บทที่ 72
“เพื่อระลึกถึงเรา”
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 26 ข้อที่ 20-29; มาระโก 14 ข้อที่ 17-25; ลูกา 22 ข้อที่ 14-23; ยอห์น 13 ข้อที่ 18-30
"ในคืนที่เขาทรยศพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า ‘นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา’ หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า ‘ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา’ เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา" 1 โครินธ์ 11 ข้อที่ 23-26 {DA 652.1}
พระคริสต์ประทับอยู่ตรงกลางของจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างสองพิธีกรรมของพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ และสองเทศกาลฉลองอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองยุค พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้าปราศจากตำหนิกำลังจะถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อพระองค์จะทรงทำให้ระบบของแบบและพิธีกรรมที่ดำเนินมาเนิ่นนานถึงสี่พันปีที่ชี้ไปยังการวายพระชนม์ของพระองค์จบสิ้นไป ในขณะที่พระองค์ทรงรับประทานปัสกากับสาวกของพระองค์นั้น พระองค์ทรงสถาปนาพิธีรำลึกการถวายบูชายิ่งใหญ่ของพระองค์ขึ้นมาเพื่อไปแทนอาหารปัสกา เทศกาลระดับชาติของชาวยิวจะปิดฉากไปตลอดกาล ผู้ติดตามของพระองค์ทั่วทั้งแผ่นดินจะถือพิธีที่พระคริสต์ทรงสถาปนาขึ้นนี้ในทุกดินแดนและตลอดทุกยุค {CCh 298.2} {DA 652.2}
เทศกาลปัสกาสถาปนาขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของการช่วยกู้ให้รอดจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ พระเจ้าทรงบัญชาว่าในแต่ละปีเมื่อบุตรทั้งหลายจะถามความหมายของพิธีกรรมทางศาสนานี้จะต้องเล่าประวัติของเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง ด้วยเหตุนี้ การช่วยให้รอดอย่างมหัศจรรย์ในครั้งนั้นจะเป็นเรื่องสดใหม่เสมออยู่ในความทรงจำของคนทั้งปวง พระเจ้าประทานพิธีมหาสนิทเพื่อให้รำลึกถึงการช่วยกู้ให้รอดครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผลจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ จะมีการประกอบพิธีนี้จนกระทั่งพระองค์เสด็จมาครั้งที่สองด้วยอำนาจและรัศมีภาพ เป็นพิธีที่จะช่วยให้เราเก็บรักษาพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ประกอบกิจเพื่อเราให้คงสดใหม่ไว้อยู่ในจิตใจของเราเสมอ {CCh 298.3} {DA 652.3}
ในวันที่พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากประเทศอียิปต์ ชนชาติอิสราเอลรับประทานอาหารเย็นปัสกาในท่ายืน คาดเอวและมีไม้เท้าอยู่ในมือ พร้อมออกเดินทาง ลักษณะที่พวกเขาเฉลิมฉลองพิธีทางศาสนานี้สอดคล้องกับสภาพของพวกเขา เพราะพวกเขากำลังจะถูกขับออกจากแผ่นดินอียิปต์ และกำลังจะเริ่มการเดินทางอย่างเจ็บปวดและยากลำบากผ่านถิ่นทุรกันดาร แต่ในสมัยของพระคริสต์สภาพต่างๆ เปลี่ยนไป ในเวลานี้ พวกเขาไม่ได้เกือบจะถูกขับออกจากประเทศของคนต่างชาติ แต่อาศัยอยู่ในดินแดนของตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับการพักที่ประทานให้แก่พวกเขาแล้ว ประชาชนในเวลานี้ร่วมรับประทานอาหารเย็นปัสกาในท่าเอนกาย เก้าอี้ยาวถูกจัดไว้รอบโต๊ะอาหาร และแขกนั่งเอนบนเก้าอี้เหล่านั้นในท่าเท้าแขนซ้าย และใช้มือขวาที่ว่างรับประทานอาหาร ในท่านี้ แขกเอาศีรษะไปวางไว้บนอกของผู้ที่นั่งถัดไปเหนือเขาได้ และผู้ที่เดินอยู่ขอบโต๊ะด้านนอกล้างเท้าของแขกได้ {DA 653.1}
