บทที่ 41
วิกฤตที่แคว้นกาลิลี
บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 6 ข้อที่ 22-71
เมื่อพระคริสต์ทรงห้ามประชาชนสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น พระองค์ทรงทราบว่าจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของพระองค์มาถึงแล้ว มหาชนที่ต้องการยกพระองค์ขึ้นบัลลังก์ในวันนี้จะหันไปจากพระองค์ในวันรุ่งขึ้น ความผิดหวังจากความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาจะเปลี่ยนความรักของพวกเขาเป็นความเกลียดชังและคำสรรเสริญเป็นคำสาปแช่ง กระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ใช้มาตรการใดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตนี้ ตั้งแต่แรกแล้ว พระองค์ไม่ทรงเคยมอบความหวังทางโลกใดๆ ให้แก่ผู้ติดตามของพระองค์ สำหรับคนที่ปรารถนาจะเป็นสาวกของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า "หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” มัทธิว 8 ข้อที่ 20 หากมนุษย์สามารถครองโลกร่วมกับพระคริสต์ได้ มหาชนก็คงจะถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์แล้ว แต่พระองค์ไม่อาจยอมรับการรับใช้พระองค์ในลักษณะเช่นนี้ได้ บรรดาคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ในเวลานี้ มีคนจำนวนมากที่ถูกความหวังของอาณาจักรฝ่ายโลกดึงดูด คนเหล่านี้จะต้องไม่ถูกหลอก พวกเขายังไม่เข้าใจคำสอนทางจิตวิญญาณของการอัศจรรย์เรื่องขนมปังอย่างลึกซึ้ง จะต้องทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน และการเปิดเผยใหม่นี้จะนำการทดสอบมาใกล้ตัวมากยิ่งขึ้นด้วย {DA 383.1}
การอัศจรรย์เรื่องขนมปังถูกรายงานไปอย่างแพร่หลายทั้งใกล้และไกล และในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผู้คนพากันไปเข้าเฝ้าพระเยซูที่เมืองเบธไซดา พวกเขาพากันมาเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ทั้งทางบกและทางทะเล บรรดาผู้ที่จากพระองค์ไปในคืนก่อนได้เดินทางกลับมาด้วยความคาดหวังว่าจะพบพระองค์ยังคงอยู่ที่นั่น เพราะไม่มีเรือลำใดนำพระองค์ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง พวกเขาตามหาแต่ก็ไม่พบพระองค์ และหลายคนที่กลับไปยังเมืองคาเปอรนาอุมก็ยังคงตามหาพระองค์ต่อไป {DA 383.2}
ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็เสด็จมาถึงเมืองเยนเนซาเรทหลังจากที่ทรงหายตัวไปเพียงแค่วันเดียว ทันทีที่ประชาชนรู้ว่าพระองค์เสด็จขึ้นฝั่งแล้ว ผู้คนต่าง "รีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เริ่มเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์อยู่นั้น" มาระโก 6 ข้อที่ 55 {DA 384.1}
หลังจากนั้นไม่นานพระองค์เสด็จไปยังธรรมศาลาและคนเหล่านั้นที่มาจากเบธไซดาก็พบพระองค์ที่นั่น พวกเขาเรียนรู้จากสาวกของพระองค์ว่าพระองค์ทรงข้ามทะเลมาได้อย่างไร ความรุนแรงของพายุร้ายและการพายเรือโต้คลื่นลมหลายชั่วโมงแต่ไปไม่ถึงไหน การปรากฏกายของพระคริสต์ด้วยการดำเนินบนน้ำซึ่งทำให้พวกเขากลัว พระดำรัสแห่งความมั่นใจ การผจญภัยของเปโตรและผลลัพธ์ที่ตามมาพร้อมกับพายุที่นิ่งสงบอย่างกะทันหันและเรือที่เข้าเทียบท่าเป็นเรื่องทั้งหมดที่พวกสาวกเล่าด้วยความจริงใจให้แก่ฝูงชนที่ฟังด้วยความฉงนสนเท่ห์ ฝูงชนไม่พอใจกับการฟังเพียงเท่านี้ พวกเขาพากันมาล้อมพระเยซูและทูลถามว่า "ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร?" พวกเขาหวังว่าจะได้ฟังรายละเอียดเรื่องการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง {DA 384.2}
พระเยซูไม่ทรงสนองความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา พระองค์ตรัสด้วยความเศร้าพระทัยว่า "ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม" พวกเขาไม่ได้แสวงหาพระองค์จากแรงจูงใจที่มีคุณค่าแต่เพราะอิ่มท้องด้วยขนมปัง พวกเขายังหวังที่จะได้รับผลประโยชน์ทางโลกโดยการผูกติดอยู่กับพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงบัญชาพวกเขาว่า "อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์" อย่าแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุ อย่าไปทุ่มแรงส่วนใหญ่ให้กับการเลี้ยงดูชีวิตในปัจจุบัน แต่ให้แสวงหาอาหารฝ่ายจิตวิญญาณแม้กระทั่งสติปัญญาซึ่งจะยั่งยืนอยู่นานจนถึงชีวิตนิรันดร์ เรื่องนี้พระบุตรของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ประทานให้ได้ "เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว" {DA 384.3}
ชั่วขณะหนึ่งความสนใจของผู้ฟังถูกปลุกขึ้น พวกเขาอุทานว่า "เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของพระเจ้าได้?" พวกเขาได้ปฏิบัติงานมากมายและอย่างยากลำบากเพื่อที่จะได้รับการรับรองว่าพวกเขาจะเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า และพวกเขาพร้อมที่จะรับฟังการปฏิบัติใหม่ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น คำถามของพวกเขาหมายถึง เราควรจะทำอย่างไรเพื่อที่เราจะคู่ควรกับสวรรค์? เราจะต้องจ่ายราคาเท่าไรเพื่อจะได้รับชีวิตที่จะมาถึง? {DA 385.1}
