บทที่ 78
กางเขนคาลวารี
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 27 ข้อที่ 31-53; มาระโก 14 ข้อที่ 20-38; ลูกา 23 ข้อที่ 26-46; ยอห์น 19 ข้อที่ 16-30
“เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่นั่นบนกางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง” {DA 741.1}
“เพื่อทรงชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์” พระคริสต์ “จึงได้ทรงทนทุกข์ภายนอกประตูนคร” เนื่องจากอาดัมและเอวาล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาจึงถูกขับออกไปจากสวนเอเดน พระคริสต์ผู้ทรงเป็นตัวแทนของเราจะต้องทนทุกข์นอกกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์นอกประตูเมืองซึ่งเป็นสถานที่ๆ ประหารอาชญากรและฆาตกร พระวจนะคำเหล่านี้มีความหมายอย่างมากยิ่งเพียงไรที่กล่าวว่า “พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา” กาลาเทีย 3 ข้อที่ 13 {DA 741.2}
ฝูงชนขนาดใหญ่ติดตามพระเยซูจากห้องโถงพิพากษาไปยังคาลวารี ข่าวการตัดสินประหารพระองค์ได้แพร่กระจายไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม ผู้คนจากทุกชนชั้นและทุกหมู่เหล่าต่างพากันไปยังสถานที่ตรึงกางเขน พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองถูกผูกมัดว่าด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายผู้ติดตามของพระคริสต์หากพระองค์ทรงถูกส่งมอบให้แก่พวกเขา สาวกและผู้เชื่อจากเมืองและพื้นที่โดยรอบก็เข้าร่วมฝูงชนติดตามพระผู้ช่วยให้รอดไปด้วย {DA 741.3}
เมื่อพระเยซูเสด็จผ่านลานประตูของปีลาต ไม้กางเขนซึ่งเตรียมไว้สำหรับบารับบัสก็ถูกนำมาวางบนพระอังสา (ไหล่)ของพระองค์ซึ่งฟกช้ำและมีพระโลหิตไหล สหายของบารับบัสสองคนต้องโทษประหารในเวลาเดียวกันกับพระเยซู และพวกเขาก็นำไม้กางเขนมาวางไว้บนพวกเขาด้วย ภาระของพระผู้ช่วยให้รอดนั้นหนักเกินไปสำหรับพระองค์ในสภาพที่ทรงอ่อนแอและทุกข์ระทมตั้งแต่อาหารมื้อค่ำปัสกาที่ร่วมรับประทานกับสาวกของพระองค์แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เสวยพระกระยาหารและเครื่องดื่มใดเลย ในสวนเกทเสมนีพระองค์ทรงทนแบกความทุกข์ทรมานในความขัดแย้งกับพวกสมุนชั่วของซาตาน พระองค์ทรงทนต่อความเจ็บปวดจากการทรยศและเห็นสาวกของพระองค์ละทิ้งพระองค์และหนีไป พระองค์ถูกนำตัวไปยังอันนาส จากนั้นไปยังคายาฟาสและจากนั้นไปยังปีลาต จากปีลาตพระองค์ถูกส่งไปยังเฮโรด แล้วส่งต่อไปยังปีลาตอีกครั้ง จากการดูถูกเหยียดหยามไปยังการดูถูกอีกครั้ง จากการถูกเยาะเย้ยไปยังการเยาะเย้ยอีกครั้ง ทรงถูกโบยตีถึงสองครั้ง ตลอดทั้งคืนมีภาพฉากแล้วฉากเล่าที่นักแสดงผู้สวมบทบาทลงมือทรมานจิตวิญญาณของมนุษย์จนถึงที่สุด พระคริสต์ไม่ทรงล้มเหลว พระองค์ไม่ได้ตรัสคำใดยกเว้นถ้อยคำที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ตลอดการพิจารณาตรวจสอบอย่างน่าอับอาย พระองค์ทรงวางพระองค์เองขึ้นอย่างมั่นคงและงามสง่า แต่ภายหลังจากการโบยตีครั้งที่สองและกางเขนหนักที่วางบนพระองค์แล้ว ธรรมชาติของมนุษย์ก็ไม่อาจทนแบกรับได้อีกต่อไป พระองค์ทรงล้มเป็นลมหมดสติอยู่ใต้ภาระหนัก {DA 741.4}
ฝูงชนที่เดินตามพระผู้ช่วยให้รอดเห็นถึงความอ่อนแอและการเซของพระองค์ แต่พวกเขาไม่ได้แสดงความเห็นใจใดให้เห็น พวกเขาเยาะเย้ยและดูหมิ่นพระองค์เพราะพระองค์แบกกางเขนหนักไม่ได้ กางเขนที่หนักนั้นถูกยกมาวางบนพระองค์อีกครั้ง และพระองค์ก็ทรงเป็นลมล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ผู้กดขี่ข่มเหงพิจารณาว่าพระองค์ไม่น่าจะแบกไปได้อีก พวกเขาสงสัยว่าจะมีใครบ้างไหมที่จะแบกกางเขนอันน่าอัปยศอดสูนี้ ชาวยิวเองรับงานนี้ไม่ได้ เพราะมลทินนี้จะกีดกันพวกเขาจากการเข้าร่วมเทศกาลปัสกา ไม่มีแม้สักคนในฝูงชนที่ติดตามพระองค์จะก้มลงแบกกางเขน {DA 742.1}
ในเวลานี้มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งคือซีโมนชาวไซรีนเดินทางมาจากบ้านนอกได้มาพบเข้ากับฝูงชน เขาได้ยินคำเย้ยหยันและคำตลกหยาบโลนของฝูงชน เขาได้ยินคำดูหมิ่นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าหลีกทางให้กษัตริย์ของชาวยิว! ด้วยความประหลาดใจ เขาหยุดในที่เกิดเหตุ และในขณะที่เขาแสดงออกถึงความสงสาร พวกเขาก็จับตัวเขาไว้และเอาไม้กางเขนมาวางไว้บนไหล่ของเขา {DA 742.2}
ซีโมนเคยได้ยินเรื่องของพระเยซู บุตรชายของเขาเป็นผู้เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่ตัวเขาเองไม่ได้เป็นสาวก การแบกกางเขนไปยังคาลวารีเป็นพระพรสำหรับซีโมน และหลังจากนั้นเขาก็สำนึกเสมอในพระคุณของการทรงจัดเตรียมนี้ การนี้นำทำให้ตัวเขาเลือกที่จะแบกกางเขนของพระคริสต์และในเวลาต่อมาเขาก็ชื่นชมยินดีที่ได้ยืนหยัดอยู่ภายใต้ภาระของกางเขน {DA 742.3}
ในฝูงชนมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ติดตามพระองค์ผู้ทรงยังไม่ถูกกำหนดโทษไปยังการตายอันทารุณโหดร้ายของพระองค์ ความสนใจของพวกเธอมุ่งตรงไปทพระเยซู ก่อนหน้านี้บางคนเคยเห็นพระองค์ บางคนเคยพยุงพาคนป่วยและคนตกทุกข์ได้ยากมาเข้าเฝ้าพระองค์ บางคนเองเคยได้รับการรักษาให้หายโรคมาแล้ว เรื่องราวจากภาพฉากต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีความเกี่ยวข้องกัน พวกเธอรู้สึกประหลาดใจในความเกลียดชังของฝูงชนที่มีต่อพระองค์ผู้ที่หัวใจของพวกเธอหลอมละลายและพร้อมที่จะแตกสลายไป และถึงแม้จะมีการกระทำของฝูงชนที่บ้าคลั่งและคำพูดโกรธเกรี้ยวของบรรดาปุโรหิตและผู้ปกครอง ผู้หญิงเหล่านี้ก็แสดงออกถึงความเห็นใจ ขณะที่พระเยซูทรงเป็นลมอยู่ใต้ไม้กางเขนพวกเธอก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความโศกเศร้า {DA 742.4}
ความโศกเศร้าเดียวนี้เองที่ดึงดูดความสนพระทัยของพระคริสต์ แม้จะระทมทุกข์เพียงไรในขณะที่แบกรับบาปของโลก พระองค์ก็ไม่ทรงเมินเฉยต่อการแสดงออกของความเศร้าโศก พระองค์ทอดพระเนตรหญิงเหล่านี้ด้วยความสงสารอันอ่อนโยน พวกเธอไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าพวกเธอไม่ได้คร่ำครวญถึงพระองค์ในฐานะบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกสงสารแบบมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงดูหมิ่นความเห็นอกเห็นใจของพวกเธอ แต่สิ่งนี้ได้ปลุกพระทัยของพระองค์ให้เกิดความเห็นอกเห็นใจในพวกเธออย่างลึกซึ้ง "ธิดาทั้งหลายแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย" พระองค์ตรัส "อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด" จากภาพฉากที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ พระคริสต์ทรงทอดพระเนตรไปยังกาลเวลาภายหน้าเมื่อกรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย ในภาพที่น่ากลัวนั้น หลายคนที่บัดนี้กำลังร่ำไห้เพื่อพระองค์ได้พินาศไปพร้อมกับบุตรทั้งหลายของพวกเธอ {DA 743.1}
จากภาพของการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม พระดำริของพระเยซูมองผ่านต่อไปยังการพิพากษาที่กว้างไกลขึ้น ในการทำลายเมืองดื้อรั้นที่ไม่ยอมกลับใจนั้น พระองค์ทรงมองเห็นสัญลักษณ์ของการทำลายครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นกับโลก พระองค์ตรัสว่า "เขาจะเริ่มพูดกับภูเขาทั้งหลายว่า ‘จงพังลงมาทับเรา’ และพูดกับเนินเขาว่า ‘จงปกคลุมเราไว้’ เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้ยังสดอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้ว?" พระเยซูทรงใช้ต้นไม้สีเขียวเป็นตัวแทนถึงพระองค์เองผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด พระเจ้าทรงยอมให้พระพิโรธของพระองค์ตกใส่พระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ พระเยซูจะต้องถูกตรึงกางเขนเพื่อบาปต่างๆ ของมนุษย์ ถ้าเช่นนั้น คนบาปที่ยังคงทำบาปต่อไปจะทุกข์ทรมานเช่นไร? ทุกคนที่ไม่กลับใจและไม่เชื่อจะพบกับความเศร้าโศกและความทุกข์ยากที่ภาษาไม่อาจพรรณนาได้ {DA 743.2}
ในท่ามกลางมหาชนที่ติดตามพระผู้ช่วยให้รอดไปยังคาลวารี หลายคนได้เข้าร่วมขบวนกับพระองค์ด้วยความสุขโห่ร้องโฮซันนาและโบกกิ่งปาล์มขณะที่พระองค์ทรงลาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ร้องสรรเสริญพระองค์ในเวลานั้นเพราะทำตามความนิยมและในเวลานี้พวกเขาก็ได้เข้าร่วมตะโกนร้องว่า "เอาไปตรึง เอาไปตรึงที่กางเขน" เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มความหวังของพวกสาวกได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุด พวกเขาแนบตัวชิดสนิทกับพระอาจารย์ของพวกเขาด้วยความรู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้เป็นส่วนหนึ่งร่วมกับพระองค์ แต่บัดนี้ในความอัปยศอดสูของพระองค์พวกเขาติดตามพระองค์อยู่ห่างๆ พวกเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและก้มหน้าลงด้วยความสิ้นหวัง พระดำรัสของพระเยซูได้รับการยืนยันที่ว่า "ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราจะประหารผู้เลี้ยงแกะและแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป" มัทธิว 26 ข้อที่ 31 {DA 743.3}
เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ประหาร พวกเขาก็มัดนักโทษเข้ากับเครื่องมือแห่งการทรมาน โจรทั้งสองดิ้นรนอยู่ในมือของผู้ที่จับพวกเขาไปวางไว้กับไม้กางเขน แต่พระเยซูไม่ทรงขัดขืน มารดาของพระเยซูซึ่งยอห์นสาวกสุดที่รักพยุงอยู่นั้นเดินตามรอยพระบาทของพระบุตรไปยังคาลวารี เธอเห็นพระองค์เป็นลมภายใต้กางเขนหนัก และปรารถนาที่จะเอามือไปวางไว้ใต้พระเศียรที่บาดเจ็บ และชำระพระนลาฏนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยแนบชิดกับอกของเธอ แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิพิเศษอันน่าเศร้านี้ ทั้งเธอและสาวกยังคงสงวนเก็บความหวังว่าพระเยซูจะสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ และจะทรงช่วยตัวเองออกมาจากศัตรูของพระองค์ ใจของเธอวูบตกลงอีกครั้งเมื่อคิดถึงพระดำรัสของพระองค์ที่ตรัสบอกล่วงหน้าถึงภาพฉากที่จะเกิดขึ้นในเวลานี้ ขณะที่พวกโจรถูกมัดไว้กับไม้กางเขนเธอมองด้วยใจจดจ่ออย่างปวดร้าว พระองค์ผู้ประทานชีวิตให้แก่คนตายจะยอมให้ตัวเองถูกตรึงบนไม้กางเขนหรือ? พระบุตรของพระเจ้าจะยอมให้ตัวเองถูกประหารอย่างทารุณหรือ? เธอจะต้องสละทิ้งความเชื่อไปว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือ? เธอจะต้องดูเป็นประจักษ์พยานถึงความอับอายและความเศร้าโศกโดยปราศจากแม้แต่โอกาสที่จะปรนนิบัติพระองค์ในขณะที่ทรงตกอยู่ในความทุกข์หรือ? เธอเห็นพระองค์กางพระหัตถ์ออกบนกางเขน ฆ้อนและตะปูถูกนำมาแล้ว และในขณะที่ตะปูยักษ์ถูกตอกผ่านเนื้ออันอ่อนนุ่มอยู่นั้น สาวกที่หัวใจชอกช้ำก็ได้พาร่างที่เป็นลมของมารดาพระเยซูออกไปจากภาพอันโหดเหี้ยม {DA 744.1}
พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงส่งเสียงคำบ่นพึมพำ พระพักตร์ของพระองค์ยังคงสงบและเยือกเย็น แต่หยาดเหงื่อขนาดใหญ่เกาะอยู่ตามพระนลาฏของพระองค์ ไม่มีมือที่แสดงความสงสารเช็ดน้ำค้างแห่งความตายออกจากพระพักตร์ของพระองค์หรือเอ่ยคำพูดแสดงความเห็นใจและความจงรักภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อปลอบหัวใจที่เป็นมนุษย์ของพระองค์ ในขณะที่ทหารกำลังลงมืออันน่ากลัวอยู่นั้น พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อศัตรูของพระองค์ว่า "พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร" พระดำริของพระองค์ทรงมองข้ามความทุกข์ทรมานของตัวพระองค์เองไปยังบาปของผู้ข่มเหงพระองค์และเลยไปถึงการลงโทษอันน่ากลัวที่จะตกลงบนพวกเขา ไม่มีการเรียกคำสาปแช่งให้ลงมายังทหารที่จัดการพระองค์ด้วยความรุนแรงหยาบคาย ไม่มีการอ้อนวอนขอการแก้แค้นให้แก่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองซึ่งกำลังมองมาด้วยความพึงพอใจที่วัตถุประสงค์ของพวกเขาบรรลุผลสำเร็จ พระคริสต์ทรงสมเพชในความเขลาและความผิดของพวกเขา พระองค์ได้แต่ทรงทูลขอการอภัยให้แก่พวกเขา - "เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร" {DA 744.2}
หากพวกเขารู้ว่ากำลังทำทารุณกรรมพระเจ้าองค์หนึ่งผู้เสด็จมาเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์จากความพินาศนิรันดร์ พวกเขาคงจะถูกครอบงำด้วยความสำนึกผิดและความสยองขวัญ แต่ความไม่รู้ของพวกเขาไม่ได้ขจัดความสำนึกผิดของพวกเขาเพราะเขามีสิทธิพิเศษที่จะได้รู้จักและยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด บางคนในพวกเขาอาจจะรับรู้ถึงบาปของตนเอง กลับใจและหันมาหาพระเจ้า บางคนโดยการไม่ยอมสำนึกผิดของตนจึงทำให้คำอธิษฐานของพระคริสต์เพื่อพวกเขาไม่มีทางที่จะได้รับคำตอบ แต่กระนั้น เช่นเดียวกัน พระประสงค์ของพระเจ้ากำลังจะบรรลุผลสำเร็จ พระเยซูทรงกำลังได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้ทูลขอเพื่อมนุษย์ต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดา {DA 744.3}