พระคริสต์ยังคงประทับที่โต๊ะซึ่งมีอาหารมื้อเย็นปัสกาจัดไว้ ขนมปังไร้เชื้อที่ใช้ในเทศกาลปัสกาอยู่เบื้องหน้าพวกเขา มีเหล้าองุ่นปัสกาที่ไม่ผ่านการหมักจัดวางไว้บนโต๊ะ พระคริสต์ทรงใช้สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นตัวแทนของการถวายบูชาอันไร้ตำหนิของพระองค์เอง ไม่มีการปนเปื้อนด้วยการหมักซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบาปและความตายที่จะเป็นตัวแทนของ "ลูกแกะที่ไร้ตำหนิและไร้จุดด่างพร้อย" 1 เปโตร 1 ข้อที่ 19 {DA 653.2}
"ระหว่างรับประทานอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา และเมื่อขอพระพรแล้ว ก็ทรงหักส่งให้บรรดาสาวกตรัสว่า ‘จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา’ แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงส่งให้พวกเขาตรัสว่า ‘จงรับไปดื่มทุกคนเถิด เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น ที่เราจะดื่มกับพวกท่านอีกในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา’" {DA 653.3}
ยูดาสผู้ทรยศเข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ เขารับสัญลักษณ์พระวรกายที่แตกหักและพระโลหิตที่หลั่งออกมาของพระองค์ เขาได้ยินพระดำรัสที่ว่า "จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” และในขณะที่ผู้ทรยศนั่งอยู่เบื้องพระพักตร์พระเมษโปดกนั้น เขาครุ่นคิดอยู่กับจุดมุ่งหมายอันดำมืดของตัวเอง และยึดมั่นอยู่กับความคิดที่บูดบึ้งและผูกพยาบาทของเขาเอง {DA 653.4}
ในช่วงเวลาที่ล้างเท้าอยู่นั้น พระคริสต์ประทานหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเข้าพระทัยลักษณะอุปนิสัยของยูดาส "ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด" (ยอห์น 13 ข้อที่ 11) พระองค์ตรัส พระดำรัสเหล่านี้โน้มน้าวให้สาวกจอมปลอมมั่นใจว่าพระคริสต์ทรงอ่านจุดประสงค์ลับของเขาได้ บัดนี้พระคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนมากขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่พวกเขานั่งอยู่รอบโต๊ะนั้น พระองค์ตรัสขณะทอดพระเนตรไปยังสาวกว่า "เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน เรารู้จักคนที่เราเลือกไว้แล้ว แต่จะต้องเป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า ‘คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา’ " {DA 653.5}
แม้กระทั่งจนถึงเวลานี้พวกสาวกไม่ได้สงสัยยูดาส แต่พวกเขามองเห็นว่าพระคริสต์ทรงทุกข์มากยิ่งนัก มีเมฆหนึ่งปกคลุมพวกเขาทั้งหมดไว้ เป็นลางสังหรณ์ถึงความหายนะอันน่าสยดสยองบางอย่าง ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติที่พวกเขาไม่เข้าใจ ขณะที่พวกเขารับประทานอาหารอย่างเงียบๆ พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในท่านจะทรยศเรา" ด้วยพระดำรัสเหล่านี้ ความประหลาดใจและความหวาดกลัวครอบงำพวกเขาไว้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าจะมีใครคนใดในพวกเขาที่จะทรยศพระอาจารย์จากพระเจ้าได้อย่างไร พวกเขาจะต้องทรยศพระองค์ด้วยสาเหตุอันใด? และทำเพื่อใคร? หัวใจของใครก่อบาปเช่นนี้ได้เล่า? แน่นอนคงไม่ใช่หนึ่งในสิบสองคนโปรดที่ได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นที่ฟังคำสอนของพระองค์ผู้ทรงแบ่งปันความรักอันประเสริฐและทรงเอาใจใส่อย่างมากยิ่งด้วยการนำให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับพระองค์เอง! {DA 654.1}
