บทที่ 60

ธรรมบัญญัติแห่งอาณาจักรใหม่

มัทธิว 20 ข้อที่ 20-28; มาระโก 10;32-45; ลูกา 18 ข้อที่ 31-34


ใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาแล้ว และอีกครั้งพระเยซูทรงหันพระพักตร์มุ่งไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  พระหทัยของพระองค์มีสันติสุขแห่งการทรงร่วมเป็นหนึ่งเดียวอย่างบริบูรณ์กับน้ำพระทัยของพระบิดา และด้วยย่างก้าวแห่งความมุ่งมั่น พระองค์ทรงมุ่งหน้าก้าวไปยังสถานที่เพื่อถวายเครื่องเผาบูชา  แต่ความรู้สึกได้ถึงความลึกลับ ความคลางแคลงใจและความหวาดกลัวตกใส่พวกสาวก  พระผู้ช่วยให้รอดทรง "นำหน้าพวกเขา พวกสาวกก็พากันประหลาดใจ และคนที่เดินตามมาก็หวาดกลัว"  {DA 547.1}        

อีกครั้งหนึ่งพระคริสต์ทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองมาล้อมอยู่รอบพระองค์ และพระองค์ทรงเปิดเผยเรื่องการทรยศและความทุกข์ทรมานของพระองค์ให้แก่พวกเขาด้วยความชัดเจนที่เจาะจงมากยิ่งกว่าที่เคยเปิดเผยมาก่อน  "นี่แน่ะ" พระองค์ตรัส "พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและทุกสิ่งที่พวกผู้เผยพระวจนะเขียนเรื่องบุตรมนุษย์จะสำเร็จ เพราะว่าบุตรมนุษย์นั้นจะต้องถูกมอบไว้กับคนต่างชาติ และพวกเขาจะเยาะเย้ยท่าน กระทำหยาบคายต่อท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน พวกเขาจะโบยตีและฆ่าท่าน แล้วในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่"  {DA 547.2}            

ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ประกาศไปทั่วทุกแห่งหนว่า "แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" หรือ?  พระคริสต์ทรงสัญญาว่าคนมากมายจะนั่งร่วมกับอับราฮัม และอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรของพระเจ้ามิใช่หรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงสัญญากับทุกคนที่ละทิ้งทุกสิ่งเพราะเห็นแก่พระองค์จะได้รับร้อยเท่าในชีวิตนี้และมีส่วนในอาณาจักรของพระองค์หรือ?  และพระองค์ไม่ได้ประทานสัญญาพิเศษของตำแหน่งอันทรงเกียรติในอาณาจักรของพระองค์ที่มีให้แก่สาวกทั้งสิบสองคนเพื่อให้พวกเขาขึ้นนั่งบัลลังก์พิพากษาชนเผ่าอิสราเอลทั้งสิบสองเผ่าหรือ?  แม้กระทั่งจวบจนบัดนี้ พระองค์ตรัสว่าทุกสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์จะต้องสำเร็จ  และผู้เผยพระวจนะได้บอกล่วงหน้าถึงพระสิริของการครองราชย์ของพระเมสสิยาห์มิใช่หรือ?  ในแง่ของแนวคิดเหล่านี้พระวจนะของพระองค์เกี่ยวกับการทรยศ การข่มเหงและความตายจึงดูคลุมเครือและลึกลับ  พวกเขาเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงสถาปนาอาณาจักรขึ้นในไม่ช้าไม่ว่าจะมีอุปสรรคความยากลำบากใดเข้ามาแทรกแซงก็ตาม  {DA 547.3}      

ยอห์นบุตรเศเบดีเป็นสาวกหนึ่งในสองคนแรกที่ติดตามพระเยซู  เขาและยากอบน้องชายของเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเข้าร่วมการรับใช้พระองค์  ด้วยความยินดีพวกเขาละทิ้งบ้านและมิตรสหายเพื่อพวกเขาจะอยู่ร่วมกับพระองค์ พวกเขาเดินและสนทนาร่วมกับพระองค์ พวกเขาอยู่กับพระองค์เป็นส่วนตัวในบ้านและในที่ชุมนุมสาธารณะ  พระองค์ทรงทำให้ความกลัวของพวกเขาสงบลง ช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากภัยอันตราย ทรงบรรเทาความทุกข์ ทรงปลอบประโลมความโศกเศร้า และด้วยความอดทนและความอ่อนโยนทรงสอนพวกเขาจนดูประหนึ่งว่าหัวใจของพวกเขาเข้าประสานกับพระหทัยของพระองค์ และในอารมณ์แห่งรักของพวกเขาที่ถวาย พระองค์ พวกเขาปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดที่สุดกับพระองค์ในอาณาจักรของพระองค์  ในทุกโอกาสที่เป็นไปได้ ยอห์นจะนั่นชิดติดกับพระผู้ช่วยให้รอด และยากอบก็ปรารถนาที่จะได้รับเกียรติของการอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์  {DA 548.1}                  

มารดาของพวกเขาเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์ และปรนนิบัติพระองค์ด้วยทรัพย์สมบัติของเธออย่างเต็มใจ  ด้วยความรักและความทะเยอทะยานของมารดาที่มีต่อบุตรชายของเธอ เธอจึงปรารถนาให้พวกเขามีตำแหน่งอันทรงเกียรติที่สุดในอาณาจักรใหม่  ด้วยเหตุนี้เธอจึงสนับสนุนเขาทั้งสองทูลขอพระองค์  {DA 548.2}                

คุณแม่และลูกชายของเธอเข้ามาเฝ้าพระเยซูพร้อมกัน เพื่อทูลพระองค์ให้ประทานสิ่งที่หัวใจตั้งเป้าไว้  {DA 548.3}                     

ท่านปรารถนาอะไร?” พระองค์ตรัสถาม  {DA 548.4}                         

คุณแม่ตอบว่า "ขอพระองค์รับสั่งตั้งบุตรทั้งสองของข้าพระองค์ให้นั่งเบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และเบื้องซ้ายคนหนึ่งในราชอาณาจักรของพระองค์"  {DA 548.5}                  

พระเยซูทรงทนต่อพวกเขาด้วยความอ่อนโยน  พระองค์ไม่ทรงตำหนิความเห็นแก่ตัวของพวกเขาในการแสวงหาสิทธิพิเศษเหนือพี่น้องของพวกเขาเอง  พระองค์ทรงอ่านใจของพวกเขาออก พระองค์ทรงทราบความผูกพันอันลึกซึ้งของพวกเขาที่มีต่อพระองค์  ความรักของพวกเขาไม่ใช่แค่ความรักของมนุษย์ แม้ถูกเปรอะเปื้อนด้วยแนวทางของมนุษย์ แต่เป็นความรักที่ไหลล้นออกมาจะน้ำพุแห่งรักของการไถ่ของพระองค์เอง  พระองค์จะไม่ทรงตำหนิ แต่จะทรงประกอบกิจให้ลึกซึ้งและบริสุทธิ์  พระองค์ตรัสว่า "ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ?" TKJV  พวกเขาจำพระดำรัสลึกลับของพระองค์ที่เล็งถึงการทดลองและความทุกข์ทรมานได้ แต่กระนั้นก็ตอบด้วยความมั่นใจว่า "ได้พระเจ้าข้า" พวกเขาคงจะถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่ได้พิสูจน์ความภักดีด้วยการมีส่วนในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา  {DA 548.6}                  

"ถ้วยที่เราดื่มนั้นพวกท่านจะดื่ม และบัพติศมาที่เรารับนั้นท่านจะรับก็จริง"  พระองค์ตรัส  เบื้องหน้าพระพักตร์พระองค์คือไม้กางเขนไม่ใช่บัลลังก์ สหายสองคนที่เป็นผู้ร้าย คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนอยู่ข้างซ้ายของพระองค์  ยอห์นและยากอบจะร่วมทุกข์กับพระอาจารย์  หนึ่งในสองนี้เป็นคนแรกที่จะพินาศด้วยคมดาบ ส่วนอีกคนมีอายุยืนยาวที่สุดเพื่อทนความยากลำบากของการถูกตำหนิและข่มเหง  {DA 548.7}                  

"แต่การที่จะให้นั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ไม่ใช่เราเป็นผู้ให้ แต่จะให้กับคนเหล่านั้นที่พระบิดาของเราทรงเตรียมไว้"  ในอาณาจักรของพระเจ้า ตำแหน่งไม่ใช่ได้มาด้วยความลำเอียง  ไม่ใช่ได้มาด้วยการซื้อ หรือโดยการมอบให้เป็นรางวัลตามอำเภอใจอย่างพลการ  แต่เป็นผลลัพธ์จาดลักษณะอุปนิสัย  มงกุฎและบัลลังก์เป็นเครื่องหมายของการแสดงถึงการบรรลุถึงเงื่อนไข มันเป็นหลักฐานของการเอาชนะตนเองโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา {DA 549.1}                     

