บทที่ 33

ใครเป็นพี่น้องของเรา?”

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 12 ข้อที่ 12-50; มาระโก 3 ข้อที่ 20-35


บุตรชายทั้งหลายของโจเซฟไม่มีความเห็นใจพระเยซูในพันธกิจของพระองค์เลย  ข่าวสารที่มาถึงพวกเขาในเรื่องของชีวิตและการปฏิบัติกิจของพระองค์ทำให้พวกเขาตะลึงงันและผิดหวัง  พวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงอุทิศเวลาตลอดทั้งคืนอธิษฐาน และมหาชนขนาดใหญ่ห้อมล้อมพระองค์ไว้ตลอดทั้งวันและไม่มีเวลาให้กับตัวของพระองค์เองแม้กระทั่งการรับประทานอาหาร  มิตรสหายของพระองค์รู้ดีว่าพระองค์กำลังบั่นทอนสุขภาพของพระองค์เองด้วยการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน  พวกเขาไม่เข้าใจทัศนะของพระองค์ที่ปฏิบัติต่อพวกฟาริสีและบางคนก็กลัวว่าพระองค์จะไม่มีวันลงรอยกับพวกเขา  {DA 321.1}                 

พวกน้องๆ ของพระองค์ได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้แล้วและก็ยังได้ยินคำกล่าวหาของพวกฟาริสีว่าพระองค์ยังทรงขับผีมารด้วยอำนาจของซาตาน  พวกเขาสัมผัสได้อย่างจริงจังถึงการตำหนิที่มาถึงพวกเขาเองผ่านความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเยซู  และรู้ดีว่าพระดำรัสและพระราชกิจของพระองค์สร้างความปั่นป่วนเพียงไรและพวกเขาไม่เพียงแต่ตื่นตระหนกกับพระดำรัสอันห้าวหาญของพระองค์เท่านั้น แต่ยังไม่พอใจที่พระองค์ทรงประณามพวกธรรมาจารย์และฟาริสี  พวกเขาลงความเห็นว่าจะต้องโน้มน้าวและยับยั้งพระองค์เพื่อให้ยุติการทำงานในลักษณะเช่นนี้และจึงได้ชักชวนมารีย์ให้เข้าร่วมความคิดเช่นนี้กับพวกเขา โดยเชื่อว่าด้วยความรักที่พระองค์มีต่อเธอพวกเขาจะได้มีชัยชนะเหนือพระองค์เพื่อให้พระองค์เป็นคนที่รอบคอบมากกว่านี้  {DA 321.2}                  

ก่อนหน้านี้ไม่นาน พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ครั้งที่สองด้วยในการรักษาชายคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิง เขาตาบอดและเป็นใบ้ และพวกฟาริสีได้ย้ำข้อกล่าวหาว่า "คนนี้ขับผีออกโดยนายผี"  มัทธิว 9 ข้อที่ 34  พระคริสต์ตรัสอย่างตรงไปตรงมากับพวกเขาว่าการยกผลงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นผลงานของซาตาน พวกเขาได้ตัดตัวเองขาดจากน้ำพุแห่งพระพร  ผู้ที่ต่อต้านพระเยซูเองโดยไม่ตระหนักถึงพระลักษณะนิสัยของความเป็นพระเจ้าของพระองค์อาจได้รับการอภัย  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจนำพวกเขาให้เห็นความผิดพลาดและกลับใจในภายหลัง  ไม่ว่าจะเป็นบาปอะไรก็ตาม หากจิตวิญญาณกลับใจและเชื่อ พระโลหิตของพระคริสต์ก็จะชำระความผิดไป  แต่ผู้ที่ปฏิเสธการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำตัวของเขาเองไปวางไว้ในที่ที่การกลับใจและความเชื่อเข้ามาถึงเขาไม่ได้  โดยทางพระวิญญาณที่พระเจ้าทรงประกอบกิจในหัวใจ เมื่อมนุษย์ปฏิเสธพระวิญญาณด้วยความตั้งใจและประกาศว่าพระวิญญาณนั้นมาจากซาตาน พวกเขาจงใจตัดช่องทางที่พระเจ้าจะสื่อกับพวกเขา  เมื่อท้ายที่สุดแล้ว พวกเขายังปฏิเสธพระวิญญาณ พระเจ้าก็จะทรงประกอบกิจอันใดเพื่อจิตวิญญาณดวงนั้นได้อีกต่อไป  {DA 321.3}          

