บทที่ 19

ที่บ่อน้ำยาโคบ

อ้างอิงจาก ยอห์น 4 ข้อที่ 1-42


พระเยซูเสด็จกลับแคว้นกาลิลีโดยผ่านทางสะมาเรีย  เป็นเวลาเที่ยงวันเมื่อเสด็จมาถึงหุบเขาอันงดงามแห่งเมืองสิคาร์  บ่อน้ำของยาโคบตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าหุบเขา  พระองค์ทรงอ่อนเพลียจากการเดินทาง  ทรงหยุดพักผ่อนที่นั่น  ในขณะที่สาวกไปหาซื้ออาหาร  {DA 183.1}

ชาวยิวและชาวสะมาเรียเป็นศัตรูข่มขื่นต่อกันและพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อกันให้มากที่สุด  การค้าขายกับชาวสะมาเรียในกรณีที่จำเป็นนับว่าถูกต้องตามกฎหมาย แต่การติดต่อสมาคมด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ต้องประณาม  ชาวยิวจะไม่หยิบยืมสิ่งใดจากชาวสะมาเรีย ไม่ยอมรับความช่วยเหลือแม้กระทั่งเศษขนมปังหรือน้ำสักหนึ่งแก้ว  สาวกออกไปซื้ออาหารจึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎประเพณีของประเทศ  การจะขอความช่วยเหลือจากชาวสะมาเรียหรือทำประโยชน์ใดให้แก่พวกเขานั้นไม่เคยอยู่แม้กระทั่งในความคิดสาวกของพระคริสต์  {DA 183.2}             

ในขณะที่พระเยซูประทับอยู่ข้างบ่อน้ำ พระองค์ทรงเหนื่อยอ่อนจากความหิวและกระหายน้ำ  การเดินทางตั้งแต่เช้านั้นเป็นระยะทางที่ยาวไกลและบัดนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวัน ตะวันสาดส่องอย่างร้อนแรงลงบนพระองค์  ความกระหายของพระองค์เพิ่มมากขึ้นเมื่อทรงนึกถึงน้ำใสเย็นในบ่อที่อยู่ใกล้พระองค์ แต่ถึงกระนั้นพระองค์เองตักน้ำจากบ่อไม่ได้ เพราะไม่มีเชือกและภาชนะที่จะใช้ตักและบ่อน้ำก็ลึก  พระองค์ทรงเป็นมนุษย์และทรงเฝ้าคอยให้ใครสักคนมาตักน้ำให้พระองค์  {DA 183.3}             

หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินมาถึงบ่อน้ำและดูเหมือนจะมองไม่เห็นว่าพระเยซูประทับอยู่ ณ ที่นั่น  เธอตักน้ำเต็มภาชนะ  ขณะที่กำลังหันหลังเดินจากไป พระเยซูทรงขอน้ำดื่ม  คำขอเช่นนี้ไม่มีชาวตะวันออกคนใดคิดที่จะปฏิเสธ  ในแถบตะวันออกเรียกน้ำว่า “เป็นของประทานจากพระเจ้า”  การให้น้ำดื่มแก่คนเดินทางที่กระหายน้ำเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์จนชาวอาหรับในแถบทะเลทรายหลายคนยินดีกระทำแม้จะลำบากสักเพียงใดก็ตาม  ความเกลียดชังระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรียกีดกันไม่ให้เธอแสดงความเมตตาต่อพระเยซู  แต่พระองค์ทรงแสวงหากุญแจเปิดเข้าสู่หัวใจดวงนี้และด้วยวิธีที่ได้มาโดยความรักจากพระเจ้า  พระองค์ทรงขอโดยไม่ได้ทรงเป็นฝ่ายเสนอที่จะประทาน  การเสนอความกรุณาอาจจะถูกปฏิเสธก็ได้ แต่ความไว้วางใจจะปลุกความวางใจ  พระเจ้าพระราชาแห่งสรวงสวรรค์เสด็จมายังจิตวิญญาณที่ถูกทอดทิ้งนี้เพื่อขอให้เธอรับใช้พระองค์  พระองค์ผู้ทรงสร้างมหาสมุทร ผู้ทรงควบคุมน้ำทั้งหลายในที่ลึก ผู้ทรงเปิดสายธารน้ำและน้ำพุของแผ่นดินโลก ประทับพักเหนื่อยที่ข้างบ่อน้ำยาโคบ กำลังพึ่งพาความเมตตาจากคนแปลกหน้าแม้แต่ของขวัญจากน้ำดื่มเพียงแก้วเดียว  {DA 183.4}         

หญิงคนนี้มองเห็นว่าพระเยซูทรงเป็นชาวยิว ด้วยความแปลกใจเธอลืมถวายสิ่งที่พระองค์ทรงขอ แต่กลับพยายามหาเหตุผลอธิบายการขอนี้  “ทำไม” เธอพูด “ท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?”  {DA 184.1}      

พระเยซูทรงตอบว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ”  เจ้าสงสัยว่าเหตุใดเราจึงขอความกรุณาที่เล็กน้อยที่เป็นน้ำดื่มซึ่งอยู่ใต้เท้าของพวกเรา  ถ้าเจ้าขอจากเรา เราก็คงจะให้เธอดื่มน้ำแห่งชีวิตนิรันดร์ {DA 184.2}              