คำอธิษฐานของพระคริสต์เพื่อศัตรูของพระองค์นั้นเป็นคำอธิษฐานที่รวมโลกนี้เอาไว้ด้วย เป็นคำอธิษฐานที่รวบรวมคนบาปทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่หรือที่จะมีชีวิตในเวลาต่อมาและนับตั้งแต่เมื่อเริ่มมีโลกเกิดขึ้นจนถึงสิ้นยุค ความผิดของการตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนกางเขนตกอยู่กับทุกคน การอภัยถูกเสนอให้แก่ทุกคนเปล่าๆ โดยไม่ต้องเสียมูลค่าใดเลย “ใครที่มีใจปรารถนา” ก็จะมีสันติสุขกับพระเจ้าและจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก {DA 745.1}
ในทันทีที่พระเยซูถูกตรึงไว้กับไม้กางเขน กางเขนก็ถูกคนแข็งแรงยกขึ้นและถูกกระแทกอย่างรุนแรงลงไปในหลุมที่เตรียมไว้แล้ว การกระทำนี้นำความเจ็บปวดอย่างระทมทุกข์แสนสาหัสที่สุดให้กับพระบุตรของพระเจ้า จากนั้นปีลาตเขียนคำบรรยายเป็นภาษาฮีบรู กรีก และลาตินไว้บนกางเขนเหนือพระเศียรของพระเยซู ข้อความนี้อ่านว่า "เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว" คำบรรยายนี้ทำให้พวกยิวขุ่นเคือง ในศาลพิพากษาของปีลาตพวกเขาร้องว่า "เอาไปตรึงที่กางเขน" "เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์" ยอห์น 19 ข้อที่ 15 พวกเขาได้ประกาศว่าใครก็ตามที่ยอมรับกษัตริย์องค์อื่นจะกลายเป็นคนทรยศ คำบรรยายที่ปีลาตเขียนนี้แสดงออกถึงความรู้สึกที่พวกเขาแสดงออกมา ไม่มีการกล่าวถึงความผิดอื่นใด ยกเว้นว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ของชาวยิว คำจารึกดังกล่าวเป็นการยอมรับแก่นแท้ของความจงรักภักดีที่ชาวยิวมีต่ออำนาจของโรมัน เป็นการประกาศว่าใครก็ตามที่อ้างตัวว่าเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอลสมควรถูกพวกเขาตัดสินให้รับโทษถึงตาย พวกปุโรหิตทำเกินตัว เมื่อพวกเขาวางแผนการประหารพระคริสต์ คายาฟาสคนนี้แหละที่ประกาศว่าควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน บัดนี้ความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาถูกเปิดโปงแล้ว เพื่อทำลายพระคริสต์พวกเขาพร้อมที่จะสละทิ้งซึ่งการดำรงอยู่ของชนชาติของพวกเขาเอง {DA 745.2}
พวกปุโรหิตเห็นสิ่งที่พวกเขาทำจึงขอให้ปีลาตเปลี่ยนข้อความที่จารึกไว้ พวกเขากล่าวว่า "อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่เขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า “เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว" แต่ปีลาตโกรธตัวเองเนื่องจากความอ่อนแอในอดีตของเขา เขาดูหมิ่นพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองที่ขี้อิจฉาและเจ้าเล่ห์ เขาตอบอย่างเย็นชาว่า "อะไรที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป" {DA 745.3}
มีอำนาจหนึ่งที่อยู่เหนือปีลาตหรือชาวยิวที่ทรงกำหนดให้เขียนข้อความคำบรรยายที่อยู่เหนือพระเศียรของพระเยซู ในการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า คำจารึกนี้มีไว้เพื่อปลุกความคิดและการศึกษาหาความจริงในพระคัมภีร์ สถานที่ที่พระคริสต์ถูกตรึงอยู่ใกล้กับตัวเมือง ผู้คนนับพันจากดินแดนทั่วสารทิศเข้ามายังกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น และคำจารึกที่ประกาศว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธทรงเป็นพระเมสสิยาห์จะตกอยู่ในความสนใจของพวกเขา มันเป็นความจริงอันมีชีวิตที่พระเจ้าทรงนำให้มือหนึ่งเขียนไว้เช่นนั้น {DA 745.4}
การทนทุกข์ทรมานของพระคริสต์บนไม้กางเขนทำให้คำพยากรณ์สำเร็จเป็นจริง หลายศตวรรษก่อนการตรึงกางเขน พระผู้ช่วยให้รอดทรงบอกไว้ล่วงหน้าถึงการปฏิบัติที่พระองค์จะได้รับ พระองค์ตรัสว่า "พวกสุนัขล้อมข้าพระองค์ไว้ คนทำชั่วกลุ่มหนึ่งโอบล้อมข้าพระองค์ พวกเขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์ ข้าพระองค์นับกระดูกของข้าพระองค์ได้ทุกชิ้น พวกเขาจ้องมองและยิ้มเยาะข้าพระองค์ พวกเขาเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาแบ่งกัน ส่วนเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์นั้นเขาก็จับฉลากกัน” สดุดี 22 ข้อที่ 16-18 คำพยากรณ์เรื่องฉลองพระองค์ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากการปรึกษาหรือการแทรกแซงจากเหล่ามิตรสหายหรือศัตรูของพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน ทหารที่ตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขนได้รับฉลองพระองค์ พระคริสต์ทรงได้ยินการถกเถียงกันของชายทั้งหลายในขณะที่พวกเขาแบ่งเสื้อผ้ากัน เสื้อคลุมของพระองค์ทอทั้งตัวไม่มีตะเข็บและพวกเขากล่าวว่า "เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกัน จะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ" {DA 746.1}
ในอีกคำพยากรณ์หนึ่ง พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า "การเยาะเย้ยทำให้ใจข้าพระองค์แตกสลาย ข้าพระองค์จึงล้มป่วย ข้าพระองค์มองหาความเห็นใจ แต่ก็ไม่มี หาผู้ปลอบโยน แต่ก็ไม่พบ พวกเขาให้ของขมเป็นอาหารของข้าพระองค์ ให้น้ำส้มสายชูแก่ข้าพระองค์ดื่มแก้กระหาย" สดุดี 69 ข้อที่ 20, 21 สำหรับผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการตายด้วยไม้กางเขนจะได้รับอนุญาตให้กินยาที่ทำให้มึนงงเพื่อทำให้ความเจ็บปวดตายด้าน ได้มีการนำยานี้ถวายแด่พระเยซู แต่เมื่อพระองค์ทรงลิ้มรสแล้วก็ทรงปฏิเสธ พระองค์จะไม่ทรงยอมรับสิ่งใดที่จะทำให้ความรู้สึกนึกคิดของพระองค์มึนงง ความเชื่อของพระองค์จะต้องยึดมั่นพระเจ้าไว้อย่างมั่นคง นี่เป็นพละกำลังเดียวของพระองค์ การทำให้สมองมึนงงจะทำให้ซาตานได้เปรียบ {DA 746.2}
ศัตรูของพระเยซูระบายความโกรธแค้นของพวกเขาต่อพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงแขวนอยู่บนไม้กางเขน พวกปุโรหิต พวกผู้ปกครองและพวกธรรมาจารย์เข้าร่วมกับฝูงชนเยาะเย้ยพระผู้ช่วยให้รอดที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาและทรงจำแลงพระกายนั้น มีพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ได้ยินประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระองค์ อีกครั้งก่อนการถูกทรยศของพระคริสต์ พระบิดาได้ตรัสเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่บัดนี้พระสุรเสียงจากสวรรค์เงียบไป ไม่มีคำพยานยกย่องเชิดชูพระคริสต์ให้ได้ยินเลย พระองค์ทรงทนทุกข์กับการล่วงละเมิดและการเยาะเย้ยจากคนชั่วเพียงลำพัง {DA 746.3}
"ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด" พวกเขากล่าว "จงช่วยตัวเองให้รอด" "ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้" ในถิ่นทุรกันดารแห่งการล่อลวงซาตานประกาศว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง" “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป” จากจุดที่สูงที่สุดของพระวิหาร มัทธิว 4 ข้อที่ 3, 6 ซาตานพร้อมกับพวกสมุนในร่างมนุษย์ปรากฏกายที่กางเขน ศัตรูตัวเอ้และพวกสมุนของมันร่วมมือกับพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง บรรดาครูของประชาชนได้กระตุ้นกลุ่มชนที่ไม่มีความรู้ให้ประกาศคำตัดสินแก่พระองค์ผู้ซึ่งพวกเขาหลายคนไม่เคยแม้แต่จะเห็นพระองค์มาก่อนจนเมื่อถูกผลักดันให้มาพูดเป็นพยานต่อต้านพระองค์ พวกปุโรหิต พวกผู้ปกครอง พวกฟาริสีและเหล่าอันธพาลแข็งกร้าวได้มารวมตัวกันด้วยความบ้าคลั่งอย่างซาตาน ผู้ปกครองทางศาสนาเข้าร่วมกับซาตานและสมุนของมัน พวกเขากำลังทำตามที่มันบงการ {DA 746.4}
พระเยซูผู้ทรงทนทุกข์และกำลังจะสิ้นพระชนม์ทรงได้ยินทุกคำขณะที่ปุโรหิตประกาศว่า "เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง" พระคริสต์สามารถลงมาจากกางเขนได้ แต่เป็นเพราะพระองค์จะไม่ทรงช่วยพระองค์เองให้รอดจึงทำให้คนบาปมีความหวังที่จะได้รับการอภัยและความโปรดปรานจากพระเจ้า {DA 749.1}
ถ้อยคำเย้ยหยันที่พวกเขาโหมกระหน่ำใส่พระผู้ช่วยให้รอดนั้น บรรดาผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้อธิบายคำพยากรณ์กำลังกล่าวซ้ำพระดำรัสที่พระเจ้าแห่งการดลใจที่ได้ทรงพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะพูดถ้อยคำเหล่านี้ในโอกาสนี้ แต่ในความมืดบอดพวกเขามองไม่เห็นว่าพวกเขากำลังทำให้คำพยากรณ์สำเร็จเป็นจริง บรรดาผู้เยาะเย้ยที่กล่าวคำว่า "เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า" นั้นไม่รู้เลยว่าคำพยานของพวกเขาจะดังไปตลอดทุกยุคสมัย แม้ว่าจะพูดออกไปอย่างเย้ยหยันแต่คำพูดเหล่านี้ก็ชักนำให้มนุษย์ค้นหาพระคัมภีร์อย่างที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน คนมีปัญญาได้ยิน ค้นหา ใคร่ครวญ และอธิษฐาน ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ยอมหยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้เอาพระคัมภีร์เปรียบเทียบกับพระคัมภีร์จนกระทั่งพวกเขาเข้าใจความหมายของพันธกิจของพระคริสต์ ไม่เคยมีเวลาใดก่อนหน้านี้ที่จะมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับพระเยซูมากเท่ากับขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงอยู่บนกางเขน แสงสว่างแห่งความจริงได้ส่องเข้าไปในหัวใจของคนมากมายที่ได้เห็นภาพการตรึงกางเขนและได้ยินพระดำรัสของพระคริสต์ {DA 749.2}
สำหรับพระเยซูในขณะที่ทรงเจ็บปวดทรมานก่อนตายอยู่บนไม้กางเขนนั้น มีลำแสงแห่งการปลอบประโลมหนึ่งได้เข้ามาหาพระองค์ เป็นคำอธิษฐานของโจรคนนั้นที่สำนึกผิด ตั้งแต่แรกชายทั้งสองที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูได้แต่ด่าทอต่อว่าพระเยซู และคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพที่ทรมานก็ได้แต่อาลัยตายอยากอย่างสิ้นหวังและก้าวร้าวต่อต้านมากยิ่งขึ้น แต่เพื่อนของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น ชายคนนี้ไม่ใช่อาชญากรที่ห้าวหาญแข็งกร้าว แต่เพราะเขาคบมิตรชั่ว จึงถูกชักนำให้หลงผิดไป แต่เขาก็มีความผิดน้อยกว่าผู้คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างกางเขนและเยาะเย้ยพระผู้ช่วยให้รอด เขาเคยเห็นและฟังพระเยซูสั่งสอนและยอมรับคำสอนของพระองค์มาแล้ว แต่เขาถูกพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองที่หันเหเขาไปจากพระองค์ ด้วยความพยายามที่จะระงับความเชื่อมั่นว่าตนทำผิด เขานำตัวเองพุ่งดิ่งลงต่ำจมลึกลงไปในบาปจนกระทั่งเขาถูกจับเป็นนักโทษ ถูกสอบสวน และถูกตัดสินประหารด้วยการตรึงกางเขน ในห้องโถงพิพากษาและระหว่างทางไปยังคาลวารี เขาได้อยู่ร่วมกับพระเยซู เขาได้ยินปีลาตประกาศว่า "เราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย" ยอห์น 19 ข้อที่ 4 เขามองเห็นพระลักษณะความเป็นพระเจ้าของพระองค์ และการอภัยด้วยความสงสารที่ประทานให้กับผู้ที่ทรมานพระองค์ ขณะอยู่บนกางเขน เขาเห็นนักศาสนาผู้ยิ่งใหญ่หลายคนกระหน่ำคำพูดดูหมิ่นและเย้ยหยันใส่พระเยซู เขาเห็นศีรษะที่ส่ายไปมา เขาได้ยินคำตำหนิอย่างแรงของเพื่อนที่ร่วมรับโทษว่า "เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด" จากบรรดาคนมากมายที่เดินผ่าน เขาได้ยินหลายคนคอยปกป้องพระเยซู เขาได้ยินพวกเขากล่าวพระดำรัสของพระองค์ซ้ำอีกครั้ง และเล่าถึงพระราชกิจของพระองค์ ความเชื่อมั่นกลับมายังเขาว่านี่คือพระคริสต์ เขาหันไปหาเพื่อนนักโทษว่า "เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าก็ถูกลงโทษเหมือนกัน" บรรดาโจรที่กำลังจะตายไม่มีอะไรต้องกลัวมนุษย์คนใดอีกต่อไป แต่หนึ่งในนั้นมีความเชื่อมั่นว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งที่เขาจะต้องยำเกรง มีอนาคตที่ทำให้เขาต้องตัวสั่น และบัดนี้ประวัติชีวิตของเขาที่เปื้อนด้วยมลทินบาปหนากำลังจะปิดฉากลง "และเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง" เขาคร่ำครวญ " เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย" {DA 749.3}
บัดนี้เขาไม่มีคำถาม ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีการตำหนิใดๆ อีกแล้วเมื่อเขาถูกตัดสินประหารเพราะอาชญากรรมของเขา โจรคนนั้นก็หมดหนทางและสิ้นหวัง แต่ในเวลานีมีความคิดแปลกประหลาดและอ่อนโยนผุดขึ้นมาปรากฎอยู่ต่อหน้าเขา เขาหวนคิดถึงทุกสิ่งที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับพระเยซูว่าพระองค์ทรงรักษาคนป่วยและทรงอภัยบาปอย่างไร เขาได้ยินคำพูดของคนที่เชื่อในพระเยซูและร้องไห้เดินตามพระองค์ เขาเห็นและอ่านป้ายคำจารึกที่อยู่เหนือพระเศียรของพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ยินผู้สัญจรไปมาอ่านป้ายจารึกนั้นซ้ำๆ บางคนอ่านด้วยความเสียใจ ริมฝีปากสั่น บางคนอ่านอย่างล้อเลียนและเย้ยหยัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงส่องแสงสว่างเข้ามาในจิตใจของเขา และทีละเล็กทีละน้อยโซ่ของหลักฐานก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ในตัวพระเยซูที่อยู่ในสภาพฟกช้ำ ถูกเยาะเย้ยและแขวนอยู่บนไม้กางเขนนั้น เขามองเห็นพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลก ในขณะที่จิตวิญญาณดวงนี้ซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และกำลังจะตายได้ทิ้งตัวเองลงบนพระผู้ช่วยให้รอดที่กำลังจะสิ้นพระชนม์นั้น เสียงร้องของเขาซึ่งมีความหวังผสมผสมกับความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาว่า "พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์" เขาร้องอ้อนวอน "เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์" {DA 750.1}