เมื่อพวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของพระดำรัส และรำลึกได้ว่าพระดำรัสของพระองค์นั้นเป็นจริงเสมออย่างไร ความกลัวและความไม่ไว้ใจในตนเองเริ่มครอบงำพวกเขา พวกเขาเริ่มตรวจสอบหัวใจของตัวเองเพื่อดูว่ามีการเก็บถนอมความคิดของการต่อต้านพระอาจารย์ของพวกเขาอยู่หรือไม่ ด้วยอารมณ์ของความเจ็บปวดอย่างที่สุด ต่างคนต่างเริ่มทูลถามว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า คือข้าพระองค์หรือ?" แต่ยูดาสกลับนิ่งเงียบ ด้วยความทุกข์ใจอย่างหนักยอห์นถามขึ้นในที่สุดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนั้นเป็นใคร?" และพระเยซูตรัสตอบว่า “คนที่เอามือจิ้มลงในชามเดียวกันกับเรานั่นแหละ คือคนที่จะทรยศเรา บุตรมนุษย์จะต้องไปตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติมีแก่คนที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า" พวกสาวกมองหน้ากันอย่างพินิจพิจารณาขณะที่พวกเขาทูลถามว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า คือข้าพระองค์หรือ?" และในเวลานี้ความเงียบของยูดาสดึงทุกสายตามาอยู่กับเขา ท่ามกลางความสับสนของคำถามและการแสดงออกของความประหลาดใจ ยูดาสไม่ได้ยินพระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสตอบคำถามของยอห์น แต่เพื่อหนีให้พ้นการตรวจสอบของพวกสาวกในเวลานี้ เขาจึงถามเหมือนที่พวกเขาถามกันมาแล้วว่า "พระอาจารย์ คือข้าพระองค์หรือ?" พระเยซูตรัสตอบอย่างเคร่งขรึมว่า "ท่านว่าถูกแล้ว" {DA 654.2}
ด้วยความประหลาดใจและสับสนที่จุดประสงค์ของเขาถูกเปิดโปง ยูดาสลุกขึ้นด้วยความเร่งรีบออกไปจากห้อง "พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ‘ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ’. . . . เพราะฉะนั้นหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน" เวลากลางคืนเป็นของคนทรยศขณะที่เขาหันออกจากพระคริสต์ไปสู่ความมืดภายนอก {DA 654.3}
จนกระทั่งก้าวมาถึงจุดนี้ที่ยูดาสยังไม่ได้ก้าวเกินความเป็นไปได้ที่จะกลับใจ แต่เมื่อเขาออกไปจากเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนสาวกด้วยกันแล้ว เขาได้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายแล้ว เขาได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตไปแล้ว {DA 654.4}
ความอดทนนานของพระเยซูในการปฏิบัติต่อจิตวิญญาณที่ถูกทดลองดวงนี้ช่างน่าประเสริฐ สิ่งใดที่จะทำได้เพื่อช่วยยูดาสให้รอดพระองค์ไม่ทรงปล่อยไป หลังจากที่เขาทำสัญญาทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาถึงสองครั้งแล้ว พระเยซูยังประทานโอกาสให้เขากลับใจ โดยการอ่านความคิดอันเล้นลับของหัวใจคนทรยศนั้น พระคริสต์ได้ประทานหลักฐานให้แก่เขาครั้งสุดท้ายเพื่อสร้างความมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า สำหรับสาวกจอมปลอมคนนี้นี่คือการทรงเรียกครั้งสุดท้ายให้กลับใจ พระหทัยแห่งความเป็นมนุษย์และพระเจ้าของพระคริสต์ไม่ทรงสงวนคำอ้อนวอนใด คลื่นแห่งความเมตตาที่ถูกความหยิ่งยโสดื้อด้านโต้จะถูกสนองกลับด้วยคลื่นแห่งความรักของการยอมจำนน แต่ถึงแม้จะประหลาดใจและตื่นตระหนกเมื่อถูกจับได้ว่าทำผิด ยูดาสกลับยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม เขาออกไปจากงานเลี้ยงอาหารค่ำของศาสนพิธีเพื่อลงมือทำงานของการทรยศให้สำเร็จ {DA 655.1}