หญิงคนนี้ยังไม่เข้าใจพระดำรัสของพระเยซูแต่รู้สึกว่านี่เป็นพระดำรัสอย่างจริงจังที่มีความสำคัญ  กิริยาการล้อเลียนของเธอเริ่มเปลี่ยนไป  เธอคิดว่าพระเยซูทรงกล่าวถึงบ่อน้ำซึ่งอยู่ตรงหน้านั้นจึงทูลว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน?  ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ?  ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย”  บุคคลที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงผู้เดินทางท่านหนึ่งที่กระหายน้ำ เหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง และเปื้อนฝุ่น  เธอคิดเปรียบเทียบพระองค์กับยาโคบบรรพบุรุษผู้ทรงเกียรติ  เธอหวงแหนความรู้สึกตามธรรมชาติว่าคงไม่มีบ่อน้ำที่ไหนอีกแล้วที่ดีกว่าบ่อน้ำนี้ซึ่งบรรพชนทั้งหลายได้ฝากไว้ให้พวกเขา  เธอมองย้อนหลังไปยังบรรพบุรุษ มองไปยังเบื้องหน้าถึงวันที่พระเมสสิยาห์จะเสด็จมาในขณะที่พระเมสสิยาห์อันเป็นความหวังของบรรพบุรุษประทับอยู่ตรงหน้าเธอและเธอหาได้รู้จักพระองค์ไม่  มีจิตวิญญาณที่หิวกระหายสักกี่คนที่อยู่ใกล้น้ำแห่งชีวิตและยังมองไปข้างหน้า เฝ้าคอยหาสายธารแห่งชีวิตอยู่ “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์?” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมา)  ‘หรือ ใครจะลงไปยังที่ลึก?’ (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย). . . . ‘ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน’. . . .ถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด” โรม 10 ข้อที่ 6-9  {DA 184.3}         

พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามซึ่งเกี่ยวกับพระองค์เองทันที แต่ทรงกล่าวด้วยความเคร่งขรึมอย่างจริงจังว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”  {DA 187.1}       

ผู้ใดที่แสวงหาเครื่องดับความกระหายจากน้ำพุของโลกนี้เพียงแต่จะกระหายอีก  ทุกหนทุกแห่งมีมนุษย์ที่ไม่พึงพอใจ  พวกเขาโหยหาบางสิ่งเพื่อสนองความปรารถนาของจิตวิญญาณ  มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นทรงสนองตามความต้องการนั้นได้  สิ่งที่โลกต้องการคือ พระคริสต์ ผู้ทรงเป็น “ความปรารถนาของประชาชาติทั้งสิ้น” ฮักกาย 2 ข้อที่ 7 TKJV  พระคุณของพระเจ้าทพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นจะประทานได้เปรียบเสมือนน้ำแห่งชีวิตที่ชำระล้างให้บริสุทธิ์ ให้ความสดชื่นและชูกำลังจิตวิญญาณได้  {DA 187.2}              

พระเยซูไม่ทรงสื่อแนวคิดที่ว่าผู้ที่รับน้ำแห่งชีวิตเพียงครั้งเดียวก็จะทำให้ผู้รับพึงพอใจ  ผู้ที่ลิ้มรสความรักของพระคริสต์แล้วจะปรารถนารับเพิ่มขึ้นอีกและจะไม่ประสงค์สิ่งอื่นใด   ความมั่งคั่ง เกียรติยศและความสุขทางฝ่ายโลกจะไม่ดึงดูดเขา  จิตใจของเขาเรียกร้องอยากที่จะได้พระองค์มากยิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา  และพระองค์ผู้ทรงเปิดเผยให้เห็นถึงสิ่งที่จำเป็นทรงคอยที่จะดับความหิวและความกระหายน้ำ  ทุกทรัพยากรและที่พึ่งของมนุษย์จะให้แต่ความผิดหวัง  ถังน้ำจะว่างเปล่า สระน้ำจะเหือดแห้งไป แต่พระผู้ไถ่ของเราทรงเป็นน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้ง  เราดื่มแล้วดื่มอีกและมีน้ำสดใหม่อย่างไม่สิ้นสุด  ผู้ที่มีพระคริสต์สถิตร่วมอยู่ด้วยจะเป็นน้ำพุแห่งพระพร “เป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”  จากแหล่งน้ำนี้เขาจะรับกำลังและพระคุณอย่างเพียงพอตามความต้องการทั้งหมดของเขา  {DA 187.3}        

ในขณะที่พระเยซูตรัสถึงน้ำแห่งชีวิตอยู่นั้น หญิงนั้นเฝ้ามองพระเยซูด้วยความสนใจอย่างพิศวงงงงวย  พระองค์ทรงปลุกความสนใจของเธอแล้ว เธอปรารถนาที่จะได้ของประทานที่พระองค์ตรัส  เธอเข้าใจแล้วว่าพระองค์ไม่ทรงหมายถึงน้ำในบ่อของยาโคบ เพราะเธอใช้และดื่มน้ำนี้มาตลอดและยังกระหายอยู่  เธอจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”  {DA 187.4}         

บัดนี้พระเยซูทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที  ก่อนที่จิตวิญญาณดวงนี้จะรับของประทานซึ่งพระองค์พร้อมที่จะประทานให้นั้นเธอต้องสำนึกบาปและยอมรับเสียก่อนว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ  พระองค์ตรัสกับเธอว่า “ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่”  เธอตอบว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ”  เธอกล่าวเช่นนั้นเป็นการปิดหนทางไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้อีก  แต่พระผู้ช่วยตรัสต่อไปว่า “เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง”  {DA 187.5}          

