บทที่ 75

ทรงปรากฏตัวต่อหน้าอันนาสและบัลลังก์ศาลคายาฟาส

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 26 ข้อที่ 57-75; มัทธิว 27 ข้อที่ 1; มาระโก 14 ข้อที่ 53-72; มาระโก 15 ข้อที่ 1; ลูกา 22 ข้อที่ 54-71; ยอห์น 18 ข้อที่ 13-27


พวกเขาเร่งนำพระเยซูข้ามลำธารกีโดรน ผ่านสวนหย่อมและสวนมะกอกเทศ และถนนอันเงียบสงบของเมืองที่หลับใหล  เวลาเลยเที่ยงคืนแล้ว เสียงโหวกเหวกโวยวายของฝูงชนที่วิ่งตามหลังพระองค์มานั้นดังไปทั่วบรรยากาศของค่ำคืนอันเงียบสงบ  พระผู้ช่วยให้รอดถูกมัดและคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น พระองค์ทรงดำเนินไปด้วยความเจ็บปวด  แต่คนที่จับกุมพระองค์เร่งรีบเดินทางมุ่งหน้าอย่างกระตือรือร้นไปยังราชวังของอันนาสผู้เป็นมหาปุโรหิตนอกประจำการ  {DA 698.1}                                

อันนาสเป็นหัวหน้าของครอบครัวปุโรหิตประจำการ และเพราะเคารพในความอาวุโสประชาชนจึงยอมรับเขาให้เป็นมหาปุโรหิต  คำแนะนำของเขาเป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติดั่งพระสุรเสียงของพระเจ้า  สิ่งแรกที่เขาต้องการคือเห็นพระเยซูถูกจับในฐานะนักโทษภายใต้อำนาจของพวกปุโรหิต เขาจะต้องอยู่ในเหตุการณ์การสอบสวนผู้ต้องหา เพราะกลัวว่าคายาฟาสที่ด้อยประสบการณ์กว่าจะพลาดเป้าหมายของการสอบสวนนี้  เขาจะต้องงัดกลอุบาย ความฉลาดแกมโกงและเล่ห์เหลี่ยมของเขาออกมาใช้ในโอกาสนี้ ในทุกเหตุการณ์ จะต้องกำหนดโทษพระคริสต์ให้ได้อย่างแน่นอน  {DA 698.2}                   

สภาซันเฮดรินจะต้องพิพากษาพระคริสต์อย่างเป็นทางการ แต่พระองค์จะทรงต้องปรากฏตัวต่อหน้าอันนาสก่อนเพื่อการสอบสวนเบื้องต้น  ภายใต้การปกครองของรัฐบาลชาวโรมันนั้น สภาซันเฮดรินกำหนดโทษประหารชีวิตไม่ได้  พวกเขาทำได้แค่สอบสวนนักโทษและส่งต่อคำตัดสินเพื่อให้อำนาจฝ่ายโรมันรับรองเห็นชอบด้วย  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตั้งข้อกล่าวหาใส่พระคริสต์เพื่อพวกโรมันจะกำหนดโทษทางอาญาได้และข้อกล่าวหานี้จะต้องกำหนดโทษพระองค์ในสายตาของชาวยิวด้วย  มีพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยยอมรับคำสอนของพระเยซู แต่ความกลัวที่จะถูกตัดออกจากศาสนาเป็นอุปสรรคขัดขวางพวกเขาจากการยอมรับพระองค์  พวกปุโรหิตยังจำคำถามของนิโคเดมัสได้ดีที่ว่า  “กฎหมายของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ?”  ยอห์น 7 ข้อที่ 51  ชั่วขณะหนึ่งคำถามนี้ทำให้สภาแตกแยกและจึงทำให้สภาล้มล้างแผนการนี้ไป  การสอบสวนครั้งนี้ไม่ได้เชิญโยเซฟอาริมาเธียและนิโคเดมัสให้เข้าร่วมด้วย แต่อาจจะยังมีบางคนกล้าที่จะทักท้วงเพื่อความยุติธรรมก็ได้  การพิจารณาสอบสวนครั้งนี้จะต้องชักนำสมาชิกของสภาซันเฮดรินให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านพระคริสต์  มีข้อกล่าวหาสองข้อที่พวกปุโรหิตต้องการให้คงไว้  ถ้าพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูเป็นผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า พระองค์ก็จะถูกชาวยิวกำหนดโทษ  ถ้าพิสูจน์ได้ว่าทรงมีความผิดฐานปลุกระดม พระองค์ก็จะถูกชาวโรมันกำหนดโทษ  ข้อกล่าวหาที่สองนี้อันนาสพยายามพิสูจน์ให้ได้  เขาไต่สวนพระเยซูเรื่องสาวกและคำสอนของพระองค์ โดยหวังว่านักโทษจะกล่าวบางสิ่งที่เขาจะนำไปใช้การได้  เขามุ่งหวังที่จะได้บางประโยคเพื่อใช้พิสูจน์ว่าพระองค์กำลังจัดตั้งองค์กรลับเพื่อมุ่งหวังตั้งอาณาจักรใหม่  แล้วพวกปุโรหิตก็จะส่งมอบพระองค์ให้แก่อำนาจของโรมันในฐานะผู้ก่อกวนความสงบสุขและปลุกระดมการกบฏ  {DA 698.3}                   

พระคริสต์ทรงอ่านจุดประสงค์ของพวกปุโรหิตออกราวกับหนังสือที่เปิดกางอยู่  ในขณะที่กำลังอ่านจิตใจส่วนลึกที่สุดของผู้ไต่สวนพระองค์ พระองค์ทรงปฏิเสธเรื่องพันธะสหภาพลับระหว่างพระองค์และผู้ติดตามของพระองค์หรือเรื่องที่พระองค์ทรงรวมตัวกับพวกเขาอย่างลับๆ และในที่มืดเพื่อปกปิดแผนการของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงมีความลับในเรื่องจุดประสงค์หรือหลักคำสอนของพระองค์ “เรากล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย” พระองค์ตรัสตอบ “เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและในบริเวณพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับๆ เลย”  {DA 699.1}                              

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปรียบเทียบลักษณะการทำงานของพระองค์กับวิธีการของผู้กล่าวหาของพระองค์  เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่พวกเขาตามล่าพระองค์และพยายามทำให้พระองค์ติดกับดักเพื่อจะนำพระองค์ขึ้นศาลลับที่ซึ่งพวกเขาอาจได้มาโดยการเบิกความเท็จซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจได้มาถ้าทำด้วยวิธียุติธรรม  บัดนี้พวกเขากำลังดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของพวกเขาอยู่  ฝูงชนจับกุมพระองค์ในเวลาเที่ยงคืน  การเยาะเย้ยและการกระทำทารุณกรรมต่อพระองค์ก่อนที่พระองค์จะถูกพิพากษากำหนดโทษหรือแม้แต่ถูกกล่าวหานั้นเป็นวิธีการทำงานของพวกเขาไม่ใช่ของพระองค์  การกระทำของพวกเขาล่วงละเมิดพระบัญญัติ  กฎของพวกเขาเองยังประกาศว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องถูกปฏิบัติราวกับว่าไม่มีความผิดจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าทำผิดจริง  พวกปุโรหิตต่างก็ถูกกล่าวโทษด้วยกฎระเบียบของพวกเขาเอง {DA 699.2}          

พระเยซูทรงหันไปหาผู้ไต่สวนและตรัสถามว่า "ท่านถามเราทำไม?"  พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองไม่ได้ส่งสายลับไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพระองค์และรายงานทุกคำพูดของพระองค์แล้วหรือ?  พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในทุกการชุมนุมของประชาชนและนำข้อมูลพระดำรัสตรัสและการกระทำทั้งหมดของพระองค์ไปให้แก่ปุโรหิตดอกหรือ?  "จงถามคนที่ฟังเราว่า เราพูดอะไรกับพวกเขา " พระเยซูตอบ "เขารู้ว่าเราสอนอะไร"  {DA 699.3}                      