"พระเยซูตรัสตอบเขาว่า งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา" ราคาของสวรรค์คือพระเยซู ความเชื่อใน "พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป" เป็นทางนำไปสู่สวรรค์ ยอห์น 1 ข้อที่ 29 {DA 385.2}
แต่ประชาชนไม่ได้เลือกที่จะรับข้อความแห่งความจริงนี้ของพระเจ้า พระเยซูทรงประกอบกิจของพระเมสสิยาห์ตามที่คำพยากรณ์บอกไว้ล่วงหน้า แต่พวกเขาไม่ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานพระราชกิจของพระองค์ตามที่ความหวังอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาได้วาดภาพไว้ แน่นอนทีเดียวพระคริสต์ทรงเลี้ยงฝูงชนด้วยขนมปังบาร์เลย์มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ในสมัยของโมเสสพระเจ้าทรงเลี้ยงชนชาติอิสราเอลด้วยมานานานถึงสี่สิบปีและพวกเขาคาดหวังพระเมสสิยาห์ประทานพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ หัวใจที่ไม่รู้สึกพึงพอใจของพวกสงสัยว่า ในเมื่อพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์มากมายตามที่พวกเขาได้เห็นเป็นประจักษ์พยานมาแล้วนั้น ทำไมพระองค์จึงไม่ประทานสุขภาพอนามัย กำลังและความร่ำรวยมั่งคั่งแก่ประชากรของพระองค์และปลดปล่อยพวกเขาจากผู้ที่กดขี่และยกพวกเขาขึ้นให้มีอำนาจและเกียรติยศเล่า? จริงอยู่ที่พระองค์ทรงอ้างว่าพระเจ้าทรงส่งพระองค์มาแต่กลับปฏิเสธที่จะเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล เป็นเรื่องลึกลับที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาเข้าใจการปฏิเสธของพระองค์ผิดไป หลายคนสรุปว่าพระองค์ไม่กล้าแสดงสิทธิตามคำอ้างของพระองค์เพราะพระองค์เองทรงสงสัยพระลักษณะความเป็นพระเจ้าในภารกิจของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้พวกเขาจึงเปิดใจให้กับความไม่เชื่อ และเมล็ดพันธุ์ที่ซาตานหว่านไว้นี้ก็เกิดผลตามชนิดของมันออกมาเป็นความเข้าใจผิดและการเอาใจออกห่าง {DA 385.3}
บัดนี้ธรรมจารย์คนหนึ่งถามอย่างเย้ยหยันขึ้นมาว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน? ท่านจะทำอะไร? บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ท่านให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์" {DA 385.4}
ชาวยิวให้เกียรติโมเสสในฐานะผู้ให้มานา โดยยกย่องสรรเสริญผู้ที่เป็นเครื่องมือคนนี้และมองไม่เห็นพระองค์ผู้ทรงทำให้พระราชกิจนี้สำเร็จ บรรพบุรุษของพวกเขาบ่นต่อว่าโมเสส อีกทั้งยังสงสัยและปฏิเสธพันธกิจของพระเจ้าที่โมเสสกระทำ บัดนี้ด้วยจิตวิญญาณอันเดียวกันเหล่าบุตรทั้งหลายปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงนำข่าวสารมาให้แก่พวกเขาเอง "พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน’" พระเจ้าผู้ประทานมานาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา พระคริสต์เองทรงเป็นผู้นำชาวฮีบรูผ่านถิ่นทุรกันดารและทรงเลี้ยงพวกเขาด้วยอาหารจากสวรรค์ทุกวัน อาหารนั้นเป็นต้นแบบของอาหารแท้จากสวรรค์ พระวิญญาณที่ให้ชีวิตซึ่งไหลมาจากความบริบูรณ์อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าคือมานาที่แท้จริง พระเยซูตรัสว่า "อาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก" ยอห์น 6 ข้อที่ 33 {DA 385.5}
ด้วยยังคงคิดว่าอาหารที่พระเยซูทรงอ้างถึงเป็นอาหารทางฝ่ายกาย ผู้ฟังบางคนจึงร้องอุทานขึ้นมาว่า "ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด" จากนั้นพระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต" {DA 386.1}
พระคริสต์ทรงใช้ตัวอย่างภาพที่ชาวยิวคุ้นเคย โมเสสได้กล่าวภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า "มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงสิ่งเดียว แต่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์" และผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เขียนว่า "เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์" เฉลยธรรมบัญญัติ 8 ข้อที่ 3; เยเรมีย์ 15 ข้อที่ 16 พวกธรรมาจารย์เองก็มีคำกล่าวว่าการรับประทานขนมปังนั้นมีความสำคัญทางจิตวิญญาณในตัวเองอันได้แก่การศึกษาธรรมบัญญัติและการประพฤติดี และมักกล่าวกันอยู่เสมอว่า เมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา ชาวอิสราเอลทุกคนจะอิ่ม คำสอนของผู้เผยพระวจนะทำให้เข้าใจบทเรียนฝ่ายจิตวิญญาณอันลึกซึ้งในเรื่องการอัศจรรย์ของขนมปัง บทเรียนนี้พระคริสต์ทรงหาทางที่จะเปิดเผยให้แก่ผู้ฟังของพระองค์ในธรรมศาลา หากพวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์ พวกเขาก็คงจะเข้าใจพระดำรัสของพระองค์เมื่อพระองค์ตรัสว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต" เมื่อวันก่อนนี้เองฝูงชนจำนวนมากที่อ่อนเปลี้ยและเหนื่อยล้าได้รับประทานขนมปังที่พระองค์ประทาน ขนมปังทำให้ร่างกายของพวกเขามีกำลังวังชาและทำให้สดชื่นขึ้นมาได้ฉันใดพระคริสต์ก็จะทำให้พวกเขาได้รับความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณจนถึงชีวิตนิรันดร์เช่นกันฉันนั้น "คนที่มาหาเรา" พระองค์ตรัสว่า "จะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย" แต่พระองค์ทรงกล่าวเพิ่มเติมว่า "ท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่วางใจ" {DA 386.2}