พวกฟาริสีที่พระเยซูตรัสคำเตือนนี้ ก็ไม่ได้เชื่อข้อกล่าวหาที่พวกเขาเอามาใส่ให้กับพระองค์  ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติสักคนเดียวในเวลานั้นที่ไม่ได้รู้สึกว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงโน้มน้าวชักนำพวกเขาอยู่  ในใจของพวกเขาเองพวกเขาเองพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระวิญญาณที่ประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ได้รับการทรงเจิมของอิสราเอล และอ้อนวอนให้พวกเปิดตัวยอมรับให้เป็นสาวกของพระองค์  ภายใต้แสงของเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขาตระหนักได้ถึงความไม่บริสุทธิ์ของพวกเขาและปรารถนาความชอบธรรมที่พวกเขาไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้  แต่หลังจากที่พวกเขาปฏิเสธพระองค์แล้ว การรับพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์เป็นเรื่องที่อับอายเกินไป  เมื่อได้ก้าวย่างเท้าลงไปในเส้นทางแห่งความไม่เชื่อแล้ว พวกเขาก็หยิ่งเกินกว่าที่จะยอมรับความผิดพลาดของตน  และเพื่อหลีกเลี่ยงการยอมรับความจริง พวกเขาพยายามใช้ความรุนแรงอย่างสิ้นหวังที่จะโต้แย้งคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด หลักฐานแห่งอำนาจและความเมตตาของพระองค์ทำให้พวกเขาฉุนเฉียว  พวกเขาห้ามพระผู้ช่วยให้รอดจากการทำการอัศจรรย์ไม่ได้ พวกเขาสั่งห้ามการสอนของพระองค์ไม่ได้ แต่พวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยอำนาจของตนเพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ในทางที่ผิดและปลอมแปลงพระวจนะของพระองค์  พระวิญญาณแห่งการโน้มน้าวของพระเจ้าก็ยังคงติดตามพวกเขาอยู่  และพวกเขาต้องสร้างสิ่งกีดขวางมากมายเพื่อต้านทานอำนาจนี้  สื่อตัวแทนยิ่งใหญ่ทรงพลังที่สุดที่จะนำมาใช้ในหัวใจของมนุษย์ได้พยายามต่อสู้กับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมจำนน  {DA 322.1}  

พระเจ้าไม่ทรงบังตาของมนุษย์หรือทำให้ใจของพวกเขาแข็งกระด้างไป  พระองค์ประทานแสงสว่างให้พวกเขาเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดและนำพวกเขาไปในเส้นทางที่ปลอดภัย โดยการปฏิเสธแสงนี้เองที่ทำให้ตามืดบอดและหัวใจก็แข็งกระด้างไป   บ่อยครั้งกระบวนการดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและแทบที่จะรู้สึกไม่ได้  แสงสว่างเข้ามาสู่จิตวิญญาณโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ หรือโดยสื่อของพระวิญญาณโดยตรง  แต่เมื่อละเลยลำแสงเพียงลำแสงเดียว การรับรู้ทางจิตวิญญาณด้านชาไปเป็นบางส่วน และเมื่อแสงสว่างเปิดเผยครั้งที่สองก็จะมองเห็นชัดเจนได้น้อยลง ดังนั้นความมืดจึงเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งเป็นเวลาค่ำคืนในจิตวิญญาณ  ด้วยประการฉะนี้ ผู้นำชาวยิวจึงกลายเป็นเช่นนี้ไป   พวกเขาถูกชักชวนให้เชื่อว่ามีอำนาจของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระคริสต์ แต่เพื่อที่จะต่อต้านความจริงพวกเขายกผลงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับซาตาน  ในการทำเช่นนี้พวกเขาจงใจเลือกการหลอกลวง พวกเขายอมจำนนต่อซาตานและต่อแต่นี้ไปพวกเขาจึงถูกอำนาจของมันควบคุม  {DA 322.2}                 