อันนาสเงียบไปกับคำตอบอันแน่วแน่นี้  ตอนนี้เขาจะไม่พูดอะไรกับพระองค์อีกด้วยกลัวว่าพระคริสต์จะตรัสถึงวิถีการกระทำบางอย่างของเขาซึ่งเขาต้องการปกปิดไว้ตลอดไป  เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขาโกรธจัดเมื่อเห็นว่าอันนาสแน่นิ่งไป จึงตบพระพักตร์ของพระเยซูและพูดว่า "เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ? "  {DA 700.1}                         

พระคริสต์ตรัสตอบอย่างใจเย็นว่า "ถ้าเราพูดผิดก็จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม?"  พระองค์ไม่ตรัสตอบโต้อย่างรุนแรง  คำตอบอันสงบของพระองค์ออกมาจากพระหทัยที่ปราศจากบาป อดทนนานและอ่อนโยนซึ่งจะถูกยั่วยุไม่ได้  {DA 700.2}     

พระคริสต์ทรงทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเมื่อถูกสบประมาทและถูกดูแคลน  พระองค์ทรงรับทุกความอัปยศจากน้ำมือของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาและทรงสละตนให้อย่างไร้ข้อจำกัด  ความทุกข์ทรมานของพระองค์เป็นสัดส่วนโดยตรงกับความบริสุทธิ์อันสมบูรณ์แบบของพระองค์และความเกลียดชังที่ทรงมีต่อบาป  ความทุกข์ทรมานของพระองค์จากมนุษย์ที่ทำตัวราวกับเป็นมิตรเช่นนี้จะเป็นการเสียสละของพระองค์อย่างต่อเนื่อง  การที่พระองค์ถูกมนุษย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานล้อมไว้เช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระองค์  และพระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ทรงส่องประกายอำนาจของพระเจ้าออกมาในเวลาเพียงครู่เดียว ผู้ทรมานพระองค์จะถูกปราบให้ราบคาบเป็นผงคลี  สิ่งนี้ยิ่งทำให้พระองค์ทรงแบกรับความทุกข์ทรมานได้ยากยิ่งขึ้น  {DA 700.3}                              

ชาวยิวเฝ้ารอพระเมสสิยาห์องค์หนึ่งที่จะเสด็จมาปรากฏตัวอย่างเอิกเกริก  พวกเขาคาดหวังว่า ด้วยการส่องแสงครอบงำแห่งความตั้งใจสักวาบหนึ่ง พระองค์จะเปลี่ยนกระแสความคิดของมนุษย์และบังคับให้พวกเขายอมรับอำนาจสูงสุดของพระองค์ได้  ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาเชื่อว่าพระองค์จะทรงยกตัวพระองค์เองขึ้นและสนองความหวังอันทะเยอทะยานของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้เมื่อพระคริสต์ถูกปฏิบัติอย่างเหยียดหยาม การทดลองอย่างแรงกล้าจึงมายังพระองค์เพื่อให้พระองค์สำแดงพระลักษณะความเป็นพระเจ้าของพระองค์ออกมา  โดยคำตรัสเพียงคำเดียวและโดยการมองเพียงครั้งเดียว พระองค์ทรงสามารถบังคับผู้กดขี่พระองค์ให้ยอมรับว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือบรรดาพระราชาและนักการปกครอง เหนือพวกปุโรหิตและพระวิหาร  แต่การคงรักษาสถานะที่ทรงเลือกเพื่อคงความเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับมนุษยชาติไว้เป็นภาระที่ยากสำหรับพระองค์  {DA 700.4}                                  

เหล่าทูตแห่งฟ้าสวรรค์คอยเฝ้าติดตามทุกการเคลื่อนไหวที่ต่อต้านพระเจ้าพระผู้บัญชาการที่พวกเขารัก  พวกเขาปรารถนาที่จะช่วยพระคริสต์  ภายใต้การปกครองของพระเจ้านั้นทูตสวรรค์ล้วนมีพลังยิ่งใหญ่  มีอยู่ครั้งหนึ่ง โดยการเชื่อฟังพระบัญชาของพระคริสต์ พวกเขาสังหารผู้ชายในกองทัพอัสซีเรียจำนวนถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคนภายในค่ำคืนเดียว  สำหรับทูตสวรรค์ที่กำลังมองดูฉากการสอบสวนอันน่าอับอายนี้ เป็นการง่ายมากเพียงไรที่จะแสดงความโกรธแค้นออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยการเผาผลาญศัตรูของพระเจ้า!  แต่พวกเขาไม่ได้รับพระบัญชาให้ทำเช่นนี้  พระผู้ทรงสามารถกำหนดชะตากรรมแห่งความตายให้แก่ศัตรูทรงอดกลั้นทนรับความโหดเหี้ยมของพวกเขา  ความรักของพระองค์ที่ถวายให้แด่พระบิดาและคำปฏิญาณที่ทำไว้ตั้งแต่วางรากฐานของโลกว่าจะมาเป็นพระผู้รับบาป นำพระองค์ให้ทรงอดกลั้นโดยไม่ทรงปริพระโอษฐ์บ่นต่อการปฏิบัติอย่างหยาบคายจากผู้ที่พระองค์เสด็จมาช่วยให้รอด  ส่วนหนึ่งของพันธกิจในความเป็นมนุษย์ของพระองค์คือ พระองค์จะต้องทนรับทุกคำส่อเสียดและการทารุณกรรมที่มนุษย์จะกระหน่ำใส่พระองค์  ความหวังเดียวของมนุษยชาติอยู่ที่การยอมจำนนของพระคริสต์ต่อทุกสิ่งที่พระองค์จะทนรับได้จากน้ำมือและหัวใจของมนุษย์  {DA 700.5}                            

พระคริสต์ไม่ได้ตรัสถ้อยคำใดที่จะทำให้ผู้กล่าวหาของพระองค์ได้เปรียบ แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังถูกมัดเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงถูกกำหนดโทษแล้ว  อย่างไรก็ตามจะต้องมีการเสแสร้งทำทีว่ามีการปฏิบัติอย่างยุติธรรม  เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องแสดงให้เห็นว่ามีการพิจารณาไต่สวนคดีทางกฎหมาย  ในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่จึงตั้งใจเร่งดำเนินการ  พวกเขาตระหนักดีว่าประชาชนเคารพนับถือพระองค์มากแค่ไหน  พวกเขากลัวว่าหากเรื่องการจับกุมพระเยซูถูกเปิดเผย จะมีการวางแผนช่วยเหลือเกิดขึ้น  นอกจากนี้ หากการพิพากษาและการประหารชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นทันทีแล้ว จะต้องถูกเลื่อนออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์เนื่องจากงานเทศกาลปัสกา  เรื่องนี้จะทำให้แผนการต่างๆ ของพวกเขาล้มเหลว  การจะทำให้พระเยซูถูกกำหนดโทษได้นั้น พวกเขาต้องพึ่งเสียงโห่ร้องครึกโครมของฝูงชน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มชนชั้นต่ำของกรุงเยรูซาเล็ม  หากการนี้ถูกเลื่อนออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์แล้ว ความตื่นเต้นนี้ก็จะสงบลงและปฏิกิริยาโต้ตอบจะเข้ามาแทนที่  มโนธรรมที่ดีของประชาชนก็จะถูกปลุกขึ้นมาเพื่อเข้าข้างพระคริสต์ คนจำนวนมากจะก้าวออกมาพร้อมด้วยคำพยานเพื่อแก้ต่างให้พระองค์ซึ่งจะเปิดเผยให้คนเห็นถึงพระราชกิจยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำ  สิ่งนี้จะปลุกความโกรธแค้นของคนทั่วไปต่อสภาซันเฮดริน  การดำเนินการของพวกเขาจะถูกประณาม และพระเยซูจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อไปรับความภักดีใหม่จากมหาชน  ดังนั้นพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองจึงตั้งใจว่าก่อนที่จุดประสงค์ของพวกเขาจะถูกเปิดโปงให้เป็นที่ประจักษ์ จะต้องนำส่งพระเยซูไปอยู่ในมือของชาวโรมัน  {DA 703.1}                                 

