บทที่ 31
คำเทศนาบนภูเขา
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 5; 6; 7
เป็นเรื่องไม่บ่อยนักที่พระคริสต์ทรงรวบรวมแต่เฉพาะสาวกของพระองค์เพื่อให้รับฟังพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกเฉพาะผู้ฟังที่เข้าใจทางแห่งชีวิตเท่านั้น การเข้าถึงมหาชนที่ขาดความรู้และหลงผิดเป็นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ประทานบทเรียนแห่งความจริงของพระองค์เพื่อให้บทเรียนเหล่านี้เข้าถึงจิตใจที่มืดมน พระองค์เองทรงเป็นพระเจ้าแห่งความจริง ทรงยืนด้วยเอวที่คาดไว้และพระหัตถ์ที่กางออกอยู่เสมอเพื่ออำนวยพระพร และด้วยพระดำรัสแห่งการตักเตือน การวิงวอนและการให้กำลังใจ พระองค์ทรงแสวงหาเพื่อยกระดับคนทั้งหลายที่เข้ามาเฝ้าพระองค์ {DA 298.1}
คำเทศนาบนภูเขาแม้จะประทานให้แก่สาวกโดยเฉพาะ แต่ก็ตรัสออกไปในขณะที่มหาชนฟังอยู่ด้วย หลังจากการแต่งตั้งอัครสาวกแล้ว พระเยซูเสด็จไปยังชายทะเลกับพวกเขา ในช่วงเวลาเช้าตรู่นั้นประชาชนเริ่มทยอยมารวมตัวกัน นอกจากฝูงชนที่มาจากเมืองต่างๆ ของแคว้นกาลิลีแล้ว ยังมีที่มาจากแคว้นยูเดีย แม้กระทั่งจากกรุงเยรูซาเล็ม เพอเรีย เดคาโปลิส อิดูเมอาเลยไปจนถึงทางตอนใต้ของยูเดีย และจากเมืองไทระและไซดอน ซึ่งเป็นเมืองของฟีนิเซียทางชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน “ผู้คนมากมายเมื่อได้ยินถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นก็มาหาพระองค์” พวกเขามา “เพื่อจะฟังพระองค์และให้พระองค์ทรงรักษาโรคของเขา. . . . ฤทธิ์เดชซ่านออกจากพระองค์และรักษาพวกเขาให้หายได้ทุกคน” มาระโก 3 ข้อที่ 8; ลูกา 6 ข้อที่ 17-19 {DA 298.2}
ชายหาดแคบๆ ไม่มีแม้ที่ยืนให้แก่ทุกคนที่ปรารถนาจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ พระเยซูจึงนำทางเสด็จกลับไปยังไหล่เขา เมื่อมาถึงพื้นที่ราบแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ร่มรื่นพอสำหรับการร่วมชุมนุมใหญ่ พระองค์จึงทรงนั่งลงบนพื้นหญ้า และสาวกและมหาชนก็ทำตามแบบอย่างของพระองค์ {DA 298.3}
สาวกมักนั่งล้อมรอบใกล้ชิดพระเยซูอยู่เสมอ ประชาชนเบียดเสียดเข้าประชิดพระองค์ตลอดเวลา แต่กระนั้นสาวกก็รู้ดีว่าจะต้องไม่ปล่อยให้ประชาชนมาผลักดันพวกตนให้ห่างออกจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขานั่งใกล้พระองค์เพื่อจะได้ไม่พลาดพระดำรัสสักคำเดียวของพระองค์ พวกเขาเป็นผู้ฟังที่ตั้งใจและกระตือรือร้นที่จะเข้าใจความจริงที่พวกเขาจะต้องนำออกไปประกาศยังทุกแดนดินและส่งต่อไปทุกยุค {DA 299.1}
ด้วยความรู้สึกว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่มากกว่าปกติกำลังจะเกิดขึ้น บัดนี้พวกเขาจึงพากันเข้าประชิดพระอาจารย์มากยิ่งขึ้น พวกเขาเชื่อว่าอาณาจักรของพระองค์กำลังจะถูกสถาปนาขึ้นในไม่ช้า และจากเหตุการณ์ในตอนเช้าพวกเขารวบรวมความเชื่อมั่นว่าจะมีคำประกาศบางอย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกของความคาดหวังเช่นนี้แพร่กระจายไปทั่วมหาชนด้วยเช่นกัน และความกระตือรือร้นที่แสดงออกบนสีหน้าเป็นหลักฐานของความสนใจอย่างลึกซึ้ง ขณะที่ผู้คนนั่งอยู่บนเนินเขาเขียวขจีเพื่อรอฟังพระดำรัสของพระอาจารย์ หัวใจของพวกเขารำพึงครุ่นคิดอยู่กับความรุ่งโรจน์อันไพบูลย์ของอนาคต พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีคอยเฝ้ารอวันที่พวกเขาจะมีอำนาจเหนือชาวโรมันที่พวกเขาเกลียดชัง และครอบครองความมั่งคั่งและความงดงามของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของโลก ชาวนาและชาวประมงผู้ยากไร้หวังว่าจะได้ยินคำรับรองว่าชีวิตที่เลวร้ายของพวกเขา อาหารที่ไม่เพียงพอ ชีวิตที่ลำบากและความกลัวการขัดสนจะเปลี่ยนเป็นคฤหาสน์ที่มีความอุดมสมบูรณ์และวันเวลาของความสุขสบาย พวกเขาหวังว่าพระคริสต์จะประทานอาภรณ์เลิศหรูราคาแพงมาทดแทนเสื้อผ้าเนื้อหยาบซึ่งเป็นผ้าคลุมในเวลากลางวันและผ้าห่มในยามค่ำคืน หัวใจทุกดวงตื่นเต้นด้วยความหวังอันภาคภูมิใจว่าในไม่ช้าชนชาติอิสราเอลจะได้รับเกียรติต่อหน้าชนชาติทั้งหลายในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและกรุงเยรูซาเล็มจะได้รับการยกย่องให้เป็นประมุขของอาณาจักรสากล {DA 299.2}
พระคริสต์ทรงทำให้ความหวังในความยิ่งใหญ่ทางโลกพังทลายไป ในคำเทศนาบนภูเขาพระองค์ทรงพยายามแก้ไขผลที่เกิดจากการศึกษาที่ผิดและทำให้ผู้ฟังของพระองค์มีแนวคิดถูกต้องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระองค์และพระลักษณะนิสัยของพระองค์ แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงวิจารณ์ข้อผิดพลาดของประชาชนโดยตรง พระองค์ทรงเห็นความทุกข์ยากของโลกอันเนื่องจากบาป แต่พระองค์ไม่ทรงพรรณนาอย่างชัดแจ้งต่อหน้าพวกเขาถึงความน่าเวทนาของพวกเขา พระองค์ทรงสอนพวกเขาถึงสิ่งที่ดีกว่าอย่างเทียบไม่ได้ซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน พระองค์ตรัสถึงเงื่อนไขของการเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้าโดยที่ไม่ได้ทรงโจมตีแนวคิดของพวกเขาในเรื่องนี้ ทรงปล่อยให้พวกเขาไปหาข้อสรุปลักษณะของอาณาจักรนี้เอง ความจริงที่พระองค์ทรงสอนมีความสำคัญต่อเราไม่น้อยไปกว่าต่อฝูงชนที่ติดตามพระองค์ในวันนั้น พวกเราจำเป็นต้องเรียนรู้หลักการพื้นฐานของอาณาจักรของพระเจ้าไม่น้อยไปกว่าพวกเขา {DA 299.3}
พระดำรัสแรกของพระคริสต์ที่ประทานให้แก่ประชาชนบนภูเขาคือพระคำแห่งพระพร พระองค์ตรัสว่าความสุขเป็นของผู้ซึ่งตระหนักถึงความยากจนขัดสนทางจิตวิญญาณของพวกเขาและตระหนักว่าต้องการการไถ่บาป ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศให้แก่คนยากจน ไม่ใช่ให้แก่ผู้ที่หยิ่งยโสทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นผู้ที่อ้างว่าตนร่ำรวยและไม่ต้องการสิ่งใด แต่เปิดเผยให้แก่ผู้มีวิญญาณจิตที่ถ่อมและสำนึกผิด มีน้ำพุเพียงแห่งเดียวที่เปิดไว้ให้แก่บาป เป็นน้ำพุสำหรับคนที่ขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ {DA 299.4}
