บทที่ 39
“พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 14 ข้อที่ 13-21; มาระโก 6 ข้อที่ 32-44;
ลูกา 9 ข้อที่ 10-17; ยอห์น 6 ข้อที่ 1-13
ลูกา 9 ข้อที่ 10-17; ยอห์น 6 ข้อที่ 1-13
พระคริสต์เสด็จพร้อมสาวกของพระองค์ไปพักในสถานที่เงียบสงบ แต่ช่วงเวลาแห่งความเงียบอย่างสงบสุขต้องยุติลง สาวกทั้งหลายคิดว่าพวกเขาได้หยุดพักจากการทำงานโดยไม่มีใครจะมารบกวนอีกต่อไป แต่ทันใดเมื่อมหาชนคิดถึงพระอาจารย์จากพระเจ้า พวกเขาต่างถามกันว่า "พระองค์อยู่ที่ไหน" มีบางคนในหมู่พวกเขาต่างคอยสังเกตว่าพระคริสต์และสาวกของพระองค์มุ่งหน้าไปทิศทางใด หลายคนเดินเท้าเพื่อไปร่วมกับพวกเขา ในขณะที่อีกหลายคนลงเรือข้ามฟากตามไป เทศกาลปัสกาใกล้เข้ามาแล้วและกลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มก็มารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้าพระเยซู ด้วยคนจำนวนมากมารวมตัวกันจนกระทั่งมีผู้ชายห้าพันคนโดยไม่นับพวกผู้หญิงและเด็ก ก่อนที่พระคริสต์จะมาถึงฝั่ง ฝูงชนขนาดใหญ่รอคอยพระองค์อยู่แล้ว แต่พระองค์เสด็จขึ้นฝั่งโดยไม่มีใครเห็นและได้ใช้เวลาเล็กน้อยอยู่ร่วมกับสาวก {DA 364.1}
จากบนไหล่เขาพระองค์ทรงมองดูมหาชนที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา และพระหทัยของพระองค์ปั่นป่วนด้วยความเห็นใจ พระองค์ทรงถูกขัดจังหวะและการพักผ่อนถูกช่วงชิงไปแต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงหงุดหงิด พระองค์ทรงมองเห็นความจำเป็นอันยิ่งใหญ่ที่เรียกร้องความสนใจของพระองค์ในขณะที่ทรงเฝ้าดูประชาชนที่กำลังมาและจะยังมีมามากขึ้นอีก พระองค์ "ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” พระองค์เสด็จออกไปจากสถานที่พักผ่อนของพระองค์ และทรงพบสถานที่แห่งหนึ่งที่เหมาะกับการรับใช้พวกเขา พวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือใดจากปุโรหิตและผู้ปกครอง แต่น้ำธำรงชีวิตที่บำบัดรักษาโรคได้หลั่งไหลออกมาจากพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงสอนมหาชนถึงทางแห่งความรอดบาป {DA 364.2}
ประชาชนทั้งหลายสดับฟังถ้อยคำแห่งความเมตตาที่ไหลออกมาอย่างไม่จำกัดจากพระโอษฐ์ของพระบุตรของพระเจ้า พวกเขาได้ยินถ้อยคำแห่งพระคุณ เรียบง่ายและธรรมดามากจนแทบจะเหมือนกับยารักษาโรคในกิเลอาดสำหรับจิตวิญญาณ การรักษาด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้านำความชื่นชมยินดีและชีวิตมาสู่ผู้คนที่กำลังจะตายและนำความผ่อนคลายและกำลังวังชามาให้แก่คนที่เจ็บป่วย วันนั้นเป็นเหมือนกับสวรรค์อยู่บนโลก และพวกเขาไม่รับรู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่พวกเขาไม่ได้รับประทานอาหารใดเลย {DA 365.1}
เวลาผ่านไปแล้วทั้งวัน ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก แต่กระนั้นประชาชนก็ยังคงวนเวียนกันอยู่ในบริเวณนั้น พระเยซูทรงตรากตรำทำงานตลอดทั้งวันโดยไม่ได้เสวยพระกระยาหารหรือพักผ่อน พระพักตร์ของพระองค์ซีดเซียวจากความเหน็ดเหนื่อยและความหิว และเหล่าสาวกวิงวอนขอให้พระองค์หยุดพักจากงานตรากตรำ แต่พระองค์ไม่อาจถอนตัวไปจากฝูงชนที่ออกันเข้ามาหาพระองค์ได้ {DA 365.2}