แต่ก่อนอื่น จะต้องตั้งข้อกล่าวหาให้ได้ พวกเขายังไม่มีข้อกล่าวหาใดเลย  อันนาสสั่งให้นำพระเยซูไปหาคายาฟาส  คายาฟาสเป็นพวกสะดูสีซึ่งในเวลานี้สะดูสีหลายคนเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของพระเยซู  ตัวเขาเองแม้ขาดลักษณะอุปนิสัยที่แน่วแน่ แต่เขาก็ดุเดือด เหี้ยมโหดและไร้คุณธรรมเหมือนอันนาส  เขาจะไม่ปล่อยความพยายามใดไปที่จะทำลายพระเยซู  ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่และยังมืดอยู่ กลุ่มติดอาวุธพร้อมกับนักโทษอาศัยคบเพลิงและตะเกียงมุ่งหน้าเดินไปยังพระราชวังของมหาปุโรหิต  ณ ที่แห่งนี้ ในขณะที่สมาชิกสภาซันเฮดรินมารวมตัวกันอยู่ อันนาสและคายาฟาสก็ไต่สวนพระเยซูอีกครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ  {DA 703.2}                

เมื่อสภารวมตัวกันในห้องพิพากษาแล้ว คายาฟาสเข้านั่งประจำที่ในตำแหน่งประธาน  แต่ละข้างมีผู้พากษาและบรรดาผู้สนใจการสอบสวนพิเศษนี้  ทหารชาวโรมันยืนประจำการอยู่ที่แท่นด้านล่างบัลลังก์  พระเยซูประทับอยู่ตรงเชิงบัลลังก์  ฝูงชนทั้งหมดจับจ้องอยู่ที่พระองค์  ความตื่นเต้นนั้นรุนแรง  ในบรรดาฝูงชนทั้งหมด มีพระองค์เพียงผู้เดียวทรงนิ่งและสงบ  บรรยากาศที่ล้อมอยู่รอบพระองค์ดูเหมือนมีอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านไปทั่ว  {DA 703.3}        

คายาฟาสถือว่าพระเยซูเป็นคู่แข่งของเขา  ความกระตือรือร้นของประชาชนที่อยากฟังพระผู้ช่วยให้รอดและการแสดงทีท่าว่าพวกเขาพร้อมจะยอมรับคำสอนของพระองค์กระตุ้นให้มหาปุโรหิตริษยาโกรธแค้นอย่างขมขื่น  แต่ในขณะที่คายาฟาสจ้องมองนักโทษผู้นี้ เขารู้สึกชื่นชมในความมีเกียรติและความสง่างามของพระองค์ ความเชื่ออย่างแรงกล้าเข้ามาครอบงำเขาว่าชายนี้มีลักษณะบางอย่างคล้ายพระเจ้า  แต่วินาทีถัดมาเขาก็กำจัดความคิดนั้นทิ้งไปด้วยความเหยียดหยาม  ในทันทีทันใดนั้นน้ำเสียงเย้ยหยันและโอหังของเขาก็ดังขึ้นสั่งบังคับพระเยซูให้กระทำการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อหน้าพวกเขา  แต่คำพูดของเขากระทบพระกรรณของพระผู้ช่วยให้รอดราวกับว่าพระองค์ไม่ได้ยินเสียงใดเลย  ผู้คนเปรียบเทียบพฤติกรรมที่ตื่นตระหนกและร้ายกาจของอันนาสและคายาฟาส กับความสง่างามอันนิ่งสงบของพระเยซู  แม้ในใจที่แข็งกระด้างของฝูงชนก็ยังเกิดคำถามขึ้นมาว่าชายที่มีกริยาท่าทางเหมือนพระเจ้าผู้นี้จะถูกประณามว่าเป็นอาชญากรจริงหรือ? {DA 704.1}                                  

คายาฟาสสัมผัสได้ถึงอิทธิพลที่เกิดขึ้นจึงเร่งการพิจารณาคดี  ศัตรูของพระเยซูสับสนมาก  พวกเขามุ่งมั่นที่จะกำหนดโทษพระองค์ให้ได้ แต่จะทำให้สำเร็จได้อย่างไรนั้นพวกเขาไม่รู้  สมาชิกของสภาถูกแบ่งออกเป็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสี  มีความเกลียดชังและความขัดแย้งอย่างดุเดือดระหว่างพวกเขา มีประเด็นความขัดแย้งบางประการที่พวกเขาไม่กล้าแตะต้องเพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดการทุ่มเถียงกันขึ้น  ด้วยพระดำรัสเพียงไม่กี่คำพระเยซูทรงสามารถกระตุ้นอคติระหว่างพวกเขาให้เกิดขึ้นได้ซึ่งจะทำให้พวกเขาหันเหความโกรธออกไปจากตัวพระองค์  คายาฟาสทราบประเด็นนี้และหวังที่จะหลีกเลี่ยงการจุดชนวนการทะเลาะวิวาท  มีพยานจำนวนมากที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระคริสต์ประณามพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์โดยทรงเรียกพวกเขาว่าคนหน้าซื่อใจคดและฆาตกร แต่คำให้การนี้ไม่เหมาะที่จะนำขึ้นมาใช้  ตอนที่พวกสะดูสีมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับพวกฟาริสีก็เคยใช้ภาษาในลักษณะเดียวกันนี้ต่อว่าพวกเขา และคำให้การเช่นนี้ไม่มีน้ำหนักสำหรับชาวโรมัน ซึ่งพวกโรมันเองก็รังเกียจการเสแสร้งของพวกฟาริสีอยู่แล้ว  มีหลักฐานมากมายที่แสดงว่าพระเยซูทรงละเลยประเพณีต่างๆ ของชาวยิวและได้กล่าวถึงศาสนพิธีหลายอย่างของพวกเขาอย่างไม่เคารพ แต่ในเรื่องประเพณีนี้พวกฟาริสีและพวกสะดูสีทะเลาะขัดแย้งกันอย่างดุเดือดอยู่แล้ว  และหลักฐานนี้ก็ไม่มีน้ำหนักต่อชาวโรมัน  ศัตรูของพระคริสต์ไม่กล้ากล่าวหาพระองค์ว่าทรงล่วงละเมิดวันสะบาโตเพราะเกรงว่าการตรวจสอบจะทำให้เกิดการเปิดเผยลักษณะพระราชกิจของพระองค์  หากการอัศจรรย์ในเรื่องการรักษาของพระองค์ถูกนำมาให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของพวกปุโรหิตก็จะพ่ายแพ้ตกไป  {DA 705.1}                  

พยานเท็จรับสินบนเพื่อกล่าวหาว่าพระเยซูปลุกระดมก่อกบฏและพยายามแยกตัวจัดตั้งรัฐบาล  แต่คำให้การของพวกเขาคลุมเครือและขัดแย้งกันเอง  เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าพวกเขาปลอมแปลงข้อความของพวกเขาขึ้นมาเอง  {DA 705.2}                          