หลังจากเวลานั้นไปอีกนาน เมื่อสาวกคนนั้นได้เข้าร่วมอย่างเห็นอกเห็นใจกับพระคริสต์โดยผ่านการร่วมสามัคคีธรรมในความทุกข์ทรมานของพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ยอห์นเห็นถึงสภาพเมื่ออาณาจักรของพระองค์จะใกล้มาถึง  "คนที่ชนะ " พระคริสต์ตรัสว่า "เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้ว และได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์"  "ผู้คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา. . . .และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย" วิวรณ์ 3 ข้อที่ 21, 12  อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ด้วยเช่นกันว่า "เพราะว่าข้าพเจ้าถูกเทลงเหมือนดั่งเครื่องดื่มบูชาแล้ว และถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป  ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว  ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาที่ชอบธรรมจะประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น"  2 ทิโมธี 4 ข้อที่ 6-8  {DA 549.2}                          

ผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างอย่างใกล้ชิดที่สุดกับพระคริสต์จะเป็นผู้ที่ในขณะอยู่บนโลกได้ดื่มอย่างสุดซึ้งถึงวิญญาณแห่งความรักที่เสียสละตนของพระองค์ นั่นคือรักที่ "ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง. . . .ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด"  1 โครินธ์ 13 ข้อที่ 4, 5 - เป็นความรักที่ขับเคลื่อนสาวกคนนั้นเหมือนที่ขับเคลื่อนพระเป็นเจ้าของเรา ให้มอบทุกสิ่งทั้งหมด ให้ดำรงชีวิตและทำงานรับใช้และเสียสละแม้กระทั่งจนตาย เพื่อช่วยมนุษยชาติให้ได้รับความรอด  วิญญาณนี้สำแดงไว้ให้เห็นในชีวิตของเปาโล  เขากล่าวว่า "สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์" เพราะชีวิตเช่นนี้เปิดเผยพระคริสต์ให้แก่มนุษย์ "และการตายก็ได้กำไร" นั่นคือทำกำไรให้พระคริสต์  ความตายจะทำให้อำนาจแห่งพระคุณของพระองค์ประจักษ์แจ้งและรวบรวมจิตวิญญาณเข้ามาหาพระองค์  "พระคริสต์จะทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญในร่างกายของข้าพเจ้า" เขากล่าว "ไม่ว่าจะโดยชีวิตหรือความตาย"  ฟิลิปปี 1 ข้อที่ 21, 20  {DA 549.3}                     

เมื่อสาวกสิบคนได้ยินคำขอของยากอบและยอห์น พวกเขาไม่พอใจอย่างมากยิ่ง  ตำแหน่งสูงที่สุดในราชอาณาจักรเป็นตำแหน่งที่พวกเขาทุกคนไขว่หาให้กับตัวเองและพวกเขาโกรธที่ดูเหมือนว่าสาวกสองคนนั้นได้เปรียบกว่าพวกเขา  {DA 549.4}         

ดูเหมือนว่าความขัดแย้งเรื่องความเป็นใหญ่ที่สุดกำลังจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อพระเยซูทรงเรียกพวกเขาให้มาหาพระองค์และตรัสกับสาวกทั้งหลายที่กำลังขุ่นเคืองอยู่ว่า "ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า คนที่นับว่าเป็นผู้ครอบครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายอยู่เหนือเขาทั้งหลาย และพวกที่เป็นใหญ่ก็ใช้อำนาจบังคับพวกเขา  ในพวกท่านจะไม่เป็นเช่นนั้น”  {DA 550.1}                      

ในอาณาจักรต่างๆ ของโลก ตำแหน่งหมายถึงการเพิ่มอำนาจของตนเอง  ประชาชนดำรงชีวิตอยู่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นการปกครอง อิทธิพล ทรัพย์สิน การศึกษารวมทั้งสิ่งอื่นๆ อีกมากมายมีไว้ให้ผู้นำใช้ควบคุมมวลชน  ชนชั้นระดับสูงเป็นผู้คิด ตัดสิน หาความสุขสำราญและปกครอง ส่วนคนชนชั้นระดับล่างต้องเชื่อฟังและปรนนิบัติรับใช้  ศาสนาก็จัดให้เป็นเรื่องของสิทธิอำนาจ เหมือนเช่นเรื่องอื่น  ประชาชนต้องเชื่อและปฏิบัติตามการคาดหวังของผู้บังคับบัญชา  สิทธิของมนุษย์ในฐานะมนุษย์ที่จะคิดและกระทำเพื่อตัวเองนั้นไม่ได้รับการยอมรับอย่างสิ้นเชิง  {DA 550.2}                   