ในที่สุดพวกสาวกก็เข้ามาเฝ้าพระองค์เพื่ออ้อนวอนให้คนทั้งหลายกลับไปเสียเพื่อเห็นแก่พวกเขากันเอง หลายคนมาจากที่ไกลและไม่ได้รับประทานอาหารเลยตั้งแต่เช้า พวกเขาอาจไปหาซื้ออาหารได้จากในเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ แต่พระเยซูตรัสว่า "พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด" แล้วจึงหันไปหาฟีลิปถามว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?" พระองค์ตรัสเพื่อทดสอบความเชื่อของสาวก ฟีลิปมองเห็นแต่หัวดำๆ สุดสายตาของเขา และคิดในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะจัดหาอาหารเพื่อให้มหาชนขนาดนี้รับประทานอิ่มได้ เขาจึงตอบว่าสองร้อยเดนาริอันก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขาแบ่งกินกันคนละเล็กน้อย พระเยซูทรงถามว่าในชนกลุ่มนี้มีอาหารมากแค่ไหน "ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่ง” อันดรูว์กล่าว “มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?” พระเยซูทรงรับสั่งให้นำอาหารมาให้พระองค์ จากนั้นพระองค์ทรงสั่งให้สาวกจัดประชาชนให้นั่งลงกับพื้นหญ้าเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 50 หรือ 100 คน เพื่อความเป็นระเบียบและคนทั้งหมดจะได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่าพระองค์กำลังจะประกอบกิจอันใด เมื่อจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว พระเยซูก็ทรงรับอาหารมาและ "ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ และขอพระพร แล้วทรงหักขนมปังส่งให้พวกสาวก พวกสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง" "ทุกคนจึงได้กินจนอิ่ม ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้น พวกเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม" {DA 365.3}
พระองค์ผู้ทรงสอนประชาชนถึงแนวทางที่จะได้มาซึ่งสันติสุขและความสุขทรงสนพระทัยในความจำเป็นทางโลกของพวกเขาเช่นเดียวกับทางฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขาด้วย ประชาชนต่างก็อิดโรยและสลบไสล มีแม่ที่อุ้มทารกน้อยในอ้อมแขนของพวกเธอและเด็กตัวน้อยๆ ยึดเกาะกระโปรงของแม่ไว้แน่น หลายคนยืนอยู่นานนับชั่วโมง พวกเขาสนใจพระดำรัสของพระคริสต์อย่างมากยิ่งจนไม่คิดถึงการนั่งลง และฝูงชนก็แออัดมากจนอาจมีอันตรายจากการเหยียบกันเองได้ พระเยซูประทานโอกาสให้พวกเขาพักผ่อนและทรงรับสั่งให้นั่งลง ที่นั่นมีหญ้าขึ้นมากและทุกคนพักผ่อนได้อย่างสบาย {DA 365.4}
พระคริสต์ไม่เคยทำการอัศจรรย์นอกจากเพื่อจัดหาสิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริง และทุกการอัศจรรย์ล้วนมีคุณประโยชน์เพื่อนำประชาชนไปยังต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งมีใบเพื่อรักษาประชาชาติ อาหารเรียบง่ายที่ส่งผ่านมือของสาวกทั้งหลายนั้นบรรจุคำสั่งสอนล้ำค่าที่สมบูรณ์แบบ เป็นมื้ออาหารอย่างสมถะอันเรียบง่ายที่ทรงจัดเตรียมให้แก่พวกเขา ปลาและขนมปังข้าวบาร์เลย์เป็นอาหารประจำวันของชาวประมงรอบทะเลสาบกาลิลี พระคริสต์ทรงจัดวางอาหารอันโอชะต่อหน้าประชาชนได้ แต่อาหารที่ปรุงเพียงเพื่อสนองความอยากคงไม่สื่อบทเรียนใดที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พระคริสต์ทรงใช้บทเรียนนี้สอนพวกเขาว่าอาหารธรรมชาติที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้แก่มนุษย์นั้นถูกบิดเบือนไปแล้ว และมนุษย์ไม่มีทางชื่นชอบงานเลี้ยงหรูหราที่ถูกจัดเตรียมขึ้นเพื่อสนองรสชาติอาหารที่ถูกบิดเบือนเมื่อเทียบกับคนกลุ่มนี้ที่ชื่นชอบการพักผ่อนและอาหารเรียบง่ายที่พระคริสต์ทรงจัดเตรียมไว้ในสถานที่ซึ่งห่างไกลจากที่อยู่อาศัยของมนุษย์ {DA 366.1}