ในช่วงต้นพันธกิจของพระองค์  พระคริสต์เคยตรัสว่า "ทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน"  ด้วยการใช้ภาษาภาพของคำพยากรณ์เช่นนี้ พระองค์ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของตัวพระองค์เอง  “วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์”  ยอห์น 2 ข้อที่ 19, 21  ชาวยิวเข้าใจความหมายของพระดำรัสเหล่านี้ตามตัวอักษรจึงหมายถึงพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม  ในพระดำรัสทั้งหมดที่พระคริสต์เคยตรัส พวกปุโรหิตไม่อาจหาพระดำรัสใดที่จะใช้เพื่อกล่าวหาพระองค์ได้นอกจากประโยคนี้  พวกเขาหวังว่าจะได้เปรียบจากการอ้างประโยคนี้แบบผิดๆ  ชาวโรมันมีส่วนร่วมในการสร้างวิหารนี้ขึ้นใหม่และตกแต่งพระวิหารและพวกเขาภูมิใจในวิหารนี้มาก การแสดงออกถึงการดูแคลนใดๆ ที่มีต่อพระวิหารจะก่อให้เกิดความขุ่นเคืองขึ้นอย่างแน่นอน  ในเรื่องนี้ ชาวโรมันและชาวยิว พวกฟาริสีและชาวสะดูสีมีความเห็นที่ตรงกัน เพราะทุกคนเคารพนับถือพระวิหารเป็นอย่างมาก ประเด็นเรื่องนี้มีพยานอยู่สองคนซึ่งมีคำให้การที่ไม่ขัดแย้งกันเหมือนเช่นพยานคนอื่นๆ  พยานคนหนึ่งได้รับการติดสินบนให้การกล่าวหาพระเยซูว่าทรงเคยประกาศว่า "คนนี้กล่าวว่าเขาสามารถทำลายพระวิหารของพระเจ้าและสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน"  ด้วยประการฉะนี้ หากพวกเขารายงานตามพระดำรัสของพระคริสต์แล้ว คำตัดสินประหารพระคริสต์ของพวกเขาจะไม่ได้ขึ้นมาถึงแม้สภาซันเฮดริน  หากพระเยซูทรงเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาตามคำอ้างของชาวยิวแล้ว  การประกาศนี้ของพระองค์ก็เพียงแค่ชี้ให้เห็นถึงจิตใจที่โอ้อวดไม่มีเหตุผล แต่ตีความเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ได้  แม้พยานเท็จก็ยังบิดเบือนพระดำรัสของพระองค์ แต่ก็ไม่มีองค์ประกอบใดที่ชาวโรมันถือว่าเป็นอาชญากรรมที่สมควรกำหนดโทษถึงตาย  {DA 705.3}                    

พระเยซูทรงฟังคำพยานที่ขัดแย้งกันด้วยความอททน  พระองค์ไม่ได้ตรัสคำใดเพื่อปกป้องตัวเอง  ในที่สุดผู้กล่าวหาพระองค์ก็ติดกับดัก สับสนและหัวเสีย  การพิจารณาคดีไม่มีความคืบหน้า ดูเหมือนว่าแผนการของพวกเขาจะล้มเหลว  คายาฟาสสิ้นหวัง  ทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่คือ  จะต้องบังคับพระคริสต์ให้กำหนดโทษตัวพระองค์เอง  มหาปุโรหิตลุกขึ้นจากบัลลังก์พิพากษา ใบหน้าของเขาบูดบึ้งด้วยโทสะ น้ำเสียงและอากัปกิริยาของเขาแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าเขามีอำนาจ เขาจะฟาดนักโทษที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาให้ล้มลง "เจ้าไม่แก้ตัว " เขาอุทาน "ในข้อหาที่พยานเขาตั้งมานี้หรือ? " {DA 706.1}                    

พระเยซูทรงนิ่งสงบ "ท่านถูกบีบบังคับและถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันเช่นใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยเช่นนั้น" อิสยาห์ 53 ข้อที่ 7  {DA 706.2}                     

ในที่สุดคายาฟาสยกมือขวาขึ้นสู่สวรรค์กล่าวกับพระเยซูในรูปแบบของคำสาบานอันเคร่งขรึมว่า "เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่" {DA 706.3}                      

คำร้องขอนี้ทำให้พระคริสต์ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้อีกต่อไป  มีเวลาที่จะเงียบและเวลาที่จะตรัส  พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดจนกระทั่งทรงถูกตั้งคำถามโดยตรง  พระองค์ทรงทราบดีว่าการตอบในเวลานี้จะทำให้พระองค์มาถึงความตายอย่างแน่นอน  แต่คำร้องขอนี้ออกมาจากผู้มีอำนาจสูงสุดที่ประชาชาติยอมรับและกล่าวในพระนามของพระเจ้าองค์สูงสุด  พระคริสต์ไม่เคยละเลยที่จะแสดงความเคารพอย่างเหมาะสมต่อกฎหมาย  ยิ่งไปกว่านี้ความสัมพันธ์ของตัวพระองค์เองกับพระบิดาถูกนำออกมาเป็นประเด็นปัญหา  พระองค์จะต้องเปิดเผยพระลักษณะนิสัยและพันธกิจของพระองค์   พระเยซูเคยตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า "เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์"  มัทธิว 10 ข้อที่ 32  ในเวลานี้ พระองค์ทรงใช้แบบอย่างจากตัวพระองค์เองสอนบทเรียนนี้อีกครั้ง  {DA 706.4}                            

หูทุกหูคอยฟังและดวงตาทุกดวงจับจ้องที่พระพักตร์ของพระองค์ขณะที่พระองค์ตรัสตอบว่า "ท่านได้พูดแล้ว" ดูราวกับมีแสงจากสวรรค์ส่องลงมายังพระพักตร์ที่ซีดเซียวของพระองค์ขณะที่ทรงกล่าวเสริมว่า "ท่านได้พูดแล้ว แต่เราจะบอกท่านทั้งหลายด้วยว่า ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดชและเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์"  {DA 707.1}    

ชั่วขณะหนึ่ง ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ส่องแวบผ่านพระลักษณะของความเป็นมนุษย์ของพระองค์  มหาปุโรหิตขวัญเสียไปต่อเบื้องพระเนตรที่ทะลุทะลวงของพระผู้ช่วยให้รอด  การจ้องนั้นดูราวกับจะอ่านความคิดที่ซ่อนอยู่ของเขาและเผาไหม้เข้าไปในหัวใจของเขา  แม้ในชีวิตหลังความตาย เขาก็จะไม่มีวันลืมสายพระเนตรที่ค้นหาของพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงถูกข่มเหง  {DA 707.2}                              

"ตั้งแต่นี้ไป " พระเยซูตรัส "พวกท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์" ในพระดำรัสเหล่านี้พระคริสต์ทรงนำเสนอภาพในมุมกลับกับภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่  พระองค์พระผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิตและพระสิริจะประทับที่เบื้องพระหัตถ์ขวาของพระเจ้า  พระองค์จะทรงเป็นผู้พิพากษาโลกทั้งหมด และจากคำตัดสินของพระองค์จะไม่มีการอุทธรณ์ใดๆ อีก  จากนั้นความลับทุกอย่างจะถูกนำออกมาวางไว้ในที่แจ้งภายใต้แสงแห่งพระพักตร์ของพระเจ้า และการพิพากษาจะลงมายังมนุษย์ทุกคนตามการกระทำของเขา  {DA 707.3}                                    

พระดำรัสของพระคริสต์ทำให้มหาปุโรหิตหวั่นวิตก  การคิดถึงคนตายจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่และคนทั้งหมดจะยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้าเพื่อจะรับรางวัลตามการกระทำของพวกเขา เป็นความคิดที่น่ากลัวสำหรับคายาฟาส  เขาไม่อยากจะเชื่อว่าในอนาคตเขาจะได้รับคำตัดสินตามการกระทำของตนเอง  ในความคิดของเขามีฉากการพิพากษาครั้งสุดท้ายผุดขึ้นราวกับภาพมุมกว้างแล่นผ่านมาอย่างรวดเร็ว  ชั่วขณะหนึ่งเขามองเห็นภาพอันน่ากลัวของหลุมฝังศพที่ปล่อยคนตายออกมาพร้อมด้วยความลับที่เขาหวังจะซ่อนไว้ตลอดกาล ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษานิรันดร์ผู้มองเห็นทุกสิ่ง ทรงกำลังอ่านจิตวิญญาณของเขาและกำลังเปิดเผยให้เห็นความลับที่ซ่อนไปพร้อมความตาย  {DA 708.1}                  

