บทที่ 65
การชำระพระนิเวศอีกครั้ง
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 21 ข้อที่ 12-16, 23-46;
มาระโก 11 ข้อที่ 15-19, 27-33; 12 ข้อที่ 1-12; ลูกา 19 ข้อที่ 45-48; 20 ข้อที่ 1-19
มาระโก 11 ข้อที่ 15-19, 27-33; 12 ข้อที่ 1-12; ลูกา 19 ข้อที่ 45-48; 20 ข้อที่ 1-19
ในช่วงต้นพันธกิจของพระคริสต์ พระองค์ทรงขับไล่คนเหล่านั้นที่ทำให้พระนิเวศเป็นมลทินด้วยการค้าขายที่ไม่บริสุทธิ์ อากัปกิริยาอันเข้มงวดและชอบธรรมของพระองค์นำความหวาดกลัวมายังพ่อค้าเจ้าเล่ห์ทั้งหลาย เมื่อใกล้ช่วงปิดท้ายพันธกิจ พระองค์เสด็จมายังพระนิเวศอีกครั้ง และทรงพบว่าพระนิเวศยังคงรกร้างไร้ความศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม สภาพต่างๆ เลวลงกว่าก่อนมาก ลานชั้นนอกของพระนิเวศมีสภาพเหมือนทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวอันกว้างใหญ่ เสียงร้องของสัตว์และเสียงดังแหลมของเหรียญผสานเข้ากับเสียงวิวาทกันอย่างโกรธเกรี้ยวระหว่างผู้ค้า และยังได้ยินเสียงของคนในตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ของนิเวศดังออกมาท่ามกลางพวกเขาด้วย ผู้บริหารระดับสูงเองก็ยังยุ่งกับการซื้อและขายและแลกเปลี่ยนเงินตรา ความโลภผลประโยชน์ควบคุมพวกเขาอย่างเต็มที่จนในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าพวกโจรผู้ร้าย {DA 589.1}
พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ตระหนักได้เพียงน้อยนิดว่างานที่พวกเขาต้องทำนั้นเคร่งขรึมสำคัญมากเพียงไร ในทุกเทศกาลปัสกาและเทศกาลอยู่เพิง สัตว์นับพันตัวถูกฆ่าและพวกปุโรหิตก็รับเลือดของสัตว์และนำไปเทลงบนแท่นบูชา ชาวยิวคุ้นเคยกับการถวายบูชาด้วยเลือดและแทบมองไม่เห็นความจริงที่ว่าเป็นเพราะบาปทำให้มีความจำเป็นที่ต้องหลั่งเลือดของสัตว์เช่นนี้ พวกเขามองไม่เห็นว่าเป็นการกระทำที่เล็งไปข้างหน้าถึงพระโลหิตของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้าซึ่งจะต้องหลั่งเพื่อชีวิตของคนในโลก และโดยการถวายเครื่องบูชานี้เองที่ชี้นำมนุษย์ให้ไปถึงพระผู้ไถ่ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขน {DA 589.2}
พระเยซูทอดพระเนตรเหยื่อบริสุทธิ์ของการถวายบูชาและทรงมองเห็นว่าชาวยิวทำให้การชุมนุมยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุการณ์ของการหลั่งเลือดและความทารุณโหดเหี้ยม แทนที่จะถ่อมตนกลับใจจากบาป พวกเขากลับทำให้การเผาบูชาสัตว์เพิ่มขึ้นทวีคูณราวกับว่าพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติจากพิธีกรรมอันโหดเหี้ยมนี้ ด้วยความเห็นแก่ตัวและความละโมบพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทำให้จิตใจของตนแข็งกระด้างไป พวกเขาเอาตัวสัญลักษณ์เองที่ชี้ไปยังพระเมษโปดกของพระเจ้ามาเป็นแหล่งของการรค้ากำไร ดังนั้นในสายตาของประชาชนความศักดิ์สิทธิ์ของการถวายบูชาแทบจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ความขุ่นเคืองของพระเยซูถูกปลุกขึ้นมา พระองค์ทรงทราบดีว่าอีกไม่นานพระโลหิตของพระองค์ที่จะหลั่งเพื่อไถ่บาปของโลกนั้นพวกปุโรหิตและผู้ปกครองจะไม่ซาบซึ้งเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำให้เลือดของสัตว์หลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน {DA 590.1}
พระคริสต์ทรงต่อต้านการปฏิบัติเหล่านี้โดยตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะซามูเอลว่า "พระยาห์เวห์พอพระทัยในเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์หรือ? ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชาและซึ่งจะเอาใจใส่ก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้" และเมื่ออิสยาห์เห็นในนิมิตที่พยากรณ์ถึงชาวยิวละทิ้งความเชื่อ ท่านก็ได้เรียกพวกเขาว่าเป็นผู้ปกครองของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ "จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พวกผู้ปกครองเมืองโสโดม จงเงี่ยหูฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้าของเรา พวกประชาชนเมืองโกโมราห์ พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เครื่องบูชามากมายของเจ้านั้นเป็นประโยชน์อะไรกับเรา? แกะตัวผู้ที่เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวนั้นเรามีเกินพอแล้ว รวมทั้งไขมันของสัตว์ทั้งหลายที่ขุนไว้นั้น เราไม่ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้ หรือของลูกแกะหรือของแพะผู้ เมื่อเจ้าเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเรา ใครขอให้พวกเจ้าทำเช่นนี้ ในการเหยียบเข้ามาในบริเวณของเรา?’" "จงชำระตัว และทำตัวเจ้าให้สะอาด จงเอาความชั่วของเจ้าไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำชั่ว จงฝึกทำดี จงเสาะหาความเป็นธรรม จงแก้ไขการบีบบังคับ จงแก้ต่างให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย” 1 ซามูเอล 15 ข้อที่ 22 อิสยาห์ 1 ข้อที่ 10-12, 16, 17 {DA 590.2}