หากมนุษย์ในปัจจุบันมีนิสัยที่เรียบง่ายและดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกฎของธรรมชาติเหมือนเช่นอาดัมและเอวาในสมัยแรกเริ่มแล้ว จะมีเสบียงอาหารที่อุดมสมบูรณ์สำหรับความต้องการของครอบครัวมนุษย์ ความขัดสนในจินตนาการจะมีน้อยลงและโอกาสที่จะทำงานในวิถีทางของพระเจ้าจะมีมากขึ้น แต่ความเห็นแก่ตัวและการหลงระเริงไปกับรสชาติที่ผิดธรรมชาติได้นำบาปและความทุกข์ยากมาสู่โลกที่เหลือเฟือในด้านหนึ่งแต่ขัดสนในอีกด้านหนึ่ง {DA 367.1}
พระเยซูไม่ทรงลงแรงดึงดูดประชาชนให้เข้ามาหาพระองค์ด้วยการตอบสนองใจที่ปรารถนาความหรูหราฟุ่มเฟือย สำหรับฝูงชนขนาดใหญ่ที่เหนื่อยล้าและหิวโหยมาตลอดวันอันน่าตื่นเต้นและยาวนานแล้วนั้น อาหารเรียบง่ายที่พระองค์ประทานย้ำเตือนพวกเขาไม่ใช่ถึงความมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระองค์เท่านั้นแต่ในความมั่นใจของการทรงดูแลเอาใจใส่อันอ่อนโยนสำหรับความต้องการทั่วไปในชีวิตที่พระองค์ทรงมีให้แก่พวกเขาด้วย พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงเคยสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่าจะประทานความฟุ่มเฟือยหรูหราทางโลกให้แก่พวกเขา อาหารของพวกเขาอาจจะธรรมดาและแม้กระทั่งมีน้อย ชะตาชีวิตของพวกเขาอาจถูกห้อมล้อมด้วยความยากจน แต่พระวจนะของพระองค์สัญญาไว้ว่าความต้องการของพวกเขาจะได้รับการเติมเต็ม และพระองค์ทรงสัญญาสิ่งที่ดีกว่าสิ่งดีๆ อื่นใด ทางโลก นั่นคือความปลอบประโลมจากการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์เอง {DA 367.2}
ด้วยการเลี้ยงประชาชนห้าพันคนนั้น พระเยซูทรงยกม่านกั้นโลกธรรมชาติออกไปและเปิดเผยให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจประกอบกิจอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อเกิดผลดีแก่พวกเรา พระเจ้าทรงประกอบการอัศจรรย์อยู่ทุกวันจากผลผลิตของการเก็บเกี่ยวของพื้นแผ่นดิน โดยผ่านสื่อตัวแทนของธรรมชาติ พระราชกิจอย่างเดียวกันก็เกิดขึ้นอีกเหมือนกับที่เกิดขึ้นไปแล้วในการเลี้ยงมหาชน มนุษย์เตรียมดินและหว่านเมล็ดพืช แต่ชีวิตจากพระเจ้าที่ทำให้เมล็ดเริ่มงอกแตกหน่อ ฝนและอากาศและแสงแดดของพระเจ้าที่ทำให้เกิด "ลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง" มาระโก 4 ข้อที่ 28 พระเจ้าเองทรงเป็นผู้ประทานอาหารที่ได้จากการเก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งนาเพื่อเลี้ยงคนนับล้านอยู่ทุกวัน มนุษย์ได้รับการทรงเรียกให้ร่วมมือกับพระเจ้าในการดูแลธัญพืชและจัดเตรียมก้อนขนมปัง และเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงมองไม่เห็นสื่อตัวแทนของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ถวายพระสิริแด่พระเจ้าที่เหมาะสมกับพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ อำนาจของพระองค์ที่ประกอบกิจอยู่นั้นพวกเขาลงความเห็นว่าเป็นการกระทำจากธรรมชาติหรือสื่อเครื่องมือของมนุษย์ พวกเขาสรรเสริญมนุษย์แทนพระเจ้า