คนที่มีใจหยิ่งผยองจะดิ้นรนลงแรงต่อสู้เพื่อให้ได้ความรอดจากบาป แต่ทั้งตำแหน่งแห่งชัยชนะของเราในสวรรค์และความเหมาะสมที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์นั้นจะได้มาจากความชอบธรรมของพระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อให้มนุษย์กลับคืนสู่สภาพปกติได้ตราบจนกว่าเขาจะถูกโน้มน้าวให้ยอมรับว่าตนเองอ่อนแอและขจัดการพึ่งพาตนเองออกไปจนหมด และยอมจำนนอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า จากนั้นเขาจึงจะได้รับของขวัญที่พระเจ้าทรงรอคอยที่จะประทานให้แก่เขา ไม่มีสิ่งใดจะถูกยับยั้งไปจากจิตวิญญาณที่ตระหนักถึงความต้องการของตัวเขาเอง เขาจะมีช่องทางอันไม่จำกัดที่จะเข้าถึงพระองค์ผู้ทรงดำรงด้วยความครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น “องค์ผู้สูงเด่นและสูงส่ง ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ทรงพระนามว่าบริสุทธิ์ ตรัสดังนี้ว่า ‘เราดำรงอยู่ในที่สูงและบริสุทธิ์และอยู่กับผู้สำนึกผิดและมีวิญญาณจิตที่ถ่อมเพื่อฟื้นฟูวิญญาณจิตของผู้ที่ถ่อมและฟื้นฟูใจของผู้สำนึกผิด’” อิสยาห์ 57 ข้อที่ 15 {DA 300.1}
“คนที่โศกเศร้า ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการหนุนใจ” โดยพระวจนะคำเหล่านี้พระคริสต์ไม่ได้ทรงสอนว่าการโศกเศร้าไว้ทุกข์มีอำนาจลบล้างความผิดของบาปด้วยตัวของมันเอง พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้มีการเสแสร้งถ่อมตนหรือตั้งใจแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา การโศกเศร้าไว้ทุกข์ที่พระองค์ตรัสมิใช่ประกอบด้วยความเศร้าโศกและการคร่ำครวญ ในขณะที่เราเสียใจเพราะบาป เราต้องชื่นชมยินดีในสิทธิพิเศษอันล้ำค่าที่ได้เป็นบุตรของพระเจ้า {DA 300.2}
บ่อยครั้งเราเสียใจเพราะการกระทำชั่วของเรานำผลที่ไม่น่าพึงพอใจมาสู่ตัวเราเอง แต่นี่ไม่ใช่การกลับใจ ความเสียใจต่อบาปอย่างแท้จริงเป็นผลจากการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณทรงเผยให้เห็นถึงหัวใจที่ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้พระผู้ช่วยให้รอดถูกดูหมิ่นและเสียพระทัยและทรงนำเราที่สำนึกผิดไปยังตีนกางเขน ทุกบาปที่ทำลงไปจะทำให้พระเยซูบาดเจ็บใหม่อีกครั้ง และในขณะที่เราเฝ้ามองพระองค์ที่เราแทง เราจะร้องไห้คร่ำครวญถึงบาปที่ได้นำความทุกข์ระทมมาสู่พระองค์ ความโศกเศร้าไว้ทุกข์เช่นนี้จะนำไปสู่การละทิ้งบาป {DA 300.3}
ชาวโลกคงจะตำหนิความเสียใจเช่นนี้ว่าเป็นความอ่อนแอ แต่นี่เป็นพลังที่ผูกมัดคนสำนึกผิดเข้ากับพระเจ้าผู้ทรงไร้ขอบเขตจำกัดด้วยห่วงเชื่อมที่ตัดให้ขาดไม่ได้ การเสียใจนี้แสดงให้เห็นว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังนำความดีงามที่สูญเสียไปเนื่องจากจิตใจแข็งกระด้างและการล่วงละเมิดให้กลับคืนมา น้ำตาแห่งการสำนึกผิดเป็นเพียงเม็ดฝนที่นำหน้ามาก่อนแสงสว่างแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ความเสียใจนี้ป่าวประกาศความสุขซึ่งจะเป็นน้ำพุอันมีชีวิตในจิตวิญญาณ “เพียงแต่ยอมรับความผิดของเจ้า ว่าเจ้าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” “เราจะไม่มองดูพวกเจ้าด้วยความโกรธ เพราะเรามีความรักมั่นคง พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” เยเรมีย์ 3 ข้อที่ 13, 12 “เพื่อจัดเตรียมให้กับพวกที่ไว้ทุกข์ในศิโยน” พระองค์ทรงกำหนด “ให้มงกุฎแทนขี้เถ้าแก่พวกเขา และให้น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่ท้อแท้” อิสยาห์ 61 ข้อที่ 3 {DA 300.4}
และสำหรับผู้โศกเศร้าจากการทดลองและความเสียใจก็ยังจะได้รับการปลอบประโลม ความขมขื่นที่เกิดจากความหดหู่เศร้าใจและความอัปยศอดสูดีกว่าการปล่อยตัวหลงระเริงไปกับบาป โดยความเจ็บปวดรวดร้าว พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราเห็นจุดด่างในอุปนิสัยของเรา เพื่อว่าโดยพระคุณเราจะเอาชนะความผิดพลาดของเราได้ ประวัติชีวิตที่เกี่ยวข้องกับตัวเราที่เราไม่เคยรู้จะถูกเปิดเผยให้เราเห็น และเมื่อการทดสอบมาถึงแล้ว เราจะยอมรับคำตำหนิว่ากล่าวและรับคำปรึกษาของพระเจ้าหรือไม่ เมื่อเราตกอยู่ในการทดลองเราจะต้องไม่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์และบ่น เราจะต้องไม่ขัดขืนหรือกังวลจนตัวเราเองหลุดออกไปจากพระหัตถ์ของพระคริสต์ เราต้องถ่อมจิตวิญญาณลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า หนทางของพระเจ้าจะดูมืดมัวสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะเห็นสิ่งต่างๆ ในแง่มุมที่ตนเองพึงพอใจ เป็นหนทางที่ดูแล้วมืดมนและไร้ความสุขต่อธรรมชาติมนุษย์ของเรา แต่วิถีของพระเจ้าเป็นหนทางแห่งความเมตตาและที่สุดปลายคือการช่วยให้รอด เอลียาห์ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรขณะอยู่ในทะเลทรายเมื่อท่านพูดว่าพอเสียทีกับชีวิตและอธิษฐานขอความตาย ด้วยพระเมตตาคุณ พระเจ้าไม่ทรงตอบรับคำทูลขอของเขา ยังมีงานใหญ่ที่เอลียาห์จะต้องทำและเมื่อเขาทำงานเสร็จแล้ว เขาจะไม่พินาศพร้อมกับความท้อแท้และความโดดเดี่ยวในถิ่นทุรกันดาร การลงไปยังผงคลีแห่งความตายไม่ได้มีไว้สำหรับเขา แต่เขากลับได้ขึ้นไปยังบัลลังก์เบื้องบนด้วยรัศมีภาพพร้อมกับขบวนรถม้า {DA 301.1}
พระวจนะของพระเจ้าสำหรับความเสียใจคือ “เราได้เห็นวิถีของเขาแล้ว แต่เราจะรักษาเขาให้หาย เราจะนำเขาและฟื้นการชูใจให้แก่เขา และให้แก่ผู้ไว้ทุกข์ของเขา” “เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์” อิสยาห์ 57 ข้อที่ 18; เยเรมีย์ 31 ข้อที่ 13 {DA 301.2}
“คนที่สุภาพอ่อนโยนก็เป็นสุข” ความยากลำบากที่เราต้องเผชิญอาจลดลงไปได้มากด้วยความสุภาพอ่อนโยนซึ่งซ่อนอยู่ในพระคริสต์ หากเรามีความสุภาพถ่อมตนของพระอาจารย์ของเราแล้ว เราก็จะอยู่เหนือการดูหมิ่น การปฏิเสธ และความรำคาญที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้จะหยุดทอดเงาอยู่เหนือจิตวิญญาณของเรา หลักฐานสูงสุดของความเป็นผู้สูงส่งในชีวิตคริสเตียนคือการควบคุมตนเอง ผู้ที่ขณะตกอยู่ภายใต้ความทารุณโหดร้ายพลาดที่จะรักษาความสงบและความวางใจของจิตวิญญาณก็ได้ปล้นสิทธิอันชอบในการเปิดเผยความสมบูรณ์แบบของพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าไปจากพระองค์ จิตใจที่ถ่อมคือกำลังที่ให้ชัยชนะแก่ผู้ติดตามพระคริสต์ เป็นสัญญาณของการเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับบัลลังก์เบื้องบน {DA 301.3}