พระองค์เองผู้ประทานคำพยากรณ์เหล่านี้ไว้แล้วนั้นบัดนี้ทรงย้ำคำเตือนนี้เป็นครั้งสุดท้าย คำพยากรณ์เกิดขึ้นจริงเมื่อประชาชนประกาศแต่งตั้งพระเยซูขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งชนชาติอิสราเอล พระองค์ทรงได้รับการถวายเทิดพระเกียรติของพวกเขาและทรงยอมรับตำแหน่งกษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงต้องปฏิบัติตนในพระลักษณะความเป็นกษัตริย์เช่นนี้ พระองค์ทรงทราบดีว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะลงแรงปฏิรูประบบปุโรหิตที่ทุจริต แต่อย่างไรก็ตาม พระราชกิจของพระองค์จะต้องสำเร็จ พระองค์จะต้องประทานหลักฐานที่แสดงว่าพันธกิจของพระองค์มาจากพระเจ้ามาให้แก่ประชาชนที่ไม่เชื่อ {DA 590.3}
อีกครั้งหนึ่ง สายพระเนตรที่จ้องมองอย่างเสียดแทงของพระเยซูกวาดไปทั่วลานพระนิเวศที่หมดความศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว สายตาของคนทั้งหมดหันไปทางพระองค์ ปุโรหิตและธรรมจารย์ ฟาริสีและคนต่างชาติต่างพากันจ้องด้วยความฉงนและตื่นตะลึงไปยังพระองค์ผู้ประทับอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยความสง่างามของพระมหากษัตริย์แห่งสวรรค์ ความเป็นพระเจ้าเปล่งประกายผ่านความเป็นมนุษย์ และมอบศักดิ์ศรีและพระสิริให้แก่พระคริสต์ซึ่งพระองค์ไม่เคยสำแดงให้ปรากฏมาก่อน คนเหล่านั้นที่ยืนใกล้ชิดพระองค์มากที่สุดกลับถอยห่างออกไปให้มากที่สุดเท่าที่ฝูงชนยอมหลีกทางให้ พระผู้ช่วยให้รอดประทับอยู่อย่างโดดเดี่ยวยกเว้นสาวกเพียงไม่กี่คนที่อยู่ใกล้ ทุกเสียงเงียบไป เป็นสภาพความเงียบสนิทที่แทบจะทนไม่ได้ พระคริสต์ตรัสด้วยฤทธิ์อำนาจที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านราวกับถูกพายุร้ายแรงโหมกระหน่ำใส่ว่า ข้อที่ "มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร” ดั่งเสียงแตร พระสุรเสียงของพระองค์ดังก้องไปทั่วทั้งพระนิเวศ ความไม่พอพระทัยบนพระพักตร์ของพระองค์ดูเหมือนดั่งไฟที่เผาผลาญ ด้วยสิทธิอำนาจพระองค์ทรงบัญชาว่า “เอาของพวกนี้ออกไป" ยอห์น 2 ข้อที่ 16 {DA 590.4}
สามปีก่อนหน้านี้ ผู้ปกครองของพระนิเวศอับอายที่ต้องหนีไปตามพระบัญชาของพระเยซู ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา พวกเขาสงสัยในความขลาดกลัวของตัวเองและการที่ตัวเองยอมเชื่อฟังทำตามชายต่ำต้อยตัวคนเดียวโดยปราศจากข้อสงสัย พวกเขามั่นใจว่าจะไม่ยอมปล่อยให้การยอมจำนนอย่างไร้เกียรติของพวกเขาเช่นนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง แต่ในเวลานี้พวกเขาหวาดกลัวมากกว่าครั้งก่อนและทำตามพระบัญชาของพระองค์อย่างเร่งรีบกว่าครั้งก่อน ไม่มีใครกล้าท้วงติงอำนาจของพระองค์ ปุโรหิตและพ่อค้าหนีไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พร้อมขับฝูงวัวเร่งไปหน้าพวกเขา {DA 591.1}
ในระหว่างทางที่ออกไปจากพระนิเวศพวกเขาเผชิญหน้ากับฝูงชนที่มาพร้อมคนป่วยเพื่อตามหาพระผู้ทรงเป็นแพทย์ยิ่งใหญ่ รายงานของผู้ที่หนีออกมาทำให้บางคนหันหลังกลับไป พวกเขากลัวที่จะพบท่านหนึ่งผู้ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่จนแม้แต่สายพระเนตรยังขับพวกปุโรหิตและพวกธรรมจารย์ออกไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ได้ แต่มีคนอีกจำนวนมากที่ฟันฝ่าแทรกผ่านฝูงชนที่วิ่งออกมา พวกเขากระตือรือร้นที่จะไปให้ถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังเดียวของพวกเขา เมื่อฝูงชนหนีออกจากพระนิเวศไปแล้ว ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในพระนิเวศ บัดนี้มีคนกลุ่มใหม่มาเข้าร่วมกับพวกเขา และแล้วที่ลานพระนิเวศก็เต็มไปด้วยคนป่วยและคนที่กำลังจะตาย และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงปรนนิบัติรักษาพวกเขา {DA 592.1}
เมื่อช่วงเวลาหนึ่งผ่านพ้นไป พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์เสี่ยงภัยที่จะพากันกลับไปยังพระนิเวศ เมื่อความแตกตื่นหวาดกลัวสิ้นสุดลง พวกเขากังวลอยากรู้ว่าพระเยซูจะเคลื่อนไหวอะไรต่อไป พวกเขาคาดว่าพระองค์จะทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด ด้วยการเดินกลับไปยังพระนิเวศอย่างเงียบๆ พวกเขาได้ยินเสียงสรรเสริญพระเจ้าของชาย หญิงและเด็ก เมื่อเข้ามาถึงพระนิเวศ พวกเขาตะลึงกับภาพอันประเสริฐที่ได้เห็น พวกเขาเห็นคนไข้หายป่วย คนตาบอดมองเห็น และคนหูหนวกได้ยิน และคนง่อยโลดเต้นด้วยความสุขสำราญ เด็กๆ ยืนอยู่แถวหน้าของการชื่นชมยินดี พระเยซูทรงรักษาความเจ็บป่วยของพวกเขาแล้ว ทรงโอบกอดพวกเขาไว้ในอ้อมพระกรของพระองค์ ทรงรับจุมพิตแห่งความรักอันซาบซึ้งและบางคนก็หลับแนบพระอุระของพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชน บัดนี้เด็กๆ เปล่งเสียงสรรเสริญพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี พวกเขาร้องโฮซันนาที่ร้องกันวันก่อน และโบกทางอินทผลัมอย่างมีชัยอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด เสียงสะท้อนดังขึ้นแล้วดังขึ้นอีกด้วยคำเทิดพระเกียรติ "ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์ จงได้รับพระพร!" "นี่แน่ะ กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความยุติธรรมและความรอด!" สดุดี 118 ข้อที่ 26; เศคาริยาห์ 9 ข้อที่ 9 "โฮซันนาแก่บุตรของดาวิด!" {DA 592.2}