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับคำเตือนของพระคริสต์ในเรื่องบาปที่ทำต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นคือคำเตือนเกี่ยวกับคำพูดที่ไร้สาระและชั่ว  คำพูดที่บ่งบอกถึงความในใจ “ปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ”  แต่คำพูดนั้นบ่งบอกมากกว่าลักษณะอุปนิสัย คำพูดมีอำนาจปฏิสัมพันธ์กับลักษณะอุปนิสัย  มนุษย์รับอิทธิพลจากคำพูดของตัวเขาเอง  บ่อยครั้งภายใต้ความหุนหันชั่ววูบที่ซาตานกระตุ้น พวกเขาพูดถึงความอิจฉาริษยาหรือความชั่วร้ายโดยแสดงออกถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เชื่อจริง แต่การแสดงออกนั้นตอบสนองต่อความคิด  พวกเขาถูกคำพูดของตัวเขาเองหลอกและเชื่อว่าเป็นจริงตามที่ซาตานยุยงให้พูด  เมื่อแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจใดแล้ว บ่อยครั้งพวกเขามักจะหยิ่งเกินกว่าที่จะถอนคำพูด และพวกเขาจะพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกจนกว่าพวกเขาจะมาถึงจุดที่เชื่อว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น  เป็นเรื่องอันตรายที่จะพูดคำสงสัย เป็นเรื่องอันตรายที่จะตั้งแง่สงสัยและตำหนิติเตียนแสงสว่างจากพระเจ้า  นิสัยของการตำหนิติเตียนอย่างเลินเล่อและไม่เคารพส่งผลต่อลักษณะอุปนิสัยคือส่งเสริมความไม่เคารพและการไม่เชื่อ  มีหลายคนที่ปล่อยตัวให้กับนิสัยนี้จนตกอยู่ในภัยอันตรายโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งพร้อมที่จะตำหนิติเตียนและปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูตรัสว่า "ส่วนเราบอกพวกท่านว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิดหรือถูกตัดสินลงโทษก็เพราะคำพูดของท่าน"  {DA 323.1}           

จากนั้นพระองค์ทรงเพิ่มคำเตือนแก่ผู้ที่ประทับใจในพระดำรัสของพระองค์และผู้ที่ฟังพระองค์ด้วยความยินดีแต่ยังไม่ยอมจำนนมอบถวายตนเองให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย  จิตวิญญาณจะถูกทำลายได้ไม่ใช่แค่จากการต่อต้านเท่านั้นแต่จากการละเลยด้วย "เมื่อผีโสโครกออกมาจากใครแล้ว" พระเยซูตรัส "มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบมันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปที่บ้านของข้า ที่ข้าจากมานั้น’ และเมื่อมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นว่าง ถูกปัดกวาดและจัดเป็นระเบียบ  มันจึงไปพาผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าตอนแรก  คนในยุคชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น" {DA 323.2}                  

ในสมัยของเราก็เหมือนเช่นในอดีตที่ดูเหมือนว่าอำนาจควบคุมของซาตานเหนือคนมากมายถูกทำลายไปชั่วขณะหนึ่ง โดยพระคุณของพระเจ้าพวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากวิญญาณชั่วที่ควบคุมอยู่เหนือจิตวิญญาณ  พวกเขาชื่นชมยินดีในความรักของพระเจ้า แต่เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ฟังพื้นหินในอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช พวกเขาไม่ได้อยู่ในความรักของพระองค์  พวกเขาไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้าทุกวันเพื่อให้พระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจ และเมื่อวิญญาณชั่วกลับมาอีกครั้งพร้อมกับ "ผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น" พวกเขาถูกอำนาจชั่วครอบงำจนหมดสิ้น  {DA 323.3}                