“เพราะพระยาห์เวห์แม้สูงส่ง พระองค์ก็ทรงดูแลคนต่ำต้อย แต่พระองค์ทรงรู้จักคนโอหังได้แต่ไกล” สดุดี 138 ข้อที่ 6 คนเหล่านั้นที่แสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระคริสต์จะได้รับความเอาใส่อย่างอ่อนโยนจากพระเจ้า พวกเขาอาจเป็นผู้ที่ชาวโลกเหยียดหยาม แต่พวกเขามีค่าสูงส่งในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่เพียงแค่คนฉลาด คนที่ยิ่งใหญ่และคนที่มีใจเอื้อเฟื้อเท่านั้นที่จะได้รับใบอนุญาตไปยังบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์ และไม่ใช่เพียงแค่คนงานที่มีงานยุ่งเต็มมือที่ทำด้วยความกระตือรือร้นและร่วมกิจกรรมอย่างไม่เคยหยุดพักเท่านั้น ไม่ใช่แน่นอน คนยากจนฝ่ายจิตวิญญาณที่กระหายหาการทรงร่วมสถิตของพระเจ้า ผู้ที่มีใจถ่อมซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดคือทำตามพระทัยของพระเจ้า คนเหล่านี้จะมีประตูมากมายเปิดให้แก่พวกเขา พวกเขาจะอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ชำระเสื้อผ้าแล้วและทำให้ขาวสะอาดด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก “เพราะเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงคุ้มครองพวกเขา” วิวรณ์ 7 ข้อที่ 15 {DA 301.4}
“คนที่หิวและกระหายความชอบธรรมก็เป็นสุข” ความรู้สึกว่าตนไร้ค่าจะนำหัวใจให้หิวและกระหายความชอบธรรม และความปรารถนานี้จะไม่พบกับความผิดหวัง ผู้ที่จัดหาห้องว่างในใจของพวกเขาไว้ถวายพระเยซูจะตระหนักได้ถึงความรักของพระองค์ ทุกคนที่ปรารถนาจะรับพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าจะได้รับความอิ่มใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยปล่อยจิตวิญญาณที่เฝ้ามองพระเยซูทิ้งไว้โดยปราศจากการช่วยเหลือ พระองค์จะทรงรับสิ่งต่างๆ ของพระคริสต์และจะทรงเปิดเผยให้แก่พวกเขา หากสายตาจับจ้องไปยังพระคริสต์ พระวิญญาณจะไม่ทรงหยุดประกอบกิจจนกว่าจิตวิญญาณดวงนั้นจะถูกปรับเปลี่ยนไปจนเหมือนพระฉายาของพระองค์ ความรักบริสุทธิ์จะขยายจิตวิญญาณให้ใหญ่ขึ้นจนทำให้มีความสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายที่สูงยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความรู้ในเรื่องของสวรรค์จนไม่ขาดความครบบริบูรณ์ “ผู้คนที่หิวและกระหายความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่ม” {DA 302.1}
ผู้มีใจเมตตาจะได้รับความเมตตาและผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์จะได้เห็นพระเจ้า ทุกความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ทำให้จิตวิญญาณเป็นมลทิน ทำให้ความรู้สึกทางศีลธรรมบกพร่องและบดบังการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้สายตาทางจิตวิญญาณมืดมัวลงจนมนุษย์มองไม่เห็นพระเจ้า อภัยและประทานการอภัยให้แก่คนบาปที่กลับใจได้ แต่ถึงแม้จะรับการอภัยแล้วก็ตาม จิตวิญญาณก็เปรอะเปื้อนไปแล้ว ผู้ใดที่ต้องการเข้าใจความจริงด้านจิตวิญญาณที่ชัดเจนจะต้องหลีกเลี่ยงคำพูดและความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ {DA 302.2}
แต่พระดำรัสของพระคริสต์ครอบคลุมมากยิ่งกว่าอิสรภาพจากความไม่บริสุทธิ์ทางราคะตัณหา มากยิ่งกว่าอิสรภาพจากมลทินทางพิธีกรรมซึ่งชาวยิวหลีกเลี่ยงอย่างเข้มงวดกวดขัน ความเห็นแก่ตัวกีดขวางเราออกจากการเฝ้ามองพระเจ้า จิตวิญญาณที่แสวงหาตนเองจะตัดสินพระเจ้าว่าเป็นเหมือนตนเอง เราจะไม่เข้าใจพระองค์ผู้ทรงเป็นความรักจนกว่าเราจะละทิ้งสิ่งนี้ไป หัวใจที่ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจที่ถ่อมตนและวางใจเท่านั้นที่จะมองเห็นว่าพระเจ้าทรง “เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง” อพยพ 34 ข้อที่ 6 {DA 302.3}
“คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข” สันติสุขของพระคริสต์มีแหล่งกำเนิดจากความจริง สันติสุขประสานปรองดองกับพระเจ้า โลกเป็นศัตรูกับพระบัญญัติของพระเจ้า คนบาปเป็นศัตรูกับพระผู้สร้างของพวกเขา และผลที่ตามมาจึงทำให้พวกเขาเป็นศัตรูต่อกัน แต่ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีทรงเปิดเผยว่า “บรรดาผู้ที่รักธรรมบัญญัติของพระองค์มีความสมบูรณ์พูนสุขอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะดุดได้” สดุดี 119 ข้อที่ 165 มนุษย์ผลิตสันติสุขไม่ได้ แผนการของมนุษย์เพื่อการชำระให้บริสุทธิ์และยกระดับบุคคลหรือสังคมจะประสบกับความล้มเหลวในการทำให้เกิดสันติสุขเพราะสัมผัสหัวใจไม่ได้ ฤทธิ์อำนาจเดียวที่จะสร้างหรือคงสันติสุขอย่างแท้จริงไว้ให้ดำรงอยู่ต่อไปคือพระคุณของพระคริสต์ เมื่อพระคุณนี้ถูกฝังลงในหัวใจ จะขับไล่ตัณหาชั่วที่ก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านและความขัดแย้ง “ต้นสนสามใบจะงอกขึ้นแทนต้นหนาม ต้นน้ำมันเขียวจะงอกขึ้นแทนต้นไมยราบ” ทะเลทรายแห่งชีวิต “จะเปรมปรีดิ์และผลิดอกอย่างต้นดอกฝรั่น” อิสยาห์ 55 ข้อที่ 13; 35 ข้อที่ 1 {DA 302.4}
มหาชนรู้สึกประหลาดใจกับคำสอนนี้ ซึ่งเป็นคำสอนที่แตกต่างกับคำสอนและแบบอย่างของพวกฟาริสี ประชาชนมาถึงจุดที่คิดว่าความสุขได้จากการครอบครองสิ่งของในโลกนี้ ชื่อเสียงและเกียรติยศของมนุษย์เป็นสิ่งที่ละโมบปรารถนา พวกเขารู้สึกชื่นชอบเมื่อได้รับการขนานนามว่า “รับบี” และถูกยกย่องว่าฉลาดและเคร่งศาสนาโดยมีคุณงามความดีเดินนำหน้าตนในที่สาธารณะ เรื่องนี้ถือเป็นยอดมงกุฎแห่งความสุข แต่ต่อหน้ามหาชนพระเยซูทรงประกาศว่าการได้รับผลประโยชน์และเกียรติยศทางโลกเป็นแค่รางวัลที่คนเหล่านี้จะได้รับ พระองค์ตรัสอย่างแน่วแน่และพลังอำนาจที่น่าเชื่อถือมีอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ ประชาชนแน่นิ่งไปและความรู้สึกหวาดกลัวคืบคลานเข้ามาอยู่เหนือพวกเขา พวกเขาต่างมองกันด้วยความสงสัย ใครในพวกเขาจะรอดหากคำสอนของพระอาจารย์ท่านนี้เป็นจริง? หลายคนเชื่อมั่นว่าพระอาจารย์ผู้อัศจรรย์ท่านนี้ได้รับการทรงดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าและความในใจที่พระองค์ตรัสนั้นมาจากพระเจ้า {DA 305.1}