ผู้ฟังตกใจจนตัวสั่น  พระหัตถ์ลึกลับหนึ่งกำลังเปิดบันทึกประวัติของเธอ เปิดเผยถึงสิ่งที่เธอหวังจะซ่อนไว้ตลอดกาล  ท่านผู้นี้เป็นใครหนอที่อ่านชีวิตของเธอได้?  เธอคิดถึงชีวิตนิรันดร์ การพิพากษาในอนาคต เมื่อทุกสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในเวลานี้จะถูกเปิดเผย  ด้วยแสงสว่างนี้ความรู้สึกผิดชอบได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว  {DA 187.6}      

เธอปฏิเสธสิ่งใดไม่ได้อีกต่อไป  แต่เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องราวที่เธอไม่พึงพอใจที่จะกล่าวถึง  ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งเธอพูดขึ้นมาว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ”  ด้วยหวังที่จะสยบความรู้สึกผิดชอบ เธอเปลี่ยนการสนทนาไปเรื่องความขัดแย้งด้านศาสนา  หากท่านนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านก็คงจะอธิบายข้อขัดแย้งซึ่งมีมาช้านานนี้ได้  {DA 188.1}              

ด้วยความอดทนนาน พระเยซูทรงยอมให้เธอเป็นฝ่ายนำการสนทนาไปในทิศทางที่เธอประสงค์  ในขณะเดียวกันก็ทรงเฝ้ารอโอกาสอีกครั้งที่จะให้เธอได้รับความจริงใส่ไว้ในใจ  เธอกล่าวว่า “บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่นมัสการนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม”  ตรงที่เธอยืนอยู่นั้นมองเห็นภูเขาเกริซิม  วิหารบนภูเขานั้นถูกรื้อถอนไปแล้ว เหลือเพียงแต่แท่นบูชา  สถานที่นมัสการเป็นเรื่องขัดแย้งกันระหว่างชาวยิวและชาวสะมาเรีย  บรรพบุรุษบางคนของชาวสะมาเรียเคยเป็นส่วนหนึ่งของชนชาติอิสราเอล แต่เพราะบาปของพวกเขา พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาถูกชนชาติที่กราบไหว้รูปเคารพปกครองเหนือพวกเขา  เป็นเวลาหลายชั่วอายุคนที่พวกเขาต้องคลุกคลีอยู่ร่วมกันกับผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพจนศาสนาของพวกเขาเองเปรอะเปื้อนกับของคนเหล่านั้น  เป็นความจริงอยู่ที่พวกเขาถือว่ารูปเคารพของพวกเขานั้นเป็นเพียงเครื่องเตือนให้พวกเขาระลึกถึงพระเจ้าผู้ทรงชนม์ พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้ครอบครองจักรวาล อย่างไรก็ตามประชาชนก็ถูกชักนำให้เคารพกราบไหว้เคารพรูปปั้นของพวกเขา  {DA 188.2}         

ในสมัยของเอสรา เมื่อวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มถูกสร้างขึ้นใหม่ ชาวสะมาเรียปรารถนาเข้าร่วมก่อสร้างด้วกับชาวยิว  สิทธินี้ถูกปฏิเสธและความเป็นศัตรูอันขมขื่นก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสองกลุ่ม  ชาวสะมาเรียสร้างวิหารคู่แข่งขึ้นที่ภูเขาเกริซิม ณ ที่นี่พวกเขาได้นมัสการตามพิธีกรรมของโมเสสโดยไม่ได้ทิ้งรูปเคารพไปอย่างสิ้นเชิง  แต่ความพินาศได้มาสู่พวกเขา  ข้าศึกทำลายวิหาร และดูประหนึ่งว่าพวกเขาตกอยู่ภายใต้คำสาป แต่กระนั้นก็ยังยึดมั่นอยู่ในประเพณีและพิธีการนมัสการ  พวกเขาไม่ยอมรับวิหารในกรุงเยรูซาเล็มว่าเป็นที่ประทับของพระเจ้าหรือยอมรับว่าศาสนาของชาวยิวนั้นเหนือกว่าของพวกตน  {DA 188.3}         

พระเยซูทรงตอบเธอว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม  สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว”  พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่า พระองค์หลุดพ้นจากอคติที่มีต่อชาวชาวสะมาเรีย  บัดนี้ พระองค์ทรงตั้งพระทัยทำลายอคติที่ชาวสะมาเรียคนนี้ที่มีต่อพวกยิว  ในขณะที่ยังกล่าวถึงความเชื่อที่เปรอะเปื้อนด้วยรูปเคารพ  พระองค์ทรงประกาศว่า ความจริงยิ่งใหญ่แห่งความรอดนั้นได้ทรงมอบไว้ให้แก่ชนชาติยิว และพระเมสสิยาห์จะทรงปรากฏมาจากท่ามกลางพวกเขา  พระคำศักดิ์สิทธิ์เสนอให้เห็นถึงพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าและหลักการของการปกครองของพระเจ้าอย่างชัดเจน  พระเยซูทรงวางพระองค์อยู่ในหมู่ชนชาวยิวผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานความรู้เกี่ยวกับพระองค์เอง  {DA 188.4}   