เสียงแห่งความสุขที่ยับยั้งไม่ได้เหล่านี้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่พวกผู้ปกครองพระนิเวศ พวกเขาลงมือหยุดยั้งการแสดงออกเช่นนี้ พวกเขาอธิบายให้ประชาชนฟังว่าพระนิเวศของพระเจ้าถูกเท้าและเสียงโห่ร้องแห่งความชื่นชมของเด็กๆ ทำให้หมดความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพบว่าคำพูดของพวกเขาไม่ส่งผลใดต่อประชาน พวกผู้ปกครองจึงเข้ามาเฝ้าพระคริสต์
"’ท่านไม่ได้ยินคำที่คนพวกนี้ร้องหรือ?’ พระเยซูตรัสตอบว่า ‘ได้ยินแล้ว พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า‘พระองค์ทรงทำให้คำสรรเสริญออกมาจากปากเด็กและทารกที่ยังไม่หย่านม?’" มีคำพยากรณ์บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระคริสต์จะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์และพระคำนั้นจะต้องเกิดขึ้นจริง พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ของชนชาติอิสราเอลปฏิเสธที่จะประกาศพระสิริของพระองค์ และพระเจ้าทรงดลบันดาลให้เด็กเป็นพยานของพระองค์ หากจะห้ามเสียงของเด็กให้เงียบไป เสาในพระนิเวศเองจะส่งเสียงสรรเสริญพระผู้ช่วยให้รอด {DA 592.3}
พวกฟาริสีงุนงงและอึกอักอย่างเต็มที่ บุคคลหนึ่งที่พวกเขาข่มขู่ไม่ได้กำลังบงการพวกเขาอยู่ พระเยซูทรงเข้ายึดครองตำแหน่งของผู้พิทักษ์พระนิเวศ พระองค์ไม่ทรงเคยยึดอำนาจอย่างพระราชา พระดำรัสและพระราชกิจของพระองค์ไม่เคยมีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน พระองค์ประกอบกิจมหัศจรรย์ตลอดทั่วกรุงเยรูซาเล็ม แต่ไม่เคยกระทำการใดในลักษณะที่เคร่งขรึมและอลังการเช่นนี้มาก่อน พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองไม่กล้าแสดงความเป็นศัตรูกับพระองค์อย่างเปิดเผยต่อหน้าประชาชนที่เป็นพยานในพระราชกิจอันมหัศจรรย์นี้ แม้คำตอบของพระองค์จะทำให้พวกเขาโกรธและสับสน พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีกเลยในวันนั้น {DA 593.1}
เช้าวันรุ่งขึ้นสภาซันเฮดรินพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรกับพระเยซู สามปีก่อน พวกเขาเรียกร้องหมายสำคัญของการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาพระองค์ทรงประกอบพระราชกิจยิ่งใหญ่ตลอดทั่วทั้งประเทศ พระองค์ทรงรักษาคนป่วย เลี้ยงคนนับพันอย่างอัศจรรย์ ดำเนินบนน้ำและบัญชาทะเลปั่นป่วนให้นิ่งสงบ ครั้งแล้วครั้งเล่าพระองค์ทรงอ่านความคิดของมนุษย์ได้เหมือนหนังสือที่เปิดอยู่ พระองค์ทรงขับผีออกและทรงเรียกคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ พวกผู้ปกครองมีหลักฐานความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์อยู่ตรงหน้าพวกเขา บัดนี้พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอหมายสำคัญใดที่แสดงถึงอำนาจของพระองค์อีก แต่จะดึงคำยอมรับหรือคำประกาศของพระองค์เพื่อใช้กำหนดโทษพระองค์ {DA 593.2}
เมื่อพวกเขาเดินย่องกลับไปยังพระนิเวศตรงที่พระองค์ทรงสอนอยู่นั้น พวกเขาตั้งคำถามกับพระองค์ว่า “ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจอะไร? ใครให้สิทธิอำนาจแก่ท่าน?” พวกเขาคาดว่าพระองค์คงจะอ้างว่าสิทธิอำนาจของพระองค์มาจากพระเจ้า พวกเขาตั้งใจปฏิเสธคำยืนยันเช่นนี้ แต่พระเยซูทรงเผชิญพวกเขาด้วยคำถามที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และพระองค์ทรงตอบคำถามโดยขึ้นอยู่กับคำตอบของพวกเขาที่มีต่อคำถามนี้ “บัพติศมาของยอห์นนั้น” พระองค์ตรัส “มาจากไหน? มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์?” DA 593.3}
บรรดาปุโรหิตเห็นว่าพวกเขาตกอยู่ในภาวะวิกฤตซึ่งไม่มีเหตุผลชาญฉลาดอันใดที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นได้ หากพวกเขาตอบว่าบัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์ ความไม่สอดคล้องกันของพวกเขาก็จะถูกเปิดเผย พระคริสต์ก็จะตรัสว่า แล้วทำไมพวกเจ้าจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า? ยอห์นเป็นพยานถึงพระคริสต์ "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป" ยอห์น 1 ข้อที่ 29 หากพวกปุโรหิตเชื่อคำพยานของยอห์นแล้วพวกเขาจะปฏิเสธความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระคริสต์ได้อย่างไร? หากพวกเขาจะเปิดเผยความเชื่อที่แท้จริงของพวกเขาว่าพันธกิจของยอห์นมาจากมนุษย์ พวกเขาก็จะนำพายุแห่งความโกรธแค้นมาใส่ตนเอง เพราะประชานชนเชื่อว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ {DA 593.4}