ภาพฉากนั้นแล่นผ่านมโนภาพของปุโรหิตไป พระดำรัสของพระคริสต์นำการบาดเจ็บมาให้แก่ความรู้สึกของเขาผู้เป็นสะดูสี  คายาฟาสปฏิเสธหลักคำสอนเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย การพิพากษาและชีวิตในอนาคต  บัดนี้เขาบ้าคลั่งไปด้วยความโกรธเยี่ยงซาตาน  นักโทษชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาจะจู่โจมเขาด้วยทฤษฎีที่เขาถนอมยึดมั่นไว้อย่างมากที่สุดหรือ?  เขาฉีกเสื้อของตนเพื่อแสดงออกอย่างเสแสร้งให้คนเห็นว่าเขาพบสิ่งเลวร้ายมาก เขาสั่งการตัดสินคดีนักโทษคนนี้ให้มีความผิดฐานหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยที่ไม่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมอีกต่อไป  "เราต้องการพยานอะไรอีก" เขาพูด “ดูเถิด บัดนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว” TKJV และพวกเขาก็กำหนดโทษพระองค์  {DA 708.2}                                    

ความเชื่อมั่นระคนกับความเร่าร้อนไม่พอใจชักนำคายาฟาสให้ทำในสิ่งที่เขาได้ลงมือทำไปแล้ว  เขาโกรธตัวเองที่เชื่อพระดำรัสของพระคริสต์ และแทนที่จะยอมจำนนหัวใจด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งที่มีต่อความจริงและประกาศยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ เขากลับฉีกเสื้อปุโรหิตของเขาเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านอย่างตั้งใจแน่วแน่  การกระทำนี้มีความสำคัญอันลึกซึ้งอย่างมากยิ่ง  คายาฟาสเข้าใจความหมายแต่เพียงเล็กน้อย  ในการกระทำนี้ เขามุ่งหวังโน้มน้าวพวกผู้พิพากษาและเพื่อให้ได้การตัดสินกำหนดโทษพระคริสต์นั้น มหาปุโรหิตกลับกำหนดโทษตัวเอง  ตามบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแล้วเขาถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นปุโรหิต  เขาได้ประกาศโทษประหารชีวิตให้แก่ตัวเขาเอง {DA 708.3}                  

มหาปุโรหิตจะต้องไม่ฉีกเสื้อปุโรหิตของตน  ตามกฎของคนเลวีแล้วถือว่าเป็นการกระทำที่ต้องห้ามและมีโทษถึงตาย  ปุโรหิตจะต้องไม่ฉีกเสื้อของตนเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดหรือในโอกาสใด  ท่ามกลางชาวยิวมีธรรมเนียมฉีกเสื้อผ้าของตนเองเมื่อมิตรสหายตาย แต่ปุโรหิตต้องไม่ถือปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้  พระคริสต์ทรงบัญชาโมเสสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ เลวีนิติ 10 ข้อที่ 6  {DA 708.4}                                   

ทุกสิ่งที่ปุโรหิตสวมใส่จะต้องสมบูรณ์และปราศจากรอยด่างพร้อย  อาภรณ์สวยงามที่สวมใส่อย่างเป็นทางการเป็นตัวแทนถึงพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าผู้ทรงเป็นแบบยิ่งใหญ่ซึ่งคือพระเยซูคริสต์  ไม่มีสิ่งใดนอกจากความสมบูรณ์แบบในเครื่องแต่งกายและทัศนคติรวมถึงคำพูดและจิตวิญญาณเท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงยอมรับ  พระองค์ทรงบริสุทธิ์และพิธีกรรมที่ปฏิบัติในโลกจะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนแสดงถึงพระสิริและความสมบูรณ์แบบของพระองค์  ไม่มีสิ่งใดนอกจากความสมบูรณ์แบบที่จะแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมในสวรรค์ได้อย่างเหมาะสม  มนุษย์ผู้มีขอบเขตจำกัดอาจฉีกหัวใจของตนเองเพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณที่กลับใจจากบาปและถ่อมตน  การกระทำเช่นนี้พระเจ้าทรงยอมรับ  แต่จะต้องไม่มีการฉีกเสื้อของปุโรหิตเพราะการกระทำนี้จะทำให้การเป็นตัวแทนในเรื่องของสวรรค์เกิดรอยด่างพร้อยขึ้น  มหาปุโรหิตที่กล้าปรากฏตัวในตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์และเข้าร่วมการรับใช้ในสถานศักดิ์สิทธิ์ด้วยเสื้อที่ฉีกขาดจะถูกมองว่าตัดตัวเองขาดจากพระเจ้า  การฉีกเสื้อของตนเป็นการตัดตัวเองออกจากการเป็นตัวแทนในลักษณะอุปนิสัยของเขา  พระเจ้าไม่ทรงยอมรับเขาในฐานะปุโรหิตผู้ทำหน้าที่อีกต่อไป  แนวทางปฏิบัติที่คายาฟาสแสดงออกมานี้ ทำให้มองเห็นถึงกิเลสตัณหาและความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์  {DA 709.1}                             

ด้วยการฉีกเสื้อของตนคายาฟาสทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นโมฆะเพื่อจะทำตามประเพณีของมนุษย์  กฎที่มนุษย์ตราขึ้นนั้นเปิดทางไว้ว่าในกรณีของการหมิ่นประมาทพระเจ้า ปุโรหิตฉีกเสื้อของตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความเลวร้ายของบาปได้และจะถือว่าไม่ผิด  ด้วยประการฉะนี้กฎที่มนุษย์ตราขึ้นทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าโมฆะไป  {DA 709.2}                        

ประชาชนเฝ้ามองทุกการกระทำของมหาปุโรหิตด้วยความสนใจ  และคายาฟาสคิดหวังผลจากการแสดงออกถึงความเคร่งครัดทางศาสนาของเขา  แต่ด้วยการกระทำที่เขาออกแบบไว้เพื่อกล่าวโทษพระคริสต์นี้ เขากำลังใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าองค์นั้นผู้ตรัสว่า "ด้วยว่าเขาทำในนามของเรา" อพยพ 23 ข้อที่ 21  ตัวเขาเองเป็นผู้ที่กำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า  เขาประกาศกำหนดโทษพระคริสต์ในฐานะผู้หมิ่นประมาทพระเจ้าในขณะที่ตนเองกำลังยืนรับการตัดสินโทษจากพระเจ้า {DA 709.3}  

เมื่อคายาฟาสฉีกเสื้อของเขา การกระทำของเขามุ่งหมายแสดงถึงตำแหน่งที่ชนชาติยิวในฐานะประเทศชาติจะไปครอบครองหลังจากนี้  ประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน กำลังแยกตัวเองออกไปจากพระองค์ และจะกลายเป็นผู้ที่ถูกพระยาห์เวห์ปฏิเสธในอีกเร็ววัน  ขณะที่พระคริสต์ทรงแขวนอยู่บนไม้กางเขนและทรงร้องว่า "สำเร็จแล้ว" นั้น ยอห์น 19 ข้อที่ 30 และม่านของพระวิหารขาดออกเป็นสองส่วน พระเจ้าองค์ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทรงประกาศว่าชาวยิวได้ปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นแบบของแบบจำลองทั้งหมดและเป็นแก่นสารที่แท้จริงของเงาทั้งหมด  ชนชาติอิสราเอลถูกหย่าขาดจากพระเจ้า  อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ที่คายาฟาสฉีกเสื้อประจำตำแหน่งซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงการที่เขาอ้างตนเป็นตัวแทนของพระเจ้าผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตใหญ่ เพราะนับจากนี้ไปเสื้อเหล่านี้จะไม่มีความหมายใดสำหรับเขาหรือสำหรับประชากรอีกต่อไป  อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ที่มหาปุโรหิตฉีกเสื้อของเขาเพื่อแสดงออกถึงความเลวร้ายสำหรับตัวเขาเองและประเทศชาติ  {DA 709.4}                                

