บทที่ 24

คนนี้เป็นลูกช่างไม้. . . .ไม่ใช่หรือ?”

บทนี้อ้างอิงจาก ลูกา 4 ข้อที่ 16-30


         เงามืดหนึ่งทอดอยู่เหนือวันอันสดใสแห่งพันธกิจการรับใช้ของพระคริสต์ในแคว้นกาลิลี  ประชาชนในเมืองนาซาเร็ธปฏิเสธพระองค์  พวกเขาพูดว่า “คนนี้เป็นลูกช่างไม้. . . .ไม่ใช่หรือ?” {DA 236.1}              

ในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่ม พระเยซูทรงร่วมนมัสการท่ามกลางพี่น้องในธรรมศาลาที่เมืองนาซาเร็ธ  นับตั้งแต่พระองค์เริ่มพันธกิจแห่งการรับใช้ พระองค์ทรงไปจากพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปิดหูปิดตากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับพระองค์  เมื่อพระองค์ทรงปรากฏท่ามกลางพวกเขา ความสนใจและความคาดหวังของพวกเขาถูกปลุกปั่นขึ้นมาจนถึงขีดสูงสุด  พระองค์ทรงคุ้นเคยกับรูปร่างและหน้าตาของคนที่นี่ตั้งแต่วัยทารก  มารดา น้องชายและน้องสาวของพระองค์อยู่ที่นี่ และในวันสะบาโตนั้นเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามายังธรรมศาลาและประทับลงท่ามกลางผู้ร่วมนมัสการ สายตาของคนทั้งหมดหันไปทางพระองค์  {DA 236.2}                    

ในวันนมัสการปกติ ผู้ปกครองจะอ่านคำของผู้เผยพระวจนะและกำชับประชาชนให้ยังคงตั้งความหวังเฝ้ารอพระองค์ผู้จะเสด็จมา พระองค์จะทรงจัดตั้งการปกครองแห่งพระสิริและกำจัดการกดขี่ไปให้หมด  เขาพยายามหนุนใจผู้ฟังด้วยการทบทวนหลักฐานของการใกล้เสด็จมาของพระเมสสิยาห์  เขาบรรยายเรื่องของการเสด็จมาด้วยพระสิริของพระองค์  ยกชูแนวคิดขึ้นอย่างโดดเด่นว่าพระองค์จะเสด็จมาในฐานะผู้นำกองทัพเพื่อช่วยกู้ชนชาติอิสราเอล  {DA 236.3}                     

เมื่อมีธรรมาจารย์อยู่ในธรรมศาลา ก็จคาดได้ว่าเขาจะเป็นผู้เทศนาและให้ชาวอิสราเอลคนหนึ่งเป็นผู้อ่านคัมภีร์ของผู้เผยพระวจนะ  ในวันสะบาโตนี้พระเยซูได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีนมัสการ  พระองค์ “ทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม  เขาจึงส่งคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์” ลูกา 4 ข้อที่ 16, 17  พระคัมภีร์ที่พระองค์ทรงอ่านนั้นเป็นตอนที่ทุกคนเข้าใจว่าชี้ไปยังพระเมสสิยาห์

 

พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า

เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้

เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน

พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย

ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก

ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ

และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”  {DA 236.4}               

แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่. . . .และตาของทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาก็จ้องดูพระองค์. . . .ทุกคนก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจในถ้อยคำที่ประกอบด้วยพระคุณซึ่งพระองค์ตรัส”  ลูกา 4 ข้อที่ 20-22  {DA 237.1}                    

