บทที่ 15

ที่งานเลี้ยงสมรส

อ้างอิงจาก ยอห์น 2 ข้อที่ 1-11


พันธกิจของพระเยซูไม่ได้เริ่มขึ้นด้วยการประกอบพระราชกิจยิ่งใหญ่ต่อหน้าสภาซันเฮดรินที่กรุงเยรูซาเล็ม  แต่พระองค์ทรงเพิ่มความสุขให้กับงานมงคลสมรสด้วยการสำแดงอำนาจแห่งการประกอบกิจยิ่งใหญ่ที่ชุมนุมครอบครัวแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ ของแคว้นกาลิลี  ด้วยการปฏิบัติพระราชกิจนี้พระองค์ทรงสำแดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจมนุษย์ และพระประสงค์ของพระองค์ที่จะประทานความสุขให้เขาเหล่านั้น  ในถิ่นทุรกันดารแห่งการทดลอง พระองค์ทรงดื่มถ้วยแห่งความทุกข์ด้วยตนเอง  พระองค์ทรงก้าวออกมาเพื่อประทานถ้วยแห่งพระพรแก่มนุษย์ โดยการอำนวยพระพรของพระองค์ เพื่อสัมพันธภาพอันบริสุทธิ์แก่ชีวิตของมนุษย์  {DA 144.1}       

จากลุ่มแม่น้ำจอร์แดน พระเยซูเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลีแล้ว  มีงานเลี้ยงฉลองสมรสที่หมู่บ้านคานา ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่ไกลจากเมืองนาซาเร็ธ  เจ้าภาพเป็นญาติของโยเซฟและมารีย์และเมื่อพระเยซูทรงทราบถึงการรวมญาติกันในครั้งนี้ จึงเสด็จไปยังหมู่บ้านคานา พระเยซูพร้อมด้วยสาวกได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานด้วย  {DA 144.2}      

อีกครั้งหนึ่งพระเยซูทรงพบมารดาที่จากกันมาระยะหนึ่งแล้ว  มารีย์ได้ยินถึงปรกฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ณ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนเมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมา  ข่าวนี้มาถึงเมืองนาซาเร็ธและทำให้เธอหวนคิดถึงภาพต่างๆ ที่เธอเก็บไว้ในใจมานานนับปีขึ้นมาใหม่  พันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมากระตุ้นความทรงจำของมารีย์อย่างสุดซึ้งเหมือนกับที่กระตุ้นคนทั่วไปในแผ่นดินอิสารเอล  มารีย์จำคำพยากรณ์ที่เปิดเผยเมื่อสมัยยอห์นเกิดได้ดี  บัดนี้เรื่องของยอห์นที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูจุดประกายความหวังของเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  แต่ข่าวเรื่องพระเยซูเสด็จเข้าไปยังถิ่นทุรกันดารอย่างลึกลับก็มาถึงเธอเช่นกัน และความทุกข์ยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทำให้เธอทุกข์ใจ  {D 144.3}               

ตั้งแต่วันที่มารีย์ได้ยินคำประกาศของทูตสวรรค์ในบ้านที่เมืองนาซาเร็ธนั้น เธอได้เก็บหลักฐานทั้งหมดที่แสดงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ไว้ในใจ  ชีวิตอันหวานชื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ทำให้เธอมั่นใจว่าพระองค์ไม่ทรงเป็นผู้อื่นนอกจากทรงเป็นพระผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดประทาน  ถึงกระนั้น ความสงสัยและผิดหวังยังตกลงมาถึงเธอและเธอก็ยังหวังรอเวลาที่พระองค์จะเปิดเผยพระสิริของพระองค์  ความตายได้แยกเธอกับโยเซฟแล้ว โยเซฟเป็นผู้รับรู้เรื่องราวความอัศจรรย์ของการประสูติของพระเยซูร่วมกันกับเธอ  บัดนี้ไม่มีผู้ใดที่เธอจะมอบความหวังและความกลัวได้อีกต่อไป  สองเดือนที่ผ่านไปเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์โศกมาก  เธอกับพระเยซูจากกันแล้ว พระองค์ทรงเป็นความหวังใจของเธอเมื่อเธอต้องการคำปลอบประโลม  เธอครุ่นคิดถึงคำพูดของสิเมโอน “หัวใจของท่านเองก็จะถูกดาบแทงทะลุด้วย” ลูกา 2 ข้อที่ 35  เธอหวนคิดถึงสามวันแห่งความทุกข์ระทมเมื่อเธอคิดว่าพระเยซูหายจากเธอไปตลอดกาลและด้วยความห่วงกังวลใจ เธอรอคอยการกลับมาของพระองค์  {DA 145.1}       

มารีย์พบพระเยซูที่งานเลี้ยงมงคลสมรส   พระองค์ยังทรงเป็นบุตรชายที่มีความสุภาพและรับผิดชอบต่อหน้าที่เหมือนเดิม  แต่ถึงกระนั้นพระองค์ทรงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนไป  พระพักตร์ของพระองค์ทรงมีริ้วรอยของการต่อสู้ในถิ่นทุรกันดาร และการสำแดงออกถึงเกียรติยศและอำนาจครั้งใหม่เป็นหลักฐานถึงพันธกิจแห่งสวรรค์  มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งอยู่กับพระองค์ สายตาของพวกเขาคอยติดตามพระองค์ด้วยความยำเกรงและพวกเขาทูลเรียกพระองค์ว่าพระอาจารย์  พระสหายเหล่านี้เล่าเหตุการณ์ที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินมาที่พิธีบัพติศมาและที่อื่นๆ ให้มารีย์ฟัง พวกเขาสรุปด้วยการเปิดเผยว่า “เราพบคนที่โมเสสกล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และคนที่พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวถึง”  ยอห์น 1 ข้อที่ 45  {DA 145.2}  