พระองค์ทรงประสงค์ที่จะยกความคิดของผู้ฟังให้อยู่เหนือพิธีกรรมและปัญหาของข้อขัดแย้งต่างๆ  พระองค์ตรัสว่า “แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง  เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์  พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”  {DA 189.1}         

ณ ที่นี่เองพระเยซูทรงประกาศความจริงอันเดียวกับที่ประทานให้แก่นิโคเดมัสเมื่อตรัสว่า “ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า”  ยอห์น 3 ข้อที่ 3  ไม่ใช่ด้วยการแสวงหาภูเขาบริสุทธิ์หรือวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์จะสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสวรรค์ได้  ศาสนาไม่ได้จำกัดอยู่ที่การแสดงออกภายนอกและพิธีกรรม  ศาสนาที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นที่จะนำเราให้เข้าถึงพระเจ้า  เพื่อรับใช้พระองค์ได้อย่างถูกต้อง เราจะต้องเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นวิธีการชำระใจให้บริสุทธิ์และสร้างความนึกคิดขึ้นใหม่เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้าและรักพระองค์ได้  ทำให้เรายินดีที่จะเชื่อฟังปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของพระองค์  นี่คือการนมัสการที่แท้จริง  เป็นผลของการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  โดยพระวิญญาณคำอธิษฐานจริงใจทุกคำได้ถูกประพันธ์ขึ้นและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ที่ใดเมื่อมีจิตวิญญาณสักดวงหนึ่งแสวงหาพระเจ้าก็จะมองเห็นการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นั่น และพระเจ้าเองจะทรงเปิดเผยพระองค์เองให้แก่จิตวิญญาณดวงนั้น  เพราะพระองค์ทรงแสวงหาผู้นมัสการเช่นนี้  พระองค์ทรงคอยที่จะต้อนรับเขาไว้เป็นบุตรชายและบุตรหญิงของพระองค์  {DA 189.2}      

ในขณะที่หญิงคนนั้นสนทนากับพระเยซู เธอประทับใจพระดำรัสของพระองค์  เธอไม่เคยฟังพระดำรัสอันซาบซึ้งใจเช่นนี้จากปุโรหิตของชาวสะมาเรียหรือของชาวยิวมาก่อน  ขณะที่ชีวิตในอดีตของเธอถูกแผ่ออกต่อหน้าเธอ เธอรู้สึกได้ถึงความบกพร่องยิ่งใหญ่ของเธอ  เธอตระหนักถึงวิญญาณจิตที่หิวกระหายซึ่งน้ำในบ่อน้ำแห่งสิคาร์ไม่อาจดบกระหายได้  ยังไม่เคยมีสิ่งใดที่สัมผัสกับเธอได้ปลุกความรู้สึกถึงความต้องการอันสูงส่งเช่นนี้  พระเยซูทรงทำให้เธอตระหนักว่าพระองค์ทรงอ่านความลับของชีวิตเธอได้แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังรู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นมิตรสหายของเธอ ทรงสงสารและทรงรักเธอ  แม้พระลักษณะอันบริสุทธิ์ของพระองค์ประณามบาปของเธอ  แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสคำใดที่ปรักปรำเธอเลย  แต่ตรัสบอกให้เธอรู้จักพระคุณของพระองค์ผู้ทรงเปลี่ยนวิญญาณจิตได้  เธอเริ่มมีความเชื่อมั่นในพระลักษณะนิสัยของพระองค์  มีคำถามที่ผุดขึ้นในสมองของเธอว่าอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า ท่านผู้นี้คือพระเมสสิยาห์ที่เราเฝ้าคอยมาเป็นเวลาช้านาน  เธอพูดว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา”  พระเยซูตรัสตอบว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น”  {DA 189.3}         

เมื่อเธอได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเกิดความเชื่อขึ้นทันที เธอยอมรับคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระอาจารย์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์  {DA 190.1}          

หญิงคนนั้นสำนึกในพระกรุณาคุณ  เธอพร้อมรับการเปิดเผยอันสูงส่งเพราะเธอสนใจในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเตรียมจิตใจของเธอให้พร้อมที่จะรับแสงสว่างเพิ่มเติมมากขึ้น  เธอศึกษาพระสัญญาในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมมาแล้ว “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่านจากพี่น้องของท่าน พวกท่านจงเชื่อฟังเขา” เฉลยธรรมบัญญัติ 18 ข้อที่ 15  เธอปรารถนาที่จะเข้าใจคำพยากรณ์นี้  บัดนี้แสงสว่างฉายเข้าสู่จิตใจของเธอ  น้ำแห่งชีวิตซึ่งเป็นชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่พระคริสต์ประทานแก่จิตวิญญาณที่กระหายทุกดวงนั้นพลุ่งขึ้นในใจของเธอ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงประกอบกิจอยู่ในใจของเธอ  {DA 190.2}     

คำอธิบายอันเรียบง่ายที่พระคริสต์ตรัสกับหญิงผู้นี้ไม่อาจตรัสกับชาวยิวที่หยิ่งในความชอบธรรมของตนเองได้  พระคริสต์ทรงสงวนคำพูดเมื่อตรัสกับพวกเขา  สิ่งซึ่งพระองค์สงวนที่จะเปิดเผยแก่ชาวยิวและซึ่งต่อมาได้ขอให้สาวกทั้งหลายเก็บเป็นความลับในโอกาสต่อมานั้นได้ทรงเปิดเผยแก่เธอ  พระเยซูทรงมองเห็นว่าเธอนำความรู้นี้ไปประกาศแก่ผู้อื่นและแบ่งพระกรุณาคุณให้แก่พวกเขาได้  {DA 190.3}        