ด้วยความสนใจอย่างแรงกล้า ฝูงชนรอคอยคำตัดสิน พวกเขารู้ดีว่าพวกปุโรหิตยอมรับพันธกิจของยอห์นและพวกเขาหวังที่จะให้พวกเขายอมรับโดยไม่ตั้งแง่สงสัยว่ายอห์นเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานมาให้ แต่หลังจากหารือกันอย่างลับๆ พวกปุโรหิตัดสินใจไม่ผูกมัดตัวเอง ด้วยความหน้าไหว้หลังหลอก พวกเขากล่าวว่า "เราไม่รู้" พระคริสต์ตรัส "เราก็จะไม่บอกพวกท่านเหมือนกันว่า เรามีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้" {DA 594.1}
พวกธรรมาจารย์ พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองทั้งหมดต่างนิ่งเงียบไป พวกเขายืนคิ้วขมวดต่ำด้วยความงงงันและผิดหวังไม่กล้าตั้งคำถามพระองค์เพิ่ม ด้วยความขี้ขลาดและความโลเล พวกเขาแทบจะสูญเสียความเคารพของประชาชนที่ยืนล้อมรอบพวกเขาอยู่ในเวลานี้ ประชาชนรู้สึกตะลึงที่ได้มองเห็นกลุ่มคนที่ยโสและทำตนเป็นคนชอบธรรมเหล่านี้ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ {DA 594.2}
พระดำรัสและพระราชกิจทั้งหมดเหล่านี้ของพระคริสต์ล้วนสำคัญ และอิทธิพลนี้เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนและเสด็จกลับสวรรค์ คนมากมายที่รอคอยด้วยใจจดจ่อต่อผลลัพธ์ของการซักถามพระเยซูครั้งนี้ได้กลายมาเป็นสาวกของพระองค์ในที่สุด พวกเขาถูกชักนำให้เข้ามายังพระองค์เป็นครั้งแรกด้วยพระดำรัสของพระองค์ในวันอันตื่นเต้นนั้น ภาพเหตุการณ์ในลานพระนิเวศจะไม่เลือนหายไปจากสมองของพวกเขา ความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับมหาปุโรหิตขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้นโดดเด่นมาก ผู้ทรงเกียรติที่ยโสของพระนิเวศแต่งตัวด้วยอาภรณ์หรูและราคาแพง บนศีรษะของเขามีมงกุฎเปล่งรัศมีระยิบระยับ ลักษณะท่าทางภูมิฐานอย่างยิ่ง ผมและเคราสีเงินของเขาบ่งบอกถึงอายุ ลักษณะของเขาดูน่าเกรงขาม เบื้องหน้าคนใหญ่คนโตที่น่าชื่นชมนี้มีพระราชายิ่งใหญ่แห่งฟ้าสวรรค์ประทับอยู่ โดยปราศจากการแสดงออกถึงการประดับประดาใดๆ เสื้อผ้าของพระองค์นั้นเปื้อนฝุ่นจากการเดินทาง พระพักตร์ของพระองค์ซีดและแสดงความเศร้าอย่างอดทน แต่ยังจารึกไว้ซึ่งความมีศักดิ์ศรีและความเมตตากรุณาที่แตกต่างอย่างแปลกประหลาดกับความเย่อหยิ่ง ความมั่นใจในตนเองและความโกรธแค้นของมหาปุโรหิต ตั้งแต่วันนั้นหลายคนที่เห็นเป็นประจักษ์พยานถึงพระดำรัสและพระราชกิจของพระเยซูในพระนิเวศได้เทิดทูนพระองค์ขึ้นไว้ในดวงใจของพวกเขาในฐานะผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า แต่เมื่อความรู้สึกเป็นที่นิยมของประชาชนหันเหไปยังพระองค์ ความเกลียดชังของปุโรหิตที่มีต่อพระเยซูก็เพิ่มมากขึ้น พระปัญญาที่พระองค์ทรงใช้เพื่อให้รอดพ้นจากกับดักที่วางไว้ตรงพระบาทของพระองค์นั้น เป็นหลักฐานใหม่ที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้า ได้เติมเชื้อเพลิงให้กับความโกรธเกรี้ยวของพวกเขา {DA 594.3}
ในการต่อสู้กับพวกธรรมาจารย์ พระคริสต์ไม่ทรงประสงค์ที่จะทำให้คู่ต่อสู้ของพระองค์อับอาย พระองค์ไม่ทรงปีติยินดีที่เห็นพวกเขาตกลงสู่ที่นั่งลำบาก พระองค์ทรงมีบทเรียนสำคัญบทหนึ่งที่จะสอน พระองค์ทรงปราบศัตรูของพระองค์ให้สิ้นซากไปโดยปล่อยให้พวกเขาไปติดตาข่ายที่พวกเขากางไว้ดักพระองค์ ความไม่รู้ที่พวกเขายอมรับในเรื่องลักษณะบัพติศมาของยอห์นทำให้พระองค์มีโอกาสตรัสและพระองค์ทรงทำให้โอกาสของพระองค์ดียิ่งขึ้นด้วยการนำเสนอต่อหน้าพวกเขาถึงฐานะที่แท้จริงของพวกเขา ซึ่งเพิ่มคำตักเตือนให้กับคำเตือนมากมายที่ประทานไว้ให้แล้ว {DA 594.4}
“ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร?” พระองค์ตรัส “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน บิดาไปหาบุตรคนแรกบอกว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ภายหลังกลับใจแล้วก็ไป บิดาไปหาบุตรคนที่สองพูดอย่างเดียวกัน บุตรคนนั้นกล่าวว่า ‘ไป’ แต่ไม่ได้ไป คนไหนในบุตรสองคนนี้ที่ทำตามใจของบิดา?" {DA 595.1}
คำถามที่ทรงโยนใส่ผู้ฟังอย่างฉับพลันนี้ทำให้พวกเขาเสียหลัก พวกเขาติดตามฟังอุปมาด้วยความตั้งใจและบัดนี้จึงตอบทันทีว่า "บุตรคนแรก" พระเยซูทรงจ้องตรงไปยังพวกเขา พระเยซูตรัสตอบด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและเคร่งขรึมว่า "เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพวกท่าน เพราะยอห์นมาหาพวกท่านและแสดงวิถีทางของความชอบธรรม และท่านไม่ได้เชื่อ แต่พวกคนเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณีเชื่อและแม้เมื่อท่านทั้งหลายเห็นแล้วก็ยังไม่กลับใจและเชื่อยอห์น" {DA 595.2}
พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองไม่อาจตอบคำถามพระคริสต์อย่างอื่นได้นอกจากคำตอบที่ถูกต้อง และด้วยประการฉะนี้ พระองค์จึงได้รับความคิดเห็นที่เข้าข้างบุตรชายคนโต บุตรชายคนนี้เป็นตัวแทนของคนเก็บภาษี เป็นพวกที่ฟารีสีดูถูกและเกลียดชัง คนเก็บภาษีผิดศีลธรรมอย่างเลวร้าย พวกเขาล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้า โดยแสดงออกให้เห็นในชีวิตของพวกเขาถึงการต่อต้านข้อกำหนดของพระองค์อย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ซาบซึ้งสนองพระคุณและเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เมื่อได้รับคำสั่งให้ไปทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิเสธอย่างดูถูกเหยียดหยาม แต่เมื่อยอห์นประกาศเรื่องการกลับใจและบัพติศมา คนเก็บภาษีต้อนรับข่าวสารของท่านและได้รับบัพติศมา {DA 595.3}
บุตรชายคนที่สองเป็นตัวแทนของผู้นำชั้นสูงของชนชาติยิว พวกฟาริสีบางคนกลับใจและรับบัพติศมาของยอห์นแล้ว แต่ผู้นำไม่ยอมรับว่ายอห์นมาจากพระเจ้า คำเตือนและการประณามของท่านไม่ได้ทำให้พวกเขาปฏิรูป พวกเขา "ไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา โดยเขาไม่รับบัพติศมาจากยอห์น" ลูกา 7 ข้อที่ 30 พวกเขาปฏิบัติอย่างเหยียดหยาบต่อข่าวสารของท่าน เหมือนเช่นบุตรชายคนที่สอง เมื่อเขาได้รับการเรียกให้ออกไปทำงาน เขาตอบว่า "ไป" แต่ไม่ได้ไป พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองแสดงตนให้เห็นว่าเชื่อฟัง แต่กลับทำตัวไม่เชื่อฟัง พวกเขาแสดงว่ามีศรัทธาแรงกล้า อ้างว่าเชื่อปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่เชื่อฟังอย่างเทียมเท็จ คนเก็บภาษีถูกพวกฟาริสีประณามและสาปแช่งว่าเป็นคนนอกรีต แต่พวกเขาแสดงออกให้เห็นโดยความเชื่อและการกระทำของพวกเขาว่าพวกเขากำลังจะเข้าไปในอาณาจักรแห่งสวรรค์ก่อนคนเหล่านั้นที่ถือว่าตนชอบธรรมที่ได้รับแสงสว่างอันยิ่งใหญ่แต่ผลงานของพวกเขาไม่สอดคล้องกับความชอบธรรมที่พวกเขาทำตัวว่ายอมรับไว้ {DA 595.4}
พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองไม่เต็มใจยอมรับความจริงที่ตรวจสอบใจเหล่านี้ พวกเขาแน่นิ่งไป อย่างไรก็ตาม ด้วยหวังว่าพระเยซูจะตรัสบางสิ่งที่พวกเขาจะนำกลับมาใช้โจมตีพระองค์ได้ แต่พวกเขายังต้องทนฟังต่อไป {DA 596.1}
“จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง” พระคริสต์ตรัส “มีเจ้าของที่ดินคนหนึ่งทำสวนองุ่นไว้ เขาทำรั้วล้อมรอบ ขุดบ่อย่ำองุ่นในสวนนั้น และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็ไปต่างประเทศ เมื่อถึงฤดูเก็บพืชผล จึงใช้บรรดาทาสไปหาพวกคนเช่าสวน เพื่อจะรับพืชผลของเขา แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นจับคนของเขาไปเฆี่ยนตีคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างจนตายคนหนึ่ง เขาก็ใช้พวกทาสอื่นๆ ซึ่งมากกว่าครั้งก่อนไปอีก แต่พวกคนเช่าสวนก็ทำกับพวกเขาเช่นเดิม ภายหลังเขาก็ใช้บุตรของเขาไปหา กล่าวว่า ‘พวกเขาจะเคารพลูกของเรา’ แต่เมื่อพวกคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมาก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท ฆ่าเขาเสีย แล้วเราก็จะได้มรดกของเขา’ พวกเขาจึงพากันจับบุตรนั้นผลักออกไปนอกสวนแล้วฆ่า เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าของสวนมา ท่านจะทำอย่างไรกับพวกคนเช่าสวนนั้น?” {DA 596.2}
พระเยซูตรัสกับประชาชนทุกคนที่นั่น แต่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองตอบว่า “ท่านจะฆ่าคนร้ายเหล่านั้นให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน” พวกเขาพูด “และจะให้สวนนั้นแก่คนเช่าอื่นที่จะแบ่งพืชผลให้ตามฤดูกาล" ในตอนแรกผู้พูดไม่ได้เข้าใจถึงการประยุกต์ใช้อุปมานี้ แต่บัดนี้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาประกาศคำกล่าวโทษตนเอง ในอุปมาเจ้าของที่ดินเป็นตัวแทนถึงพระเจ้า สวนองุ่นแทนประชาติยิว และธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นรั้วที่ล้อมรอบป้องกันพวกเขา หอเฝ้าเป็นสัญลักษณ์ของพระนิเวศ เจ้าของสวนองุ่นทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อความเจริญมั่งคั่ง “มีอะไรที่จะทำได้อีกเพื่อสวนองุ่นของเรา ” เขากล่าว “ที่ซึ่งเรายังไม่ได้ทำให้” อิสยาห์ 5 ข้อที่ 4 สิ่งนี้เป็นดังตัวแทนแสดงถึงการที่พระเจ้าทรงเฝ้าดูชนชาติอิสราเอลอย่างไม่ลดละ และเช่นเดียวกับที่คนเช่าสวนต้องส่งคืนผลไม้ของสวนให้แก่เจ้าของสวนตามสัดส่วนของผลไม้ฉันใด ประชากรของพระเจ้าจะต้องถวายเกียรติพระองค์ด้วยชีวิตตามสัดส่วนของสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเช่นกันฉันนั้น แต่คนเช่าสวนได้ฆ่าทาสที่เจ้าของสวนส่งไปรับพืชผลฉันใด ชาวยิวก็ได้ฆ่าผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงบัญชามาเรียกให้พวกเขากลับใจเช่นกันฉันนั้น ผู้สื่อข่าวคนแล้วคนเล่าถูกฆ่า