คำตอบมาอย่างเร็วพลัน พระสุรเสียงอันนุ่มนวลและไพเราะเต็มล้นไปด้วยความรัก ความเมตตาและพลังอำนาจว่า เราบอกความจริงกับท่านวันนี้ว่า ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม {DA 750.2}
ตลอดเวลานานหลายชั่วโมงแห่งความทุกข์ทรมาน คำประณามตำหนิและคำเยาะเย้ยเข้ามายังพระกรรณของพระเยซู ในขณะที่พระองค์ทรงถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขนนั้น ยังคงมีเสียงถากถางและคำสาปแช่งลอยขึ้นไปถึงพระองค์ พระองค์ทรงเฝ้าคอยด้วยใจปรารถนาที่จะได้ยินคำพูดที่แสดงออกถึงความเชื่อจากบรรดาสาวกของพระองค์ พระองค์ได้ยินแต่คำพูดอันเศร้าสร้อยที่ว่า "แต่เรามีความหวังว่าท่านจะเป็นผู้นั้นที่มาไถ่ชนชาติอิสราเอล" พระผู้ช่วยให้รอดทรงรู้สึกซาบซึ้งใจมากเพียงไร เมื่อคำพูดแห่งความเชื่อและความรักจากโจรที่กำลังจะตายมายังพระองค์ ในขณะที่ผู้นำชาวยิวปฏิเสธพระองค์และแม้สาวกก็ยังสงสัยความเป็นพระเจ้าของพระองค์ โจรน่าสงสารคนนี้ ในขณะที่เข้ามาใกล้ขอบชายแดนของนิจนิรันดร์นั้นได้ร้องเรียกหาพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า คนมากมายพร้อมที่จะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์และหลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากหลุมฝังศพ แต่ไม่มีใครสักคนยอมรับพระองค์ในขณะที่พระองค์กำลังสิ้นพระชนม์อยู่บนไม้กางเขนนอกจากโจรที่สำนึกผิดผู้ได้รับการช่วยให้รอดในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา {DA 750.3}
ผู้สังเกตการณ์ได้ยินคำพูดของโจรที่เรียกพระเยซูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า น้ำเสียงของชายผู้สำนึกผิดกลับใจดึงดูดความสนใจของพวกเขา คนเหล่านั้นที่อยู่ตรงเชิงกางเขนที่กำลังทะเลาะเรื่องฉลองพระองค์ของพระคริสต์และกำลังจับฉลากเสื้อคลุมของพระองค์ก็หยุดฟัง น้ำเสียงโกรธของพวกเขาเงียบไป พวกเขาหยุดหายใจ หันหน้ามองไปทางพระคริสต์ และรอคอยคำตอบจากฝีพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ {DA 751.1}
ในขณะที่พระองค์ตรัสถ้อยคำแห่งคำสัญญา เมฆดำมืดที่ดูเหมือนจะห่อหุ้มไม้กางเขนไว้ก็ถูกแสงสว่างเจิดจ้าอันมีชีวิตแทงทะลุผ่านเข้ามา สันติสุขอย่างบริบูรณ์จากการที่พระเจ้าทรงยอมรับได้มายังโจรที่สำนึกผิดแล้ว พระคริสต์ในความอัปยศอดสูทรงได้รับพระเกียรติสิริ ในสายตาของคนทั้งหมดดูประหนึ่งว่าพระคริสต์ทรงพ่ายแพ้แต่ในความเป็นจริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีชัย พระองค์ทรงได้รับการเทิดทูนให้เป็นพระเจ้าผู้แบกรับบาปไว้ มนุษย์ใช้อำนาจเหนือกายมนุษย์ของพระองค์ พวกเขาเอามงกุฎหนามกดใส่ขมับของพระองค์ พวกเขากระชากเสื้อผ้าของพระองค์ไป และทะเลาะแบ่งเสื้อผ้ากัน แต่พวกเขาปล้นฤทธานุภาพแห่งการอภัยบาปของพระองค์ไปไม่ได้ ขณะที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ยังทรงเป็นพยานให้เห็นถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์และพระสิริของพระบิดา พระกรรณของพระองค์ไม่ได้ตึงจนทำให้พระองค์ไม่ทรงได้ยิน พระหัตถ์ของพระองค์ไม่ได้สั้นจนไม่อาจที่จะช่วยเราได้ เป็นสิทธิอันชอบธรรมของพระองค์ที่จะช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ {DA 751.2}
เราบอกกับเจ้าในวันนี้ว่า เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม พระคริสต์ไม่ได้ทรงสัญญาว่าโจรคนนั้นจะไปอยู่กับพระองค์ที่เมืองบรมสุขเกษมในวันนั้น พระองค์เองไม่ได้เสด็จไปสวรรค์ในวันนั้น พระองค์บรรทมในอุโมงค์ฝังศพและในเช้าวันแห่งการเป็นขึ้นจากความตายพระองค์ตรัสว่า "เรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา" ยอห์น 20 ข้อที่ 17 แต่ในวันที่พระองค์ถูกตรึงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นวันแห่งความพ่ายแพ้และความมืดมนนั้น พระองค์ประทานพระสัญญามาให้ ใน "วันนี้" ที่พระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในฐานะผู้กระทำผิด พระคริสต์ประทานคำมั่นสัญญาให้แก่คนบาปที่น่าสงสารว่าเจ้าจะอยู่กับพระองคในเมืองบรมสุขเกษม {DA 751.3}
โจรทั้งสองคนที่ถูกตรึงกับพระเยซูถูกตรึงไว้ "คนละข้าง โดยมีพระเยซูทรงอยู่กลาง" เรื่องนี้ได้ทำตามคำสั่งของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง ตำแหน่งของพระคริสต์ที่อยู่ระหว่างโจรบ่งบอกว่าพระองค์ทรงเป็นอาชญากรยิ่งใหญ่ที่สุดในสามคน เหตุการณ์นี้จึงสำเร็จตามพระคัมภีร์ที่ว่า "ถูกนับเข้ากับพวกคนทรยศ" อิสยาห์ 53 ข้อที่ 12 แต่พวกปุโรหิตมองไม่เห็นความหมายทั้งหมดในการกระทำของพวกเขา พระเยซูทรงถูกตรึงร่วมกับพวกโจรโดยทรงถูกวางไว้ "ท่ามกลางพวกเขา" ฉันใด กางเขนของพระองค์จึงถูกวางไว้ท่ามกลางโลกที่ตกอยู่ในบาปเช่นกันฉันนั้น และถ้อยคำแห่งการให้อภัยที่ตรัสกับโจรที่สำนึกผิดทำให้เกิดแสงสว่างส่องไปยังเขตแดนห่างไกลที่สุดของโลก {DA 751.4}
พวกทูตสวรรค์เฝ้ามองด้วยความตะลึงประหลาดใจถึงความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเยซูผู้ทรงทนทุกข์ทรมานทั้งใจและกายอย่างแสนสาหัสที่สุดอยู่นี้ยังทรงคำนึงถึงแต่ผู้อื่นและหนุนจิตวิญญาณที่สำนึกได้ถึงบาปให้เชื่อพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรมานอย่างอัปยศอดสูอยู่นั้น ในฐานะผู้เผยพระวจนะพระองค์ได้ตรัสกับบุตรหญิงของเยรูซาเล็ม ในฐานะปุโรหิตและผู้ทูลขอพระองค์ได้ทรงวิงวอนพระบิดาให้ยกโทษแก่พวกฆาตกรของพระองค์ และในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักพระองค์ได้ทรงอภัยบาปของโจรผู้สำนึกผิด {DA 752.1}