พระเยซูประทับท่ามกลางประชาชนในฐานะผู้อธิบายตัวจริงในเรื่องของคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระองค์เอง  พระองค์ทรงอธิบายพระคำที่ทรงอ่านไปแล้ว พระองค์ตรัสว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเป็นผู้ช่วยเหลือผู้ที่ถูกกดขี่ ผู้ปลดปล่อยคนที่ถูกบีบบังคับ  ผู้ทรงรักษาคนเจ็บป่วย  ผู้ทรงทำให้คนตาบอดได้เห็นอีกและทรงเปิดเผยแสงสว่างแห่งความจริงให้แก่โลก  พระลักษณะท่าทางอันน่าประทับใจและความสำคัญของพระดำรัสอันอัศจรรย์ใจทำให้ผู้ฟังตื่นเต้นด้วยพลังที่ไม่มีผู้ใดเคยรู้สึกมาก่อน  คลื่นอิทธิพลของพระเจ้าทำลายทุกสิ่งกีดขวาง  เหมือนเช่นโมเสส พวกเขามองเห็นพระเจ้าที่ตามมนุษย์มองไม่เห็น  ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ขับเคลื่อนหัวใจของพวกเขา พวกเขาตอบสนองด้วยอาเมนอย่างจริงใจและถวายสรรเสริญพระเป็นเจ้า  {DA 237.2}               

แต่เมื่อพระเยซูทรงประกาศว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหูก็สำเร็จแล้วในวันนี้”  ทันใดนั้นเอง พวกเขาหวนคิดถึงตนเองและเรียกร้องของพระผู้ที่ตรัสกับพวกเขา  ชนชาติอิสราเอลที่เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมถูกมองว่าตกอยู่ในการจองจำ  พวกเขาถูกกล่าวขานว่าเป็นนักโทษที่ต้องการให้ช่วยกู้ออกจากอำนาจของความชั่ว  เหมือนตกอยู่ภายใต้ความมืดและต้องการแสงสว่างแห่งความจริง  ความเย่อหยิ่งทะนงตนของพวกเขาขุ่นเคืองและความกลัวถูกปลุก  พระดำรัสของพระเยซูบ่งบอกว่าพระราชกิจของพระองค์ที่กระทำเพื่อพวกเขานั้นแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้อย่างสิ้นเชิง การกระทำของพวกเขาอาจกูกตรวจสอบอย่างละเอียด  ทั้งๆ ที่ พวกเขาถือปฏิบัติพิธีกรรมอย่างเข้มงวด พวกเขาก็ยังต้องหลบให้พ้นสายพระเนตรตรวจสอบอันทะลุทะลวงของพระองค์  {DA 237.3}              

พระเยซูองค์นี้คือผู้ใดเล่า?  พวกเขาต่างสงสัย  พระองค์ผู้ทรงอ้างสิทธิพระสิริของพระเมสสิยาห์นั้นเป็นบุตรของช่างไม้และทำงานในธุระกิจของพระองค์กับโยเซฟผู้เป็นบิดา  พวกเขาเคยเห็นพระองค์เดินขึ้นลงตามเนินเขา  พวกเขาคุ้นเคยกับพี่น้องชายหญิงและคุ้นเคยกับชีวิตและการทำงานของพระองค์  พวกเขาเห็นพระองค์เติบใหญ่ขึ้นมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยหนุ่มและจากวัยหนุ่มเป็นวัยผู้ใหญ่  แม้ว่าชีวิตของพระองค์ไร้ตำหนิ พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อว่าทรงเป็นพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  {DA 237.4}                     

คำสอนของพระองค์ในเรื่องของอาณาจักรใหม่แตกต่างอย่างมากเพียงไรจากคำสอนที่ฟังจากผู้ปกครองของเขา!  พระเยซูไม่มีอะไรที่จะช่วยกู้พวกเขาออกจากอำนาจของโรม  พวกเขาเคยได้ยินเรื่องของการอัศจรรย์ของพระองค์ และหวังว่าพระองค์จะใช้อำนาจเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา แต่พวกเขามองไม่เห็นว่าพระองค์จะทำอะไรในแนวทางนี้ได้เลย  {DA 238.1}                    