ด้วยการประกาศวิบัติใส่ยูดาส พระคริสต์ทรงสำแดงพระประสงค์แห่งความเมตตาที่ทรงมีต่อสาวกของพระองค์ ในการทำเช่นนี้ พระองค์ได้ประทานหลักฐานอันยิ่งใหญ่ของการทรงเป็นพระเมสสิยาห์ "เราบอกพวกท่านตอนนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น" พระองค์ตรัส "เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น" หากพระเยซูทรงนิ่งเฉยและแสดงออกอย่างชัดแจ้งถึงความไม่รู้สิ่งที่จะเกิดกับพระองค์แล้ว พวกสาวกก็อาจจะคิดว่าพระอาจารย์ของพวกเขาคงจะไม่มีสายตาแห่งการมองการณ์ไกลอย่างพระเจ้า คงจะตกตะลึงและถูกทรยศไปอยู่ในเงื้อมมือของฝูงฆาตกร หนึ่งปีก่อนหน้านี้ พระเยซูตรัสกับสาวกไว้แล้วว่าพระองค์ทรงเลือกสิบสองคนและคนหนึ่งเป็นมาร บัดนี้พระดำรัสของพระองค์ถึงยูดาสที่แสดงว่าการทรยศหักหลังของเขาเป็นเรื่องที่พระอาจารย์ของเขาทรงทราบดีนั้นจะเสริมความเชื่อของผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ในช่วงเวลาแห่งความอัปยศอดสูของพระองค์ได้ และเมื่อยูดาสมาถึงจุดจบอันน่ากลัว พวกเขาจะจดจำคำวิบัติที่พระเยซูทรงประกาศใส่ผู้ทรยศได้ {DA 655.2}
และพระผู้ช่วยให้รอดยังทรงมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง พระองค์ไม่ทรงห้ามเขาคนนั้นที่ทรงทราบว่าเป็นคนทรยศจากการเข้าร่วมรับใช้ในพันธกิจของพระองค์ พวกสาวกไม่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์เมื่อพระองค์ตรัสขณะล้างเท้าว่า "ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด" หรือแม้กระทั่งเมื่อพระองค์ทรงประกาศขณะอยู่ที่โต๊ะอาหารว่า "คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา" ยอห์น 13 ข้อที่ 11, 18 แต่หลังจากนั้น เมื่อความหมายพระดำรัสของพระองค์ชัดแจ้งแล้ว พวกเขามีเรื่องที่ต้องพิจารณาถึงความอดทนนานและพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่หลงผิดไปอย่างน่าเศร้าใจที่สุด {DA 655.3}
ถึงแม้พระเยซูจะทรงรู้จักยูดาสตั้งแต่แรกก็ตาม พระองค์ก็ยังทรงล้างเท้าของเขา และผู้ทรยศได้รับสิทธิพิเศษที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ในการเข้าร่วมศาสนพิธี พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงอดทนนานทรงยื่นเสนอการโน้มน้าวใจทุกอย่างเพื่อให้คนบาปยอมรับพระองค์ ให้กลับใจและให้รับการชำระจากมลทินบาป แบบอย่างนี้มีไว้ให้เรา เมื่อเราคิดว่ามีคนหนึ่งตกอยู่ในความผิดและบาป เราต้องไม่ปลีกตัวออกห่างจากเขา เราต้องไม่ตีตัวเหินห่างอย่างไม่เอาใจใส่จากเขาหรือปล่อยให้เขาตกไปเป็นเหยื่อของการทดลองหรือขับไล่เขาตกไปอยู่ในสมรภูมิของซาตาน นี่ไม่ใช่วิธีของพระคริสต์ เนื่องจากสาวกทำผิดและบกพร่อง พระองค์จึงทรงล้างเท้าของพวกเขา และทรงนำสาวกทั้งหมดสิบสองคนยกเว้นคนเดียวให้กลับใจ {DA 655.4}