พวกเขาเคยเห็นพระคริสต์จากคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์และจากการเปิดเผยเรื่องพระเจ้าที่มีต่อจิตวิญญาณของพวกเขา หลักฐานที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับอำนาจของพระองค์ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขาวันแล้ววันเล่า แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังทูลขอหมายสำคัญอื่นเพิ่มเติม หากประทานหลักฐานนี้ให้แก่พวกเขาแล้ว พวกเขาก็คงยังไม่เชื่อเช่นเดิม ถ้าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินแล้ว ก็เป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะแสดงการอัศจรรย์เพิ่มเติมให้แก่พวกเขา ความไม่เชื่อจะหาข้อแก้ตัวให้แก่ความสงสัยได้อยู่เสมอและจะหาเหตุผลเพื่อแก้ต่างให้แก่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุด {DA 386.3}
อีกครั้งที่พระคริสต์ทรงอ้อนวอนหัวใจที่ดื้อรั้นเหล่านั้น "ผู้คนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย" ทุกคนที่รับพระองค์ด้วยความเชื่อ พระองค์ตรัสว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์อย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดจะต้องพินาศ ไม่จำเป็นต้องให้พวกฟาริสีและสะดูสีโต้แย้งกันถึงเรื่องชีวิตในอนาคต ไม่จำเป็นต้องให้ใครคร่ำครวญอย่างสิ้นหวังเพื่อคนตายของพวกเขาอีกต่อไป "เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย" {DA 386.4}
แต่พวกผู้นำของประชาชนโกรธ "พวกเขาพูดกันว่า ‘คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์?’" พวกเขาพยายามปลุกอคติโดยอ้างถึงพระกำเนิดอันต่ำต้อยของพระเยซูอย่างดูแคลน พวกเขาดูถูกเหยียดหยามชีวิตของพระองค์ในฐานะกรรมกรชาวกาลิลีและดูถูกครอบครัวของพระองค์ว่ายากจนและต่ำต้อย คำอ้างของช่างไม้ไร้การศึกษาคนนี้ไม่คู่ควรแก่ความสนใจของพวกเขา และเนื่องจากการประสูติที่ลึกลับของพระองค์ พวกเขาจึงพูดเป็นนัยว่าพระองค์ทรงมีบิดามารดาที่น่ากังขา ด้วยเหตุนี้สภาพการณ์ความเป็นมนุษย์ในเรื่องการประสูติของพระองค์จึงเป็นดังสัญลักษณ์แห่งรอยด่างพร้อยในประวัติของพระองค์ {DA 387.1}
พระเยซูไม่ทรงพยายามอธิบายความลึกลับเรื่องการประสูติของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงตอบคำถามเกี่ยวกับการเสด็จลงมาจากสวรรค์ของพระองค์เหมือนที่พระองค์ไม่ทรงตอบคำถามเรื่องการข้ามทะเลสาบของพระองค์ พระองค์ไม่ได้เรียกร้องให้สนใจการอัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดกับชีวิตของพระองค์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยให้ตัวพระองค์เองไม่มีชื่อเสียงและทรงยอมรับสภาพของผู้รับใช้ แต่พระดำรัสและพระราชกิจของพระองค์เผยให้เห็นพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ทุกคนที่เปิดใจรับแสงสว่างจากพระเจ้าจะรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็น “พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” ยอห์น 1 ข้อที่ 14 {DA 387.2}
อคติของพวกฟาริสีอยู่ลึกลงไปกว่าที่คำถามชี้บอกออกมา อคติที่มีรากเหง้ามาจากความวิปริตของจิตใจของพวกเขา ทุกพระดำรัสและพระราชกิจของพระเยซูกระตุ้นการเป็นปฏิปักษ์ในตัวของพวกเขา เพราะจิตวิญญาณที่พวกเขาเก็บถนอมไว้ไม่อาจพบเสียงตอบที่ผสานเข้ากับพระองค์ได้เลย {DA 387.3}
“ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน’ ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา” ไม่มีใครจะมาถึงพระคริสต์ได้นอกจากผู้ที่ตอบสนองต่อภาพแห่งความรักของพระบิดา แต่พระเจ้าทรงกำลังชักนำหัวใจทั้งหมดให้เข้ามาหาพระองค์ และมีเพียงผู้ที่ต่อต้านการชักนำของพระองค์เท่านั้นที่จะปฏิเสธการมาเข้าเฝ้าพระคริสต์ {DA 387.4}