เมื่อจิตวิญญาณดวงหนึ่งยอมมอบถวายตนเองให้พระคริสต์ อำนาจใหม่อีกอำนาจหนึ่งจะทรงเข้าครอบครองหัวใจดวงใหม่นั้น  มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นซึ่งมนุษย์ไม่มีวันจะทำได้ด้วยตัวของเขาเอง  การประกอบกิจนี้เป็นพระราชกิจที่เหนือธรรมชาติโดยนำองค์ประกอบที่เหนือธรรมชาติมาสู่ธรรมชาติของมนุษย์  จิตวิญญาณที่ยอมจำนนต่อพระคริสต์จะเปลี่ยนเป็นป้อมปราการของพระองค์ เป็นป้อมปราการที่พระองค์ทรงครองอยู่ในโลกที่กบฏและพระองค์ทรงตั้งพระทัยว่าจะไม่ให้อำนาจอื่นใดนอกจากของพระองค์เองปรากฏในป้อมปราการนี้  ซาตานจู่โจมเข้าไปในจิตวิญญาณที่สื่อตัวแทนชาวสวรรค์รักษาและปกป้องไม่ได้  แต่หากเราไม่ยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของพระคริสต์เราก็จะถูกผู้ร้ายเข้าครอบงำ  เราต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจใดอำนาจหนึ่งในสองอำนาจยิ่งใหญ่นี้ที่แย่งชิงความเป็นใหญ่ในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  พวกเราไม่จำเป็นต้องจงใจเลือกรับใช้อาณาจักรแห่งความมืดเพื่อไปอยู่ภายใต้การปกครองของมัน  เราเพียงแค่ละเลยที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรแห่งความสว่างเท่านั้น  หากเราไม่ร่วมมือกับหน่วยงานของสวรรค์ ซาตานก็จะเข้าครอบครองหัวใจและจะยึดหัวใจนั้นไว้เป็นที่พำนักของมัน  เครื่องป้องกันความชั่วเดียวคือพระคริสต์ทรงร่วมสถิตในใจโดยความเชื่อในความชอบธรรมของพระองค์  หากเราไม่ติดสนิทกับพระเจ้าอย่างมีชีวิตชีวาแล้วเราจะไม่มีทางต่อต้านผลกระทบชั่วช้าที่เกิดจากการรักตนเอง การปล่อยตัวตามใจตน และการล่อลวงให้ทำบาปได้  เราอาจละทิ้งนิสัยเลวมากมายและเราอาจจะปลีกตัวออกไปจากซาตานได้อยู่ช่วงระยะหนึ่ง แต่หากไม่มีการเชื่อมต่ออันมีชีวิตกับพระเจ้าด้วยการยอมมอบถวายตัวเราเองให้กับพระองค์ในทุกๆ วินาทีแล้ว เราก็จะถูกครอบงำอีก  หากเราไม่ได้ทำความคุ้นเคยกับพระคริสต์เป็นการส่วนตัวและสื่อสารกับพระองค์อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของศัตรูและในที่สุดจะทำตามที่มันสั่ง  {DA 324.1}                  

"แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าตอนแรก" พระเยซูตรัส "คนในยุคชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น"  ไม่มีใครคนใดจะแข็งกระด้างเท่ากับผู้ที่ดูหมิ่นคำเชื้อเชิญแห่งความเมตตาและดูถูกเหยียดหยามพระวิญญาณแห่งพระคุณ  การแสดงออกถึงบาปที่ทำต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พบบ่อยที่สุดคือดูหมิ่นคำเชิญให้กลับใจอย่างไม่ลดละของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์  ทุกย่างก้าวในการปฏิเสธพระคริสต์คือก้าวที่นำไปสู่การปฏิเสธความรอด และไปสู่การทำบาปต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์  {DA 324.2}          