เมื่อสาวกกลับจากการซื้ออาหาร พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระเยซูทรงสนทนากับหญิงคนนี้  พระองค์ไม่ทรงดื่มน้ำที่ทรงปรารถนาเพื่อดับกระหายหรือหยุดรับประทานอาหารที่สาวกจัดหามาให้  เมื่อหญิงคนนั้นจากไป สาวกขอร้องให้พระองค์เสวยพระกระยาหาร  พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงนิ่ง ทรงใช้พระดำริอย่างหนัก  พระพักตร์ของพระองค์ทรงสว่างด้วยแสงเจิดจ้า  และพวกเขากลัวว่าจะรบกวนพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงสื่อสารกับสวรรค์  แต่พวกเขารู้ดีว่าพระองค์ทรงอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องคอยเตือนพระองค์ถึงความต้องการฝ่ายกาย  พระเยซูทรงทราบความหวังดีของพวกเขา และพระองค์ตรัสว่า “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้”  {DA 190.4}       

สาวกพากันสงสัยว่าผู้ใดถวายอาหารให้พระองค์ แต่พระองค์ตรัสต่อไปว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ”  ยอห์น 4 ข้อที่ 34  ในขณะที่พระดำรัสของพระองค์ที่ตรัสกับหญิงคนนั้นปลุกจิตใต้สำนึกให้ตื่นขึ้น พระเยซูทรงชื่นชมยินดี  พระองค์ทรงเห็นเธอดื่มน้ำแห่งชีวิต ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย หายจากความหิวและการกระหาย  การประกอบพันธกิจที่พระองค์เสด็จมาจากสวรรค์ให้สำเร็จนั้นเพิ่มกำลังใจให้พระองค์เพื่อประกอบกิจต่อไป และทรงชูพระองค์ขึ้นอยู่เหนือความต้องการฝ่ายมนุษย์  การรับใช้จิตวิญญาณที่หิวและกระหายความจริงทำให้พระองค์อิ่มใจมากยิ่งกว่าการรับประทานหรือการดื่ม  เป็นความสุขสบายและความสดชื่นที่มีไว้ให้แก่พระองค์  ความเมตตากรุณาเป็นชีวิตให้แก่จิตวิญญาณของพระองค์  {DA 190.5}       

พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงกระหายที่จะให้มนุษย์รู้จักพระองค์  พระองค์ทรงกระหายรับความเห็นใจและความรักจากผู้ที่พระองค์ทรงไถ่มาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง  พระองค์ทรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ทุกคนเข้ามาหาพระองค์และได้ชีวิต  ดุจมารดาที่เฝ้าดูรอยยิ้มของบุตรน้อยซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มตอบสนองทางปัญญา ดังนั้นพระคริสต์ทรงเฝ้าคอยการสนองตอบพระคุณด้วยความรักอันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเริ่มต้นชีวิตฝ่ายวิญญาณของจิตใจดวงนั้น  {DA 191.1}      

หญิงคนนั้นมีความสุขอย่างเหลือล้นเมื่อได้สดับฟังพระดำรัสของพระคริสต์  ความจริงที่เปิดเผยให้เธอนั้นช่างอัศจรรย์เหลือเกิน เธอทิ้งหม้อน้ำกลับไปประกาศข่าวนี้ให้แก่ผู้อื่นในเมือง  พระเยซูทรงทราบถึงเหตุผลที่เธอไป  การทิ้งหม้อน้ำไว้แสดงถึงผลของพระดำรัสของพระองค์  เป็นความปรารถนาจริงใจของเธอที่จะได้น้ำแห่งชีวิต เธอลืมภาระงานที่มายังบ่อน้ำ เธอลืมว่าพระองค์ทรงกระหายน้ำทั้งๆ ที่เธอตั้งใจถวายน้ำให้พระองค์ดื่ม  ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดี เธอเร่งรีบกลับไปเพื่อแบ่งปันความสว่างที่เธอได้รับให้แก่ผู้อื่น  {DA 191.2}     

“มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ” เธอกล่าวกับคนในเมือง “ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม”  คำพูดของเธอทำให้ผู้ฟังประทับใจ  มีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอ มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะท่าทางทั้งหมดของเธอ  พวกเขาสนใจที่จะพบพระเยซู “คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์”  {DA 191.3}      

ขณะที่พระเยซูยังประทับอยู่ข้างบ่อน้ำ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นทุ่งนาที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์  แสงแดดสีทองอร่ามสาดส่องไปยังต้นข้าวเขียวชอุ่ม  พระองค์ทรงใช้ภาพนี้เป็นสัญลักษณ์เพื่อทรงเน้นให้สาวกทั้งหลายมองให้เห็นว่า “พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ?  ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว”  ในขณะที่ตรัสเช่นนี้ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนเดินมา  อีกสี่เดือนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว แต่บัดนี้มีผลพร้อมแล้วเพื่อการเก็บเกี่ยว  {DA 191.4}         