หลังจากที่พระเยซูทรงอธิบายถึงองค์ประกอบของความสุขที่แท้จริงและจะได้มาโดยวิธีใดแล้ว พระองค์ทรงย้ำอย่างเจาะจงถึงหน้าที่ของสาวกว่า พวกเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อนำคนอื่นให้เข้ามาสู่เส้นทางแห่งความชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงตระหนักดีว่าบ่อยครั้งพวกเขาจะต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากของความผิดหวังและความท้อแท้ใจ พวกเขาจะพบกับการต่อต้านอย่างเด็ดขาด พวกเขาจะถูกสบประมาท และคำพยานของพวกเขาจะถูกปฏิเสธ พระองค์ทรงทราบดีว่าในการปฏิบัติภารกิจของพวกเขาให้สำเร็จคนที่ถ่อมตนซึ่งตั้งใจฟังพระดำรัสของพระองค์จะต้องทนแบกคำกล่าวร้าย การทรมาน การจองจำติดคุกและความตาย และพระองค์ตรัสต่อไปว่า {DA 305.2}
“คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” “เมื่อพวกเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายต่าง ๆ เป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมและยินดี เพราะว่าบำเหน็จของพวกท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะพวกเขาข่มเหงบรรดาผู้เผยพระวจนะที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน” {DA 305.3}
ชาวโลกรักบาปและชังเกลียดความชอบธรรม และนี่คือสาเหตุของการเป็นศัตรูกับพระเยซู ทุกคนที่ปฏิเสธความรักอันไร้ขอบเขตของพระองค์จะพบว่าศาสนาคริสต์เป็นองค์ประกอบของความวุ่นวาย ความสว่างของพระคริสต์ขับไล่ความมืดที่ปกปิดบาปของพวกเขาไว้ เปิดเผยถึงความจำเป็นต้องปฏิรูป ในขณะที่ผู้ยอมรับอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เริ่มทำสงครามกับตัวเอง คนที่ยึดมั่นในบาปจะทำสงครามกับความจริงและตัวแทนของมัน {DA 306.1}
ด้วยประการฉะนี้ความขัดแย้งต่อสู้จึงเกิดขึ้นและผู้ติดตามของพระคริสต์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำความลำบากให้แก่ประชาชน แต่การสามัคคีธรรมร่วมกับพระเจ้าเป็นเหตุของการเป็นศัตรูกับโลก พวกเขากำลังทนแบกความอับอายของพระคริสต์ พวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ผู้สูงศักดิ์ที่สุดของโลกเคยเหยียบย่ำมาก่อน ไม่ใช่ด้วยความเศร้าโศก แต่ด้วยความชื่นชมยินดีหากพวกเขาจะต้องเผชิญกับการกดขี่ข่มเหง การทดสอบร้อนแรงแต่ละครั้งเป็นสื่อตัวแทนของพระเจ้าเพื่อการขัดเกลา แต่ละขั้นตอนทำให้พวกเขาเหมาะที่จะเป็นผู้ทำงานร่วมกับพระองค์ ความขัดแย้งแต่ละครั้งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามแห่งความชอบธรรมและแต่ละครั้งจะเพิ่มเติมความสุขให้แก่ชัยชนะครั้งสุดท้าย เมื่อมีภาพเช่นนี้อยู่ในความคิดคำนึงแล้ว การทดสอบความเชื่อและความอดทนนานของพวกเขาจะเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ด้วยความชื่นชมยินดีมากกว่าด้วยความหวาดกลัวและการหลบหลีก โดยความกระตือรือร้นที่จะทำให้ภาระผูกพันที่มีต่อโลกให้สำเร็จและมุ่งความปรารถนาของพวกเขาไปยังความเห็นชอบจากพระเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์จะทำทุกหน้าที่ให้สำเร็จโดยไม่คำนึงถึงความเกรงกลัวหรือความเห็นชอบของมนุษย์ {DA 306.2}
“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก” พระเยซูตรัส อย่าปลีกตัวเองออกไปจากโลกเพื่อหนีการกดขี่ข่มเหง คุณต้องอยู่ท่ามกลางมนุษย์เพื่อกลิ่นแห่งความรักของพระเจ้าจะเป็นเกลือเพื่อรักษาโลกจากความเน่าเปื่อย {DA 306.3}
หัวใจทั้งหลายที่ตอบสนองต่ออิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นช่องทางเพื่อให้พระพรของพระเจ้าไหลผ่าน หากผู้ที่รับใช้พระเจ้าถูกนำออกจากโลกและพระวิญญาณของพระองค์ถูกถอนออกจากท่ามกลางมนุษย์แล้ว โลกนี้จะถูกปล่อยให้รกร้างและถูกทำลายซึ่งเป็นผลงานจากการครอบครองของซาตาน แม้ว่าคนอธรรมจะไม่รู้ก็ตามพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระพรแห่งชีวิตนี้ของการมีประชากรของพระเจ้าที่พวกเขาดูถูกและกดขี่อยู่ในโลก แต่ถ้าคริสเตียนเป็นแค่เพียงในนามเท่านั้น พวกเขาก็เป็นเหมือนเกลือที่หมดรสชาติซึ่งไม่มีอิทธิพลแห่งความดีในโลก โดยการเป็นตัวแทนของพระเจ้าในทางผิดพวกเขาเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อ {DA 306.4}
“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” ชาวยิวคิดที่จะจำกัดประโยชน์ของความรอดให้อยู่เฉพาะกับชาติของตนเอง แต่พระคริสต์ทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าความรอดเป็นเหมือนแสงตะวัน เป็นของคนทั้งโลก ศาสนาของพระคัมภีร์มิได้ถูกจำกัดอยู่ในระหว่างปกหนังสือหรือภายในฝาผนังของตัวคริสตจักรแห่งหนึ่ง ไม่ใช่มีไว้เพื่อนำออกมาเป็นครั้งคราวเพื่อประโยชน์ของเราเองและจากนั้นก็นำเก็บไว้ด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง ศาสนาของพระคัมภีร์มีไว้เพื่อชำระชีวิตประจำวันให้บริสุทธิ์ เพื่อเปิดเผยตนเองให้เห็นจากการติดต่อของทุกธุรกิจและจากความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมดของเรา {DA 306.5}
ลักษณะอุปนิสัยที่ซื่อสัตย์ไม่ได้สร้างขึ้นจากภายนอกและนำมาสวมใส่ แต่จะแผ่ออกมาจากภายใน หากเราต้องการนำผู้อื่นให้อยู่ในเส้นทางแห่งความชอบธรรม หลักการแห่งความชอบธรรมจะต้องถูกประดิษฐานขึ้นในใจของเราเอง การแสดงออกถึงความเชื่อของเราอาจประกาศทฤษฎีของศาสนาได้ แต่การปฏิบัติด้วยศรัทธาแรงกล้าของเราต่างหากที่จะยึดถือพระวจนะแห่งความจริงเอาไว้ ชีวิตที่เสมอต้นเสมอปลาย คำสนทนาที่บริสุทธิ์ ความซื่อสัตย์มั่นคงไม่เอนเอียง วิญญาณจิตที่มีพลังและเมตตา แบบอย่างที่เหมือนพระเจ้าและทั้งหมดนี้เป็นสื่อกลางที่แสงสว่างจะถ่ายทอดออกไปยังโลก {DA 307.1}
พระเยซูยังไม่ทรงแตะข้อกำหนดใดของพระบัญญัติ แต่พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ผู้ฟังสรุปกันเองว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อยกเลิกข้อกำหนดเหล่านี้ พระองค์ทรงทราบดีว่าผู้สอดแนมเตรียมพร้อมฉวยทุกพระดำรัสของพระองค์เพื่อนำมาใช้ตามเป้าประสงค์ของพวกเขา พระองค์ทรงทราบถึงอคติที่มีอยู่ในจิตใจของผู้ฟังหลายคนของพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดที่จะทำให้ความเชื่อของพวกเขาสั่นคลอนในศาสนาและสถาบันที่ได้ทรงโปรดประทานไว้แก่พวกเขาผ่านทางโมเสส พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ประทานพระบัญญัติแห่งศีลธรรมและกฎบัญญัติแห่งพิธีกรรม พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อทำลายความเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระองค์เอง เป็นเพราะพระองค์ทรงให้ความเคารพพระบัญญัติและผู้เผยพระวจนะเป็นอย่างสูงจึงเป็นเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงพยายามฝ่ากำแพงประเพณีซึ่งล้อมรอบชาวยิวไว้ ในขณะที่พระองค์ทรงปัดการตีความกฎหมายที่ผิดทิ้ง พระองค์ทรงปกป้องสาวกของพระองค์ด้วยความระมัดระวังไม่ให้ปล่อยทิ้งซึ่งความจริงที่สำคัญที่ทรงมอบไว้ให้กับชาวฮีบรู {DA 307.2}