ดังนั้นจนถึงตอนนี้จึงยังไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในการประยุกต์ใช้เนื้อหาของคำอุปมา และเหตุการณ์ที่ตามมาก็จะปรากฏชัดเจนไม่น้อยไปกว่ากัน ในที่สุดพวกเขาจับและฆ่าบุตรชายอันเป็นที่รักของเจ้าของสวนองุ่นที่เจ้าของสวนส่งไปยังคนงานที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองต่างก็เห็นภาพที่ชัดเจนของพระเยซูและชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ พวกเขาวางแผนแล้วที่จะสังหารพระองค์ผู้ซึ่งพระบิดาประทานมาให้แก่พวกเขาเพื่อเป็นการอ้อนวอนครั้งสุดท้าย ผลกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้เช่าสวนเปิดเผยให้เห็นภาพจุดจบของคนทั้งหลายที่ประหารพระคริสต์ {DA 596.3}
พระผู้ช่วยให้รอดทอดพระเนตรพวกเขาด้วยความสงสาร ตรัสต่อไปว่า "ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือ ที่ว่า ‘ศิลาที่บรรดาช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายเป็นศิลามุมเอก สิ่งนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นสิ่งอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา’ เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน ยกให้กับชนชาติหนึ่งที่จะทำให้เกิดผลสมกับแผ่นดินนั้น ใครล้มทับศิลานี้ คนนั้นจะต้องแตกหักไป และศิลานั้นจะตกทับใคร คนนั้นจะแหลกละเอียดไป” {DA 597.1}
ในธรรมศาลา ชาวยิวจะพูดคำพยากรณ์นี้ซ้ำๆ โดยประยุกต์ว่าเป็นการกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ผู้จะเสด็จมา พระคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอกของรากฐานขององค์ประกอบทั้งหมดของชาวยิวและของแผนการทั้งหมดแห่งการไถ่ให้รอด ช่างก่อสร้างชาวยิว พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองของชนชาติอิสราเอลกำลังปฏิเสธศิลามุมเอกนี้อยู่ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกเชิญให้พวกเขาสนใจคำพยากรณ์ที่แสดงให้พวกเขาเห็นถึงภัยอันตรายของพวกเขา พระองค์ทรงลงแรงทุกวิธีที่อยู่ในอำนาจของพระองค์เพื่ออธิบายให้กระจ่างแจ้งถึงการกระทำที่พวกเขากำลังจะลงมือ {DA 597.2}
และพระดำรัสของพระองค์ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก ในการถามว่า "เมื่อเจ้าของสวนมา ท่านจะทำอย่างไรกับพวกคนเช่าสวนนั้น?" พระคริสต์ทรงออกแบบว่าพวกฟาริสีจะตอบแบบเดียวกับที่พวกเขาได้ตอบมาแล้ว พระองค์ทรงออกแบบว่าพวกเขาจะกำหนดโทษตนเอง เมื่อคำเตือนของพระองค์ไม่ประสบผลในการกระตุ้นพวกเขาให้กลับใจแล้ว ก็จะเป็นการประทับตราจุดจบของพวกเขาเอง และพระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขามองเห็นว่า พวกเขาเป็นผู้นำหายนะมาให้แก่ตัวพวกเขาเอง พระองค์ทรงออกแบบเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความยุติธรรมของพระเจ้าในการถอนอภิสิทธิ์ของชนชาติของพวกเขาซึ่งก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว และจะสิ้นสุดลงไม่เพียงแต่การทำลายพระนิเวศและเมืองของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแตกกระจายของประเทศชาติด้วย {DA 597.3}
ผู้ฟังเข้าใจและมองเห็นคำเตือน อย่างไรก็ตาม ประโยคที่พวกเขาเองได้ประกาศออกไปนั้น พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองพร้อมที่จะทำให้สำเร็จด้วยการพูดว่า "คนนี้แหละเป็นทายาท ฆ่าเขาเสีย” “เขาอยากจะจับพระองค์ แต่กลัวฝูงชน” เพราะความรู้สึกของประชาชนอยู่ฝ่ายของพระคริสต์ {DA 597.4}
ด้วยการอ้างถึงคำพยากรณ์เรื่องศิลาที่ถูกปฏิเสธ พระคริสต์ทรงอ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล เหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อมโยงกับการก่อสร้างพระนิเวศหลังแรก ถึงแม้เรื่องนี้จะประยุกต์ใช้เป็นพิเศษสำหรับการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งของพระคริสต์และน่าจะมีแรงชักจูงชนชาติยิวเป็นพิเศษ แต่เหตุการณ์นี้ยังเป็นบทเรียนสำหรับพวกเราด้วย ในช่วงเวลาของการก่อสร้างพระนิเวศของซาโลมอนนั้น ได้มีการจัดเตรียมก้อนหินขนาดมหึมาสำหรับผนังและฐานรากทั้งหมดไว้พร้อมที่เหมืองหิน แล้วจึงขนกันมายังสถานที่ก่อสร้าง ไม่มีการนำเครื่องมือใดมาใช้กับก้อนหิน คนงานเพียงแต่ประกอบให้เข้าที่ มีหินอยู่ก้อนหนึ่งที่เตรียมมาเพื่อใช้เป็นฐานราก ซึ่งมีขนาดใหญ่ผิดปกติและรูปร่างก็ประหลาด คนงานหาที่ลงหินก้อนนี้ไม่ได้ จึงไม่ยอมรับไว้ หินก้อนที่ไม่ได้ใช้งานนั้นถูกวางทิ้งเกะกะเป็นที่รำคาญสำหรับพวกเขา มันเป็นก้อนหินที่ถูกปฏิเสธอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานาน แต่เมื่อผู้ก่อสร้างมาเพื่อจะมาวางศิลามุมเอก พวกเขาใช้เวลานานหาก้อนหินที่มีขนาดใหญ่และที่มีความแข็งแรงพอและมีรูปร่างเหมาะสมที่จะเข้ากับมุมนั้นโดยเฉพาะ และสามารถรับน้ำหนักยิ่งใหญ่ของตัวอาคารได้ หากพวกเขาตัดสินใจอย่างไม่ฉลาดสำหรับบริเวณอันสำคัญนี้แล้ว