ในขณะที่พวกเขาต่างเปิดประตูให้กับความสงสัย  หัวใจของพวกเขาจากที่อ่อนนุ่มไปชั่วขณะหนึ่งก็ยิ่งแข็งกระด้างขึ้น  ซาตานตั้งใจไม่ให้ตาที่บอดในวันนั้นเปิดออก หรือให้จิตวิญญาณที่ตกอยู่ในจองจำได้รับการปลดปล่อย  มันทำงานด้วยกำลังที่เข้มแข็งเพื่อผูกมัดพวกเขาให้อยู่ในความไม่เชื่อ  พวกเขาไม่ยอมพิจารณาถึงหมายสำคัญที่ประทานมาให้แล้ว ในขณะที่หัวใจของพวกเขาเร้าร้อนด้วยความมั่นใจว่าพระผู้ไถ่ของพวกเขากำลังตรัสกับพวกเขาอยู่  {DA 238.2}             

แต่บัดนี้พระเยซูประทานหลักฐานเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าโดยเปิดเผยความคิดอันลี้ลับของพวกเขาว่า “พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า ‘พวกท่านคงอยากจะกล่าวภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือ ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด’ และพวกท่านคงอยากจะพูดว่า ‘สิ่งต่างๆ ที่เราได้ยินว่าท่านทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงทำในเมืองของตัวเองที่นี่ด้วยซิ’ พระองค์ตรัสต่อไปว่า ‘เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการยอมรับในบ้านเกิดของตัวเอง’ และเราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า มีหญิงม่ายอยู่มากมายท่ามกลางพวกอิสราเอลในสมัยของเอลียาห์ เมื่อท้องฟ้าปิดถึงสามปีหกเดือนจนเกิดการกันดารอาหารอย่างมากทั่วทั้งแผ่นดิน  พระเจ้าไม่ทรงใช้เอลียาห์ให้ไปหาหญิงม่ายคนใดในพวกนั้นเลย เว้นแต่หญิงม่ายในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน และมีคนโรคเรื้อนอยู่มากมายท่ามกลางพวกอิสราเอลในสมัยของเอลีชาผู้เผยพระวจนะด้วย แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายเว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย’"  ลูกา 4 ข้อที่ 23-27  {DA 238.3}          

ด้วยการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ พระเยซูเผชิญหน้ากับข้อสงสัยของผู้ฟังของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตผู้รับใช้คนใดที่พระองค์ทรงเลือกเพื่อทำงานพิเศษไปทำงานกับคนที่หัวใจแข็งกระด้างและไม่เชื่อ แต่หัวใจของผู้ที่รู้สึกและศรัทธาที่จะเชื่อจะได้รับสิทธิพิเศษเห็นหลักฐานของอำนาจของพระองค์ผ่านผู้เผยพระวจนะ  ในสมัยของเอลียาห์ ชนชาติอิสราเอลเหินห่างไปจากพระเจ้า  พวกเขายึดติดกับบาปของพวกเขาและปฏิเสธคำเตือนของพระวิญญาณที่ตรัสผ่านทางผู้สื่อข่าวของพระเจ้า  ด้วยประการฉะนี้พวกเขาจึงตัดตัวเองออกไปจากชองทางที่พระเจ้าจะส่งพระพรมายังพวกเขา  พระเจ้าเสด็จดำเนินผ่านบ้านของชนชาติอิสราเอลและประทานที่ลี้ภัยให้กับผู้รับใช้ของพระองค์ในดินแดนของคนนอกศาสนา ประทานแก่หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  แต่หญิงคนนี้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าเพราะเธอปฏิบัติตามแสงสว่างที่เธอรับไว้และเธอเปิดหัวใจออกรับแสงที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเจ้าประทานผ่านผู้เผยพระวจนะของพระองค์  {DA 238.4}          

ด้วยเหตุผลอันเดียวกันนี้พระเจ้าเสด็จดำเนินผ่านคนโรคเรื้อนในประเทศอิสราเอลไป แต่นาอามาน ขุนนางนอกศาสนาที่สัตย์ซื่อต่อแนวคิดที่ถูกต้องและตระหนักถึงความต้องการยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ในสภาพที่จะรับของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้า  เขาไม่เพียงได้รับการชำระจากโรคเรื้อนแต่ยังได้รับพระพรถึงความรู้เรื่องพระเจ้าองค์เที่ยงแท้  {DA 239.1}                      

