข้อที่ 36, 37  เมื่อเขาพูดอย่างนี้ เขาไม่ทราบมาก่อนว่าพระบาทของพระคริสต์จะนำไปสู่ความสูงและลึกเพียงใด  เปโตรล้มเหลวเมื่อการทดสอบมาถึง  แต่เขาต้องมีโอกาสพิสูจน์ความรักที่เขามีต่อพระคริสต์อีกครั้ง  พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปิดเผยอนาคตของเขาให้แก่เขาเพื่อเขาจะได้รับการเสริมกำลังสำหรับการทดสอบความเชื่อครั้งสุดท้ายของตนเอง พระองค์ตรัสบอกเขาว่าหลังจากที่เขาใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์แล้ว เมื่อเขาอายุมากขึ้น กำลังร่วงโรยลง เขาจะได้ทำตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาอย่างแน่นอน  พระเยซูตรัสว่า “เมื่อท่านยังหนุ่ม ก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวของท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป  (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายแบบใด)”  {DA 815.3}                          

ด้วยประการฉะนี้พระเยซูทรงแจ้งให้เปโตรทราบถึงลักษณะการตายของเขา  พระองค์ยังตรัสไว้ล่วงหน้าถึงการเหยียดมือออกบนไม้กางเขน  อีกครั้งพระองค์ทรงเชิญชวนสาวกของพระองค์ว่า “จงตามเรามาเถิด”  เปโตรไม่รู้สึกท้อใจจากการเปิดเผยนี้  เขาเต็มใจที่จะทนทุกข์ทรมานจนตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา  {DA 815.4}                          

ก่อนหน้านี้ เปโตรรู้จักพระคริสต์ตามฝ่ายเนื้อหนังเหมือนเช่นคนมากมายรู้จักพระองค์ในเวลานี้แต่เขาไม่ได้ถูกจำกัดเช่นนั้นอีกต่อไป  เขาไม่ได้รู้จักพระองค์ในลักษณะเหมือนกับที่เขาเคยรู้จักพระองค์จากการคบหากับพระองค์ในความเป็นมนุษย์อีกต่อไป  เขาเคยรักพระองค์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งคือในฐานะอาจารย์ที่สวรรค์ประทานมาให้ บัดนี้เขารักพระองค์ในฐานะพระเจ้า  เขาเรียนรู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่ง  บัดนี้เขาเตรียมพร้อมที่จะร่วมแบ่งรับพันธกิจแห่งการเสียสละขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ในที่สุดเมื่อเขาถูกนำไปยังกางเขน เขาเองขอร้องให้ตรึงเขาบนกางเขนในลักษณะกลับหัวลงล่าง   เขาคิดว่าการตรึงกางเขนในลักษณะเดียวกับพระอาจารย์เป็นเกียรติที่สูงส่งเกินไป  {DA 815.5}                                    

พระดำรัสที่ตรัสกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด” เต็มไปด้วยคำแนะนำสั่งสอน  บทเรียนที่ประทานให้ไม่เพียงแต่มีไว้สำหรับความตายของเขาเท่านั้นแต่สำหรับทุกย่างก้าวของชีวิต  ก่อนหน้านี้เปโตรมีแนวโน้มที่จะลงมือทำโดยไม่พึ่งพาใคร  เขาพยายามที่จะวางแผนเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าแทนที่จะเฝ้ารอเพื่อปฏิบัติตามแผนของพระเจ้า  แต่เขาไม่ได้รับสิ่งใดจากการเร่งรุดไปนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า  พระเยซูทรงบัญชาว่า “จงตามเรามาเถิด” อย่าวิ่งนำหน้าเรา เพื่อเจ้าจะไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับบรรดาสมุนของซาตานโดยลำพัง  ให้เรานำหน้าเจ้าไปและศัตรูจะเอาชนะเจ้าไม่ได้  {DA 816.1}                                    