มันจะส่งผลต่อความปลอดภัยของทั้งอาคาร พวกเขาจึงต้องหาก้อนหินที่ทนต่ออิทธิพลของแสงอาทิตย์ ความเย็นจัดและพายุได้ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน มีการเลือกหินหลายก้อน แต่ภายใต้แรงกดดันของน้ำหนักอันมหาศาลหินเหล่านั้นกลับแตกสลายเป็นชิ้นๆ ส่วนหินก้อนอื่นๆ ก็ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศอย่างกะทันหันไม่ได้ แต่ในที่สุด พวกเขาก็เห็นหินก้อนนั้นที่ถูกปฏิเสธมานานแล้ว เป็นหินที่ถูกวางไว้ตากลม แดดและพายุโดยไม่มีรอยแตกร้าวแม้แต่น้อย ผู้ก่อสร้างตรวจสอบหินก้อนนี้ มันได้ผ่านการทดสอบทุกอย่างมาแล้วยกเว้นการทดสอบเพียงอย่างเดียว หากหินนี้จะทนแรงอัดที่รุนแรงได้ พวกเขาก็จะยอมรับมันมาให้เป็นศิลามุมเอก การทดสอบจึงเกิดขึ้น พวกเขายอมรับหินก้อนนั้น และจึงทำการขนย้ายก้อนหินนั้นมายังตำแหน่งที่จัดไว้ และพบว่าเข้ากับตำแหน่งตรงนั้นได้อย่างพอดี ในนิมิตอันเกี่ยวกับคำพยากรณ์นี้ ได้ทรงโปรดสำแดงให้อิสยาห์เห็นว่าก้อนหินนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงพระคริสต์ ท่านกล่าวไว้ว่า {DA 597.5}
"แต่พระยาห์เวห์จอมทัพนั้นแหละ ที่พวกท่านต้องถือว่าศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ท่านต้องกลัว และทรงเป็นผู้ที่ท่านต้องหวาดหวั่น แล้วพระองค์จะเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็จะเป็นหินสะดุดและเป็นศิลาที่ทำให้เชื้อสายทั้งสองของอิสราเอลหกล้ม ทั้งเป็นกับดักและเป็นบ่วงแร้วสำหรับชาวเยรูซาเล็ม และคนจำนวนมากจะหกล้มเพราะหินนั้น จะล้มคะมำและแตกหัก พวกเขาจะติดบ่วงและถูกจับไป" ด้วยนิมิตแห่งการเปิดเผยในคำพยากรณ์ที่ดำเนินไปจนถึงการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งของพระคริสต์นั้น ได้มีการสำแดงให้ผู้เผยพระวจนะเห็นว่าการทดสอบศิลามุมเอกในพระนิเวศของซาโลมอนเป็นสัญลักษณ์ถึงการทดลองและการทดสอบที่พระคริสต์จะต้องแบกรับ “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ‘นี่แน่ะ เราวางศิลาก้อนหนึ่งในศิโยน คือศิลาที่ทดสอบแล้ว เป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เป็นรากฐานมั่นคง เขาผู้นั้นที่วางใจจะไม่เร่งร้อน’" อิสยาห์ 8 ข้อที่ 13-15; 28 ข้อที่ 16 {DA 598.1}
ด้วยพระปัญญาอันไม่มีขอบเขตจำกัด พระเจ้าทรงเลือกศิลามุมเอกและทรงจัดวางลงด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงเรียกศิลานั้นว่า "รากฐานมั่นคง " คนทั้งโลกเอาภาระและความเศร้าโศกมาวางไว้บนศิลาก้อนนี้ซึ่งมีความสามารถทนรับได้ทั้งหมด พวกเขาสร้างอยู่บนนั้นได้ด้วยความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงเป็น "ศิลาที่ทดสอบแล้ว" ผู้ที่วางใจในพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเคยทำให้ผิดหวัง พระองค์ทรงผ่านทุกการทดสอบมาแล้ว พระองค์ทรงอดทนต่อแรงกดดันจากความผิดของอาดัมและความผิดของลูกหลานของเขา และทรงมีชัยชนะอย่างเหลือล้นจากอำนาจของความชั่ว พระองค์ทรงแบกรับภาระบาปของทุกคนที่กลับใจแล้วที่มอบให้กับพระองค์ ในพระคริสต์จิตใจที่สำนึกผิดได้พบการปลดปล่อย พระองค์ทรงเป็นรากฐานที่มั่นคง ทุกคนที่รับพระองค์เป็นที่พึ่งของพวกเขาจะได้พักผ่อนอย่างปลอดภัย {DA 598.2}
ในคำพยากรณ์ของอิสยาห์ พระคริสต์ได้รับการเปดเผยว่าทรงเป็นทั้งรากฐานมั่นคงและศิลาที่ทำให้คนสะดุด อัครสาวกเปโตรเขียนโดยการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าพระคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอกและเป็นหินที่ทำให้คนหกล้ม {DA 599.1}
“ในเมื่อพวกท่านได้ชิมแล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีเลิศ จงมาหาพระองค์ พระศิลาที่มีชีวิต ที่แม้ถูกมนุษย์ปฏิเสธแล้ว แต่กลับเป็นศิลาที่ทรงเลือกสรร และล้ำค่าในสายพระเนตรพระเจ้า และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ เพราะมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์แล้วว่า ‘นี่แน่ะ เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน เป็นศิลาหัวมุมที่เลือกสรรอันล้ำค่า และใครที่เชื่อในพระองค์ก็จะไม่ผิดหวัง’ เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงมีค่ามหาศาลสำหรับพวกท่านที่เชื่อ แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อนั้น ศิลาที่ช่างก่อสร้างปฏิเสธไม่เอาแล้ว ศิลานี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก และเป็นศิลาที่ทำให้คนสะดุดและเป็นหินที่ทำให้คนหกล้ม ที่พวกเขาสะดุดนั้น เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะ ตามที่พวกเขาถูกกำหนดให้ทำเช่นนั้น" 1 เปโตร 2 ข้อที่ 3-8 {DA 599.2}