และของประทานอันทรงพระคุณของพระองค์ถูกบิดเบือนนำไปใช้อย่างเห็นแก่ตัว และทำให้เกิดการสาปแช่งแทนคำอำนวยพร พระเจ้าทรงแสวงหาหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดนี้ พระองค์ทรงปรารถนาให้ประสาทสัมผัสที่เซื่องซึมของเราฟื้นตื่นขึ้นใหม่เพื่อเข้าใจพระเมตตากรุณาของพระองค์และถวายพระสิริแด่พระองค์สำหรับอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาให้เรายอมรับและมองเห็นพระองค์ในของประทานเหล่านี้ เพื่อให้ของประทานเป็นพระพรแก่เราตามที่ทรงมุ่งหมายไว้ เพื่อให้เป้าหมายนี้สำเร็จ พระคริสต์จึงทรงทำการอัศจรรย์นี้ {DA 367.3}
หลังจากที่พระเยซูทรงเลี้ยงมหาชนจนอิ่มแล้ว ก็ยังมีอาหารเหลืออยู่อย่างมากมาย แต่พระองค์ผู้ทรงมีแหล่งทรัพยากรแห่งฤทธิ์อำนาจทั้งหมดอย่างไม่จำกัดในพระองค์ตรัสบัญชาว่า "จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น" พระดำรัสเหล่านี้มีความหมายมากกว่าการเอาขนมปังเก็บลงตะกร้า มันเป็นบทเรียนทวีคูณ จะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งใดสิ้นเปลืองไป เราต้องไม่ปล่อยให้ความได้เปรียบทางโลกหลุดมือไป เราต้องไม่ละเลยสิ่งใดที่ดูเหมือนว่าให้ประโยชน์แก่มนุษย์ จงรวบรวมทุกสิ่งที่จะบรรเทาความต้องการของผู้ที่หิวโหยในโลกได้ และจะต้องเอาใจใส่อย่างเดียวกันในเรื่องทางจิตวิญญาณด้วย เมื่อตะกร้าเศษอาหารถูกรวบรวมเข้ามาแล้ว ประชาชนต่างก็คิดถึงมิตรสหายที่บ้าน พวกเขาต้องการแบ่งปันขนมปังที่พระคริสต์ทรงอวยพระพรแล้ว ของในตะกร้าถูกแบ่งให้กับฝูงชนที่อยากได้และถูกนำออกไปทั่วแดนดินรอบทิศ เช่นเดียวกันทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงจะต้องแบ่งปันอาหารที่เสด็จมาจากสวรรค์ให้แก่คนอื่นเพื่อจิตวิญญาณที่หิวกระหายจะได้รับความพึงพอใจ พวกเขาต้องกล่าวซ้ำถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ในเรื่องการอัศจรรย์ของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดจะต้องสูญเสียไป ไม่มีคำเดียวที่เกี่ยวข้องกับความรอดนิรันดร์จะถูกทิ้งลงกับพื้นอย่างไร้ประโยชน์ {DA 368.1}
การอัศจรรย์เรื่องขนมปังสอนบทเรียนของการพึ่งพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ทรงเลี้ยงคนห้าพันนั้น พระองค์ไม่ทรงมีอาหารอยู่ใกล้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ไม่ทรงมีสิ่งใดที่จะรับสั่ง ณ ที่แห่งนี้ พระองค์อยู่ท่ามกลางห้าพันคนในถิ่นทุรกันดารโดยไม่นับสตรีและเด็ก พระองค์ไม่ได้เชิญมหาชนมาติดตามพระองค์ หรือไม่ได้มีพระบัญชาสั่ง พวกเขาเข้ามาโดยไม่ได้รับคำเชิญ แต่พระองค์ทรงทราบว่าหลังจากที่พวกเขาฟังพระดำรัสสอนของพระองค์เป็นเวลานานพวกเขาก็จะหิวและเป็นลม เพราะพระองค์ทรงร่วมเป็นหนึ่งกับพวกเขาในเรื่องความต้องการอาหาร พวกเขาอยู่ห่างไกลบ้านและยามค่ำคืนกำลังคืบคลานเข้ามา หลายคนไม่มีเงินซื้ออาหาร พระผู้ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดารเพราะเห็นแก่พวกเขาจะไม่ยอมให้คนหิวอาหารกลับบ้าน พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้พระเยซูอยู่ตรงนั้น และพระองค์ทรงพึ่งพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์เพื่อทรงจัดหาวิธีบรรเทาความขัดสน {DA 368.2}