ขณะที่เปโตรเดินเคียงข้างพระเยซู เขาเห็นยอห์นกำลังเดินตามมา ความปรารถนาหนึ่งเกิดขึ้นกับเขาคืออยากรู้อนาคตของยอห์น และเขา “จึงทูลถามพระเยซูว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?’  พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด’”  เปโตรควรพิจารณาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาจะเปิดเผยทุกสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาควรรู้ให้แก่เขา  เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องติดตามพระคริสต์โดยไม่ต้องวิตกกังวลเกินควรกับงานที่ถูกมอบหมายให้แก่ผู้อื่น  ในการพูดถึงยอห์นที่ว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา” พระเยซูไม่ได้ให้คำรับรองว่าสาวกคนนี้จะมีชีวิตอยู่จนกว่าพระเจ้าจะเสด็จมาครั้งที่สอง  พระองค์เพียงแค่ยืนยันถึงอำนาจสูงสุดของตัวพระองค์เองเท่านั้น และถึงแม้พระองค์ทรงประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้นก็จะไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อพันธกิจของเปโตร  อนาคตของทั้งยอห์นและเปโตรอยู่ในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา  การเชื่อฟังโดยการติดตามพระองค์เป็นหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับแต่ละคน  {DA 816.2}                          

ในทุกวันนี้มีสักกี่คนที่ทำตัวเหมือนเปโตร! พวกเขาสนใจในกิจกรรมของผู้อื่นและกระตือรือร้นที่จะรู้หน้าที่ของผู้อื่น ในขณะที่ตัวเองตกอยู่ในอันตรายจากการละเลยหน้าที่ของตนเอง  เป็นหน้าที่ของเราที่จะมองไปยังพระคริสต์และติดตามพระองค์  เราจะมองเห็นความผิดพลาดในชีวิตของผู้อื่นและข้อบกพร่องในลักษณะอุปนิสัยของพวกเขา  มนุษยชาติถูกห้อมล้อมด้วยความบกพร่องอ่อนแอ  แต่ในพระคริสต์เราจะพบความสมบูรณ์แบบ  เมื่อเราเพ่งมองพระองค์เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง   {DA 816.3}                                    

ยอห์นมีชีวิตอยู่จนอายุแก่ชรามาก  เขาได้เห็นการทำลายกรุงเยรูซาเล็มและความพินาศของวิหารอันโอ่อ่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างครั้งสุดท้ายของโลก  ยอห์นติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาอย่างใกล้ชิดจนถึงวันท้ายที่สุดของชีวิต  ภาระในคำพยานของเขาที่ส่งไปยังคริสตจักรคือ “ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักกันและกัน” “ผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” 1 ยอห์น 4 ข้อที่ 7, 16  {DA 816.4}                                        

เปโตรได้รับการแต่งตั้งให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งของอัครสาวก แต่เกียรติและสิทธิอำนาจที่เขาได้รับจากพระคริสต์ไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจสูงสุดอยู่เหนือพี่น้องของเขา  เรื่องนี้พระคริสต์ตรัสไว้อย่างชัดเจนเมื่อตอบคำถามของเปโตร “คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?” พระองค์ตรัสว่า “มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด”  เปโตรไม่ได้รับเกียรติให้เป็นประมุขของคริสตจักร  ความโปรดปรานซึ่งพระคริสต์ทรงแสดงออกโดยการให้อภัยที่เขาละทิ้งความเชื่อและทรงมอบความไว้วางใจให้เขาเลี้ยงฝูงแกะรวมถึงความซื่อสัตย์ของเปโตรเองในการติดตามพระคริสต์ส่งผลให้เขาเอาชนะความเชื่อมั่นจากพี่น้องของเขาได้  เขามีอิทธิพลมากในคริสตจักร  แต่บทเรียนที่พระคริสต์ทรงสอนเขาที่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลีนั้นเปโตรได้นำติดตัวเขาไปตลอดชีวิต  เขาเขียนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงคริสตจักรไว้ว่า  {DA 817.1}                      

เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้อาวุโสในพวกท่าน ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นทั้งผู้อาวุโส และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และเป็นหุ้นส่วนที่จะรับศักดิ์ศรีที่กำลังจะปรากฏ  จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน [โดยเอาใจใส่ดูแล]  ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ [ตามพระประสงค์ของพระเจ้า]  ไม่ใช่ด้วยใจโลภในทรัพย์สิ่งของ แต่ด้วยใจกระตือรือร้น และไม่เป็นเหมือนผู้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ในความดูแล แต่ให้เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมาปรากฏ พวกท่านจะได้รับมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีวันร่วงโรย” 1 เปโตร 5 ข้อที่ 1-4  {DA 817.2}

***********