ในพระดำรัสที่ว่า “พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน” พระเยซูทรงอ้างถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ข้อที่ “บุตรทุกคนของเจ้าจะได้รับการสั่งสอนจากพระยาห์เวห์ และบุตรทั้งหลายของเจ้าจะมีสวัสดิภาพเป็นอย่างมาก” อิสยาห์ 54 ข้อที่ 13 ข้อพระคัมภีร์นี้ชาวยิวยกประโยชน์มาให้แก่ตัวพวกเขาเอง พวกเขาโอ้อวดว่าพระเจ้าทรงเป็นพระอาจารย์ของพวกเขา แต่พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าคำกล่าวอ้างนี้ไร้ประโยชน์มากเพียงใด เพราะพระองค์ตรัสว่า “ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา” โดยทางพระคริสต์เท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับความรู้เรื่องพระบิดา มนุษยชาติไม่อาจทนมองพระสิริของพระบิดาได้ บรรดาผู้ที่ได้รับการสั่งสอนเรื่องพระเจ้าเป็นผู้ที่คอยติดตามฟังพระสุรเสียงของพระบุตรของพระองค์ และพวกเขาจะจดจำพระเจ้าได้จากในพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธผู้ทรงเปิดเผยพระบิดาผ่านทางธรรมชาติและการสำแดงให้เห็น {DA 387.5}
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราก็มีชีวิตนิรันดร์” TKJV ยอห์นผู้เป็นที่รักของพระเยซูได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์mi’ประกาศต่อคริสตจักรต่างๆ ผ่านทางท่านว่า “พยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต” ยอห์น 5 ข้อที่ 11, 12 และพระเยซูตรัสว่า “เราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” พระคริสต์ทรงเป็นเนื้อเดียวกับเราเพื่อที่เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทางจิตวิญญาณ โดยคุณความดีของการเป็นหนึ่งเดียวนี้ที่ทำให้พวกเราก้าวออกจากหลุมฝังศพได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์เท่านั้น แต่เพราะโดยความเชื่อชีวิตของพระองค์จึงกลายมาเป็นของพวกเรา ผู้ที่มองเห็นพระคริสต์ในพระลักษณะนิสัยที่แท้จริงของพระองค์และต้อนรับพระองค์เข้ามาในหัวใจจะมีชีวิตนิรันดร์ พระคริสต์ทรงอยู่ในเราผ่านทางพระวิญญาณ และพระวิญญาณของพระเจ้าเมื่อรับเข้าสู่หัวใจโดยความเชื่อแล้ว เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตนิรันดร์ {DA 388.1}
ประชาชนได้อ้างกับพระคริสต์เรื่องมานาซึ่งเป็นอาหารที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยรับประทานในถิ่นทุรกันดารราวกับว่าการจัดสรรอาหารในครั้งนั้นเป็นการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเยซูได้ทรงกระทำ แต่พระองค์ทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าของประทานนั้นมีค่าน้อยนิดเพียงใดเมื่อเทียบกับพระพรที่พระองค์เสด็จมาประทาน มานาแค่บำรุงเลี้ยงให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้เท่านั้น มานาขัดขวางการบุกรุกของความตายไม่ได้ หรือประกันความเป็นอมตะก็ไม่ได้ แต่อาหารแห่งชีวิตที่มาจากสวรรค์บำรุงจิตวิญญาณจนถึงชีวิตนิรันดร์ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์” บัดนี้พระคริสต์ได้ทรงเพิ่มอีกภาพหนึ่งขึ้นมาจากเดิม โดยผ่านทางการตายเท่านั้นที่พระองค์จะประทานชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ และด้วยพระดำรัสที่ตรัสต่อมาพระองค์ได้ทรงเน้นไปที่การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่าเป็นหนทางแห่งความรอดจากบาป พระองค์ตรัสว่า “อาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” {DA 388.2}
ที่กรุงเยรูซาเล็มชาวยิวกำลังจะฉลองเทศกาลปัสกาเพื่อรำลึกถึงค่ำคืนแห่งการช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลขณะที่ทูตสวรรค์ผู้ทำลายล้างบุกบ้านของคนอียิปต์ พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขามองเห็นพระเมษโปดกของพระเจ้าจากตัวลูกแกะที่ถวายสำหรับเทศกาลปัสกานั้น และผ่านทางสัญลักษณ์นี้ทรงประสงค์ให้พวกเขารับพระองค์ผู้ประทานพระองค์เองเพื่อชีวิตของโลก แต่ชาวยิวกลับยกชูสัญลักษณ์ให้มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นทั้งปวงโดยไม่ใส่ใจความหมายของสัญลักษณ์นั้น พวกเขามองไม่เห็นพระวรกายของพระเจ้า พระดำรัสของพระคริสต์สอนความจริงเดียวกันที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ในเทศกาลปัสกานั้น แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ {DA 388.3}
บัดนี้พวกธรรมาจารย์ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” เป็นคำถามที่มีลักษณะคล้ายกับคำถามของนิโคเดมัสเมื่อเขาถามว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?” ยอห์น 3 ข้อที่ 4 พวกเขาเข้าใจความหมายของพระดำรัสของพระเยซูในระดับหนึ่ง แต่ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ ด้วยการตีความพระดำรัสของพระองค์แบบผิดๆ พวกเขาหวังว่าจะทำให้ประชาชนเกิดอคติต่อต้านพระองค์ {DA 389.1}
พระคริสต์ไม่ได้ลดความสำคัญของการใช้ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ พระองค์ตรัสย้ำความจริงด้วยภาษาที่หนักแน่นยิ่งขึ้นว่า ข้อที่ “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา” {DA 389.2}