และเมื่อตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์คับขัน เราต้องหวังพึ่งในพระเจ้า เราต้องใช้สติปัญญาและวิจารณญาณในทุกการกระทำของชีวิต เพื่อเราจะไม่ก้าวไปอย่างไร้สติจนนำตัวเราเองเข้าไปสู่การทดลอง เราต้องไม่ดิ่งลงไปในความยากลำบากโดยละเลยวิธีการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้และใช้ความสามารถที่พระองค์ประทานแก่เราในทางที่ผิด คนงานของพระคริสต์ต้องเชื่อฟังคำสอนของพระองค์โดยไม่สงสัย งานที่ทำเป็นของพระเจ้าและหากเราจะทำเพื่อให้เป็นพระพรแก่ผู้อื่นแล้ว เราต้องปฏิบัติตามแผนของพระองค์ จะต้องไม่เอาตนเป็นที่ตั้ง อัตตารับเกียรติใดๆ ไม่ได้ หากเราวางแผนตามแนวคิดของเราเอง พระเจ้าจะทรงปล่อยให้เราอยู่ในความผิดพลาดของเรา แต่ถ้าเราทำตามคำชี้แนะของพระองค์แล้วถูกนำเข้าไปสู่สถานการณ์คับขัน พระองค์จะทรงกู้เราออกมา เราต้องไม่ยอมแพ้เมื่อตกอยู่ในความท้อแท้ใจ แต่ในทุกกรณีฉุกเฉินเราต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ผู้ทรงมีทรัพยากรอันไม่จำกัดอยู่ใต้พระบัญชาของพระองค์ บ่อยครั้งเราอาจจะถูกห้อมล้อมด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบากหลังจากนั้นเราต้องพึ่งพระเจ้าด้วยความไว้วางใจอย่างเต็มที่ พระองค์จะรักษาทุกชีวิตที่ตกอยู่ในความยุ่งยากใจจากการพยายามที่จะดำเนินตามทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า {DA 369.1}
พระคริสต์ทรงเชิญชวนเราผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่าให้ "แบ่งอาหารของเจ้ากับคนหิว" และ "ทำให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มเอิบ" "เมื่อเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้" และ "นำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้าน” อิสยาห์ 58 ข้อที่ 7-10 พระองค์ทรงบัญชาว่า "พวกท่านจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" มาระโก 16 ข้อที่ 15 แต่บ่อยครั้งเพียงใดที่ใจของเราพ่ายแพ้ และความเชื่อล่มสลายได้ ในขณะที่เราเห็นถึงความต้องการอย่างมหาศาล และเงินทองที่เรามีในมือนั้นน้อยนิด เมื่อเรามองขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาตัวน้อยสองตัวเราก็อุทานขึ้นมาเหมือนอันดรูว์ว่า "จะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?” บ่อยครั้งที่เราลังเล ไม่เต็มใจที่จะถวายทั้งหมดที่เรามีและกลัวที่จะใช้จ่ายรวมถึงการจ่ายให้แก่คนอื่น แต่พระเยซูตรัสบัญชาพวกเราว่า "พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” พระบัญชานี้คือพระสัญญา และเบื้องหลังพระสัญญานี้คือพลังอำนาจเดียวกับที่เลี้ยงมหาชนที่ข้างทะเลสาบ {DA 369.2}
การกระทำของพระคริสต์ในการทรงจัดหาสิ่งจำเป็นทางกายให้แก่มหาชนที่หิวโหยนั้นมีบทเรียนทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้งสำหรับคนงานทั้งหมดของพระองค์รวมอยู่ด้วย พระคริสต์ทรงรับจากพระบิดา พระองค์ทรงส่งต่อให้สาวก พวกเขาส่งต่อให้กับฝูงชน และประชาชนส่งต่อต่อกันไป ดังนั้นทุกคนที่ติดสนิทกับพระคริสต์จะได้รับอาหารแห่งชีวิต ซึ่งเป็นอาหารแห่งสวรรค์เพื่อส่งต่อให้แก่ผู้อื่น {DA 369.3}