พวกฟาริสีภาคภูมิใจในตัวเองที่เชื่อปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่กระนั้นพวกเขารู้ถึงหลักการของการปฏิบัติในชีวิตประจำวันแต่น้อยจนทำให้พวกเขาฟังพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดว่าเป็นเรื่องนอกรีต ในขณะที่พระองค์ทรงกวาดขยะที่ความจริงถูกฝังอยู่ข้างใต้ให้หมดไป พวกเขากลับคิดว่าพระองค์ทรงกำลังกวาดความจริงทิ้งไป พวกเขากระซิบต่อกันว่าพระองค์ทรงทำให้ธรรมบัญญัติหมดความหมาย พระองค์ทรงอ่านความคิดของพวกเขาและทรงตอบพวกเขาว่า {DA 307.3}
“อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ” ในที่นี่พระเยซูทรงหักล้างข้อกล่าวหาของพวกฟาริสี พันธกิจของพระองค์ที่เสด็จมาในโลกก็เพื่อปกป้องข้อเรียกร้องอันศักดิ์สิทธิ์ของธรรมบัญญัติซึ่งพวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ทรงละเมิด ถ้าธรรมบัญญัติของพระเจ้าปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกได้แล้ว พระคริสต์ก็ไม่จำเป็นต้องมาตกทุกข์ทรมานเพื่อรับผลของการล่วงละเมิดของเรา พระองค์เสด็จมาเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของธรรมบัญญัติที่มีต่อมนุษย์ และแสดงตัวอย่างคำสอนของธรรมบัญญัตินั้นด้วยชีวิตแห่งการเชื่อฟังของพระองค์เอง {DA 307.4}
พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ให้แก่เราเพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ พระองค์ทรงเปิดเผยหลักการแห่งความชอบธรรมเพื่อปกป้องคุ้มกันเราจากผลของการละเมิด ธรรมบัญญัติเป็นการแสดงออกถึงพระทัยของพระเจ้า เมื่อรับไว้ในพระคริสต์ก็จะเปลี่ยนมาเป็นความคิดของเรา ความคิดนี้จะยกเราให้สูงเหนืออำนาจของความปรารถนาและแนวโน้มตามธรรมชาติ และเหนือการล่อลวงที่นำไปสู่บาป พระเจ้าทรงปรารถนาให้เรามีความสุขและพระองค์ประทานหลักธรรมของบัญญัติให้แก่เราเพื่อว่าเมื่อเราเชื่อปฏิบัติตามเราจะมีความสุข เมื่อครั้นพระเยซูประสูติทูตสวรรค์ร้องเพลงว่า
“พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด
ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย” ลูกา 2 ข้อที่ 14
พวกเขาประกาศหลักการของธรรมบัญญัติซึ่งพระองค์เสด็จมาเพื่อขยายให้ใหญ่ขึ้นและเทิดทูนให้สูงส่งยิ่งขึ้น {DA 308.1}
ในคราวที่พระเจ้าทรงประกาศพระบัญญัติจากภูเขาซีนายนั้น พระองค์ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ทราบถึงความบริสุทธิ์ของพระลักษณะนิสัยของพระองค์ เพื่อว่าด้วยการเปรียบเทียบถึงความแตกต่างจะได้เห็นบาปอันหนักหนาของพวกเขาเอง ทรงโปรดประทานพระบัญญัติเพื่อให้พวกเขารู้แจ้งในเรื่องบาปและเพื่อเปิดเผยว่าพวกเขาเองต้องการพระผู้ช่วยให้รอด การประกอบกิจนี้จะเกิดขึ้นเมื่อนำหลักการของพระบัญญัติมาใช้ในหัวใจโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบัญญัติยังคงทำงานนี้อยู่ในเวลานี้ หลักการของพระบัญญัติเปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนในชีวิตของพระคริสต์ และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสัมผัสหัวใจ และเมื่อแสงสว่างของพระคริสต์เปิดเผยให้มนุษย์เห็นถึงความต้องการพระโลหิตแห่งการชำระและความชอบธรรมในการชำระบาปของพระองค์แล้ว พระบัญญัติก็ยังคงเป็นสื่อตัวแทนนำเราให้ไปยังพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รับการชำระบาปโดยความเชื่อ “ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ดีพร้อม และฟื้นฟูชีวิต” สดุดี 19 ข้อที่ 7 {DA 308.2}
“จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป” พระเยซูตรัส “แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีดขีดหนึ่งก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น” ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงในท้องนภา พื้นโลกมั่นคงที่คุณอาศัยอยู่เป็นประจักษ์พยานของพระเจ้าว่าพระบัญญัติของพระองค์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงและถาวรนิรันดร์ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะล่วงลับไปแต่ธรรมบัญญัติของพระเจ้าจะยั่งยืน “ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ยังง่ายกว่าขีดขีดหนึ่งในธรรมบัญญัติหลุดหายไป” ลูกา 16 ข้อที่ 17 ระบบของแบบจำลองที่ชี้ไปยังพระเยซูในฐานะพระเมษโปดกของพระเจ้าถูกยกเลิกเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ แต่ธรรมบัญญัติสิบประการนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่นเดียวกับบัลลังก์ของพระเจ้า {DA 308.3}
เนื่องจาก “ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ดีพร้อม” ทุกการเปลี่ยนแปลงที่ทำต่อธรรมบัญญัติจะต้องเป็นการกระทำที่ชั่ว ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าและสอนผู้อื่นให้ทำเช่นนั้นจะถูกพระคริสต์ประณาม ชีวิตแห่งการเชื่อฟังของพระผู้ช่วยให้รอดรักษาข้อเรียกร้องของธรรมบัญญัติเอาไว้ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ามนุษยชาติสามารถถือรักษาธรรมบัญญัติได้ และแสดงให้เห็นถึงลักษณะอุปนิสัยอันดีเลิศที่จะพัฒนาได้เมื่อเชื่อปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ทุกคนที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามเหมือนที่พระองค์ทรงทำมาแล้วนั้นกำลังประกาศว่าธรรมบัญญัติของพระเจ้า “ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม” โรม 7 ข้อที่ 12 ในทางกลับกันทุกคนที่ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของพระเจ้าก็ยังคงสนับสนุนคำอ้างของซาตานที่ว่าธรรมบัญญัตินั้นไม่ยุติธรรมและปฏิบัติตามไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขารับรองการหลอกลวงของศัตรูยิ่งใหญ่และหลู่เกียรติพระเจ้า พวกเขาเป็นบุตรของคนชั่วซึ่งเป็นคนแรกที่กบฏต่อต้านธรรมบัญญัติของพระเจ้า เมื่อปล่อยให้พวกเขาเข้าไปยังสวรรค์อีกครั้ง ก็จะเป็นการนำองค์ประกอบของความขัดแย้งและกบฏและทำอันตรายต่อสวัสดิภาพของจักรวาล ไม่มีสักคนเดียวที่จงใจละเลยหลักการของธรรมบัญญัติแม้เพียงข้อเดียวที่จะเข้าไปยังอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ {DA 308.4}