“คนเกี่ยว” พระองค์ตรัส “กำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน  คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว”  ในที่นี้พระคริสต์ทรงเน้นให้ผู้คนที่ได้รับพระกิตติคุณเห็นว่าพวกเขาเป็นหนี้พระเจ้าในเรื่องการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์  พวกเขาจะต้องเป็นตัวแทนอันมีชีวิต  พระองค์ทรงเรียกร้องการรับใช้ของแต่ละคน  ไม่ว่าเราจะเป็นผู้หว่านหรือผู้เก็บเกี่ยว เราก็เป็นผู้รับใช้ทำงานถวายพระเจ้า  คนหนึ่งหว่านโปรยเมล็ดพืช อีกคนเก็บรวบรวมผลไว้ และทั้งผู้หว่านและผู้เกี่ยวต่างก็ได้รับค่าจ้าง  ทั้งสองมีความชื่นชมยินดีร่วมกันเพราะผลของการปฏิบัติงานของพวกเขา  {DA 191.5}               

พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งหลายว่า “เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา”  พระผู้ช่วยให้รอดทอดพระเนตรไปข้างหน้าถึงวันเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่ในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อสาวกทั้งหลายจะนับผลงานครั้งนี้ว่าเป็นผลแห่งการปฏิบัติของตนไม่ได้ เพราะพวกเขากำลังเข้าไปยังงานของผู้อื่น  นับตั้งแต่อาดัมล้มลงในบาป พระคริสต์ทรงมอบเมล็ดพืชแห่งความจริงไว้ให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์เพื่อหว่านไว้ในหัวใจของมนุษย์  และโดยฤทธิ์เดชสัพพัญญูที่ตามนุษย์มองไม่เห็น พระองค์ทรงจัดเตรียมหัวใจมนุษย์ไว้สำหรับการเก็บเกี่ยวอย่างเงียบๆ และอย่างเกิดผล  น้ำค้าง สายฝนและแสงตะวันแห่งพระกรุณาคุณของพระเจ้าหลั่งลงมาให้ความชุ่มชื่นและบำรุงเมล็ดพืชแห่งความจริงที่หว่านไว้  บัดนี้ใกล้เวลาที่พระคริสต์จะทรงรดต้นพืชเหล่านี้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง  นับว่าเป็นสิทธิพิเศษของสาวกทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในพระราชกิจกับพระเจ้า  เป็นผู้ร่วมทำงานของพระคริสต์และร่วมทำงานกับเหล่าคนบริสุทธิ์ตั้งแต่สมัยโบราณกาล  ด้วยการหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์มีหลายพันคนกลับใจใหม่ในวันเดียว  นี่เป็นผลงานจากการหว่านของพระคริสต์ เป็นการเก็บเกี่ยวการทำงานของพระองค์  {DA 192.1}      

ด้วยพระดำรัสที่ตรัสกับหญิงที่ข้างบ่อน้ำนั้น พระองค์ทรงหว่านเมล็ดดีลงไปและนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยวอย่างรวดเร็ว  ชาวสะมาเรียออกมาหาพระเยซูและรับฟังและเชื่อพระองค์  พวกเขาล้อมอยู่รอบพระองค์ที่บ่อน้ำและถามพระองค์มากมายและรับฟังคำอธิบายจากพระองค์ในเรื่องมากมายที่พวกเขาไม่เข้าใจ  ขณะที่ฟังพระองค์ ความสับสนของพวกเขาก็เริ่มจางหายไป  พวกเขาเป็นเหมือนคนที่อยู่ในความมืดยิ่งใหญ่ที่คอยติดตามลำแสงส่องมาอย่างกระทันหันจนได้พบเวลากลางวัน  พวกเขาไม่พอใจกับการพบปะในเวลาอันสั้นเช่นนี้  พวกเขาต้องการเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้นและอยากให้มิตรสหายของพวกเขาฟังจากพระอาจารย์ผู้ทรงมหัศจรรย์พระองค์นี้  จึงทูลขอพระองค์ให้ไปร่วมประทับกับพวกเขาในเมือง  พระเยซูประทับอยู่ในแคว้นสะมาเรียสองวันและคนอีกมากมายเชื่อพระองค์  {DA 192.2}     

พวกฟาริสีเหยียดหยามความเรียบง่ายของพระเยซู  พวกเขามองข้ามการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำและเรียกร้องขอหมายสำคัญเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  แต่ชาวสะมาเรียไม่ได้เรียกร้องเครื่องหมายใดจากพระองค์และพระเยซูก็ไม่ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ใดท่ามกลางพวกเขานอกจากที่ทรงเปิดเผยชีวิตเบื้องหลังของหญิงผู้นั้นที่ข้างบ่อน้ำ  ถึงกระนั้นคนมากมายยอมรับพระองค์ ด้วยความยินดี พวกเขากล่าวกับหญิงคนนั้นว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่เราเชื่อนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง”  {DA 192.3}           