ด้วยการพึ่งพระเจ้าอย่างเต็มที่พระเยซูทรงหยิบขนมปังก้อนเล็กๆ ขึ้นมา และถึงแม้จะเป็นเพียงอาหารส่วนเล็กๆ สำหรับครอบครัวสาวกของพระองค์เอง พระองค์ก็ไม่ได้เชิญพวกเขารับประทาน แต่ทรงเริ่มแจกจ่ายให้แก่พวกเขา ทรงบัญชาให้พวกเขานำไปแจกประชาชน อาหารเพิ่มทวีขึ้นในพระหัตถ์ของพระองค์ และมือของเหล่าสาวกจะไม่มีวันว่างเปล่าเมื่อพวกเขายื่นมือไปหาพระคริสต์ผู้ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต คลังเก็บอาหารขนาดเล็กนี้มีเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด เมื่อความขัดสนของประชาชนได้รับการเติมเต็มอย่างเพียงพอแล้ว เศษอาหารถูกรวบเก็บเข้ามาแล้ว พระคริสต์กับสาวกของพระองค์จึงรับประทานอาหารอันทรงคุณที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงจัดเตรียมให้ด้วยกัน {DA 369.4}
สาวกเป็นช่องทางของการสื่อสารระหว่างพระคริสต์และประชาชน นี่ควรเป็นข้อหนุนใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับสาวกของพระองค์ในปัจจุบันนี้ด้วย พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นแหล่งที่มาของพละกำลังทั้งหมด สาวกของพระองค์จะต้องรับเสบียงของเขาที่ได้รับการจัดสรรจากพระองค์ ผู้ที่ฉลาดที่สุดและผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่ในจิตวิญญาณมากที่สุดจะแบ่งปันได้เฉพาะสิ่งที่พวกเขาได้รับมาเท่านั้น ด้วยตัวของพวกเขาเองพวกเขาไม่อาจจัดหาสิ่งที่จิตวิญญาณต้องการได้ เราให้ได้เฉพาะสิ่งที่เราได้รับจากพระคริสต์เท่านั้น และเราจะได้รับก็ต่อเมื่อเรามอบให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น ในขณะที่ยังคงแบ่งปันต่อไป เราก็จะยังคงได้รับต่อไป และยิ่งเราให้มากขึ้นเท่าไร เราก็จะยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงเชื่อ วางใจ รับและแบ่งปันได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา {DA 370.1}
พระราชกิจการสร้างอาณาจักรของพระคริสต์จะต้องมุ่งหน้าดำเนินต่อไป ถึงแม้เมื่อดูจากภายนอก งานนั้นจะเคลื่อนไปได้ช้าและดูเหมือนว่าความเป็นไปไม่ได้จะต่อต้านความก้าวหน้าก็ตาม พระราชกิจนี้เป็นของพระเจ้าและพระองค์จะทรงจัดหาวิธีและจะทรงส่งผู้ช่วยสาวกที่ซื่อสัตย์จริงใจผู้ซึ่งในมือเต็มล้นไปด้วยอาหารเพื่อฝูงชนที่อดอยาก พระเจ้าไม่ทรงเพิกเฉยผู้ที่ทำงานด้วยความรักเพื่อมอบพระวจนะแห่งชีวิตแก่จิตวิญญาณที่กำลังพินาศ ผู้ซึ่งในทางกลับกันได้ยื่นมือออกรับอาหารให้กับจิตวิญญาณอื่นๆ ที่หิวโหย {DA 370.2}
ในการทำงานของเราเพื่อพระเจ้านั้น เรายังพบกับภัยอันตรายของการพึ่งพาความสามารถของมนุษย์ที่มีพรสวรรค์และศักยภาพที่เขาทำได้มากเกินไป ด้วยเหตุนี้เราจึงมองไม่เห็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นนายช่างใหญ่ บ่อยครั้งเกินไปที่คนงานของพระคริสต์พลาดที่จะตระหนักถึงความรับผิดชอบส่วนตัวของตนเอง เขาตกอยู่ในภัยอันตรายของการยกภาระของตนไปให้กับองค์กรต่างๆ แทนที่จะวางใจพึ่งพาพระองค์ผู้ทรงเป็นแหล่งพละกำลังทั้งหมด ในงานของพระเจ้าการวางใจในปัญญามนุษย์หรือพึ่งในจำนวนคนเป็นความผิดอย่างมหันต์ การทำงานเพื่อพระคริสต์ให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้ขึ้นกับตัวเลขหรือตะลันต์มากเท่าพึ่งในความบริสุทธิ์ของจุดประสงค์รวมถึงความเรียบง่ายของความเชื่อที่จริงใจและความไว้วางใจ ความรับผิดชอบส่วนบุคคลเราจะต้องแบกรับเอาไว้ เราต้องรับหน้าที่ส่วนบุคคลมาทำเอง การลงแรงเป็นการส่วนตัวเพื่อคนที่ยังไม่รู้จักพระคริสต์เป็นสิ่งที่จะต้องทำเอง แทนที่จะโยกย้ายหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณไปให้คนที่คุณคิดว่าได้รับของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่าคุณ ขอให้คุณลงมือทำงานตามความสามารถของคุณ {DA 370.3}