แบบอย่างของพระคริสต์สอนว่าห้ามกีดกันการเข้าร่วมพิธีมหาสนิท จริงอยู่ที่การทำบาปอย่างเปิดเผยจะกันคนผิดไม่ให้เข้าร่วม เรื่องนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนไว้อย่างชัดเจน (โปรดดู 1 โครินธ์ 5 ข้อที่ 11) แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว จะต้องไม่มีใครตัดสินคนอื่น พระเจ้าไม่ทรงปล่อยเรื่องนี้ให้มนุษย์เป็นผู้กำหนดว่าใครจะเข้าร่วมพิธีเหล่านี้ เพราะมีผู้ใดเล่าที่อ่านใจของคนอื่นได้? ใครจะแยกข้าวละมานออกจากข้าวสาลีได้? “ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้” เพราะ “ถ้าใครกินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า” “เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ” 1 โครินธ์ 11 ข้อที่ 28, 27, 29 {CCh 298.4} {DA 656.1}
เมื่อผู้เชื่อรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองพิธีมหาสนิทนั้น มีผู้สื่อสารที่ตามนุษย์มองไม่เห็นรวมตัวกันอยู่ที่นั่นด้วย อาจมีบุคคลอย่างยูดาสอยู่ในกลุ่ม และถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้สื่อสารจากเจ้าชายแห่งความมืดก็อยู่ที่นั่นด้วยเพราะพวกเขาอยู่กับคนที่ปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตแห่งฟ้าสวรรค์ก็อยู่ร่วมด้วย ทูตผู้มาเยือนที่ตาเปล่ามองไม่เห็นเหล่านี้จะเข้าร่วมทุกงานที่มีลักษณะเช่นนี้ ในกลุ่มอาจมีบุคคลมาเข้าร่วมโดยที่หัวใจไม่ได้เป็นผู้รับใช้ความจริงและความบริสุทธิ์ แต่พวกเขาเพียงต้องการมีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ควรห้ามคนพวกนี้เข้าร่วมพิธี ยังมีพยานอื่นๆ ที่ปรากฏตัวเมื่อขณะพระเยซูทรงล้างเท้าของพวกสาวกและของยูดาส มีตาที่ไม่ใช่ตามนุษย์อีกมากมายที่เฝ้ามองภาพเหตุการณ์อยู่ {DA 656.2}
โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์พระคริสต์ประทับอยู่ที่นั่นเพื่อประทับตราให้กับพิธีกรรมทางศาสนาของพระองค์เอง พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นเพื่อทำให้หัวใจรู้สำนึกว่าตัวผิดและทำให้หัวใจอ่อนนุ่มลง ไม่มีสักท่าทางหรือความสำนึกในความผิดใดที่จะหลบซ่อนจากการตรวจสอบของพระองค์ได้ สำหรับคนที่กลับใจและหัวใจแตกสลายนั้น พระองค์ทรงรอคอยอยู่ ทุกสิ่งพร้อมรอต้อนรับจิตวิญญาณดวงนั้น พระผู้ทรงล้างเท้าของยูดาส ทรงเฝ้ารอที่จะล้างหัวใจทุกดวงจากรอยเปื้อนของบาป {DA 656.3}
ไม่ควรมีใครเอาตัวเองออกจากพิธีมหาสนิทเพียงเพราะมีบางคนที่ไม่เหมาะสมอาจจะเข้าร่วมพิธีด้วย สาวกทุกคนได้รับการทรงเรียกให้เข้าร่วมอย่างเปิดเผย และด้วยการทำเช่นนี้จะเป็นประจักษ์พยานว่าเขายอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัว {CCh 298.5} ในสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ว่าพระคริสต์จะทรงพบกับประชากรของพระองค์และเพิ่มพลังให้แก่พวกเขาจากการสถิตร่วมอยู่ด้วยของพระองค์ หัวใจและมือที่ไม่คู่ควรอาจเป็นผู้ร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนานี้ แต่กระนั้นพระคริสต์ก็ประทับอยู่ที่นั่นเพื่อปรนนิบัติเหล่าบุตรของพระองค์ ทุกคนที่เข้ามาด้วยความเชื่อซึ่งมุ่งตรงไปยังพระองค์จะได้รับพระพรอย่างมากมาย ทุกคนที่ละเลยช่วงเวลาซึ่งเป็นสิทธิพิเศษของพระเจ้านี้จะทนทุกข์กับความสูญเสีย อาจจะเป็นการเหมาะสมที่จะกล่าวถึงพวกเขาว่า "ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด" {DA 656.4}