เมื่อประชาชนชาวยิวปฏิเสธพระคริสต์พวกเขาทำบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้ และด้วยการปฏิเสธคำเชิญแห่งพระเมตตาเราอาจทำผิดพลาดเช่นเดียวกัน  เราถวายการหมิ่นประมาทแด่พระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งชีวิตและทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธรรมศาลาของซาตานและต่อหน้าจักรวาลแห่งฟ้าสวรรค์เมื่อเราปฏิเสธที่จะฟังผู้สื่อสารที่ได้รับมอบหมายของพระองค์และหันไปฟังตัวแทนของซาตานแทน มันก็จะดึงจิตวิญญาณให้ออกห่างไปจากพระคริสต์  ตราบใดที่มีใครสักคนทำเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางพบความหวังหรือการอภัย และในที่สุดเขาก็จะหมดความอาลัยตายอยากที่จะคืนดีกับพระเจ้า  {DA 324.3}             

ขณะที่พระเยซูยังคงสอนประชาชนอยู่นั้น สาวกของพระองค์นำข่าวมาทูลว่ามารดาและพี่น้องของพระองค์คอยอยู่ข้างนอกและปรารถนาจะพบพระองค์  พระองค์ทรงทราบความในใจของพวกเขาและ "พระองค์จึงตรัสกับผู้ที่มาทูลนั้นว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?’  พระองค์ทรงชี้ไปทางสาวกทั้งหลายของพระองค์และตรัสว่า ‘นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’”  {DA 325.1}           

ทุกคนที่ต้องการต้อนรับพระคริสต์โดยความเชื่อต่างก็ผูกพันกับพระองค์ด้วยสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าความเป็นเครือญาติฝ่ายมนุษย์เสียอีก  พวกเขาจะร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์เหมือนที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดา  ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อและผู้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ มารดาของพระองค์จึงมีความสัมพันธ์กับพระองค์ในแบบที่ใกล้ชิดซึ่งช่วยไถ่เธอให้รอดได้มากกว่าความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพระองค์ตามธรรมชาติ  พี่น้องของพระองค์ไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดจากความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระองค์นอกจากว่าพวกเขาจะยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของพวกเขา  {DA 325.2}             

พระคริสต์จะทรงได้รับการสนับสนุนจากเครือญาติทางโลกของพระองค์มากเพียงไรหากพวกเขาเชื่อว่าพระองค์เสด็จมาจากสวรรค์ และร่วมมือกับพระองค์ในการทำงานรับใช้พระเจ้า!  ความไม่เชื่อของพวกเขาทอดเงาอยู่เหนือชีวิตของพระเยซู  เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของความขมขื่นของจอกแห่งความทุกข์ระทมที่พระองค์ทรงหลั่งเพื่อพวกเรา  {DA 325.3}             

ความเป็นปฏิปักษ์ที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของมนุษย์ที่ต่อต้านพระกิตติคุณนั้น พระบุตรของพระเจ้าทรงรับรู้ได้อย่างดีที่สุด และเป็นความเจ็บปวดที่สุดสำหรับพระองค์เพราะพบในบ้านของพระองค์เอง เพราะหัวใจของพระองค์เองทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและความรักและพระองค์ทรงชื่นชมความอ่อนโยนในความสัมพันธ์ของครอบครัว  พวกน้องๆ ของพระองค์ปรารถนาให้พระองค์ยอมรับความคิดของพวกเขา ทั้งๆ ที่แนวทางดังกล่าวไม่สอดคล้องกับพันธกิจอันสูงส่งของพระองค์เลยอย่างสิ้นเชิง  พวกเขามองว่าพระองค์ต้องรับคำปรึกษาจากพวกเขา  พวกเขาตัดสินพระองค์จากมุมมองของมนุษย์และคิดว่าหากพระองค์ตรัสเฉพาะสิ่งที่พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสียอมรับได้พระองค์ก็จะหลีกเลี่ยงการพิพาทที่พระดำรัสปลุกปั่นให้เกิดขึ้น  พวกเขาคิดว่าพระองค์ทรงเข้าข้างตัวพระองค์เองในการอ้างสิทธิอำนาจจากพระเจ้าและวางตนต่อหน้าพวกธรรมาจารย์ในฐานะผู้ตำหนิบาปของพวกเขา  พวกเขารู้ว่าพวกฟาริสีหาทางกล่าวหาพระองค์อยู๋และพวกเขารู้สึกว่าพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้แก่พวกฟาริสีอย่างเพียงพอแล้ว  {DA 326.1}           