การจะกินเนื้อและดื่มพระโลหิตของพระคริสต์คือการรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของเราเอง โดยเชื่อว่าพระองค์ทรงอภัยบาปของเราและเราได้รับความครบบริบูรณ์ในพระองค์ เราจะมีส่วนในพระลักษณะของพระองค์ได้ด้วยการเฝ้ามองความรักของพระองค์ ด้วยการใคร่ครวญความรักนั้น และด้วยการดื่มความรักนั้นเข้าไป อาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร พระคริสต์ก็จะต้องเป็นเช่นนั้นต่อจิตวิญญาณ อาหารจะไม่ให้ประโยชน์กับเราเว้นแต่เราจะรับประทานอาหารนั้นและเว้นแต่อาหารนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา ดังนั้นพระคริสต์จึงไม่มีค่าสำหรับเราหากเราไม่รู้จักพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัว ความรู้ทางทฤษฎีจะไม่ทำให้เกิดผลดีต่อเรา เราต้องรับประทานพระองค์ เชิญพระองค์เข้ามาอยู่ในใจ เพื่อให้ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตของเรา จะต้องดูดซึมความรักของพระองค์และพระคุณของพระองค์เข้ามาผสานเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเอง {DA 389.3}
แต่แม้กระทั่งภาพอธิบายเหลนี้ก็ยังนำเสนอสิทธิพิเศษของความสัมพันธ์ที่ผู้เชื่อมีต่อพระคริสต์ไม่ได้ พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น” พระบุตรของพระเจ้าทรงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อในพระบิดาฉันใด เราก็ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระคริสต์เช่นเดียวกันฉันนั้น พระเยซูทรงยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างเต็มที่จนมีเพียงพระบิดาพระองค์เดียวเท่านั้นที่ปรากฏในชีวิตของพระองค์ แม้พระองค์ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง แต่พระองค์ก็ยังทรงดำรงอยู่ในโลกอย่างไม่เปรอะเปื้อนด้วยความชั่วร้ายที่รายล้อมพระองค์ ดังนั้นเราจึงต้องมีชัยชนะเหมือนที่พระคริสต์ทรงชนะมาแล้ว {DA 389.4}
คุณเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์หรือ? ดังนั้นทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณนั้นก็ได้เขียนขึ้นเพื่อคุณ และคุณจะรับได้โดยการเอาตัวคุณเองเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งกับพระเยซู ความกระตือรือร้นของคุณอ่อนกำลังลงหรือไม่? รักแรกของคุณเย็นชาไปหรือเปล่า? ขอให้คุณยอมรับความรักของพระคริสต์ที่ทรงเสนอให้อีกครั้ง ขอให้รับประทานเนื้อของพระองค์ ให้ดื่มโลหิตของพระองค์ และคุณจะได้มาเป็นหนึ่งเดียวร่วมกันกับพระบิดาและพระบุตร {DA 389.5}
บรรดาชาวยิวที่ไม่เชื่อปฏิเสธที่จะเข้าใจสิ่งอื่นใดนอกจากความหมายตรงตามตัวอักษรที่สุดในคำตรัสของพระผู้ช่วยให้รอด ตามกฎพิธีกรรมแล้วพวกเขาถูกห้ามลิ้มรสเลือด และบัดนี้พวกเขาตีความหมายภาษาของพระคริสต์ออกมาเป็นคำปราศรัยที่กล่าวล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาก็โต้แย้งกันเองในเรื่องนี้ แม้แต่สาวกหลายคนก็ยังพูดกันว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้? ” {DA 390.1}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบพวกเขาว่า ข้อที่ “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ? ถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่พระองค์อยู่แต่ก่อนนั้น จะว่าอย่างไร? พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต เนื้อหนังนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต” {DA 390.2}
ชีวิตของพระคริสต์ที่ประทานชีวิตให้แก่โลกได้นั้นมีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ โดยพระวจนะของพระองค์ พระเยซูทรงรักษาโรคและขับผีออก โดยพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ทะเลเงียบสงบ และปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ และผู้คนต่างเป็นพยานว่าพระวจนะของพระองค์มีฤทธิ์เดช พระองค์ตรัสพระวจนะของพระเจ้าดังที่พระองค์ได้ตรัสผ่านศาสดาพยากรณ์และอาจารย์ทั้งหมดในพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นการสำแดงเปิดเผยให้เห็นพระคริสต์ และพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาที่จะตราตรึงความเชื่อของผู้ติดตามพระองค์ไปที่พระวจนะของพระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงร่วมสถิตอยู่กับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว พระวจนะจะเป็นแหล่งกำเนิดของฤทธิ์อำนาจชองพวกเขา พวกเขาพวกเขาจะต้องดำเนินชีวิต “ด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” เช่นเดียวกับพระอาจารย์ของพวกเขา มัทธิว 4 ข้อที่ 4 {DA 390.3}
ชีวิตฝ่ายกายของเราจะดำรงอยู่ได้ด้วยอาหารฉันใด ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก็จะต้องได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะฉันนั้น และจิตวิญญาณทุกดวงจะต้องรับชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง เราต้องรับประทานอาหารเพื่อได้รับสารอาหารมาบำรุงร่างกายของเราเองฉันใด เราก็ต้องรับพระวจนะมาสู่ตัวเราเองฉันนั้น เราจะต้องไม่รับพระวจนะแบบง่ายๆ ผ่านทางการฟังจากสมองของผู้อื่น เราจะต้องศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความเอาใจใส่ ทูลขอการทรงช่วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ เราต้องยกเอาพระคัมภีร์สักข้อหนึ่งขึ้นมาและใคร่ครวญศึกษาข้อความนั้นจนกระทั่งมั่นใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเราที่บันทึกอยู่ในพระคำข้อนั้น เราต้องใคร่ครวญจนกระทั่งแนวคิดของข้อพระคำนั้นเป็นความคิดของเรา และเราจะรู้ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสว่าอย่างไร” {DA 390.4}