สำหรับผู้ที่เชื่อ พระคริสต์ทรงเป็นรากฐานมั่นคง คนเหล่านี้คือผู้ที่ล้มทับศิลาและแตกหักไป ข้อความนี้หมายถึงการยอมจำนนต่อพระคริสต์และมีความเชื่อในพระองค์ การล้มทับศิลาและแตกหักคือการสละทิ้งความชอบธรรมของตัวเราเองและเข้าเฝ้าพระคริสต์ด้วยความถ่อมตนอย่างเด็กเล็กคนหนึ่ง และกลับใจจากการล่วงละเมิดของเราเอง และเชื่อในความรักแห่งการอภัยของพระองค์ และเช่นเดียวกัน โดยความเชื่อและการเชื่อฟังเราจึงสร้างขึ้นบนพระคริสต์ผู้ทรงเป็นรากฐานของเราได้ {DA 599.3}
ทั้งชาวยิวและคนต่างชาติสร้างขึ้นบนศิลาอันมีชีวิตนี้ได้อย่างไม่มีความแตกต่างกัน ศิลานี้เป็นเพียงรากฐานเดียวที่เราจะสร้างขึ้นได้อย่างมั่นคง เป็นรากฐานที่มีความกว้างอย่างเพียงพอสำหรับทุกคน และแข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักและภาระของโลกทั้งใบ การติดสนิทกับพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระศิลาอันมีชีวิตทำให้ทุกคนที่สร้างบนรากฐานนี้จะเปลี่ยนเป็นก้อนหินที่มีชีวิต คนมากมายลงแรงด้วยความพยายามของตนเองเพื่อตัดแต่ง ขัดเงาและทำให้ก้อนหินสวยงาม แต่พวกเขาเป็นหิน "มีชีวิต" ไม่ได้ เพราะไม่ได้ติดสนิทกับพระคริสต์ เมื่อปราศจากการติดสนิทนี้จะไม่มีใครสักคนรอดได้ หากปราศจากชีวิตของพระคริสต์อยู่ในเรา เราไม่มีทางต้านพายุแห่งการทดลองได้ ความปลอดภัยนิรันดร์ของเราขึ้นกับการสร้างของเราบนรากฐานที่มั่นคง ปัจจุบันมีคนจำนวนมากสร้างอยู่บนรากฐานที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ เมื่อฝนตก และพายุโหมกระหน่ำ และน้ำท่วม บ้านของพวกเขาก็พัง เพราะไม่ได้สร้างอยู่บนพระศิลานิรันดร์ ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก {DA 599.4}
สำหรับคน "ที่ทำให้คนสะดุดหกล้ม เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะ" นั้น พระคริสต์ทรงเป็นหินที่ทำให้คนหกล้ม แต่ "ศิลาที่ช่างก่อสร้างปฏิเสธไม่เอาแล้ว ศิลานี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก" พระคริสต์ทรงแบกรับการปฏิเสธและการถูกล่วงละเมิดขณะปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ในโลกเหมือนเช่นศิลาที่ถูกปฏิเสธ พระองค์ทรง "ถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก. . . .ท่านถูกดูหมิ่น และเราไม่ได้นับถือท่าน" อิสยาห์ 53 ข้อที่ 3 แต่เวลาที่พระองค์จะทรงรับพระสิริใกล้จะมาถึงแล้ว ด้วยการเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์จะได้รับการประกาศด้วย "ฤทธานุภาพว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า" โรม 1 ข้อที่ 4 เมื่อพระองค์เสด็จมาครั้งที่สอง พระองค์จะทรงปรากฏในฐานะพระเจ้าแห่งสวรรค์และโลก ผู้ที่ในเวลานี้กำลังจะตรึงพระองค์ที่กางเขนจะได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ศิลาที่ถูกปฏิเสธจะกลายเป็นศิลามุมเอกต่อหน้าจักรวาล {DA 600.1}
และ "ศิลานั้นจะตกทับใคร คนนั้นจะแหลกละเอียดไป" ประชาชนที่ปฏิเสธพระคริสต์จะเห็นเมืองและประเทศของพวกเขาถูกทำลายในเวลาเร็ววัน สง่าราศีของพวกเขาจะแหลกละเอียดและกระจัดกระจายไปเหมือนผงคลีในสายลม แล้วอะไรล่ะที่จะทำลายล้างชาวยิวให้พิเนาศ? สิ่งที่ทำลายพวกเขาคือพระศิลาที่หากพวกเขาได้สร้างอยู่บนพระศิลานั้น ก็น่าจะเป็นที่ยึดไว้ให้มั่นคงปลอดภัย เป็นเพราะพระคุณแห่งความดีของพระเจ้าที่ถูกพวกเขาดูแคลน ความชอบธรรมที่ถูกปฏิเสธ ความเมตตาที่ถูกพวกเขาหมิ่นประมาท มนุษย์ตั้งตัวเองต่อต้านพระเจ้า และทั้งหมดที่น่าจะเป็นความรอดของพวกเขาก็กลับกลายเป็นการทำลาย ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เป็นชีวิต พวกเขาหาว่านำไปสู่ความตาย การตรึงพระคริสต์บนกางเขนของชาวยิวเกี่ยวพันกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พระโลหิตที่หลั่งบนคาลวารีเป็นน้ำหนักที่ถ่วงพวกเขาเข้ากับความพินาศสำหรับโลกนี้และโลกที่จะมาถึง ในวันยิ่งใหญ่สุดท้ายก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อการพิพากษาจะตกอยู่กับผู้ที่ปฏิเสธพระคุณของพระเจ้า จากนั้นพระคริสต์ผู้ทรงเป็นก้อนหินที่ทำให้พวกเขาสะดุดล้มจะปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขาราวกับภูเขาแห่งการล้างแค้น พระสิริแห่งพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งสำหรับคนชอบธรรมคือชีวิตแต่สำหรับคนชั่วจะเป็นเพลิงที่เผาผลาญ เพราะความรักถูกปฏิเสธและพระคุณถูกดูหมิ่น คนบาปจะถูกทำลาย {DA 600.2}
ด้วยการใช้ตัวอย่างอธิบายมากมายและคำเตือนที่กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าเมื่อชาวยิวปฏิเสธพระบุตรของพระเจ้าพวกเขาจะได้รับผลอะไร พระองค์ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้แก่ทุกคนในทุกยุคที่ปฏิเสธรับพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ ทุกคำเตือนมีไว้สำหรับพวกเขา พระนิเวศที่ถูกทำให้หมดความศักดิ์สิทธิ์ บุตรชายที่ไม่เชื่อฟัง คนทำสวนที่จอมปลอม ผู้ก่อสร้างหยิ่งยโส ทั้งหมดนี้มีภาพสะท้อนอยู่ในประสบการณ์ของคนบาปทุกคน ถ้าเขาไม่กลับใจแล้ว ชะตากรรมที่พวกเขาเห็นล่วงหน้านี้จะเป็นของเขา {DA 600.3}
**********