พวกธรรมาจารย์ถือว่าความชอบธรรมของพวกเขาเป็นใบอนุญาตเข้าแผ่นดินสวรรค์ แต่พระเยซูทรงเปิดเผยว่าความชอบธรรมนั้นไม่เพียงพอและไม่คู่ควร พิธีการภายนอกและความรู้ความจริงทางทฤษฎีถือเป็นส่วนประกอบความชอบธรรมของระบอบฟาริสี พวกธรรมาจารย์อ้างความบริสุทธิ์โดยการลงแรงของพวกเขาเองในการถือรักษาธรรมธรรมบัญญัติ แต่ผลงานของพวกเขาได้แยกความชอบธรรมออกจากศาสนา ในขณะที่พวกเขาพิถีพิถันในการถือรักษาพิธีกรรม ชีวิตของพวกเขาไร้ศีลธรรมและเสื่อมด้อยค่า สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความชอบธรรมนั้นไม่มีทางพาพวกเขาเข้าอาณาจักรของสวรรค์ได้ {DA 309.1}
การหลอกลวงยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีต่อความคิดมนุษย์ในสมัยของพระคริสต์คือ แค่เพียงเห็นด้วยกับความจริงก็จัดว่าเป็นความชอบธรรมแล้ว แต่จากประสบการณ์ทั้งหมดของมนุษย์ ความรู้ความจริงในเชิงทฤษฎีผ่านการพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอที่จะช่วยจิตวิญญาณให้รอดได้ ความรู้เช่นนี้ไม่เกิดผลของความชอบธรรม การเอาใจใส่อย่างหวงแหนในสิ่งที่เรียกว่าความจริงตามศาสนศาสตร์บ่อยครั้งจะมาพร้อมกับความเกลียดชังความจริงที่เป็นของแท้ดังที่แสดงออกให้เห็นในชีวิต ประวัติศาสตร์อันมืดมนที่สุดบทหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยการบันทึกของอาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดยนักศาสนาที่คลั่งไคล้ พวกฟาริสีอ้างว่าตนเป็นบุตรของอับราฮัมและโอ้อวดว่าตนเป็นผู้ครอบครองคำพยากรณ์ของพระเจ้า แต่กระนั้นข้อได้เปรียบเหล่านี้ไม่ได้ปกป้องรักษาพวกเขาจากความเห็นแก่ตัว ความมุ่งร้าย ความโลภหาผลประโยชน์ใส่ตนและความหน้าซื่อใจคดอันต่ำช้าที่สุด พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นนักศาสนายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ความเชื่อมั่นในศาสนาของพวกเขานำพวกเขาตรึงพระเจ้าแห่งพระสิริบนกางเขน {DA 309.2}
ภัยอันตรายแบบเดียวกันยังคงมีอยู่ หลายคนทึกทักว่าตนเองเป็นคริสเตียนเพียงเพราะสมัครรับหลักการทางศาสนาบางประการ แต่พวกเขาไม่ได้นำความจริงไปลงมือปฏิบัติในชีวิต พวกเขาไม่ได้เชื่อและชื่นชอบกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับกำลังและพระคุณที่มาโดยผ่านการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง มนุษย์แสดงว่าตนมีความเชื่อในความจริง แต่หากความเชื่อนี้ไม่ได้ทำให้เขามีความจริงใจ มีเมตตา อดทนนาน หักห้ามข่มใจ และมีจิตใจใฝ่หาสิ่งที่มุ่งหน้าไปยังสวรรค์แล้ว ผู้ที่แสดงตนเช่นนี้ก็จะนำคำสาปมาใส่ตัวและอิทธิพลของพวกเขาจะเป็นดังคำสาปแช่งต่อโลก {DA 309.3}
ความชอบธรรมที่พระคริสต์ทรงสอนนั้นคือการปรับเปลี่ยนหัวใจและชีวิตเพื่อให้เข้ากับพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยไว้แล้ว คนบาปหนาจะกลายเป็นคนชอบธรรมได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้าและรักษาความสัมพันธ์อันมีชีวิตกับพระองค์ และแล้วการเป็นอย่างพระเจ้าที่แท้จริงจะยกระดับความคิดและทำให้ชีวิตมีเกียรติ จากนั้นรูปแบบภายนอกของศาสนาก็จะกลมกลืนเข้ากับความบริสุทธิ์ภายในของคริสเตียน และแล้วพิธีกรรมต่างๆ ที่กำหนดไว้ในการนมัสการพระเจ้าก็จะไม่ใช่พิธีกรรมที่ไร้ความหมายเหมือนอย่างของพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด {DA 310.1}
พระเยซูทรงหยิบเรื่องธรรมบัญญัติขึ้นมาอธิบายต่างหาก และทรงอธิบายความลึกและความกว้างของข้อกำหนดของธรรมบัญญัติ แทนที่จะนำจุดแข็งของธรรมบัญญัติเพียงอนุภาคเดียวออกไป พระองค์กลับทรงแสดงให้เห็นว่าหลักการของธรรมบัญญัตินั้นส่งผลอันกว้างไกลอย่างมากเพียงไรและเปิดโปงความผิดมหันต์ของชาวยิวที่แสดงออกให้เห็นถึงการเชื่อฟังแต่เพียงเปลือกนอกอย่างไร พระองค์ทรงเปิดเผยถึงการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วยความคิดชั่วหรือสายตามักมากในโลกีย์วิสัย บุคคลหนึ่งที่เข้าร่วมกับความอยุติธรรมเล็กน้อยที่สุดก็ได้ละเมิดธรรมบัญญัติและลดคุณค่าธรรมชาติฝ่ายศีลธรรมของตัวเขาเองลงไป การฆาตกรรมก่อตัวขึ้นในจิตใจเป็นอันดับแรกก่อน คนที่ปล่อยให้ความเกลียดชังมีที่อยู่ในจิตใจของเขาก็กำลังนำย่างเท้าเข้าไปสู่ทางของฆาตกรและเครื่องบูชาของเขาก็เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงต่อพระเจ้า {DA 310.2}
ชาวยิวบ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งการแก้แค้น ในความเกลียดชังที่มีต่อชาวโรมันนั้น พวกเขาประณามอย่างรุนแรงและทำให้คนชั่วพึงพอใจด้วยการแสดงคุณสมบัติต่างๆ ของเขา ด้วยประการฉะนี้พวกเขากำลังฝึกตนเองเพื่อทำความชั่วที่คนชั่วชักนำพวกเขาไป ในชีวิตฝ่ายศาสนาของพวกฟาริสีไม่มีสิ่งใดที่จะนำเสนอให้คนต่างชาตินับถือศรัทธาได้ พระเยซูทรงเชิญชวนให้พวกเขาอย่าหลอกตัวเองด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาสามารถลุกขึ้นต่อสู้ผู้กดขี่ของพวกเขาได้และเก็บถนอมความปรารถนาที่จะล้างแค้นความอยุติธรรมของพวกเขา {DA 310.3}
จริงอยู่มีความขุ่นเคืองบางประการที่ทำให้เราโกรธอย่างสมเหตุสมผลได้แม้ในท่ามกลางผู้ติดตามของพระคริสต์ เมื่อพวกเขาไปเห็นว่าพระเจ้าได้รับการหลู่เกียรติและพระราชกิจของพระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อพวกเขาเห็นว่าคนบริสุทธิ์ถูกกดขี่ ความโกรธอันชอบธรรมก็จะถูกปลุกขึ้นในจิตใจของเขาได้ ความโกรธเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในคนที่มีความรู้สึกถูกผิดด้านศีลธรรมอันว่องไวนั้นไม่ใช่บาป แต่สำหรับผู้ที่คิดว่าเมื่อถูกอารมณ์ปลุกปั่นขึ้นมาแล้วก็ปล่อยตัวให้โกรธหรือเคืองนั้นกำลังเปิดหัวใจให้กับซาตาน หากเราจะอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งกับสวรรค์จะต้องกำจัดความขมขื่นและความเกลียดชังให้หมดไป {DA 310.4}