สถานะของเราเบื้องพระพักตร์พระเจ้าไม่เพียงแต่ขึ้นกับปริมาณแสงสว่างที่เรารับแต่ขึ้นกับการใช้สิ่งที่เราถือครอง  ด้วยเหตุนี้คนนอกศาสนาที่เลือกทำในสิ่งที่ถูกเท่าที่เขาแยกแยะได้จะอยู่ในสภาพที่ได้เปรียบกว่าผู้ที่รับแสงสว่างมากและอ้างว่าตนรับใช้พระเจ้า แต่ละเลยแสงสว่างและดำรงชีวิตประจำวันที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาเชื่อ  {DA  239.2}            

พระดำรัสของพระเยซูที่ประทานให้ผู้ฟังในธรรมศาลากระทบไปจนถึงรากเหง้าของการถือว่าตนชอบธรรม เป็นการตอกย้ำถึงความจริงอันขมขื่นที่ว่าพวกเขาเดินออกจากพระเจ้าและสละสิทธิ์ของการเป็นประชากรของพระองค์ คำพูดทุกคำเป็นเหมือนมีดกรีดลึกลงไปในขณะที่สภาพจริงของพวกเขาถูกตีแผ่ออกมา  บัดนี้พวกเขาเหยียดหยามความเชื่อที่พระเยซูทรงดลใจพวกเขาในช่วงแรก  พวกเขาต่างไม่ยอมรับว่าพระองค์ผู้ที่ทรงเติบโตขึ้นอย่างยากจนและต่ำต้อยจะเป็นอย่างอื่นนอกจากคนธรรมดา  {DA 239.3}             

ความไม่เชื่อก่อเกิดความคิดชั่ว  ซาตานควบคุมพวกเชาและในความโกรธแค้นพวกเขาร้องขึ้นต่อต้านพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาหันไปจากพระองค์ ผู้ทรงมีพันธกิจแห่งการรักษาและการช่วยกู้ให้กลับดีดังเดิม  บัดนี้พวกเขาแสดงออกถึงคุณสมบัติของผู้ทำลาย {DA 239.4}                    

เมื่อพระเยซูทรงกล่าวถึงพระพรที่ทรงโปรดประทานให้แก่คนต่างชาติ ความหยิ่งในชาติกำเนิดของผู้ฟังถูกปลุกและพระดำรัสของพระองค์จมหายไปกบเสียงดังอันวุ่นวาย  คนเหล่านี้หยิ่งในศักดิ์ศรีว่าตนเป็นผู้ถือรักษาพระบัญญัติ แต่บัดนี้อคติของพวกเขาถูกรุกราน พวกเขาพร้อมที่จะก่อการฆาตกรรม  คนในที่ประชุมลุกฮือและรุมกันไปจับพระเยซู  พวกเขาผลักพระองค์ออกจากธรรมศาลาและออกไปนอกเมือง  ดูเสมือนหนึ่งว่าทุกคนกระหายที่จะทำลายพระองค์  พวกเขาเร่งนำพระองค์ไปยังหน้าผา โดยมุ่งหวังผลักพระองค์ให้หัวทิ่มลงเหวไป  เสียงตะโกนและคำพูดหยาบคายดังไปทั่วท้องฟ้า  บางคนเอาก้อนหินขว้างใส่พระองค์  แต่ในทันใดนั้นพระองค์หายตัวไป  ผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ที่อยู่กับพระองค์ในธรรมศาลาก็อยู่ร่วมกับพระองค์ท่ามกลางฝูงชนที่บ้าคลั่ง พวกเขาปกป้องพระองค์จากศัตรูและนำพระองค์ไปยังที่ปลอดภัย {DA 240.1}           