เมื่อพระคริสต์ทรงร่วมรับประทานขนมปังและน้ำองุ่นกับสาวก พระองค์เองทรงปฏิญาณว่าจะเป็นพระผู้ไถ่ของพวกเขา พระองค์ประทานพันธสัญญาใหม่ให้แก่พวกเขา ด้วยทุกคนที่รับพระองค์จะเป็นบุตรของพระเจ้าและมีส่วนร่วมรับมรดกด้วยกันกับพระคริสต์ โดยพันธสัญญานี้ ทุกพระพรที่สวรรค์จะประทานในชีวิตนี้และชีวิตหน้าจะเป็นของพวกเขา การประกอบกิจแห่งพันธสัญญานี้จะต้องผ่านการรับรองด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นการรักษาพระสัญญาต่อหน้าสาวกทั้งปวงถึงการเสียสละอย่างไร้ขอบเขตจำกัดเพื่อพวกเขาแต่ละคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษยชาติทั้งหมดที่ล้มลงในบาป {CCh 298.6} {DA 656.5}
แต่พิธีมหาสนิทไม่ใช่เวลาแห่งความโศกเศร้า นี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพิธีนี้ ในขณะที่สาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาชุมนุมกันอยู่รอบโต๊ะของพระองค์ พวกเขาจะต้องไม่จดจำและโอดครวญถึงความบกพร่องของตนเอง พวกเขาจะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์ศาสนาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ชื่นใจหรือโศกเศร้า พวกเขาจะต้องไม่หวนคิดถึงความแตกแยกระหว่างตัวเขากับพี่น้อง พิธีตระเตรียมครอบคลุมเรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้ว การตรวจสอบตนเอง การสารภาพบาป การปรับความแตกแยกให้กลับมาคืนดีกัน ทั้งหมดนี้ทำเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว {CCh301.4} บัดนี้พวกเขามาเพื่อเข้าเฝ้าพระคริสต์ พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ภายใต้เงาของกางเขนแต่อยู่ภายใต้แสงสว่างแห่งความรอด เขาทั้งหลายจะต้องเปิดจิตวิญญาณออกให้กับลำแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม จากหัวใจที่ได้รับการชำระให้สะอาดด้วยพระโลหิตอันประเสริฐสุดของพระคริสต์และถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่ตระหนักอย่างเต็มที่ถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินพระดำรัสของพระองค์ว่า “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” ยอห์น 14 ข้อที่ 27 {CCh301.5}{DA 659.1}
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราตรัสว่า ภายใต้การรู้สำนึกถึงบาป ให้จดจำไว้ว่าเราสิ้นพระชนม์เพื่อเจ้าแล้ว เมื่อถูกกดขี่และถูกข่มเหงและเจ็บปวดรวดร้าวเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ ขอให้จดจำไว้ว่า ความรักของเรานั้นยิ่งใหญ่มากจนเราสละชีวิตเพื่อเจ้า เมื่อหน้าที่การงานของเจ้าโหดและดุเดือดและภาระของเจ้าหนักเกินกว่าจะทนแบกรับไหว จงจดจำไว้ว่า เพื่อเห็นแก่เจ้า เราสู้ทนต่อกางเขนมาแล้วและเราถือว่าความอับอายไม่เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อหัวใจของเจ้าถดถอยไปจากการปล้ำสู้ที่แทบจะทนไม่ไหว จงจดจำไว้ว่าพระผู้ไถ่ของเจ้าทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอเผื่อเจ้า {DA 659.2}
พิธีมหาสนิทชี้เล็งไปยังการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ เป็นพิธีที่ตั้งขึ้นเพื่อถนอมเก็บรักษาความหวังนี้ให้โดดเด่นอยู่ในจิตใจของพวกสาวก ในเวลาใดก็ตามเมื่อพวกเขาชุมนุมร่วมกันเพื่อรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แล้ว พวกเขาจะเล่าให้ฟังใหม่อีกครั้งว่า “แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงส่งให้พวกเขาตรัสว่า 'จงรับไปดื่มทุกคนเถิด เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น ที่เราจะดื่มกับพวกท่านอีกในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา'" มัทธิว 26 ข้อที่ 27-29 ในความทุกข์ลำบากพวกเขาทั้งหลายได้พบการประโลมใจจากความหวังของการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า สำหรับพวกเขาแล้วความคิดอันแสนล้ำค่าซึ่งไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดคือ “เมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” 1 โครินธ์ 11 ข้อที่ 26 {CCh 302.3} {DA 659.3}