ในบรรดาพระสัญญาและคำเตือนต่างๆ ของพระองค์ พระเยซูทรงหมายถึงตัวฉัน พระเจ้าทรงรักโลกมากดังนี้ จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อโดยความเชื่อในพระองค์ฉันจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าเป็นประสบการณ์ของฉัน คำอธิษฐานและพระสัญญารวมถึงคำสั่งสอนและคำเตือนเป็นของฉัน “ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” กาลาเทีย 2 ข้อที่ 20 เมื่อรับความเชื่อและหลักธรรมแห่งความจริงเอาไว้ในลักษณะเช่นนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราและเป็นแรงผลักดันของชีวิต พระวจนะของพระเจ้าเมื่อรับเข้าสู่จิตวิญญาณแล้ว จะหล่อหลอมความคิดและเริ่มมีบทบาทในการพัฒนาลักษณะอุปนิสัย {DA 390.5}
เมื่อสายตาแห่งความเชื่อเพ่งมองตรงไปยังพระเยซูอยู่เสมอ เราจะได้รับกำลังที่เข้มแข็ง พระเจ้าจะประทานการเปิดเผยอันล้ำค่าที่สุดแก่ประชากรของพระองค์ที่หิวและกระหาย พวกเขาจะค้นพบว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัว ในขณะที่พวกเขากินพระวจนะของพระองค์พวกเขาจะพบว่าพระวจนะนั้นคือจิตวิญญาณและชีวิต พระวจนะทำลายธรรมชาติที่เป็นของทางโลกและประทานชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมายังจิตวิญญาณในฐานะองค์ผู้ช่วย ตัวแทนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระองค์ผู้นี้ จะทำให้พระฉายาของพระเจ้าได้รับการทรงสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในพวกสาวซึ่งจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ความรักเข้าแทนที่ความเกลียดชังและหัวใจได้รับลักษณะที่คล้ายคลึงกับพระหทัยของพระเจ้า นี่คือความหมายของการมีชีวิตอยู่ “ด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” นี่คือการรับประทานอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ {DA 391.1}
พระคริสต์ได้ตรัสถึงความจริงอันศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวพระองค์เองกับผู้ติดตามของพระองค์ พระองค์ทรงทราบลักษณะอุปนิสัยของผู้ที่อ้างว่าเป็นสาวกของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์ทดสอบความเชื่อของพวกเขา พระองค์ทรงประกาศว่าพวกเขาต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ทุกคนที่รับพระองค์จะมีส่วนในพระลักษณะของพระองค์และทำให้สอดคล้องเข้ากับลักษณะนิสัยของพระองค์ การนี้เกี่ยวข้องกับการละทิ้งความทะเยอทะยานที่พวกเขาเก็บถนอมไว้ ความสอดคล้องนี้ต้องการการยอมจำนนตนอย่างสิ้นเชิงให้พระเยซู พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาให้เสียสละส่วนตน ให้มีจิตใจอ่อนโยนและถ่อมตน พวกเขาจะต้องดำเนินไปตามทางแคบที่บุรุษแห่งคาลวารีทรงเคยดำเนินมาแล้วถ้าพวกเขาประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมรับของขวัญแห่งชีวิตและรัศมีภาพแห่งสวรรค์ {DA 391.2}
การทดสอบเช่นนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ความกระตือรือร้นของผู้ที่พยายามจับพระองค์และบังคับให้พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้นเริ่มเฉยเมยเย็นชาลง พวกเขาประกาศว่าคำสนทนาในธรรมศาลานี้ได้เปิดตาพวกเขาแล้ว บัดนี้พวกเขาจะไม่ถูกหลอกอีกแล้ว ในสมองของพวกเขา คำตรัสของพระองค์เป็นคำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าพระองค์ไม่ใช่พระเมสสิยาห์ และไม่มีรางวัลตอบแทนใดทางโลกที่จะได้รับจากการเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์ พวกเขาเคยต้อนรับอำนาจในการทำการอัศจรรย์ของพระองค์ พวกเขากระตือรือร้นที่จะได้รับการปลดปล่อยจากโรคและความทุกข์ทรมาน แต่พวกเขาไม่เห็นชอบกับชีวิตที่เสียสละตนของพระองค์ พวกเขาไม่สนใจอาณาจักรวิญญาณลึกลับที่พระองค์ตรัสถึง คนที่ไม่จริงใจและคนเห็นแก่ตัวที่เคยแสวงหาพระองค์ก็ไม่ต้องการพระองค์อีกต่อไป หากพระองค์ไม่ทรงยอมอุทิศอำนาจและอิทธิพลของพระองค์เพื่อให้พวกเขาได้รับอิสรภาพจากชาวโรมันแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพระองค์อีก {DA 391.3}