ชาวสะมาเรียเชื่อว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเป็นพระผู้ไถ่ ไม่ใช่แค่ไถ่ชนชาติยิวเท่านั้น แต่ไถ่คนทั้งโลกด้วย  พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านโมเสสพยากรณ์ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าประทาน  โดยผ่านทางยาโคบทรงประกาศว่าชนชาติทั้งหลายจะรวบรวมเข้ากับผู้นั้น และโดยผ่านทางอับราฮัมว่าประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพระพร  ชาวสะมาเรียยึดข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้นเป็นพื้นฐานความเชื่อในพระเมสสิยาห์  ชาวยิวแปลความหมายคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะในเวลาต่อมาผิดไป  พวกเขาถือว่าการเสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระคริสต์ในครั้งที่สองคือสิ่งที่จะมีขึ้นในการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์  การเข้าใจผิดเช่นนี้ทำให้ชาวสะมาเรียเลิกสนใจคำเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะอื่นๆ ยกเว้นของโมเสส  แต่ขณะที่พระผู้ช่วยขจัดคำแปลต่างๆ ที่ผิดนี้ออกไปแล้ว หลายคนก็ยอมรับคำพยากรณ์ในช่วงหลังๆ และรับพระคำของพระเยซูคริสต์ที่ตรัสเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า  {DA 193.1}         

พระเยซูทรงเริ่มรื้อผนังขวางกั้นระหว่างชาวยิวและชนต่างชาติและประกาศความรอดให้แก่ชาวโลก  ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นยิวแต่พระองค์ยังทรงคบหาสมาคมอย่างเสรีกับชาวสะมาเรียโดยไม่สนพระทัยขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชาติที่พวกฟาริสีกำหนด  ท่ามกลางอคติ พระองค์ทรงรับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของผู้ที่ถูกเหยียดหยาม  ทรงบรรทมอยู่ในบ้านของพวกเขาและเสวยอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันกับพวกเขา ทรงร่วมรับประทานอาหารที่มือของพวกเขาจัดเตรียม ทรงสั่งสอนในบ้านเมืองของพวกเขาและทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยพระทัยอันเปี่ยมด้วยความเมตตาและด้วยความสุภาพอ่อนโยน  {DA 193.2}

ในวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มมีกำแพงเตี้ยกั้นเฉลียงด้านนอกแยกส่วนชั้นนอกออกจากส่วนของอาคารศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ  บนกำแพงนี้มีคำจารึกเป็นภาษาต่างๆ ประกาศให้ทราบว่าไม่มีใครนอกจากชาวยิวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเดินผ่านกำแพงนี้ได้  หากคนนอนศาสนาล่วงล้ำเข้าไปจะทำให้วิหารเป็นมลทินและเขาจะต้องรับโทษถึงชีวิต  แต่พระเยซูผู้ทรงเป็นต้นแบบของพระวิหารและพิธีกรรมต่างๆ ในวิหารนั้นทรงชักนำคนต่างชาติให้เข้าหาพระองค์ด้วยสายสัมพันธ์ของความเมตตามนุษย์  ในขณะที่พระคุณของพระองค์ทรงนำความรอดที่ชาวยิวปฏิเสธมาให้แก่พวกเขา  {DA 193.3}           

การไปพักที่เมืองสะมาเรียของพระเยซูเป็นการทรงจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นพระพรสำหรับสาวกผู้ยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลของคนยิว  พวกเขายังคงรู้สึกว่าความจงรักภักดีต่อชาติของตนเองกำหนดให้พวกเขาคงรักษาซึ่งความเป็นศัตรูกันกับชาวสะมาะรีย  พวกเขาฉงนสนเท่ห์ต่อการปฏิบัติตนของพระเยซู  พวกเขาปฏิเสธที่จะทำตามแบบอย่างของพระองค์ไม่ได้  และในช่วงเวลาสองวันที่เมืองสะมาเรีย ความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ทำให้พวกเขาควบคุมอคติไว้ได้  แต่ในใจก็ยังคงไม่ยอมคืนดีต่อกันอยู่  พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างเชื่องช้าเหลือเกินว่าความเหยียดหยามและความเกลียดชังจะต้องหลีกทางให้กับความสงสารและความเห็นอกเห็นใจ  แต่หลังจากพระเยซูเสด็จกลับสวรรค์แล้ว บทเรียนเหล่านี้กลับมาหาพวกเขาด้วยความหมายใหม่  หลังจากที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหลั่งลงมาแล้ว พวกเขาหวนคิดถึงสายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอด พระดำรัสพระองค์ตรัส เกียรติและความอ่อนโยนของพระองค์ที่ประทานให้แก่คนแปลกหน้าที่น่าเหยียดหยามเหล่านี้  เมื่อเปโตรไปเทศนาที่เมืองสะมาเรีย เขานำหัวใจเช่นเดียวกันนี้ไปทำงานของเขา  เมื่อยอห์นได้รับการทรงเรียกให้ไปเมืองเอเฟซัสและเมืองสเมอร์นา เขาคิดถึงประสบการณ์ที่เมืองสิคาร์และสำนึกในพระกรุณาคุณของพระอาจารย์ผู้ทรงมองไปล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ความทุกข์ยากที่จะต้องเผชิญนั้น พระองค์จึงประทานการทรงช่วยด้วยการวางแบบอย่างของพระองค์เอง  {DA 193.4}               

ในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดยังทรงปฏิบัติพระราชกิจอย่างเดียวกันมุ่งไปยังข้างหน้าเหมือนดั่งสมัยที่พระองค์ทรงเสนอน้ำแห่งชีวิตให้แก่หญิงชาวสะมาเรีย  ผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นสาวกของพระองค์อาจเกลียดชังและกีดกันผู้ถูกทอดทิ้ง  แต่สภาพของชาติกำเนิดหรือเชื่อชาติใดไม่อาจพรากความรักของพระเจ้าออกไปจากเหล่าบุตรของมนุษย์ได้  พระเยซูตรัสกับจิตวิญญาณทุกดวงไม่ว่าจะบาปหนาสักเพียงใดว่า ถ้าเจ้าขอจากเรา เราจะให้น้ำแห่งชีวิตแก่เจ้า  {DA 194.1}      