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องไม่ลืมเด็ดขาด เราต้องถนอมรักษาความรักของพระเยซูที่มีอำนาจแห่งการยับยั้งใจไว้ให้สดใหม่ในความทรงจำของเราอยู่เสมอ พระคริสต์ทรงสถาปนาพิธีนี้เพื่อบอกจิตใต้สำนึกของเราถึงความรักของพระเจ้าที่แสดงออกมาเพื่อเรา การประสานเข้าร่วมเป็นหนึ่งระหว่างจิตวิญญาณของเรากับของพระเจ้าจะไม่เกิดขึ้นเว้นเสียแต่โดยทางพระคริสต์ การรวมเป็นหนึ่งเดียวและความรักระหว่างพี่กับน้องจะเชื่อมเข้ากันและคงอยู่นิรันดร์ได้ด้วยความรักของพระเยซู และไม่มีสิ่งใดที่น้อยไปกว่าความมรณาของพระคริสต์จะทำให้ความรักของพระองค์เกิดผลในเรา เป็นเพราะความมรณาของพระองค์ที่ทำให้เรามองไปยังการเสด็จมาครั้งที่สองด้วยความสุขได้ การทรงเสียสละของพระองค์เป็นศูนย์กลางแห่งความหวังของเรา เราต้องยึดความเชื่อของเราไว้ในความหวังนี้ {CCh 302.4} {DA 660.1}
มีการจัดพิธีกรรมที่ชี้ไปยังความอัปยศอดสูและความทุกข์ทรมานของพระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นอย่างเป็นพิธีการเกินไป พิธีนี้ได้ถูกสถาปนาขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางประการ เราจะต้องกระตุ้นความนึกคิดของเราให้ตื่นเพื่อยึดมั่นในความล้ำลึกแห่งความเชื่อ เป็นสิทธิพิเศษของทุกคนที่จะเข้าใจเรื่องการทนทุกข์ทรมานของพระคริสต์เพื่อล้างบาปให้มากขึ้นกว่าที่เราเข้าใจอยู่ในเวลานี้ ดั่ง "โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร" บุตรมนุษย์ก็ถูกยกขึ้นเช่นกัน "เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์" ยอห์น 3 ข้อที่ 14, 15 เราต้องมองไปยังกางเขนคาลวารีที่ตรึงพระผู้ช่วยให้รอดที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ ผลประโยชน์นิรันดร์ของเราเรียกร้องให้เราแสดงออกถึงความเชื่อในพระคริสต์ {DA 660.2}
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราตรัสไว้แล้วว่า "ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน. . . .เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้" ยอห์น 6 ข้อที่ 53-55 ข้อความนี้เป็นจริงสำหรับธรรมชาติทางกายภาพของเรา เราเป็นหนี้ความตายของพระคริสต์แม้กระทั่งชีวิตทางฝ่ายโลกนี้ของเราด้วย ขนมปังที่เรารับประทานถูกไถ่มาด้วยพระวรกายที่แตกหักของพระองค์ น้ำที่เราดื่มถูกซื้อมาด้วยพระโลหิตที่หลั่งออกมาจากพระองค์ เขาทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนชอบธรรมหรือคนบาปที่รับประทานอาหารประจำวันจะได้รับการบำรุงด้วยพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสต์ กางเขนคาลวารีประทับอยู่บนขนมปังทุกก้อน กางเขนคาลวารีสะท้อนออกมาจากน้ำพุทุกแห่ง ทั้งหมดนี้พระคริสต์ทรงสอนไว้ในสัญลักษณ์แห่งการเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้น แสงที่ส่องออกมาจากพิธีมหาสนิทในห้องชั้นบนทำให้อาหารสำหรับชีวิตประจำวันของเราศักดิ์สิทธิ์ อาหารในครอบครัวเป็นอาหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและอาหารทุกมื้อเป็นพิธีกรรมทางศาสนา {DA 660.3}