สภาซันเฮดรินประกาศว่าพระเยซูสมควรตาย แต่การพิพากษาสอบสวนนักโทษกลางดึกนั้นขัดต่อกฎหมายของชาวยิว  การกำหนดโทษอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะต้องทำในเวลากลางวันและต่อหน้าสภาทั้งชุด  อย่างไรก็ตาม บัดนี้พระผู้ช่วยให้รอดทรงถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษไปแล้วและทรงถูกปล่อยให้ได้รับการทารุณจากมนุษย์ที่ต่ำช้าและเลวทรามที่สุด  วังของมหาปุโรหิตตั้งอยู่รอบลานโล่งซึ่งมีทหารและฝูงชนเข้ามารวมตัวกันอยู่  พระเยซูทรงถูกนำตัวผ่านลานกว้างไปยังห้องป้อมยาม ทรงเผชิญกับการเยาะเย้ยลบหลู่รอบด้านเนื่องจากคำอ้างว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  พระดำรัสของพระองค์เองที่ว่า "ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช" และ "เสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์" ถูกนำมากล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเย้ยหยัน  ในขณะที่ทรงอยู่ในห้องป้อมยามเพื่อคอยการพิพากษาอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้น พระองค์ไม่ได้รับการคุ้มครอง  ฝูงชนชั้นต่ำที่โง่เขลาเห็นความโหดเหี้ยมที่พระองค์ทรงถูกปฏิบัติต่อหน้าสภา และจากภาพเช่นนี้ พวกเขาถือสิทธิ์มองว่าเป็นการอนุญาตให้แสดงธาตุแท้ทั้งหมดเยี่ยงซาตานออกมาให้เห็นได้  ความสง่างามอันสูงศักดิ์และท่าทางที่เหมือนพระเจ้าของพระคริสต์ยั่วยุพวกเขาจนแทบคลุ้มคลั่งไป  ความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์ ความบริสุทธิ์ของพระองค์และความอดทนนานอันสูงส่งอย่างน่าเกรงขามถูกเหยียบย่ำ ไม่เคยมีนักโทษคนใดถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ดังที่พระบุตรของพระเจ้าทรงถูกปฏิบัติ  {DA 710.1}                                    

แต่มีความปวดร้าวหนึ่งที่รุนแรงกว่าซึ่งทำให้พระหทัยของพระเยซูแตกสลาย  มันกระทบอย่างแรงจนนำความเจ็บปวดลงไปยังส่วนลึกที่สุดที่ไม่มีมือของศัตรูคนใดจะเข้าถึงได้  ในขณะที่พระองค์กำลังถูกตรวจสอบอย่างเย้ยหยันต่อหน้าคายาฟาสนั้น สาวกคนหนึ่งของพระคริสต์ปฏิเสธพระองค์  {DA 710.2}                     

หลังจากสาวกละทิ้งพระอาจารย์ไว้ในสวนแล้ว มีสาวกอยู่สองคนที่กล้าหาญพอจะติดตามฝูงชนที่ควบคุมพระเยซู  สาวกสองคนนี้คือเปโตรและยอห์น  พวกปุโรหิตจำได้ว่ายอห์นเป็นสาวกของพระเยซูที่คนทั่วไปรู้จักดี และยอมให้เขาเข้าไปในห้องโถงด้วยความหวังว่าเมื่อเขาเห็นความอัปยศอดสูของผู้นำของเขาแล้ว เขาจะดูหมิ่นความคิดที่ว่าคนผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า  ยอห์นขอความเห็นใจเพื่อขอให้พวกเขายอมปล่อยเปโตรเข้าไปด้วย {DA 710.3}                  

ที่ลานชั้นนอกมีกองไฟอยู่กองหนึ่ง เพราะก่อนรุ่งสางเป็นช่วงที่หนาวเหน็บที่สุดของยามค่ำคืน  มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่รอบกองไฟ และเปโตรทำอวดดีเข้าไปรวมอยู่กับพวกเขาด้วย  เขาไม่ต้องการให้ใครจำว่าเขาเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซู  เขาหวังว่าการคลุกคลีอย่างปล่อยตัวในฝูงชนจะทำให้คนที่นำพระเยซูมายังห้องโถงรับเขาไว้เป็นคนหนึ่งในกลุ่ม  {DA 710.4}        

แต่เมื่อแสงส่องวาบมายังใบหน้าของเปโตร หญิงคนที่เฝ้าประตูก็จ้องมองใบหน้าของเขา  เธอเห็นว่าเขาเข้ามาพร้อมยอห์น เธอมองเห็นความเศร้าสลดบนใบหน้าของเขาและคิดว่าเขาน่าจะเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซู  เธอเป็นคนรับใช้คนหนึ่งในบ้านของคายาฟาส และจึงอยากรู้  เธอพูดกับเปโตรว่า "ท่านก็เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?"  เปโตรสะดุ้งตกใจและสับสน สายตาของคนในกลุ่มจ้องมาทางเขา  เขาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเธอ แต่เธอยังคงยืนกรานและพูดกับคนรอบข้างว่าชายคนนี้อยู่กับพระเยซู  เปโตรรู้สึกถูกบังคับให้ตอบและพูดด้วยความโกรธว่า "หญิงเอ๋ย คนนั้นข้าไม่รู้จัก" นี่เป็นการปฏิเสธครั้งแรกและในทันใดนั้นไก่ก็ขัน  โอ เปโตร ทำให้พระอาจารย์อับอายได้เร็วอย่างนี้เชียวหรือ! ใยจึงปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้หนอ! {DA 710.5}                        

เมื่อสาวกยอห์นเข้าไปในห้องพิพากษา เขาไม่ได้พยายามปกปิดความจริงว่าเขาเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของพระเยซู  เขาไม่ได้คลุกคลีกับกลุ่มคนหยาบโลนที่กำลังเสียดสีพระอาจารย์ของเขา  เขาไม่ถูกสอบสวนเพราะเขาไม่ได้เสแสร้งแสดงลักษณะจอมปลอมและด้วยเหตุนี้จึงไม่ทำให้ตัวเองตกเป็นที่สงสัย  เขาหามุมสงบห่างไกลจากการสังเกตของฝูงชนแต่ใกล้พระเยซูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตรงจุดนี้เขามองเห็นและได้ยินทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในการพิพากษาสอบสวนองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา  {DA 711.1}                          

เปโตรไม่จงใจเปิดเผยสถานภาพของตนเอง  ด้วยการทำตัวอย่างไม่แยแสเขาเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในดินแดนของศัตรูและตกเป็นเหยื่อต่อการทดลองได้ง่าย  หากเขาได้รับบัญชาให้ออกไปต่อสู้เพื่อพระอาจารย์แล้ว เขาคงจะเป็นทหารที่เก่งกล้า แต่เมื่อมีนิ้วมือที่ดูหมิ่นเหยียดหยามชี้ตรงมายังตัวเขา ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด  มีคนมากมายที่ไม่หดตัวถอยหนีไปจากการต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่กลับถูกความเย้ยหยันผลักดันให้ปฏิเสธความเชื่อของตนเอง  การไปคบค้าสมาคมกับคนที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเส้นทางของการทดลอง  พวกเขาเชิญศัตรูให้เข้ามาทดลองพวกเขา และถูกชักนำให้พูดและทำในสิ่งที่พวกเขาจะไม่ทำผิดถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์อื่น  สาวกของพระคริสต์ในยุคสมัยของเราที่อำพรางความเชื่อเพราะกลัวถูกทรมานหรือถูกตำหนิก็กำลังปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาเช่นเดียวกับที่เปโตรทำในห้องโถงพิพากษา  {DA 712.1}                           

เปโตรพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจการพิจารณาคดีพระอาจารย์ของเขา แต่หัวใจของเขาถูกบีบคั้นด้วยความโศกเศร้าเมื่อได้ยินคำล้อเลียนเสียดสีอย่างโหดร้ายและเห็นถึงการทารุณกรรมที่พระองค์กำลังทนทุกข์อยู่  แต่ที่มากกว่านั้นคือ เขารู้สึกแปลกใจและโกรธที่พระเยซูทำให้ตัวเองและผู้ติดตามของพระองค์ขายหน้าด้วยการยอมให้คนอื่นปฏิบัติเช่นนี้   เขาปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองโดยพยายามเข้าร่วมกับผู้ข่มเหงพระเยซูในการเล่นตลกหยอกเย้าอย่างไม่ถูกกาละเทศะ  แต่ท่าทางของเขาดูไม่เป็นธรรมชาติ  เขากำลังแสดงเรื่องโกหกอยู่ และในขณะที่พยายามพูดอย่างไม่แยแส เขาก็ไม่อาจยับยั้งการแสดงความขุ่นเคืองต่อการทารุณกรรมที่กองสุมใส่พระอาจารย์ของเขา  {DA 712.2}                                  

ความสนใจในตัวเขาเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง และอีกครั้งหนึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของพระเยซู  ครั้งนี้เขาประกาศพร้อมสาบานว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น"  แต่ยังมีอีกโอกาสหนึ่งที่จะเปิดให้แก่เขา  หนึ่งชั่วโมงผ่านไป คนใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตที่เป็นญาติของชายที่ใบหูถูกเปโตรตัดขาดได้มาถามเขาว่า "ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ? " “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ เพราะว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลีและสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง”  เมื่อได้ยินเช่นนี้ เปโตรระเบิดออกมาด้วยความโกรธ  สาวกของพระเยซูมีความโดดเด่นในเรื่องความบริสุทธิ์ของภาษา ดังนั้นเพื่อจะหลอกคนถามได้อย่างตายใจและแสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงที่เขาแสร้งทำอยู่ ครั้งนี้เปโตรจึงปฏิเสธพระอาจารย์ด้วยคำสบถและการสาบาน  ไก่ขันอีกครั้ง  เมื่อเปโตรได้ยินเสียงไก่แล้ว เขาจำพระดำรัสของพระเยซูได้ที่ว่า "ในวันนี้คือในคืนนี้เอง ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง" มาระโก 14 ข้อที่ 30  {DA 712.3}                              

ในขณะที่คำสาบานอันต่ำช้ายังสดใหม่อยู่บนริมฝีปากของเปโตรและเสียงไก่ขันโหยหวนยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา พระผู้ช่วยให้รอดทรงหันพระพักตร์จากผู้พิพากษาหน้าบึ้งตึงและทรงจ้องมองมายังสาวกที่น่าสงสารของพระองค์อย่างเต็มตา  ในขณะเดียวกันดวงตาของเปโตรก็จ้องไปที่พระอาจารย์ของเขา  ในพระพักตร์อันอ่อนโยนนั้น เขาอ่านเจอความสงสารและความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่มีความโกรธบนพระพักตร์นั้น  {DA 712.4}                         

ภาพพระพักตร์อันระทมทุกข์ซีดเซียว พระโอษฐ์อันสั่นเทา รวมถึงสายพระเนตรแห่งความเมตตาและให้อภัย เป็นดั่งลูกศรที่ทิ่มแทงหัวใจของเขา  จิตใต้สำนึกถูกปลุกให้ตื่น  ความทรงจำเริ่มทำงาน  เปโตรหวนคิดได้ถึงคำสัญญาของตนเองที่พูดไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้ว่าเขาจะไปกับพระผู้เป็นเจ้าของเขาถึงเรือนจำและความตาย  เขาจำได้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าของตนเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงบอกเขาในห้องชั้นบนว่าเขาจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาสามครั้งในคืนนั้น  เปโตรเพิ่งจะประกาศว่าเขาไม่รู้จักพระเยซูแต่ในเวลานี้เขาตระหนักด้วยความเศร้าโศกอย่างขมขื่นว่า พระเจ้าของเขารู้จักเขาดีเพียงใดและทรงอ่านใจของเขาได้แม่นยำเพียงใดถึงความจอมปลอมที่แม้ตัวเขาเองยังไม่เคยรู้เลย  {DA 713.1}                              

กระแสแห่งความทรงจำโหมกระหน่ำใส่เขา  พระเมตตาอันอ่อนโยนของพระผู้ช่วยให้รอด ความกรุณาปรานีและความอดทนนาน ความอ่อนโยนและความอดทนของพระองค์ที่มีต่อสาวกที่ทำผิดของพระองค์  ทั้งหมดนี้เขาจำได้  เขาหวนคิดถึงคำเตือนที่ว่า "ซีโมนเอ๋ย นี่แน่ะ ซาตานขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี  แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด" ลูกา 22 ข้อที่ 31, 32  เขาคิดสะท้อนด้วยความขยะแขยงถึงความอกตัญญู การหลอกลวงและการสาบานเท็จของตนเอง  อีกครั้งที่เขามองไปยังพระอาจารย์ของเขาและเห็นมือที่เหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชูขึ้นตบพระพักตร์ของพระองค์  เขาทนภาพที่เห็นไม่ได้อีกต่อไป เขาวิ่งออกไปจากห้องโถงพิพากษาด้วยหัวใจที่แตกสลาย  {DA 713.2}                

เขาวิ่งต่อไปในความอ้างว้างโดดเดี่ยวและมืดมิด เขาไม่รู้และไม่สนใจว่าจะมุ่งหน้าไปทิศทางใด  ในที่สุดเขามาหยุดอยู่ในสวนเกทเสมนี  ภาพเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วแล่นผ่านความคิดของเขาอย่างชัดเจน  ภาพพระพักตร์อันทนทุกข์ทรมานขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเปื้อนด้วยเหงื่อระคนด้วยพระโลหิตและสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา  ด้วยความขมขื่นอย่างเศร้าเสียใจ เขาจำได้ว่าพระเยซูทรงกันแสงและทนทุกข์ทรมานในการอธิษฐานเพียงลำพัง ในขณะที่ผู้ควรร่วมเป็นหนึ่งด้วยกันกับพระองค์ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานนี้กลับนอนหลับอยู่  เขาจำคำสั่งอันเคร่งขรึมของพระองค์ได้ที่ว่า "ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง" มัทธิว 26 ข้อที่ 41  อีกครั้งหนึ่งเขาเห็นกับตาฉากในห้องโถงพิพากษา  มันเป็นความทุกข์ทรมานต่อหัวใจที่แตกสลายอยู่ที่รับรู้ว่าเขาได้เพิ่มภาระหนักที่สุดให้กับความอัปยศอดสูและความเศร้าโศกของพระผู้ช่วยให้รอด  ตรงบริเวณเดียวกับที่พระเยซูทรงเทจิตวิญญาณของพระองค์ไปยังพระบิดาด้วยความทุกข์ระทมนั้นเปโตรก็ได้ล้มพับซบหน้าลงไปกับพื้นและร้องขอความตาย  {DA 713.3}                                  