การเชื้อเชิญของพระกิตติคุณข่าวประเสริฐไม่ควรถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบด้วยการประกาศให้แก่เพียงไม่กี่คนที่เราคิดว่าหากเขารับแล้วจะเป็นเกียรติแต่เรา  ข่าวนี้จะต้องประกาศให้ทุกคน  ที่ใดที่มีหัวใจเปิดพร้อมรับความจริงพระคริสต์ทรงพร้อมที่จะสอนพวกเขา  พระองค์ทรงสำแดงพระบิดาให้แก่พวกเขา และการนมัสการที่พระองค์ผู้ทรงพินิจหัวใจทรงพอพระทัย  สำหรับคนพวกนี้แล้วพระองค์ไม่ตรัสด้วยอุปมา  พระองค์ตรัสกับพวกเขาเหมือนเช่นตรัสกับหญิงข้างบ่อน้ำว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น”  {DA 194.2}      

เมื่อพระเยซูเสด็จมาพักอยู่ที่ข้างบ่อน้ำยาโคบนั้น พระองค์เสด็จมาจากแคว้นยูเดีย พระราชกิจของพระองค์ที่แคว้นยูเดียเกิดผลแต่น้อย  ปุโรหิตและธรรมาจารย์ปฏิเสธพระองค์และแม้แต่ประชาชนที่อ้างตนว่าเป็นสาวกของพระองค์ก็ไม่ได้เห็นพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าในพระองค์  พระองค์ทรงอ่อนเปลี้ยและเพลียแรง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ทรงยอมให้โอกาสผ่านไปที่จะตรัสกับหญิงคนหนึ่ง แม้ว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนต่างชาติของชนชาติอิสราเอลและดำเนินชีวิตในบาปอย่างเปิดเผย  {DA 194.3}                 

พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงคอยให้ผู้คนมาชุมนุมกันก่อน  บ่อยครั้งพระองค์ทรงเริ่มการสอนคนรอบข้างเพียงไม่กี่คน  แต่แล้วผู้ผ่านมาทีละคนก็จะหยุดฟังจนกลายเป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ที่ฟังพระดำรัสสอนของพระเจ้าด้วยความอัศจรรย์ใจและอย่างเกรงขามโดยผ่านทางพระอาจารย์ที่สวรรค์ประทาน  ผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่ควรคิดว่าเขาจะพูดกับคนไม่กี่คนอย่างจริงจังดังเช่นพูดกับคนกลุ่มใหญ่ไม่ได้  อาจจะมีผู้ฟังข่าวนั้นเพียงคนเดียวแต่ไม่มีใครที่จะรู้ว่าอิทธิพลของข่าวนั้นจะเป็นเช่นไร?  แม้สาวกทั้งหลายก็คิดเช่นเดียวกันว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเสียเวลากับหญิงชาวสะมาเรียเพียงคนเดียว แต่พระองค์ทรงอธิบายเหตุผลด้วยพระดำรัสที่จริงจังและอย่างคล่องแคล้วกับเธอยิ่งกว่าทรงสนทนากับพระราชา พวกขุนนางหรือปุโรหิต  บทเรียนที่ทรงโปรดประทานแก่หญิงนั้นนำกลับมาสอนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไปถึงเขตแดนห่างไกลที่สุดของแผ่นดินโลก  {DA 194.4}            

ในทันทีที่เธอได้มาพบพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เธอก็นำผู้อื่นมาหาพระองค์  การกระทำของเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเป็นผู้ประกาศความจริงได้ดีกว่าสาวกทั้งหลายของพระองค์  พวกเขามองว่าที่เมืองสะมาเรียไม่มีอะไรที่น่าจะเกิดผลในทางที่ดีได้  พวกเขามุ่งคิดแต่งานใหญ่ที่จะทำในอนาคตและมองไม่เห็นว่ารอบตัวพวกเขานี่เองก็พร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว  แต่ชาวสะมาเรียทั้งเมืองได้เข้ามาหาพระผู้ช่วยให้รอดโดยทางหญิงอันเป็นที่รังเกียจเหยียดหยามของพวกเขา  เธอนำแสงสว่างไปสู่เพื่อนร่วมชาติทันที  {DA 195.1}         

หญิงคนนี้เป็นตัวแทนของการรับใช้ด้วยความเชื่อในทางปฏิบัติ  สาวกที่แท้จริงทุกคนบังเกิดใหม่ในอาณาจักรของพระองค์ในฐานะผู้ประกาศพระกิตติคุณ  ผู้ที่ดื่มน้ำแห่งชีวิตจะเป็นน้ำพุแห่งชีวิตที่พุ่งขึ้น  ผู้รับกลายเป็นผู้ให้  พระคุณของพระคริสต์ในวิญญาณจิตเปรียบเหมือนน้ำพุในทะเลทรายที่พุ่งขึ้นเพื่อนำความชุ่มชื่นมาสู่ทุกคนและทำให้ผู้ที่พร้อมจะถึงซึ่งความพินาศกระหายที่จะดื่มน้ำแห่งชีวิตนั้น  {DA 195.2}         

************