ขณะที่พระเนตรของพระเยซูทรงกวาดมองไปที่ฝูงชนขนาดใหญ่รอบพระองค์นั้น มีภาพของบุคคลผู้หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของพระองค์ ตรงเชิงกางเขน มารดาของพระองค์ยืนอยู่ที่นั่น มีสาวกยอห์นคอยดูแลเธออยู่ เธอทนไม่ได้ที่จะต้องแยกจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นบุตรชายของเธอ และยอห์นผู้ทราบดีว่าเวลาช่วงสุดท้ายได้มาถึงแล้ว ได้พาเธอกลับมายังกางเขนอีกครั้ง ในเวลาแห่งความตายของพระองค์นี้ พระคริสต์ทรงระลึกถึงมารดาของพระองค์ เมื่อทรงมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเธอแล้วก็ทรงมองไปที่ยอห์นแล้วพระองค์ตรัสกับเธอว่า "หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน!” แล้วตรัสกับยอห์นว่า "นี่คือมารดาของท่าน!" ยอห์นเข้าใจถ้อยคำของพระคริสต์และยอมรับความไว้วางใจนี้ เขาพามารีย์กลับบ้านทันทีและนับจากชั่วโมงนั้นก็ดูแลเธอด้วยความอ่อนโยน โอ! พระผู้ช่วยให้รอดผู้น่าสงสารและเปี่ยมด้วยรัก ท่ามกลางความเจ็บปวดทางกายและความปวดร้าวทางจิตใจของพระองค์ พระองค์ยังทรงมีความเอาใจใส่ห่วงใยให้แก่มารดาของพระองค์ พระองค์ไม่มีเงินเพื่อจัดหาความสะดวกสบายให้แก่เธอ แต่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจให้แก่ยอห์นและประทานมารดาของพระองค์ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าแก่เขา ด้วยวิธีนี้พระองค์จึงทรงจัดเตรียมสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดให้แก่เธอนั่นคือความเห็นอกเห็นใจอันอ่อนโยนจากคนที่รักเธอเพราะเธอรักพระเยซู และด้วยการที่ยอห์นรับเธอราวกับได้รับความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ เธอเป็นดังเครื่องเตือนความทรงจำถึงพระอาจารย์ที่เขารักอยู่เสมอ {DA 752.2}
แบบอย่างอันสมบูรณ์ของความรักกตัญญูต่อบุพาการีของพระคริสต์นี้ได้เปล่งประกายแสงสว่างที่จะไม่มัวหมองไปตลอดทุกยุค เป็นเวลานานเกือบสามสิบปีที่พระเยซูทรงตรากตรำทำงานประจำวันอย่างหนักเพื่อช่วยแบกรับภาระต่างๆ ในบ้าน และบัดนี้แม้แต่ในช่วงการดิ้นรนสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ยังทรงใส่พระทัยกับการทรงจัดเตรียมให้กับแม่ม่ายผู้กำลังทุกข์เศร้าใจของพระองค์ จิตใจแบบเดียวกันนี้จะต้องแสดงออกมาให้เห็นในตัวสาวกทุกคนขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ที่ติดตามพระคริสต์จะรู้สึกว่าการเคารพและจัดเตรียมการเพื่อพ่อแม่ของพวกเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา พ่อและแม่จะไม่พลาดที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่และความเห็นอกเห็นใจอันอ่อนโยนจากหัวใจซึ่งมีความรักของพระองค์เก็บถนอมอยู่ {DA 752.3}
และในเวลานี้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริกำลังจะสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นค่าไถ่บาปสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ การทรงยอมสละชีวิตอันมีค่าของพระองค์นี้ พระคริสต์ไม่ได้รับการยกขึ้นด้วยความยินดีแห่งชัยชนะ เป็นความเศร้าโศกที่บีบคั้นพระองค์อยู่รอบด้าน ไม่ใช่หวาดกลัวความตายที่ทับถมลงมายังพระองค์ ไม่ใช่ความเจ็บปวดและความอัปยศเสื่อมเสียของไม้กางเขนที่ทำให้พระองค์ทุกข์ทรมานก่อนตายจนเปล่งออกเป็นวาจาไม่ได้ พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าชายของผู้ทุกข์ทรมาน แต่ความทุกข์ทรมานของพระองค์มาจากความรู้สึกถึงความร้ายกาจของบาปคือความรู้ที่ว่ามนุษย์คุ้นเคยกับความชั่วร้ายจนตามืดบอดมองไม่เห็นความเลวทรามชั่วช้าของมัน พระคริสต์ทรงมองเห็นว่าบาปยึดหัวใจมนุษย์ไว้อย่างแนบแน่นเพียงไร และมีน้อยคนเพียงไรยอมที่จะตัดขาดไปจากอำนาจของมันด้วยความเต็มใจ พระองค์ทรงทราบดีว่าหากปราศจากการทรงช่วยของพระเจ้าแล้ว มนุษยชาติจะต้องพินาศ และพระองค์ทรงมองเห็นฝูงชนขนาดใหญ่ต้องพินาศไปแม้จะอยู่ใกล้ความช่วยเหลืออันล้นเหลือเพียงแค่เอื้อม {DA 752.4}
บาปของเราทุกคนถูกนำมาวางไว้บนพระคริสต์ผู้ทรงเป็นตัวแทนและผู้ค้ำประกันพันธสัญญาของเรา พระองค์ทรงถูกจัดว่าเป็นผู้ล่วงละเมิด เพื่อพระองค์จะทรงไถ่พวกเราออกจากการลงโทษตามธรรมบัญญัติ ความผิดของพงศ์พันธุ์ทุกคนของอาดัมทับถมลงใส่พระหทัยของพระองค์ พระพิโรธของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบาปและการแสดงความไม่พอพระทัยที่ทรงมีต่อบาปออกมาอย่างน่ากลัวทำให้จิตใจของพระบุตรของพระองค์เต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญหนี ตลอดชีวิตของพระคริสต์ พระองค์ทรงเผยแผ่ข่าวดีแห่งความเมตตาและความรักแห่งการอภัยของพระบิดา ความรอดสำหรับคนบาปตัวเอ้เป็นแก่นสารหลักของพระองค์ แต่ในเวลานี้ น้ำหนักของความรู้สึกผิดที่แบกรับอยู่ทำให้พระองค์ทรงมองไม่เห็นพระพักตร์ที่คืนดีของพระบิดา การถอนพระพักตร์ของพระเจ้าออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอดในชั่วโมงแห่งความเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ทิ่มแทงพระทัยด้วยความเศร้าโศกที่มนุษย์ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ทั้งหมด ความทุกข์ทรมานนี้ยิ่งใหญ่มากจนทำให้พระองค์แทบไม่ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดทางร่างกายของพระองค์ {DA 753.1}
ซาตานบีบคั้นพระทัยของพระเยซูด้วยการล่อลวงที่ดุเดือด พระผู้ช่วยให้รอดทรงมองทะลุผ่านประตูของหลุมฝังศพไปไม่ได้ ไม่มีการเสนอความหวังให้แก่พระองค์ว่าจะเสด็จออกจากหลุมฝังศพอย่างผู้พิชิตหรือบอกพระองค์ว่าพระบิดาทรงยอมรับการเสียสละของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงหวั่นกลัวว่าบาปจะน่ารังเกียจต่อพระเจ้ามากจนการแยกจากกันของทั้งสองพระองค์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นไปตลอดนิรันดร์ พระคริสต์ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่คนบาปจะรู้สึกเมื่อพระเมตตาคุณจะไม่อ้อนวอนเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ผิดบาปอีกต่อไป มันคือความรู้สึกถึงบาปซึ่งนำให้พระพิโรธของพระบิดามาตกอยู่กับพระองค์ในฐานะตัวแทนของมนุษย์ที่ทำให้จอกที่พระองค์ดื่มมีรสขมขื่นและทำให้พระทัยของพระบุตรแตกสลาย {DA 753.2}