และพระดำรัสของพระคริสต์เป็นจริงอันเกี่ยวกับธรรมชาติทางจิตวิญญาณของเรามากเพียงใด พระองค์ทรงประกาศว่า "คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์" โดยการรับชีวิตที่ทรงหลั่งจากกางเขนคาลวารีเพื่อเราทำให้เราดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ได้ และเรารับชีวิตนี้ได้โดยการรับพระวจนะของพระองค์และโดยการปฏิบัติตามพระบัญชาต่างๆ ของพระองค์ ด้วยการทำเช่นนี้เราจึงเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์ "คนที่กินเนื้อ” พระองค์ตรัส “และดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น" ยอห์น 6 ข้อที่ 54, 56, 57 พระคัมภีร์ข้อนี้ยังกล่าวถึงพิธีมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความหมายพิเศษ เมื่อความเชื่อใคร่ครวญถึงการทรงเสียสละอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว จิตวิญญาณก็จะดูดซับชีวิตฝ่ายวิญญาณของพระคริสต์ไว้ จิตวิญญาณดวงนั้นจะได้รับพลังฝ่ายวิญญาณจากพิธีมหาสนิททุกครั้ง พิธีนี้จะเชื่อมความสัมพันธ์ที่ทำให้ผู้เชื่อผูกพันเข้ากับพระคริสต์ และด้วยประการฉะนี้จึงผูกพันเข้ากับพระบิดา ในความหมายพิเศษก็คือ เกิดการต่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่ต้องการที่พึ่งพิงกับพระเจ้า {DA 660.4}
ในขณะที่เรารับขนมปังและน้ำองุ่นอันเป็นสัญลักษณ์ของพระวรกายของพระคริสต์ที่ทรงแตกหักและพระโลหิตที่ทรงหลั่งออก เรากำลังเข้าร่วมพิธีมหาสนิทกับพระองค์ในห้องชั้นบนผ่านทางความนึกคิดของเรา ดูประหนึ่งว่าเรากำลังเดินผ่านสวนที่เจิมด้วยความปวดร้าวทรมานของพระองค์ผู้ทรงแบกบาปทั้งหลายของโลก เราได้เห็นเป็นพยานถึงการต่อสู้ดิ้นรนที่ทำให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า พระคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขนท่ามกลางเรา {CCh 301.6} {DA 661.1}
เมื่อเรามองไปยังพระผู้ไถ่ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนนั้น เราจะเข้าใจอย่างเต็มที่มากขึ้นถึงความยิ่งใหญ่และความหมายของการทรงเสียสละที่พระราชาแห่งสรวงสวรรค์ทรงกระทำเพื่อเรา แผนการแห่งความรอดได้รับการเทิดพระเกียรติอยู่หน้าเราและการคิดคำนึงถึงเรื่องของกางเขนคาลวารีปลุกความรู้สึกอันมีชีวิตและศักดิ์สิทธิ์ในใจของเรา ในใจของเราและบนริมฝีปากของเราจะมีคำสรรเสริญแด่พระเจ้าและพระเมษโปดก เพราะความหยิ่งและการบูชาตนจะไม่เติบใหญ่ในจิตวิญญาณที่รักษาความทรงจำของภาพกางเขนคาลวารีไว้ให้สดใหม่อยู่เสมอ {CCh 302.1} {DA 661.2}
ผู้ที่เฝ้ามองไปยังความรักอันไร้ที่เปรียบของพระผู้ช่วยให้รอดจะได้รับการยกระดับความคิดให้สูงขึ้น จิตใจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และลักษณะอุปนิสัยเปลี่ยนไป เขาจะออกไปเป็นแสงสว่างให้กับโลก เพื่อสะท้อนความรักล้ำลึกนี้ในระดับหนึ่ง เมื่อเราใคร่ครวญถึงกางเขนของพระคริสต์มากยิ่งขึ้นเท่าไร เราก็จะยอมรับคำพูดของอัครสาวกได้อย่างเต็มที่มากขึ้นเมื่อท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไรนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตายจากโลก" กาลาเทีย 6 ข้อที่ 14 {DA 661.3}
**********