เมื่อมีคำถามเกิดขึ้นในใจของคุณว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?” อย่าให้คำตอบของคุณเป็นการตอบสนองของความไม่เชื่อ เมื่อสาวกได้ยินคำสั่งของพระผู้ช่วยให้รอดว่า "พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” ความยุ่งยากต่างๆ ก็ผุดขึ้นในใจของพวกเขา พวกเขาถามขึ้นมาว่า พวกเราจะไปซื้ออาหารในหมู่บ้านกันใช่ไหม? ดังนั้นในปัจจุบันนี้เมื่อประชาชนขาดอาหารแห่งชีวิต คนของพระเจ้าจะตั้งคำถามว่า เราจะไปเชิญคนจากทางไกลให้มาและเลี้ยงพวกเขาใช่ไหม? แต่พระคริสต์ตรัสว่าอย่างไร? “ให้ทุกคนนั่งลงเถิด” และพระองค์ทรงเลี้ยงพวกเขาที่นั่น ดังนั้นเมื่อจิตวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือรายล้อมอยู่รอบข้างคุณ ให้คุณมั่นใจว่าพระคริสต์สถิตอยู่ที่นั่น จงทูลกับพระองค์ด้วยความจริงใจ จงนำขนมปังบาร์เลย์ของคุณเองไปถวายพระเยซู {DA 370.4}
วิธีที่เรามีและถือครองอยู่ในมืออาจดูแล้วไม่เพียงพอสำหรับงาน แต่หากเราจะเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเชื่อคือเชื่อวางใจในอำนาจของพระเจ้าที่มีเพียงพอสำหรับทุกสิ่งแล้ว แหล่งทรัพยากรจะเปิดออกต่อหน้าต่อตาเรา หากงานนั้นมาจากพระเจ้า พระองค์เองจะทรงจัดเตรียมหนทางเพื่อความสำเร็จ พระองค์จะทรงตอบแทนการพึ่งพาอย่างซื่อสัตย์เรียบง่ายที่มีต่อพระองค์ สิ่งเล็กน้อยที่ถูกใช้อย่างชาญฉลาดและประหยัดมัธยัสถ์ในการรับใช้พระเจ้าแห่งสวรรค์จะมีเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ กิจกรรมของการแจกจ่าย ในพระหัตถ์ของพระคริสต์อาหารจำนวนเล็กน้อยยังคงไม่ลดน้อยลงจนกว่าประชาชนที่อดอยากจะรับประทานให้อิ่มอย่างเต็มที่ หากเราไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งที่มาของพลังทั้งหมดด้วยมือแห่งความเชื่อที่ยื่นออกไปเพื่อรับแล้ว เราก็จะได้รับการสนับสนุนในงานของเราถึงแม้จะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกคุกคามมากที่สุดก็ตาม และจะทรงทำให้เราสามารถแจกจ่ายอาหารแห่งชีวิตแก่ผู้อื่นได้ {DA 371.1}
พระยาห์เวห์ตรัสว่า "จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วย" "นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก. . . .และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างแก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วยตามที่เขียนไว้ว่า
‘เขาแจกจ่าย เขาให้แก่บรรดาคนยากจน
ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์’ ”
“และพระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่คนที่หว่าน และอาหารแก่คนที่กินก็จะประทานเมล็ดพืชแก่พวกท่าน และจะทรงเพิ่มพูนเมล็ดพืชของท่าน ทั้งจะทรงให้การเก็บเกี่ยวแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญขึ้นโดยทรงให้ท่านทั้งหลายมั่งคั่งขึ้นในทุกสิ่ง เพื่อบริจาคด้วยใจกว้างขวางอยู่เสมอ และจะทำให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้าผ่านเรา” ลูกา 6 ข้อที่ 38; 2 โครินธ์ 9 ข้อที่ 6-11 {DA 371.2}
***********