พระผู้ช่วยให้รอดสอนต่อไปมากกว่านี้ พระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา และกลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” มีคนมากมายที่กระตือรือร้นทำงานรับใช้ในด้านศาสนาในขณะที่เขามีความขัดแย้งอย่างไม่มีความสุขระหว่างพวกเขาและพี่น้อง พวกเขาน่าจะปรับคืนดีกันเสียก่อน พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อนำความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกลับคืนมา จนกว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้พระองค์ก็ไม่อาจจะทรงรับการรับใช้ของพวกเขาได้ พระองค์ทรงเน้นย้ำให้เห็นหน้าที่ของคริสเตียนอย่างชัดเจน {DA 310.5}
พระเจ้าทรงหลั่งพระพรของพระองค์ลงบนทุกคน “พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม” “พระองค์ทรงพระกรุณาทั้งต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว” ลูกา 6 ข้อที่ 35 พระองค์ทรงเชิญให้เราเป็นเหมือนพระองค์ “จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน” พระเยซูตรัส “จงทำดีกับคนที่เกลียดชังท่าน. . . .เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” นี่คือหลักการของธรรมบัญญัติและเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต {DA 311.1}
พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับบุตรทั้งหลายของพระองค์นั้นสูงกว่าที่ความคิดสูงสุดของมนุษย์จะเอื้อมถึงได้ “พวกท่านจงเป็นคนดีพร้อมเหมือนอย่างที่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” พระบัญชานี้เป็นพระสัญญา แผนการไถ่นี้ทรงมุ่งหมายไว้เพื่อกู้คืนพวกเราออกจากอำนาจของซาตานอย่างสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงแยกจิตวิญญาณที่สำนึกผิดออกจากบาปเสมอ พระองค์เสด็จมาเพื่อทำลายกิจการของมารและพระองค์ทรงเตรียมหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ที่กลับใจทุกคนเพื่อป้องกันเขาจากบาป {DA 311.2}
เราจะต้องไม่นำเครื่องมือของผู้ล่อลวงขึ้นอ้างแก้ตัวให้กับการกระทำผิดแม้เพียงครั้งเดียว ซาตานดีอกดีใจเมื่อมันได้ยินผู้อ้างตนว่าติดตามพระคริสต์แก้ตัวให้กับจุดบกพร่องของลักษณะอุปนิสัย ข้อแก้ตัวเหล่านี้เองที่นำไปสู่บาป ไม่มีข้อแก้ตัวใดให้กับการทำบาป บุตรทุกคนของพระเจ้าที่กลับใจเชื่อพระองค์จะเข้าถึงอารมณ์ที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ {DA 311.3}
ต้นแบบสมบูรณ์ในอุดมคติของลักษณะอุปนิสัยคริสเตียนคือให้เป็นเหมือนพระคริสต์ บุตรมนุษย์ทรงมีชีวิตดีพร้อมฉันใด ผู้ติดตามของพระองค์ต้องมีชีวิตดีพร้อมเช่นกันฉันนั้น พระเยซูทรงเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง พระองค์ทรงมีเนื้อหนังเหมือนพวกเรา พระองค์ทรงหิว ทรงกระหายและทรงเหนื่อยล้า พระองค์ทรงดำรงชีวิตด้วยอาหารและสดชื่นด้วยการนอนหลับ พระองค์ทรงแบกรับชะตากรรมของมนุษย์ แต่กระนั้นพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ไร้จุดด่างพร้อย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในสภาพเนื้อหนัง พระลักษณะนิสัยของพระองค์จะเป็นของพวกเรา พระยาห์เวห์ตรัสถึงผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่า “เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา” 2 โครินธ์ 6 ข้อที่ 16 {DA 311.4}
พระคริสต์ทรงเป็นบันไดที่ยาโคบเห็น ฐานวางอยู่บนพื้นโลกและขั้นสูงสุดยื่นขึ้นไปถึงประตูสวรรค์ จนถึงธรณีประตูแห่งพระสิริเลยทีเดียว หากบันไดนั้นมาไม่ถึงโลกแม้เพียงขั้นเดียว พวกเราจะต้องพินาศอย่างแน่นอน แต่พระคริสต์ทรงเอื้อมถึงเราในที่ที่เราอยู่ พระองค์ทรงรับธรรมชาติของเราและทรงได้ชัยชนะ เพื่อว่าพวกเราเมื่อรับธรรมชาติของพระองค์เราจะได้เป็นผู้มีชัย พระองค์เสด็จมา “ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป” โรม 8 ข้อที่ 3 บัดนี้ด้วยสภาพของพระเจ้า พระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนบัลลังก์ของสวรรค์ และในความเป็นมนุษย์พระองค์ทรงเอื้อมมาถึงพวกเรา พระองค์ทรงเชิญให้เราบรรลุให้ถึงพระสิริของพระลักษณะนิสัยของพระองค์โดยความเชื่อในพระองค์ ด้วยเหตุนี้เราจะเป็นคนดีพร้อมได้เหมือน “พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” {DA 311.5}
พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นแล้วว่าความชอบธรรมประกอบด้วยอะไรและทรงเน้นให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดความชอบธรรม บัดนี้พระองค์ทรงเปลี่ยนไปตรัสถึงเรื่องของหน้าที่ในทางปฏิบัติ ในการทำทาน ในคำอธิษฐาน และในการถืออดอาหาร พระองค์ตรัสว่าอย่าใหสิ่งเหล่านี้ดึงดูดความสนใจหรือเพื่อรับคำชมใส่ตน ให้บริจาคด้วยความจริงใจ เพื่อประโยชน์ของผู้ยากไร้ที่ตกทุกข์ ในคำอธิษฐานให้จิตวิญญาณสื่อสารกับพระเจ้า ในการถืออดอาหารไม่ให้เดินไปด้วยศีรษะก้มลงต่ำ และด้วยใจที่คิดแต่ตน ใจของฟาริสีเป็นดินร้างและไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีเมล็ดใดของสวรรค์เจริญงอกงามได้ ผู้ที่ยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างไม่สงวนตัวที่สุดจะถวายการรับใช้ที่ทรงยอมรับได้มากที่สุด เพื่อว่าโดยการร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า มนุษย์จึงกลายเป็นคนทำงานร่วมกับพระองค์ในการนำเสนอพระลักษณะนิสัยของพระองค์ในความเป็นมนุษย์ {DA 312.1}
การรับใช้ที่ถวายด้วยความบริสุทธิ์ใจให้ผลตอบแทนยิ่งใหญ่ “พระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” โดยการดำรงชีวิตของเราด้วยพระคุณของพระคริสต์ ลักษณะอุปนิสัยของเราจะถูกสร้างขึ้น ความสวยงามน่ารักดั่งเดิมจะเริ่มกลับคืนมายังจิตวิญญาณ พระเจ้าจะทรงให้ความรู้ในเรื่องคุณลักษณะของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ให้แก่พวกเขา และพระฉายาของพระเจ้าจะเริ่มส่องออกไป ใบหน้าของชายและหญิงที่ดำเนินและรับใช้พระเจ้าจะแสดงออกถึงสันติสุขของสวรรค์ พวกเขาถูกล้อมด้วยบรรยากาศของสวรรค์ สำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้อาณาจักรของพระเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเขามีความสุขของพระคริสต์ คือความสุขของการเป็นพระพรต่อมนุษยชาติ พวกเขาได้รับเกียรติที่ได้รับการยอมรับเพื่อให้พระอาจารย์ทรงใช้ พวกเขาได้รับความไว้วางใจให้ทำงานรับใช้พระองค์ในพระนามของพระองค์ {DA 312.2}
“ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้” เรารับใช้พระเจ้าด้วยสองหัวใจที่แยกส่วนไม่ได้ ศาสนาของพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ใช่หนึ่งในแรงจูงใจท่ามกลางศาสนาอื่นๆ แรงจูงใจนี้จะต้องเลิศที่สุด แผ่กระจายและควบคุมแรงจูงใจอื่นๆ ไม่ใช่เปรียบเหมือนสีแต้มแต่งผ้าใบที่นั่นนิดที่นี่หน่อย แต่จะต้องแผ่ซ่านไปทั้งชีวิตราวกับเอาผืนผ้าใบนั้นจุ่มลงในสีจนกระทั่งด้ายทุกเส้นของผ้าถูกย้อมเป็นสีเข้มและสีก็จะไม่ซีดจาง {DA 312.3}
“ตาเป็นประทีปของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย” ความบริสุทธิ์และความแน่วแน่ของเป้าหมายเป็นเงื่อนไขของการรับความสว่างจากพระเจ้า ผู้ที่ปรารถนาเข้าใจความจริงต้องเต็มใจที่จะยอมรับทุกสิ่งที่ความจริงเปิดเผย เขาประนีประนอมกับความผิดไม่ได้ ความลังเลใจและถวายความเต็มใจเพียงกึ่งเดียวให้กับความจริงหมายถึงการเลือกความมืดมนของความผิดพลาดและการหลอกลวงของซาตาน {DA 312.4}
นโยบายทางโลกและหลักการแห่งความชอบธรรมที่ไม่ผันแปรออกนอกลู่นอกทางจะไม่ผสานเข้ากันเช่นดียวกับสีของรุ้ง ระหว่างทั้งสองนี้ มีเส้นแบ่งอย่างชัดเจนที่พระเจ้าแห่งนิรันดร์กาลได้ทรงขีดไว้ พระฉายาของพระคริสต์แตกต่างอย่างโดดเด่นจากของซาตานดั่งเที่ยงวันเมื่อเทียบกับยามเที่ยงคืน และผู้ที่ดำเนินชีวิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ร่วมงานของพระองค์ หากเก็บถนอมบาปเดียวไว้ในจิตวิญญาณ หรือการปฏิบัติที่ผิดถูกเก็บถนอมไว้ในชีวิต ทั้งตัวของเขาก็เปรอะเปื้อน บุคคลนั้นกลายเป็นเครื่องมือของความอธรรม {DA 313.1}
ทุกคนที่เลือกรับใช้พระเจ้าจะต้องพักวางใจในการดูแลของพระองค์ พระคริสต์ทรงชี้ไปยังนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า ดอกไม้ในทุ่งนาและเน้นให้ผู้ฟังของพระองค์พินิจพิจารณาผลงานแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?” มัทธิว 6 ข้อที่ 26 ขนาดของความเอาใจใส่ที่พระเจ้าประทานให้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเป็นสัดส่วนกับการจัดลำดับของของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ พระเจ้าทรงเฝ้าดูนกกระจอกสีน้ำตาลตัวน้อย ดอกไม้ในทุ่งหญ้าที่ปกคลุมโลกดั่งพรมได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพระบิดาบนสวรรค์ พระอาจารย์ศิลปินเอกทรงคำนึงถึงดอกลิลลี่ ทรงสร้างดอกไม้เหล่านั้นให้มีความสวยงามมากจนโดดเด่นกว่ากษัตริย์ซาโลมอน พระองค์ทรงห่วงใยมนุษย์มากเพียงใด พระองค์ทรงเอาใจใส่มนุษย์ที่ทรงสร้างมาตามพระฉายาและพระสิริของพระเจ้ามากเพียงไร พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเห็นบุตรทั้งหลายของพระองค์เปิดเผยลักษณะอุปนิสัยที่เหมือนพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ดั่งแสงตะวันที่ส่องให้เกิดโทนสีที่คละกันไปยังดอกไม้ พระเจ้าประทานความงดงามของพระลักษณะนิสัยที่มีความงดงามของพระองค์มาให้เช่นกัน {DA 313.2}
ทุกคนที่เลือกอาณาจักรแห่งความรัก ความชอบธรรมและสันติสุขของพระคริสต์จนถือว่าผลประโยชน์ของอาณาจักรนี้สูงยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คนเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับโลกที่อยู่เบื้องบนและพระพรทุกประการที่จำเป็นสำหรับชีวิตนี้เป็นของพวกเขา ในหนังสือแห่งการทรงจัดเตรียมซึ่งเป็นหนังสือแห่งชีวิต เราแต่ละคนได้รับจัดสรรคนละหนึ่งหน้า หน้าหนังสือนั้นประกอบด้วยรายละเอียดของประวัติของเรา แม้แต่เส้นผมบนศีรษะของเราก็นับไว้แล้ว บรรดาบุตรของพระเจ้าไม่เคยหายไปจากน้ำพระทัยของพระองค์ {DA 313.3}
“เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่ง” มัทธิว 6 ข้อที่ 34 เราต้องเดินตามพระคริสต์วันต่อวัน พระเจ้าไม่ประทานความช่วยเหลือสำหรับวันพรุ่งนี้ พระองค์ไม่ประทานวิธีดำเนินชีวิตบนเส้นทางในโลกให้แก่บุตรทั้งหลายในครั้งเดียว กลัวว่าพวกเขาจะสับสน พระองค์ทรงบอกพวกเขาเท่าที่พวกเขาจะจดจำได้และปฏิบัติตาม กำลังและพระปัญญาที่ประทานมีไว้เพื่อเหตุฉุกเฉินในปัจจุบัน “แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา” ในวันนี้ “ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” ยากอบ 1 ข้อที่ 5 {DA 313.4}
“อย่าพิพากษา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาท่านทั้งหลาย” อย่าคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นและตั้งตนขึ้นตัดสินความพวกเขา เนื่องจากคุณแยกแยะแรงจูงใจไม่ได้ คุณจึงตัดสินคนอื่นไม่ได้ ในการตำหนิเขา คุณกำลังตัดสินตัวคุณเอง เพราะคุณแสดงให้เห็นว่าคุณมีส่วนร่วมกับซาตานซึ่งเป็นผู้กล่าวหาพี่น้อง พระเจ้าตรัสว่า “จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง” นี่คืองานของเรา “แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา” 2 โครินธ์ 13 ข้อที่ 5; 1 โครินธ์ 11 ข้อที่ 31 {DA 314.1}
ต้นไม้ที่ดีจะให้ผลดี หากผลไม้นั้นกินไม่ได้และไร้ค่า ต้นไม้นั้นก็เป็นต้นไม้ชั่ว ดังนั้นผลที่เกิดในชีวิตจึงเป็นพยานถึงสภาพของหัวใจและความเป็นเลิศของลักษณะอุปนิสัย ผลงานดีซื้อความรอดไม่ได้ แต่เป็นหลักฐานของความเชื่อที่กระทำโดยความรักและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ และแม้ว่ารางวัลนิรันดร์จะไม่ทรงโปรดประทานให้เพราะคุณความดีของเรา แต่ก็จะเป็นไปตามสัดส่วนของงานที่ได้ทำผ่านพระคุณของพระคริสต์ {DA 314.2}
ด้วยประการฉะนี้พระคริสต์ทรงกำหนดหลักธรรมแห่งอาณาจักรของพระองค์ และทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าหลักธรรมนี้เป็นกฎยิ่งใหญ่แห่งชีวิต เพื่อสร้างความประทับใจให้กับบทเรียน พระองค์จึงทรงเพิ่มคำอธิบายไว้ว่า การได้ยินคำพูดของเรานั้นยังไม่เพียงพอ โดยการเชื่อฟังพวกเจ้าจะต้องนำเอามาเป็นพื้นฐานของลักษณะอุปนิสัย อัตตาแปรเปลี่ยนไปเรื่อยเหมือนทราย หากคุณอาศํยทฤษฎีและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ในการสร้างบ้าน บ้านของคุณก็จะพังทลายอย่างแน่นอน โดยลมแห่งการทดลอง พายุของการทดสอบจะถูกกวาดบ้านทิ้งไป แต่หลักธรรมเหล่านี้ที่พระเจ้าประทานจะยั่งยืน จงรับพระเจ้าไว้และสร้างบ้านของคุณบนพระวจนะของพระองค์ {DA 314.3}
“ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตามก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา” มัทธิว 7 ข้อที่ 24, 25 {DA 314.4}
**********