ทูตสวรรค์คอยปกป้องโลทและนำเขาออกจากลางเมืองโสโดมไปสู่ความปลอดภัย  ทูตสวรรค์ปกป้องเอลีชาในเมืองภูเขาเล็กๆ  เมื่อภูเขารอบๆ นั้นเต็มไปด้วยม้าและรถม้าของกษัตริย์ซีเรีย และกองทัพยิ่งใหญ่ที่ติดอาวุธครบมือ  เอลีชาเห็นกองทัพของพระเจ้าปกคลุมทั่วเนินเขาใกล้เคียง เป็นม้าและรถม้าไฟที่ล้อมผู้รับใช้ของพระเจ้าไว้  {DA 240.2}              

ทูตสวรรค์อยู่ใกล้ผู้ติดตามซื่อสัตย์ของพระคริสต์เช่นเดียวกันตลอดทุกยุคทุกสมัย  กองทัพชั่วขนาดใหญ่ตั้งแนวรบต่อสู้ทุกคนที่พวกเขาต้องการเอาชนะ แต่พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะให้เรามองไปยังสิ่งที่ตามองไม่เห็น  มองไปยังกองทัพชาวสวรรค์ที่ตั้งค่ายล้อมรอบทุกคนที่รักพระเจ้า เพื่อช่วยกู้พวกเขา  ทูตสวรรค์ขวางกั้นปกป้องเราจากภัยอันตรายทั้งตามองเห็นและมองไม่เห็น  เราได้รับการปกป้องโดยผ่านการเข้าขัดขวางของทูตสวรรค์ เราจะไม่มีวันรู้เลยจนกระทั่งเมื่อไปถึงความสว่างของนิรันดร์กาล  เราจะได้เห็นการทรงนำของพระเจ้า  แล้วเราจะเรียนรู้ว่าครอบครัวชาวสวรรค์ทั้งปวงสนใจครอบครัวที่อยู่เบื้องล่างนี้และผู้สื่อข่าวจากพระบัลลังก์ของพระเจ้าคอยเฝ้าย่างก้าวของเราในแต่ละวัน  {DA 240.3}                      

เมื่อพระเยซูอยู่ในธรรมศาลาทรงอ่านจากคำพยากรณ์ พระองค์ทรงหยุดตรงคำบรรยายคุณลักษณะสุดท้ายในเรื่องของพระราชกิจของพระเมสสิยาห์  เมื่อพระองค์ทรงอ่านพระวจนะที่ว่า “เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์” แล้วพระองค์ทรงละข้อความที่ว่า “และประกาศวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของพวกเรา” ไป  อิสยาห์ 61 ข้อที่ 2  เรื่องนี้มีความจริงเท่าเทียมกับคำพยากรณ์แรกและโดยความเงียบของพระเยซู พระองค์ไม่ทรงปฏิเสธความจริง  แต่ข้อความสุดท้ายนี้เป็นข้อความที่ผู้ฟังของพระองค์ชื่นชอบที่จะใส่ใจและเป็นข้อความที่พวกเขาหวังที่จะให้สำเร็จขึ้นจริง  พวกเขาประณามคำพิพากษาต่อคนนอกศาสนาโดยไม่ตระหนักว่าความผิดของพวกตนยิ่งใหญ่กว่าของผู้อื่น  พวกเขาเองต้องการความเมตตาอย่างมากยิ่งซึ่งเป็นความเมตตาที่พวกเขาพร้อมที่จะปฏิเสธคนนอกศาสนา  ในวันนั้นที่พระเยซูทรงลุกขึ้นยืนท่ามกลางพวกเขาในธรรมศาลานั้นเป็นโอกาสของพวกเขาที่จะเปิดรับการทรงเรียกของพระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์  พระองค์ผู้ “ทรงพอพระทัยในความเมตตา” มีคาห์ 7 ข้อที่ 18 ทรงชื่นชอบที่จะช่วยเขาทั้งหลายจากความพินาศซึ่งบาปของพวกเขาชักนำอยู่  {DA 240.4}                     