พระเยซูทรงบัญชาให้เปโตรเฝ้าระวังและอธิษฐาน และในขณะหลับที่เปโตรปูทางให้บาปยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับเขา  ด้วยการหลับในช่วงวิกฤตที่ทำให้สาวกทั้งหมดประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่  พระคริสต์ทรงตระหนักดีถึงการปล้ำสู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาจะต้องเดินผ่าน  พระองค์ทรงทราบดีว่าซาตานจะลงมืออย่างไรเพื่อทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเป็นอัมพาตไปเพื่อจะไม่พร้อมเผชิญหน้ากับการทดลอง  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงประทานคำเตือน  ถ้าเปโตรใช้เวลาในสวนเฝ้าระวังและอธิษฐานแล้ว เขาจะไม่ถูกปล่อยให้ต้องพึ่งพากำลังอันอ่อนแอของตนเอง  เขาก็ไม่น่าที่จะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา  ถ้าพวกสาวกเฝ้าระวังร่วมกับพระคริสต์ในการต่อสู้ดิ้นรนของพระองค์แล้ว พวกเขาก็น่าจะพร้อมเฝ้ามองความทุกข์ทรมานของพระองค์บนไม้กางเขนได้  พวกเขาน่าจะเข้าใจได้ในระดับหนึ่งถึงธรรมชาติของความปวดร้าวที่เหนือกำลังพระองค์  พวกเขาน่าจะระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ที่บอกล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมาน การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์  ท่ามกลางความเศร้าโศกของชั่วโมงแห่งความทรมานที่สุดนั้น บางส่วนของลำแสงแห่งความหวังน่าจะส่องสว่างขึ้นในความมืดและค้ำจุนความเชื่อของพวกเขาเอาไว้ได้  {DA 713.4}                      

ทันทีที่เป็นเวลากลางวัน สภาซันเฮดรินก็มารวมตัวกันอีกครั้ง และอีกครั้งหนึ่งพวกเขพาพระเยซูไปยังห้องประชุมสภา พระองค์ทรงเปิดเผยแล้วว่าพระองค์เองทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและพวกเขาเอาพระดำรัสของพระองค์มาตีความให้เป็นข้อกล่าวหาพระองค์  แต่พวกเขาเอาเรื่องนี้มากำหนดโทษประหารพระองค์ไม่ได้ เพราะมีหลายคนไม่ได้เข้าร่วมการสอบสวนในช่วงกลางดึกและไม่ได้ยินพระดำรัสของพระองค์  และพวกเขาทราบดีว่าศาลยุติธรรมของโรมจะไม่ถือว่าเป็นข้อมูลเพียงพอเพื่อกำหนดโทษประหาร  แต่ถ้าพวกเขาทุกคนจะได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระองค์กล่าวคำนี้ซ้ำอีกครั้งแล้ว พวกเขาก็จะได้ตามเป้าที่มุ่งหมายไว้  พวกเขาจะตีความคำกล่าวอ้างเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ให้เป็นการปลุกระดมทางการเมือง  {DA 714.1}                          

"ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ " พวกเขากล่าว "จงบอกเราเถิด” แต่พระคริสต์ยังคงเงียบ  พวกเขายังคงกระหน่ำคำถามใส่พระองค์ต่อไป ในที่สุดพระองค์ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกอย่างน่าสงสารว่า “ถึงเราจะบอกท่าน ท่านก็จะไม่เชื่อ  และถึงเราถามท่าน ท่านก็จะไม่ตอบเรา และจะไม่ปล่อยให้เราไป"   แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาจะถูกปล่อยไว้โดยไม่มีข้อแก้ตัว พระองค์จึงทรงเพิ่มคำเตือนอันเคร่งขรึมว่า "แต่ตั้งแต่นี้ไปบุตรมนุษย์จะนั่งข้างขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ" ลูกา 22 ข้อที่ 67 68 TKJV  {DA 714.2}                     

เจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือ?” พวกเขาถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน  พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ”ก็ท่านพูดแล้วว่าเราเป็น" พวกเขาร้องว่า “เราต้องการพยานอะไรอีก? เพราะว่าเราได้ยินจากปากของเขาเองแล้ว"  {DA 714.3}                    

และจากการกล่าวโทษครั้งที่สามของเจ้าหน้าที่ชาวยิวนี่เอง พระเยซูจึงต้องตาย  พวกเขาคิดว่าสิ่งทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำในเวลานี้คือ ทำให้ชาวโรมันรับรองคำตัดสินประหารนี้และส่งมอบพระองค์ให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา  {DA 714.4}                            

จากนั้นก็เป็นภาพการทารุณกรรมและการเยาะเย้ยถากถางครั้งที่สามซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าการทารุณกรรมที่ได้รับจากคนต่ำช้าขาดความรู้  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองและได้รับการอนุมัติของพวกเขา ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือความมีมนุษยธรรมได้หายไปจากหัวใจของพวกเขาแล้ว  หากหลักฐานของพวกเขาไม่หนักแน่นพอและทำให้พระสุรเสียงของพระองค์เงียบไปไม่ได้แล้ว พวกเขายังมีอาวุธอื่นอย่างเช่นการทรมานและความรุนแรงและความตายที่ใช้ในทุกยุคเพื่อทำให้คนนอกรีตเงียบไป  {DA 714.5}                                     

เมื่อผู้พิพากษาประกาศสั่งตัดสินโทษพระเยซูแล้ว ความเดือดดาลเยี่ยงซาตานก็เข้าครอบงำฝูงชน  เสียงคำรามดังราวกับเสียงคำรามของสัตว์ป่า  ฝูงชนวิ่งกรูเข้าใส่พระเยซูร้องว่า พระองค์ผิด เอาไปประหารชีวิตเสีย!  หากไม่มีทหารโรมันแล้ว พระเยซูคงจะไม่มีชีวิตอยู่ไปจนถึงการตรึงบนกางเขนคาลวารี  พระองค์คงถูกฉีกเป็นชิ้นต่อหน้าผู้พิพากษาของพระองค์แน่หากไม่ได้มีอำนาจของโรมันเข้าแทรกแซงและยับยั้งความรุนแรงของฝูงชนด้วยกำลังอาวุธ  {DA 715.1}   

คนนอกศาสนาโกรธเมื่อเห็นการปฏิบัติอย่างป่าเถื่อนต่อผู้ที่ยังไม่ได้ผ่านการพิพากษา  เจ้าหน้าที่ชาวโรมันประกาศว่า การประกาศกำหนดโทษพระเยซูเช่นนี้ ชาวยิวได้ละเมิดอำนาจของโรมันและยังเป็นการขัดต่อกฎหมายของชาวยิวที่จะประณามชายคนหนึ่งให้ถึงแก่ความตายด้วยคำให้การของตัวเขาเอง  การแทรกแซงนี้ทำให้ขบวนการต่างๆ ชะงักแน่นิ่งไปชั่วครู่ แต่ความสงสารและความอับอายของผู้นำชาวยิวตายด้านไปเสียแล้ว  {DA 715.2}                        

พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองต่างลืมศักดิ์ศรีของตำแหน่งของพวกเขาเอง และกระทำทารุณกรรมต่อพระบุตรของพระเจ้าด้วยคำหยาบคายอย่างไม่สุภาพ  พวกเขาเสียดสีเรื่องเชื้อสายบรรพบุรุษของพระองค์  พวกเขาประกาศว่าคำอ้างประกาศตนเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ทำให้พระองค์สมควรได้รับความตายอย่างน่าอับอายที่สุด  คนไร้ศีลธรรมเลวทรามที่สุดลงมือกระทำทารุณกรรมอย่างน่าอับอายต่อพระผู้ช่วยให้รอด  เสื้อเก่าตัวหนึ่งถูกขว้างลงบนพระเศียรและผู้ข่มเหงของพระองค์ตบพระพักตร์ของพระองค์แล้วพูดว่า "เจ้าพระคริสต์ จงทำนายให้เรารู้ซิว่าใครตีเจ้า"  เมื่อดึงเสื้อออก คนถ่อยต่ำช้าคนหนึ่งถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์ของพระองค์  {DA 715.3}

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจดบันทึกทุกการมอง ทุกคำพูดและทุกการกระทำที่ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้าผู้บัญชาการอันเป็นที่รักของพวกเขาไว้อย่างสัตย์ซื่อ  วันหนึ่งคนชั่วที่ดูหมิ่นและถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์อันสงบซีดเซียวของพระคริสต์จะได้มองเห็นรัศมีภาพที่ส่องสว่างยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์บนพระพักตร์นั้น  {DA 715.4}                                      

**********