พระคริสต์ทรงจัดตั้งอาณาจักรบนหลักการที่แตกต่าง  พระองค์ทรงเรียกมนุษย์ไม่ใช่เพื่อให้เป็นผู้มีอำนาจ แต่เพื่อปรนนิบัติรับใช้ ให้คนมีกำลังแบกรับความเจ็บป่วยของคนอ่อนแอ  อำนาจ ตำแหน่ง ตะลันต์ความสามารถ และการศึกษาทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้มีภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่จะต้องรับใช้เพื่อนมนุษย์  แม้แต่สาวกที่ต่ำต้อยที่สุดของพระคริสต์ก็ยังมีพระดำรัสมายังพวกเขาว่า "ทุกๆ สิ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน"  2 โครินธ์ 4 ข้อที่ 15  {DA 550.3}                  

เหมือนบุตรมนุษย์ที่ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก”  ในท่ามกลางสาวกของพระองค์ พระคริสต์ทรงเป็นผู้ดูแล ผู้แบกภาระ  พระองค์ทรงแบ่งรับความยากจนของพวกเขา พระองค์ทรงปฏิเสธตนเองเพื่อเห็นแก่พวกเขา  พระองค์เสด็จนำหน้าพวกเขาไปเพื่อปราบทางยุ่งยากให้ราบรื่น และอีกไม่นานพระองค์จะประกอบพระราชกิจของพระองค์บนโลกให้สำเร็จด้วยการสละชีวิตของพระองค์  หลักการที่พระคริสต์ทรงปฏิบัติจะต้องกระตุ้นให้สมาชิกของคริสตจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ปฏิบัติตามแผนการและรากฐานของการไถ่ให้รอดคือความรัก  ในอาณาจักรของพระคริสต์ผู้ที่ใหญ่ที่สุดคือผู้ปฏิบัติตามแบบอย่างที่พระองค์ประทานไว้ให้และทำงานดั่งผู้เลี้ยงฝูงแกะของพระองค์  {DA 550.4}  

ข้อความของเปาโลเผยให้เห็นศักดิ์ศรีและเกียรติที่แท้จริงของชีวิตคริสเตียน ข้อที่  "แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นไทโดยไม่ได้อยู่ใต้ใคร ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคน เพื่อจะได้คนมามากยิ่งขึ้น"  "ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด" 1 โครินธ์ 9 ข้อที่ 19; 10 ข้อที่ 33  {DA 550.5}                  

ในเรื่องของจิตใต้สำนึกแล้ว จะต้องไม่เหนี่ยวรั้งควบคุมจิตวิญญาณ  ไม่มีใครคนใดที่จะไปควบคุมจิตใจของอีกคน เพื่อตัดสินให้กับอีกคน หรือกำหนดหน้าที่ของเขา  พระเจ้าประทานให้จิตวิญญาณทุกดวงมีเสรีภาพของการคิดและทำตามความเชื่อมั่นของตนเอง "ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า" ไม่มีใครคนใดมีสิทธิ์เอาความเป็นตัวของตัวเองไปสานเข้ากับของอีกคนหนึ่ง  ในทุกเรื่องที่มีเกี่ยวข้องกับหลักการแล้ว "ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด" โรม 14 ข้อที่ 12, 5  ในอาณาจักรของพระคริสต์ไม่มีการกดขี่เหมือนอย่างนายที่มีต่อบ่าวของตน ไม่มีการกระทำของการบังคับ  ทูตแห่งฟ้าสวรรค์ไม่ได้มายังโลกเพื่อปกครองและเพื่อเรียกร้องความเคารพ แต่มาในฐานะผู้ส่งสารแห่งความเมตตา เพื่อร่วมมือกับมนุษย์ในการยกระดับมนุษยชาติ  {DA 550.6}            

ในความงดงามของพระเจ้าหลักธรรมและถ้อยคำของคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดฝังอยู่ในความทรงจำของสาวกที่พระองค์ทรงรักคนนั้น  จวบจนถึงช่วงสุดท้ายภาระคำพยานของยอห์นที่ส่งไปยังคริสตจักรคือ "นี่เป็นคำสั่งสอนที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เรารักกันและกัน"  "เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องง" 1 ยอห์น 3 ข้อที่ 11, 16  {DA 551.1}          

นี่คือเจตนาที่แผ่กระจายไปทั่วคริสตจักรในยุคแรก  หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหลั่งลงมาแล้ว "คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง"  "เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน" "และด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน"  กิจการ 4 ข้อที่ 32, 34, 33  {DA 551.2}             

*********