ด้วยการใช้สายวัดอันสั้น พวกเขาไม่เข้าใจพันธกิจที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประกอบกิจให้สำเร็จ และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อพระองค์ในการทนทุกข์  คำพูดหยาบโลนและไม่ซาบซึ้งในพระคุณแสดงออกว่าพวกเขาไม่เข้าใจพระลักษณะนิสัยของพระองค์อย่างถ่องแท้ และมองไม่เห็นความเป็นพระเจ้าที่ผสานเข้ากันกับความเป็นมนุษย์  บ่อยครั้งพวกเขาจะเห็นว่าพระองค์ทรงเศร้าพระทัยอย่างมากแต่แทนที่จะปลอบโยนพระองค์ เจตนาและคำพูดของพวกเขากลับทำร้ายพระหทัยของพระองค์มากชึ้น  ธรรมชาติอันอ่อนไหวของพระองค์ถูกทรมาน ความตั้งใจของพระองค์ถูกเข้าใจผิด พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้เป็นที่เข้าใจ  {DA 326.2}

บ่อยครั้ง ที่น้องๆ ของพระองค์นำเสนอหลักปรัชญาของพวกฟาริสีซึ่งเก่าและโบราณมาก และทึกทักว่าพวกเขามีความสามารถสอนพระองค์ผู้ทรงเข้าใจความจริงและความลึกลับทั้งหมด  พวกเขาประณามพระองค์อย่างเสรีในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ  คำตำหนิของพวกเขายุยงให้พระองค์โต้เร็วและจิตวิญญาณของพระองค์ก็เหนื่อยล้าและเจ็บปวด  พวกเขาอ้างว่าตนเชื่อในพระเจ้าและคิดว่าพวกเขากำลังปกป้องและต่อสู้เพื่อเข้าข้างพระเจ้าในขณะที่พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกเขาในเนื้อหนังแต่พวกเขาหารู้จักพระองค์ไม่  {DA 326.3}                  

สิ่งเหล่านี้ทำให้เส้นทางในการดำเนินของพระองค์เต็มไปด้วยขวากหนาม  พระคริสต์ทรงเจ็บปวดมากเพียงไรจากความเข้าใจผิดในครอบครัวของพระองค์เอง จนทำให้พระองค์โล่งพระทัยที่จะไปในที่ที่ไม่มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น  มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่พระองค์ชื่นชอบที่จะไปเยือน นั่นคือ บ้านของลาซารัสและมารีย์และมารธา เพราะในบรรยากาศแห่งความศรัทธาและความรัก พระวิญญาณของพระองค์ได้พัก แต่กระนั้น ยังไม่มีใครในโลกที่เข้าใจพันธกิจของพระองค์หรือรับรู้ถึงภาระที่พระองค์ทรงแบกรับเพื่อมนุษยชาติ  บ่อยครั้งพระองค์ทรงพบความสำราญพระทัยอย่างโล่งอกเมื่ออยู่โดดเดี่ยวและสื่อสัมพันกับพระบิดาในสวรรค์  {DA 326.4}

ผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้ทนทุกข์เพื่อเห็นแก่พระคริสต์รวมทั้งผู้ซึ่งต้องทนกับความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจแม้ในบ้านของพวกเขาเองก็จะได้รับการปลอบประโลมจากความคิดที่ว่าพระเยซูทรงอดทนอดกลั้นอย่างเดียวกัน  พระองค์ทรงเห็นใจพวกเขา  พระองค์ทรงเสนอให้พวกเขาได้พบกับมิตรภาพในพระองค์และความสำราญในแบบเดียวกับที่ทรงได้รับเมื่อพระองค์ทรงสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา {DA 327.1}           

ผู้ที่รับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจะไม่ถูกทอดทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้าที่แบกรับความทุกข์ยากของชีวิตแต่เพียงลำพัง  พระองค์ทรงรับพวกเขาในฐานะสมาชิกของครอบครัวแห่งสวรรค์  พระองค์ทรงเชิญชวนให้พวกเขาเรียกพระบิดาของพระองค์ว่าพระบิดาของพวกเขา  พวกเขาเป็น "เด็กเล็กๆ " ของพระองค์ที่แนบชิดติดกับพระหทัยของพระเจ้า ผูกพันกับพระองค์ด้วยสายสัมพันธ์ที่อ่อนโยนและมั่นคงที่สุด  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความอ่อนโยนอย่างเหลือล้นเกินความรู้สึกของพ่อหรือแม่ที่มีต่อเราในขณะที่เราช่วยเหลือตัวเราเองไม่ได้ดุจดั่งพระเจ้าทรงอยู่เหนือมนุษย์  {DA 327.2}                  

ในเรื่องความสัมพันธ์ของพระคริสต์กับประชากรของพระองค์นั้น มีภาพประกอบหนึ่งที่สวยงามในธรรมบัญญัติที่ประทานให้ชนชาติอิสราเอล  เมื่อต้องประสบกับความยากจน ชาวฮีบรูคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้เสียมรดกไปและขายตัวเองไปเป็นทาสนั้น หน้าที่การไถ่ถอนเขาและมรดกของเขาตกไปอยู่กับญาติสนิทที่สุดของเขา โปรดดู เลวีนิติ 25 ข้อที่ 25, 47-49; นางรูธ 2 ข้อที่ 20  ดังนั้นพระราชกิจของการไถ่เราและมรดกของเราที่สูญเสียไปเพราะบาปจึงตกอยู่กับพระองค์ผู้ทรงเป็น "ญาติสนิท" ของเรา  เพราะการไถ่เรานี่แหละที่พระองค์เสด็จมาเป็นญาติสนิทของพวกเรา  พระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทรงใกล้ชิดกับเรามากยิ่งกว่าคุณพ่อ คุณแม่ พี่น้อง มิตรสหายหรือคนรัก  "อย่ากลัวเลย" พระองค์ตรัส "เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา"  "เพราะว่าเจ้ามีค่าในสายตาของเรา เจ้าได้รับเกียรติและเราเองรักเจ้า เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า และให้ชนทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า" อิสยาห์ 43 ข้อที่ 1, 4. {DA 327.3}

พระคริสต์ทรงรักชาวสวรรค์ที่ล้อมอยู่รอบพระบัลลังก์ของพระองค์ แต่อะไรจะอธิบายได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงรักเราเล่า?  เราเข้าใจไม่ได้ เราทราบได้แต่เพียงว่าเป็นเรื่องจริงในประสบการณ์ของเราเอง  และหากเรายึดความสัมพันธ์ทางญาติสนิทกับพระองค์แล้ว เราควรปฏิบัติต่อคนที่เป็นพี่น้องชายและหญิงของพระเจ้าของเราด้วยความอ่อนโยนเพียงไร!  เราไม่สมควรที่จะเร่งรีบที่จะยอมรับการอ้างความสัมพันธ์ให้เร็วขึ้นหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ไม่ควรหรือที่เราจะถวายพระเกียรติพระบิดาและให้เกียรติแก่ญาติสนิทของเรา?  {DA 327.4}

***********