พระองค์จะทรงยอมปล่อยพวกเขาไปโดยไม่เรียกร้องให้พวกเขากลับใจอีกครั้งได้อย่างไร  ในช่วงปลายพันธกิจของพระองค์ที่แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงเยี่ยมบ้านในวัยเด็กอีกครั้ง  นับตั้งแต่เวลาที่พวกเขาปฏิเสธพระองค์ที่นั่น กิตติศัพท์การเทศนาและการอัศจรรย์ของพระองค์แผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน  บัดนี้ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือกว่าอำนาจของมนุษย์  ประชาชนชาวเมืองนาซาเร็ธทราบดีว่าพระองค์ทรงกระทำการดีทั่วทุกและทรงรักษาทุกคนที่ถูกซาตานกดขี่  หมู่บ้านทั้งหมดที่อยู่รอบตัว พวกเขาที่ไม่มีการโอดครวญด้วยความเจ็บป่วยในบ้านใดเลย เพราะพระองค์เสด็จดำเนินในท่ามกลางพวกเขาและทรงรักษาความเจ็บป่วยทั้งหมดของพวกเขา  พระเมตตาคุณที่พระองค์ทรงเปิดเผยในการประกอบกิจทั้งหมดในชีวิตของพระองค์ประจักษ์เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงเจิมพระองค์  {DA 241.1}                    

ในขณะที่ชาวนาซาเร็ธฟังพระดำรัสของพระองค์อยู่นั้น พระวิญญาณของพระเจ้าทรงดลใจพวกเขาอีกครั้ง  แม้แต่ในเวลานี้พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับว่าพระเจ้าพระองค์นี้ผู้ทรงเป็นมนุษย์และเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางพวกเขาทรงเป็นบุคคลอื่นและยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา  พวกเขายังคับแค้นใจกับความทรงจำอันขมขื่นปวดร้าวที่ว่าในขณะที่พระองค์ทรงอ้างตนว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้น  พระองค์กลับทรงปฏิเสธอย่างจริงจังว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของชนชาติอิสราเอล  เพราะพระองค์ทรงทำให้เห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะรับความพึงพอพระทัยจากพระเจ้าน้อยกว่าชายหญิงนอกศาสนา  ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่า “คนนี้มีสติปัญญาและการอิทธิฤทธิ์อย่างนี้มาจากไหน”  มัทธิว 13 ข้อที่ 54  พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า  เนื่องจากความไม่เชื่อของพวกเขา พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำการอัศจรรย์มากมายท่ามกลางพวกเขาไม่ได้  มีหัวใจเพียงไม่กี่ดวงที่เปิดรับพระพรของพระองค์และพระองค์จึงจากไปอย่างไม่สู้เติมพระทัยนักโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีก  {DA 241.2}                    

ทันทีที่ชาวเมืองนาซาเร็ธยึดมั่นความไม่เชื่อไว้ มันก็ควบคุมพวกเขาต่อไป  ความไม่เชื่อนี้ก็ควบคุมสภาซานเฮดรินและคนในชาติไว้ด้วย  สำหรับพวกปุโรหิตและประชาชนแล้ว การปฏิเสธครั้งแรกที่มีต่อการเปิดเผยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเป็นการจุดเริ่มต้นของอวสาน  เพื่อพิสูจน์ว่าการต่อต้านครั้งแรกของพวกเขาถูกต้องพวกเขายังคงคอยถากถางพระดำรัสของพระคริสต์  การปฏิเสธพระวิญญาณของพวกเขานั้นสิ้นสุดลงที่กางเขนคาลวารี สิ้นสุดลงในความพินาศของเมืองหลวงของพวกเขา สิ้นสุดลงด้วยการกระจายประชาชาติไปทุกทิศของท้องฟ้า  {DA 241.3}        