บรรดาทูตสวรรค์เฝ้ามองความทุกข์ทรมานอย่างสิ้นหวังของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความประหลาดใจ กองทัพชาวสวรรค์ปกปิดใบหน้าของพวกเขาจากภาพที่น่าหวาดกลัว ธรรมชาติที่ไร้ชีวิตแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นต้นกำเนิด พระองค์ทรงถูกดูหมิ่นและกำลังจะสิ้นพระชนม์ ดวงอาทิตย์ปฏิเสธที่จะมองภาพอันน่ากลัวนี้ แต่ทันใดนั้นลำแสงเจิดจ้าสว่างเต็มขนาดเที่ยงวันของมันที่กำลังส่องแสงสว่างแก่โลกก็ดูราวกับว่าถูกปกปิด ความมืดสนิทเหมือนผ้าคลุมโรงศพได้ห่อหุ้มไม้กางเขนไว้ "แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง" ไม่มีสุริยคราสหรือสาเหตุอื่นใดทางธรรมชาติที่ทำให้เกิดความมืดนี้ ซึ่งมืดราวกับเที่ยงคืนที่ไร้ดวงจันทร์หรือดวงดาว มันเป็นประจักษ์พยานอันน่าอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงมอบให้เพื่อทำให้ความเชื่อของคนรุ่นหลังตั้งไว้ได้อย่างมั่นคง {DA 753.3}
ความมืดหนาทึบปกปิดการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าไว้ พระองค์ทรงใช้ความมืดเป็นพลับพลาของพระองค์และปกปิดพระสิริจากสายตาของมนุษย์ พระเจ้าและทูตสวรรค์บริสุทธิ์ของพระองค์อยู่ข้างกางเขน พระบิดาสถิตอยู่ร่วมกับพระบุตร แต่ถึงกระนั้นการสถิตของพระองค์ไม่เป็นที่ประจักษ์ หากพระเจ้าจะส่องประกายพระสิริแวบออกมาจากเมฆ ทุกคนที่มองเห็นจะถูกทำลาย ในช่วงเวลาอันน่ากลัวนี้ พระคริสต์ไม่ทรงรับการปลอบประโลมจากการสถิตอยู่ด้วยของพระบิดา พระองค์ทรงย่ำบ่อองุ่นตามลำพัง และไม่มีใครจากชนชาติทั้งหลายอยู่กับพระองค์เลย {DA 753.4}
ในความมืดมิด พระเจ้าทรงปิดบังความเจ็บปวดสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ของพระบุตรของพระองค์ ทุกคนที่ได้เห็นพระคริสต์ในการทนทุกข์ทรมานของพระองค์จะมั่นใจในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เมื่อมนุษยชาติคนใดได้เพียงแต่เห็นพระพักตร์นั้นสักครั้งจะไม่มีวันลืม ใบหน้าของคาอินที่แสดงออกถึงความผิดในฐานะฆาตกรฉันใด พระพักตร์ของพระคริสต์ได้เปิดเผยให้เห็นความบริสุทธิ์ ความสงบ และความเมตตา ซึ่งเป็นพระฉายาของพระเจ้าฉันนั้น แต่ผู้กล่าวหาพระองค์ไม่ยอมรับตราประทับแห่งสวรรค์ ฝูงชนที่พูดเยาะเย้ยจ้องมองพระองค์มาตลอดช่วงเวลาอันยาวนานของการทุกข์ระทม บัดนี้พระเจ้าทรงห่อหุ้มปกปิดพระองค์ไว้แล้ว {DA 754.1}
ดูประหนึ่งว่า ความเงียบของหลุมศพแผ่ลงมาเหนือคาลวารี มีความหวาดกลัวอย่างเหลือที่จะกล่าวได้เข้าครอบงำฝูงชนที่ยืนอยู่รอบกางเขน คำสาปแช่งและการใส่ร้ายป้ายสียุติไปทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบประโยค ชาย หญิง และเด็กล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น แสงฟ้าแลบอย่างสว่างไสวส่องออกมาจากเมฆครั้งแล้วครั้งเล่าเปิดเผยให้เห็นไม้กางเขนและพระผู้ไถ่บนกางเขน พวกปุโรหิต พวกผู้ปกครอง พวกธรรมาจารย์ พวกเพชฌฆาตและฝูงชนทั้งหมดคิดว่าเวลาแห่งการลงโทษเพื่อความยุติธรรมมาถึงแล้ว เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง มีคนกระซิบว่าพระเยซูกำลังจะลงมาจากกางเขนในเวลนี้ บางคนพยายามคลำหาทางกลับตัวเมืองพร้อมทั้งทุบหน้าอกของตนเองและร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว {DA 754.2}
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง ความมืดที่อยู่เหนือประชาชนถูกยกออกไป แต่ความมืดที่ห่อหุ้มพระผู้ช่วยให้รอดยังคงมีอยู่ หตกรณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความระทมทุกข์และความหวาดกลัวที่ตกทับถมลงบนพระหทัยของพระองค์ ไม่มีสายตาของมนุษย์คนใดมองทะลุผ่านความมืดทึบที่ปกปิดอยู่รอบกางเขนได้ และไม่มีใครคนใดมองผ่านความมืดมิดที่ล้ำลึกยิ่งกว่าซึ่งห่อหุ้มจิตวิญญาณที่ทุกข์ระทมของพระคริสต์อยู๋ ดูเหมือนว่าฟ้าแลบอันโกรธแค้นจะกระหน่ำใส่พระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนกางเขน และแล้ว "พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า เอลี เอลี ลามา สะบักธานี" "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?" ในขณะที่ความมืดโอบล้อมพระองค์อยู่นั้น มีเสียงมากมายอุทานขึ้นมาว่า การแก้แค้นจากสวรรค์ลงมายังพระองค์แล้ว ลูกศรพระพิโรธของพระเจ้ายิงใส่พระองค์เพราะพระองค์ทรงอ้างว่าตนเป็นพระบุตรของพระเจ้า คนมากมายที่เชื่อพระองค์ได้ยินพระดำรัสคร่ำครวญอย่างสิ้นหวังของพระองค์ ความหวังของพวกเขาสูญสิ้นไป หากพระเจ้าทรงทอดทิ้งพระเยซู แล้วผู้ติดตามของพระองค์ยังจะวางใจพระองค์ต่อไปอีกได้อย่างไร? {DA 754.3}
เมื่อความมืดถูกยกออกไปจากวิญญาณจิตที่ทุกข์ใจของพระคริสต์แล้ว พระองค์ทรงคืนสติสู่ความรู้สึกของความทุกข์ทรมานทางกายและตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" ทหารโรมันคนหนึ่งขณะมองไปยังพระโอษฐ์อันแห้งผากรู้สึกสงสารจึงเอาฟองน้ำที่ติดอยู่กับปลายไม้หุสบชุบน้ำส้มสายชูยกขึ้นถวายพระองค์ แต่พวกปุโรหิตเยาะเย้ยความระทมทุกข์ของพระองค์ ในขณะที่ความมืดทึบปกคลุมโลกอยู่นั้น พวกเขาเต็มล้นด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อความกลัวของพวกเขาจางหายไป ความรู้สึกหวาดหวั่นก็เข้ามาแทนที่ พวกเขากลัวว่าพระเยซูจะทรงหนีไปจากพวกเขา พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?” นั้น พวกเขาแปลความหมายผิดไป พวกเขาพูดขึ้นด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยามว่า "ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์" พวกเขาปฏิเสธโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ของพระองค์ "คอยดูซิว่า” พวกเขาพูด “เอลียาห์จะมาเอาเขาลงหรือเปล่า?" {DA 754.4}
พระบุตรของพระเจ้าผู้ปราศจากมลทินบาปทรงแขวนอยู่บนไม้กางเขน เนื้อหนังของพระองค์ฉีกขาดเป็นทางจากการเฆี่ยนตี พระหัตถ์นั้นที่บ่อยครั้งทรงยื่นออกเพื่ออำนวยพระพรถูกตรึงไว้กับท่อนไม้ พระบาทที่ไม่เคยรู้จักเหน็ดเหนื่อยในพันธกิจแห่งความรักถูกตะปูยึดติดกับต้นไม้ พระเศียรของพระราชาถูกมงกุฎหนามทิ่มแทง ฝีพระโอษฐ์สั่นด้วยการร่ำไห้แห่งความระทมทุกข์ และทั้งหมดที่พระองค์ทรงทนแบกรับไว้ ไม่ว่าจะเป็นหยดพระโลหิตจากพระเศียร พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ที่ไหลเป็นทางลงมา ความระทมทุกข์ที่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย และความทุกข์จากการที่พระบิดาซ๋อนพระพักตร์ไปจากพระองค์ได้เต็มล้นจิตใจของพระองค์จนเอ่ยออกมาเป็นวาจาไม่ได้ เรื่องทั้งหมดนี้กำลังประกาศบอกกับลูกน้อยของมนุษยชาติว่า เพื่อเจ้าพระบุตรของพระเจ้าทรงยอมแบกภาระแห่งความผิดนี้ เพื่อเจ้าพระองค์ทรงทำลายอาณาจักรแห่งความตาย และเปิดประตูแห่งสวรรค์ พระองค์ผู้ทรงห้ามความโกรธของคลื่นลมและเสด็จดำเนินอยู่เหนือฟองคลื่นของพายุ พระองค์ทรงทำให้มารสั่นกลัวและโรคภัยถอยหนีไป พระองค์ผู้ทรงเปิดตาของคนตาบอด และทรงเรียกคนที่ตายแล้วให้กลับมามีชีวิตใหม่ ทรงเป็นผู้ถวายตัวเองขึ้นเป็นเครื่องบูชาบนไม้กางเขน และทำไปเพราะความรักที่มีต่อพวกเจ้า พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าผู้แบกรับบาป ทรงอดทนต่อความโกรธเกรี้ยวของความยุติธรรมของพระเจ้า และเพื่อเห็นแก่เจ้าจึงได้มาเป็นคนบาปเอง {DA 755.1}