พระเยซูตรัสกับพวกเขาอย่างชัดแจ้งว่า “แต่ในพวกท่านมีบางคนไม่เชื่อ” ทรงกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น” พระองค์ปรารถนาให้พวกเขาเข้าใจว่าถ้าพวกเขาไม่ถูกดึงดูดเข้าหาพระองค์นั่นเป็นเพราะหัวใจของพวกเขาไม่เปิดรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ “แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ” 1 โครินธ์ 2 ข้อที่ 14 โดยความเชื่อจิตวิญญาณจึงได้เห็นพระสิริของพระเยซู พระสิรินี้ถูกซ่อนไว้จนกว่าความเชื่อจะถูกจุดประกายขึ้นในจิตวิญญาณผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ {DA 391.4}
จากการตำหนิความไม่เชื่อของพวกเขาในที่สาธารณะสาวกเหล่านี้ยังคงตีตัวออกห่างจากพระเยซูมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่พอใจอย่างมากและปรารถนาที่จะทำร้ายพระผู้ช่วยให้รอดและสนองความร้ายกาจของพวกฟาริสี พวกเขาหันหลังให้กับพระองค์และเดินจากพระองค์ไปด้วยความรังเกียจ พวกเขาเลือกแล้ว คือเลือกเปลือกนอกที่ปราศจากจิตวิญญาณและเลือกแกลบที่ไม่มีเมล็ดข้าว หลังจากนั้นการตัดสินใจของพวกเขาไม่เคยย้อนกลับมาอีกเลยเพราะพวกเขาไม่ได้เดินกับพระเยซูอีกต่อไป {DA 392.1}
“พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงรวบรวมเมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง” มัทธิว 3 ข้อที่ 12 นี่เป็นช่วงเวลาหนึ่งของการชำระ แกลบถูกแยกออกจากข้าวสาลีด้วยพระวจนะแห่งความจริง ด้วยเหตุที่พวกเขาทะนงตนและถือว่าตนชอบธรรมมากเกินกว่าที่จะรับคำตักเตือนและรักโลกมากเกินกว่าที่จะยอมรับชีวิตแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน คนจำนวนมากจึงหันไปจากพระเยซู คนมากมายกำลังทำสิ่งเดียวกันนี้อยู่ จิตวิญญาณทั้งหลายกำลังถูกทดสอบในวันนี้เช่นเดียวกับสาวกเหล่านั้นในธรรมศาลาของเมืองคาเปอรนาอุม เมื่อความจริงถูกนำเข้ามาในหัวใจ พวกเขาได้มองเห็นว่าชีวิตของตนไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งหมด แต่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรับงานปฏิเสธตนเองนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกโกรธเมื่อบาปของพวกเขาถูกเปิดโปง พวกเขาจากไปอย่างขุ่นเคืองไม่เว้นแม้แต่เหล่าสาวกที่ทิ้งพระเยซูและพึมพำว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้? ” {DA 392.2}
คำชมเชยและคำเยินยอเป็นที่ชื่นชอบของพวกเขา แต่ความจริงกลับไม่ได้รับการต้อนรับ พวกเขามีหูที่ฟังไม่ได้ยิน เมื่อฝูงชนเดินตามและมหาชนได้รับประทานจนอิ่มและได้ยินเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะ เสียงของพวกเขาก็ดังขึ้นเป็นคำสรรเสริญ แต่เมื่อการค้นหาโดยพระวิญญาณของพระเจ้าได้เปิดเผยบาปของพวกเขาให้เห็นและทรงอ้อนวอนให้พวกเขาทิ้งบาปเหล่านั้นเสีย พวกเขากลับหันหลังให้กับความจริงและไม่ยอมดำเนินร่วมกับพระเยซูอีกต่อไป {DA 392.3}
ขณะที่กลุ่มสาวกที่ไม่จงรักภักดีเหล่านั้นไปจากพระคริสต์ วิญญาณอีกชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากเดิมก็เข้ามาควบคุมพวกเขาไว้ พวกเขามองไม่เห็นสิ่งน่าดึงดูดใดในตัวพระองค์ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยคิดว่าน่าสนใจที่สุด พวกเขาตามหาศัตรูของพระองค์เพราะเข้ากันได้ดีกับจิตวิญญาณและงานของพวกเขา พวกเขาตีความคำตรัสของพระองค์ผิดไป บิดเบือนพระดำรัสของพระองค์และประณามแรงจูงใจของพระองค์ พวกเขายังคงทำตามแนวทางของตนต่อไปด้วยการรวบรวมทุกข่าวที่สามารถใช้ต่อต้านพระองค์ได้ และความโกรธแค้นถูกปลุกปั่นขึ้นมาด้วยคำรายงานเท็จเหล่านี้จนทำให้ชีวิตของพระองค์ตกอยู่ในภัยอันตราย {DA 392.4}
ข่าวแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธทรงยอมรับเองว่าไม่ใช่พระเมสสิยาห์ และด้วยเหตุนี้กระแสความนิยมในแคว้นกาลิลีจึงกลายเป็นหันมาต่อต้านพระองค์เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในแคว้นยูเดีย อนิจจาอิสราเอลเอ๋ย! พวกเขาปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด เพราะพวกเขาโหยหาผู้มีอำนาจครอบครองที่จะให้อำนาจทางฝ่ายโลกแก่พวกเขา พวกเขาต้องการอาหารที่เสื่อมสูญแต่ไม่ใช่อาหารที่คงทนจนถึงชีวิตนิรันดร์ {DA 393.1}
ด้วยพระทัยที่วอนหา พระเยซูทรงเฝ้ามองสาวกที่เคยเป็นของพระองค์เดินไปจากพระองค์ผู้ทรงเป็นชีวิตและความสว่างของมนุษย์ การตระหนักรู้ว่าความเห็นอกเห็นใจของพระองค์ไม่เป็นที่ชื่นชม ความรักของพระองค์ไม่ได้รับการตอบสนอง พระเมตตาคุณของพระองค์ถูกมองข้าม และความรอดของพระองค์ถูกปฏิเสธ สิ่งเหล่านี้ทำให้พระองค์ทรงเศร้าพระทัยจนไม่อาจเปล่งออกมาทางวาจา การพัฒนาเช่นนี้เองที่ทำให้พระองค์เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์ {DA 393.2}
โดยไม่พยายามขัดขวางคนที่จากไปพระเยซูจึงหันไปหาสาวกสิบสองคนและตรัสว่า “พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” {DA 393.3}
เปโตรตอบด้วยการถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้?” “พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์” เขาพูดเสริมต่อไปว่า “และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อและแน่ใจแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์” TKJV {DA 393.4}
“พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้?” พวกครูของชนชาติอิสราเอลเป็นทาสของรูปแบบนิยม พวกฟาริสีและพวกสะดูสีขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา การจะก้าวออกไปจากพระเยซูคือการตกเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้ยึดติดในพิธีกรรมประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติและคนทะเยอทะยานที่แสวงหาความรุ่งโรจน์ของตนเอง นับตั้งแต่พวกเขารับพระคริสต์ เหล่าสาวกก็พบสันติสุขและความปีติยินดีมากกว่าชีวิตในอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา พวกเขาจะกลับไปหาคนที่เหยียดหยามและกดขี่พระองค์ผู้ทรงเป็นมิตรกับคนบาปได้อย่างไร? พวกเขารอคอยพระเมสสิยาห์มาเนิ่นนานแล้ว บัดนี้พระองค์เสด็จมาแล้ว และพวกเขาไม่อาจไปจากเบื้องพระพักตร์พระองค์เพื่อกลับไปหาคนที่กำลังตามล่าชีวิตของพระองค์และยังข่มเหงพวกเขาที่ได้มาเป็นผู้ติดตามของพระองค์ {DA 393.5}
“พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้?” ไม่ใช่เดินออกไปจากคำสอนของพระคริสต์รวมทั้งบทเรียนแห่งความรักและพระเมตตาของพระองค์ เพื่อออกไปยังความมืดมิดของความไม่เชื่อและความชั่วร้ายของโลกใบนี้ ในขณะที่คนมากมายที่เห็นถึงพระราชกิจอันมหัศจรรย์ต่างๆ ทอดทิ้งพระผู้ช่วยให้รอด เปโตรกลับแสดงออกถึงความเชื่อของสาวกทั้งหมดว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์” แค่คิดว่าจะต้องสูญเสียสมอแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวและเจ็บปวดยิ่งนัก การปราศจากพระผู้ช่วยให้รอดก็คือการล่องลอยไปตามทะเลอันมืดมิดและปั่นป่วน {DA 393.6}
พระดำรัสและการกระทำมากมายของพระองค์ดูลึกลับต่อสมองอันจำกัดของมนุษย์ แต่ทุกพระดำรัสและทุกการกระทำล้วนมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในพระราชกิจแห่งการไถ่บาปของเรา แต่ละอย่างถูกจัดวางไว้เพื่อเกิดผลที่เฉพาะ หากเรามีความสามารถเข้าใจพระประสงค์ทั้งหลายของพระองค์แล้ว ทั้งหมดก็จะเปิดเผยให้เห็นว่า มีความสำคัญ สมบูรณ์ครบถ้วนและประสานเป็นหนึ่งเดียวกับพันธกิจของพระองค์ {DA 393.7}
ถึงแม้ว่าบัดนี้เราไม่อาจเข้าใจพระราชกิจและหนทางของพระเจ้าได้ แต่เราก็ยังพอจะมองเห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ซึ่งเป็นรากของการปฏิบัติทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำต่อมนุษย์ ผู้ที่มีชีวิตใกล้ชิดพระเยซูจะเข้าใจถึงเรื่องความลึกลับของความเป็นพระเจ้าได้มาก เขาจะรับรู้ถึงความเมตตาที่ให้คำตักเตือน ที่ทดสอบลักษณะอุปนิสัยและที่นำแสงสว่างมายังเป้าหมายของหัวใจ {DA 394.1}
เมื่อพระเยซูทรงนำเสนอความจริงที่เป็นบททดสอบซึ่งทำให้สาวกจำนวนมากหันออกไปจากพระองค์นั้น พระองค์ทรงทราบดีถึงผลที่จะได้รับจากพระดำรัสของพระองค์ แต่พระองค์ทรงมีเป้าหมายแห่งพระเมตตาที่จะต้องกระทำให้สำเร็จ พระองค์ทรงมองเห็นล่วงหน้าแล้วว่า ในช่วงเวลาแห่งการทดลองนั้น สาวกที่รักของพระองค์ทุกคนจะถูกทดสอบอย่างรุนแรง ความทุกข์ทรมานของพระองค์ในสวนเกทเสมนีรวมถึงการทรยศและการตรึงกางเขนของพระองค์ จะเป็นเหตุการณ์ทารุณโหดร้ายที่สุดของพวกเขา หากไม่ทรงมอบการทดสอบให้แก่พวกเขาก่อนแล้ว หลายคนที่ผูกพันกับพระองค์เพราะแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวจะยังคงมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับพวกเขา เมื่อพระอาจารย์ของพวกเขาถูกตัดสินลงโทษในห้องโถงพิพากษา เมื่อฝูงชนที่เคยคิดจะยกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขาตะโกนร้องใส่พระองค์และใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ เมื่อฝูงชนที่เย้ยหยันเสียดสีตะเบ็งเสียงว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย!” – เมื่อพวกเขาผิดหวังกับความทะเยอทะยานของทางโลก เมื่อกลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเหล่านี้สละทิ้งความจงรักภักดีที่พวกเขาเคยมีต่อพระเยซูแล้ว สิ่งเหล่านี้จะทำให้สาวกเศร้าเสียใจขมขื่นอย่างหนักหน่วงเพิ่มขึ้นจากความโศกเศร้าและความผิดหวังที่มีอยู่แล้วซึ่งเกิดจากความหวังอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขาถูกทำลายลง ในช่วงเวลาแห่งความมืดมิดนั้น ผู้ที่ไปจากพระองค์อาจเป็นตัวอย่างที่ชักนำคนอื่นให้จากไปด้วย แต่พระเยซูทรงนำวิกฤตให้เกิดขึ้นในขณะที่การสถิตอยู่ด้วยของพระองค์สามารถทำให้ความเชื่อของผู้ติดตามที่แท้จริงของพระองค์แข็งแกร่งขึ้นได้ {DA 394.2}
พระผู้ไถ่ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจทรงทราบอย่างเต็มอกถึงชะตาที่รอคอยพระองค์อยู่ ทรงปูทางให้แก่สาวกด้วยความอ่อนโยน และทรงเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับมือกับการทดลองที่ยิ่งใหญ่และทรงเสริมกำลังพวกเขาสำหรับการทดสอบครั้งสุดท้าย! {DA 394.3}
*********