โอ พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะเปิดสมบัติความจริงอันล้ำค่าแก่ชนชาติอิสราเอลมากเพียงไร!  แต่นี่เป็นสภาพตาบอดฝ่ายวิญญาณของพวกเขา จนเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความจริงอันเกี่ยวกับแผ่นดินของพระองค์แก่พวกเขา  พวกเขายึดลัทธิความเชื่อและพิธีกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์ไว้ในขณะที่ความจริงของสวรรค์รอให้พวกเขาเปิดรับอยู่  พวกเขาใช้เงินไปกับแกลบและเปลือกข้าวในขณะที่อาหารแห่งชีวิตอยู่แค่เอื้อม  ทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมค้นหาพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาด้วยความขยันขันแข็งเพื่อตรวจสอบดูว่าตนอยู่ในความเชื่อที่ผิดหรือไม่?  พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมกล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงรายละเอียดทั้งหมดของพันธกิจของพระคริสต์ และพระองค์ทรงอ้างจากคำพูดของผู้เผยพระวจนะครั้งแล้วครั้งเล่าและทรงประกาศว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”  หากพวกเขาค้นหาพระคัมภีร์ด้วยความจริงใจ นำทฤษฎีของพวกเขามาทดสอบด้วยพระคำของพระเจ้าแล้ว พระเยซูก็ไม่จำเป็นต้องกันแสงเพราะการไม่ยอมสำนึกผิด พระองค์ไม่จำเป็นต้องประกาศว่า “นี่แน่ะ นิเวศของพวกเจ้าจะถูกทอดทิ้ง’”  ลูกา 13 ข้อที่ 35  พวกเขาน่าจะคุ้นเคยกับหลักฐานของความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์และป้องกันเมืองอันน่าภาคภูมิใจของพวกเขาจากหายนะของการกลายเป็นซากปรักหักพังได้ แต่ความคิดของชาวยิวนั้นคับแคบลงเนื่องจากความดื้อรั้นที่ไร้เหตุผล  บทเรียนของพระคริสต์เปิดโปงลักษณะอุปนิสัยที่บกพร่องและเรียกร้องให้พวกเขากลับใจ  หากพวกเขายอมรับคำสอนของพระองค์ การกระทำของพวกเขาจะต้องเปลี่ยนและต้องสละทิ้งความหวังที่พวกเขาหวนแหนไว้  หากพวกเขาต้องการให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ประทานเกียรติให้แก่พวกเขา พวกเขาจะต้องยอมสละเกียรติยศของมนุษย์ทิ้งไป  หากพวกเขาเชื่อฟังพระดำรัสของรับบีองค์ใหม่พระองค์นี้แล้ว พวกเขาจะต้องขัดแย้งกับความเห็นของนักคิดและครูยิ่งใหญ่ของยุคนั้น  {DA 241.4}                    

ความจริงไม่เป็นที่นิยมในสมัยของพระคริสต์  ไม่เป็นที่นิยมกันในยุคของเรา  ไม่เป็นที่นิยมตั้งแต่ครั้งแรกที่ซาตานทำให้มนุษย์ไม่พอใจในความจริงด้วยการเสนอเรื่องเล่าโกหกที่นำไปสู่การยกตนเองขึ้น  ทุกวันนี้เราก็เผชิญกับทฤษฎีและหลักคำสอนที่ไม่มีรากฐานในพระคำของพระเจ้ามิใช่หรือ?  มนุษย์ยึดหลักคำสอนเหล่านั้นไว้แน่นเหมือนชาวยิวยึดขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขา  {DA 242.1}                

ผู้นำชาวยิวเต็มไปด้วยความยโสโอหังฝ่ายจิตวิญญาณ  ความปรารถนาของพวกเขาในการเชิดชูตนเองแสดงออกมาแม้ในพิธีกรรมของพระวิหาร  พวกเขาใฝ่หาตำแหน่งสูงที่สุดในธรรมศาลา  พวกเขาชื่นชอบให้คนในตลาดคารวะและปลื้มปิติกับยศตำแหน่งนำหน้าชื่อที่ดังออกมาจากริมฝีปากของมนุษย์  เมื่อความเลื่อมใสที่แท้จริงลดน้อยถอยลง พวกเขาก็หวงแหนประเพณีและพิธีกรรมมากยิ่งขึ้น  {DA 242.2}                