ในความเงียบ คนทั้งหลายเฝ้ามองตอนจบของฉากอันน่ากลัวสยองขวัญนี้ ดวงอาทิตย์ส่องแสง แต่ไม้กางเขนยังคงถูกห่อหุ้มด้วยความมืดอันหนาทึบ พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองหันมองไปทางกรุงเยรูซาเล็ม และดูเถิดเมฆหนาทึบนั้นได้ไปปกคลุมอยู่เหนือเมืองและที่ราบของแคว้นยูเดียด้วย ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งเป็นแสงสว่างของโลกกำลังถอนลำแสงของพระองค์ออกไปจากเมืองเยรูซาเล็มที่เคยเป็นเมืองที่โปรดปราน แสงเพลิงแห่งพระพิโรธอันดุเดือดของพระเจ้าพุ่งตรงมายังเมืองที่ชะตากรรมถูกกำหนดไว้แล้ว {DA 756.1}
ทันใดนั้นความเศร้าหมองถูกยกขึ้นจากไม้กางเขน และด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนราวเสียงแตรซึ่งดูเหมือนจะดังก้องไปทั่วสรรพสิ่งของการทรงสร้าง พระเยซูทรงร้องขึ้นมาว่า "สำเร็จแล้ว" "ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์" มีแสงหนึ่งล้อมรอบไม้กางเขนและพระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอดส่องรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์ จากนั้นพระองค์ทรงก้มพระเศียรลงกับอกของพระองค์และสิ้นพระชนม์ {DA 756.2}
ท่ามกลางความมืดมิดอันน่ากลัวซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งพระองค์ไปแล้ว พระคริสต์ทรงค่อยๆ ระบายกากตะกอนสุดท้ายให้ไหลออกไปจากจอกแห่งความวิบัติของมนุษย์ ในช่วงเวลาสยองขวัญเหล่านั้นพระองค์ทรงวางใจพึ่งพาหลักฐานการยอมรับที่พระบิดาทรงเคยมอบให้แก่พระองค์มาก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงคุ้นเคยกับพระลักษณะนิสัยของพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงเข้าพระทัยความยุติธรรม พระเมตตาคุณและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยความเชื่อพระองค์ทรงวางใจในพระบิดาผู้ที่พระองค์ทรงเคยมีความสุขสำราญใจในการเชื่อฟัง และในขณะที่ทรงยอมจำนน พระองค์ก็ได้ทรงมอบถวายตัวแด่พระเจ้า แล้วความรู้สึกว่าสูญเสียความโปรดปรานจากพระบิดาก็หายไป โดยความเชื่อพระคริสต์ทรงเป็นผู้ชนะ {DA 756.3}
โลกไม่เคยร่วมเป็นพยานในภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ฝูงชนยืนแน่นิ่งเป็นอัมพาตไป และด้วยการหายใจไม่ทั่วท้องพวกเขาจ้องมองไปยังพระผู้ช่วยให้รอด อีกครั้งหนึ่งความมืดปกคลุมอยู่บนพื้นโลก และมีเสียงครางยาวแหบแห้งดังดุจเสียงฟ้าร้องขนาดหนักให้ได้ยิน เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ผู้คนถูกเขย่าจนเข้ามารวมกันเป็นกลุ่ม ความสับสนและความตกตะลึงอย่างสยองขวัญเป็นผลที่ตามมา ในบริเวณภูเขารอบๆ ก้อนหินถูกแยกออกจากกัน และกลิ้งถล่มลงไปยังพื้นราบ อุโมงค์ฝังศพเปิดออก และคนตายถูกเหวี่ยงออกจากอุโมงค์ ดูประหนึ่งว่าสิ่งทรงสร้างทั้งมวลถูกเขย่าไปจนถึงระดับอะตอม พวกปุโรหิต พวกผู้ปกครอง ทหาร เพชฌฆาต และประชาชนต่างแน่นิ่งไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขานอนหมอบราบลงกับพื้น {DA 756.4}
ในขณะที่เสียงร้อง "สำเร็จแล้ว" ดังออกจากฝีพระโอษฐ์ของพระคริสต์นั้น พวกปุโรหิตกำลังปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหาร เวลานั้นซึ่งเป็นเวลาการถวายบูชายามเย็น ลูกแกะที่เป็นตัวแทนพระคริสต์ถูกนำมาวางเพื่อจะถูกฆ่า ปุโรหิตสวมชุดที่มีความหมายและสวยงามกำลังชูมีดขึ้นเหมือนอับราฮัมเมื่อกำลังจะสังหารบุตรชายของตน ประชาชนกำลังเฝ้ามองด้วยความสนใจอย่างสุดซึ้ง แต่โลกเกิดการสั่นสะเทือนและแผ่นดินก็ไหว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเองกำลังเสด็จมาใกล้ เสียงม่านในวิหารชั้นในถูกฉีกตั้งแต่บนลงล่างดังขึ้นด้วยมือที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ทำให้บริเวณห้องชั้นในถูกเปิดออกให้ผู้คนจ้องเข้าไปดูบริเวณที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปกคลุมด้วยพระสิริของการสถิตอยู่ของพระเจ้า ในสถานที่แห่งนี้รัศมีภาพของพระเจ้า [Shekinah] สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยพระสิริของพระองค์อยู่เหนือพระที่นั่งกรุณา ไม่มีคนใดเปิดม่านซึ่งกั้นห้องนี้ออกจากส่วนที่เหลือของพระวิหารได้ยกเว้นมหาปุโรหิตเท่านั้น เขาจะเข้าไปปีละหนึ่งครั้งเพื่อไถ่บาปของประชาชน แต่ดูเถิด ม่านนี้ถูกฉีกขาดเป็นสองส่วนแล้ว อภิสุทธิสถานของพระวิหารในโลกไม่ใช่สถานที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป {DA 756.5}
เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในความหวาดกลัวและความสับสน ปุโรหิตกำลังจะฆ่าเหยื่อ แต่มีดหล่นจากมือที่ไร้ความรู้สึกและลูกแกะได้หนีไป การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระเจ้าทำให้แบบจำลองและต้นฉบับจริงได้มาพบกันแล้ว การถวายบูชายิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว ทางที่จะเข้าไปยังอภิสุทธิสถานถูกเปิดออกแล้ว วิถีทางใหม่ที่มีชีวิตได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้วให้แก่ทุกคน มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยบาปและเศร้าเสียใจไม่จำเป็นต้องรอคอยมหาปุโรหิตอีกต่อไป จากนี้ไป พระผู้ช่วยให้รอดจะเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตและเป็นคนกลางทูลขอในสรวงสวรรค์แห่งสวรรค์ทั้งปวง ราวกับพระสุรเสียงที่มีชีวิตได้ตรัสกับผู้นมัสการว่า บัดนี้การถวายบูชาและการถวายทั้งหมดเพื่อบาปได้ยุติลงแล้ว พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้วตามพระวจนะของพระองค์ที่ว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์ตามที่มีเรื่องข้าพระองค์เขียนไว้ในหนังสือม้วน" พระองค์ "ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป จึงได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์" ฮีบรู 10 ข้อที่ 7; 9 ข้อที่ 12 {DA 757.1}
**********