เนื่องจากความเข้าใจของพวกเขาถูกอคติที่เห็นแก่ตัวทำให้มืดมัวไป  พวกเขามองไม่เห็นการสานเข้าเป็นหนึ่งของอำนาจในพระดำรัสของพระคริสต์กับชีวิตอันถ่อมตนของพระองค์  พวกเขาไม่ได้ชื่นชอบความจริงที่ว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงทำได้โดยปราศจากการแสดงออกอย่างโอ้อวดได้  ความยากจนของพระเจ้ามนุษย์พระองค์นี้ดูประหนึ่งว่าไม่สอดคล้องกับการทรงอ้างความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์เลย  พวกเขาสงสัยว่าหากพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงอ้างแล้ว ทำไม่พระองค์จึงไม่โอ้อวด?  หากพระองค์ทรงพึงพอพระทัยกับการไม่มีกองทหารติดอาวุธ ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรต่อไป?  อำนาจและเกียรติยศที่พวกเขาคิดหวังมานานจะนำประเทศทั้งหลายให้มาอยู่ภายใต้อำนาจของชาวยิวได้อย่างไร?  ปุโรหิตไม่เคยสอนว่าประเทศอิสราเอลจะต้องปกครองทั่วทั้งโลกหรือ? และเป็นไปได้หรือไม่ที่อาจารย์ยิ่งใหญ่ทางศาสนาจะเป็นฝ่ายผิด?  {DA 242.3}                

แต่ชาวยิวปฏิเสธพระเยซูไม่ใช่เพียงเพราะพระองค์ไม่ทรงสำแดงออกอย่างโอ้อวดให้เห็นในชีวิตเท่านั้น  พระองค์ทรงเป็นจุดศูนย์รวมของความบริสุทธิ์และพวกเขาเป็นคนไม่บริสุทธิ์  พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับมนุษย์ในฐานะแบบอย่างของความชื่อตรงที่ไร้ตำหนิ  ชีวิตไร้ตำหนิส่องสว่างลงบนหัวใจของพวกเขา  ความจริงใจของพระองค์เปิดโปงความไม่จริงใจของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าของความเคร่งศาสนาที่เสแสร้งของพวกเขาและทำให้พวกเขาค้นพบความชั่วที่มีคุณลักษณะอันน่ารังเกียจ  แสงสว่างเช่นนี้พวกเขาไม่ต้อนรับ  {DA 243.1}             

หากพระคริสต์ทรงเอาใจใส่พวกฟาริสี และสรรเสริญเยินยอความรู้และความเคร่งครัดศาสนาของพวกเขาแล้ว พวกเขาคงจะต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชม  แต่เมื่อพระองค์ตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ว่าเป็นแหล่งของการกระจายความเมตตาแก่มวลมนุษย์ พระองค์ทรงกำลังเสนอด้านหนึ่งของศาสนาที่พวกเขายอมรับไม่ได้  แบบอย่างและคำสอนของพวกเขาไม่เคยที่จะทำให้การรับใช้พระเจ้าเป็นที่ปรารถนา  เมื่อพวกเขาเห็นพระเยซูสนพระทัยผู้คนที่พวกเขาเกลียดชังและต้องการขับไล่ออกไปเสีย การนี้ปลุกปั่นหัวใจหยิ่งผยองที่เต็มไปด้วยตัณหาต่ำช้าอย่างเลวทรามที่สุด  แม้พวกเขาจะโอ้อวดว่าภายใต้ “สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์”  (วิวรณ์ 5 ข้อที่ 5) ชนชาติอิสราเอลควรได้รับการเชิดชูให้เหนือกว่าประเทศทั้งปวง แต่พวกเขาทนรับความผิดหวังของความหวังอันทะเยอทะยานเช่นนี้ได้ดีกว่าที่พวกเขาจะยอมทนรับคำตำหนิของพระคริสต์ในเรื่องบาปของพวกเขาและการตำหนิที่พวกเขารู้สึกเนื่องจากอยู่เบื้องพระพักตร์อันบริสุทธิ์ของพระองค์  {DA 243.2}                     

***********