ในขณะที่บรรดาแขกเข้ามาในงาน หลายคนดูเหมือนหมกมุ่นอยู่กับหัวข้อที่น่าสนใจบางอย่าง  ความตื่นเต้นที่ไม่เปิดเผยแผ่อยู่ทั่วทั้งกลุ่มชน  มีคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยต่างคุยกันอย่างกระตือรือร้นและแผ่วเบาด้วยความตั้งใจและสายตาต่างหันมองไปยังพระบุตรของมารีย์  ในขณะที่มารีย์ฟังสาวกบอกเล่าเรื่องของพระเยซู เธอชื่นใจพร้อมด้วยความมั่นใจว่า ความหวังที่เธอยึดมั่นไว้อันยาวนานจะไม่สูญเปล่า แต่ถึงกระนั้น เธอน่าจะเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าคนธรรมดาหากเธอไม่ได้นำเอาความสุขอันบริสุทธิ์แห่งสวรรค์มารวมเข้ากับทิฐิในธรรมชาติของความเป็นเม่  ในขณะที่เธอเห็นสายตามากมายที่หันมองไปทางพระเยซู เธอหวังที่จะให้พระเยซูพิสูจน์ตนเองให้ชุมนุมชนกลุ่มนี้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติจากพระเจ้า เธอหวังที่จะได้มีโอกาสให้พระเยซูกระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าพวกเขา  {DA 145.3}

เป็นธรรมเนียมของสมัยนั้นของการจัดงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสที่กินเวลาหลายวัน ในงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ น้ำองุ่นหมดก่อนงานเลี้ยงจะสิ้นสุด  เมื่อทราบว่าน้ำองุ่นหมด หลายฝ่ายก็กังวลและเศร้าเสียใจ  เป็นเรื่องไม่ปกติที่จะปล่อยให้น้ำองุ่นขาดในงานเลี้ยง  น้ำองุ่นขาดแสดงถึงการขาดมิตรไมตรี  ในฐานะที่มารีย์เป็นญาติของเจ้าภาพ เธอจึงมีส่วนในการจัดเตรียมงานเลี้ยงและบัดนี้เธอพูดกับพระเยซูว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น” เป็นคำพูดในเชิงเสนอแนะว่า พระองค์ทรงต้องจัดหาสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย ไม่ใช่ธุระของท่าน เวลาของเรายังมาไม่ถึง”  {DA 145.4}      

คำตอบนี้แม้จะดูเหมือนอย่างสวนกลับเฉียบพลันก็ตามที  แต่ก็ไม่ได้มีความเยือกเย็นหรือไร้มารยาทขาดความเคารพ  การเรียกมารดาเช่นนี้เป็นไปตามประเพณีของชาวตะวันออก  เป็นคำที่ใช้กับบุคคลที่ต้องแสดงความเคารพนับถือ  การปฏิบัติทั้งหมดของพระคริสต์สอดคล้องกับพระบัญญัติที่พระองค์เองทรงเป็นผู้ประทาน “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า” อพยพ 20 ข้อที่ 12  บนกางเขน พระองค์ทรงสำแดงออกถึงความเอ็นดูครั้งสุดท้ายที่มีต่อมารดาของพระองค์  อีกครั้งหนึ่งพระเยซูทรงเรียกเธอเช่นนี้ ในขณะที่พระองค์ทรงมอบเธอไว้ให้อยู่ในความดูแลของสาวกคนโปรดที่สุดของพระองค์ ความรักที่แสดงออกในน้ำเสียงและสายตาและกิริยาแปลความหมายพระดำรัสของพระองค์ทั้งที่งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสและที่กางเขน  {DA 146.1}          

เมื่อพระคริสต์ยังทรงพระเยาว์ พระองค์เสด็จเยี่ยมพระวิหารและในขณะที่ความล้ำลึกของภารกิจแห่งชีวิตของพระองค์ถูกเปิดเผยอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์  พระคริสต์ตรัสกับมารีย์ว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่า ฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน” ลูกา 2 ข้อที่ 49  พระดำรัสเหล่านี้เน้นย้ำจุดเด่นของทั้งชีวิตและพันธกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์  ทุกสิ่งหยุดชะงักชั่วคราวอยู่กับพระราชกิจของพระองค์ซึ่งเป็นพระราชกิจยิ่งใหญ่แห่งการทรงไถ่ที่พระองค์เสด็จมาเพื่อปฏิบัติให้สำเร็จ  บัดนี้พระองค์ทรงโปรดประทานบทเรียนนี้ซ้ำอีกครั้ง  อันตรายหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้อันเนื่องจากมารีย์จะถือความสัมพันธ์ของเธอกับพระเยซูมาเป็นการเรียกร้องสิทธิพิเศษจากพระองค์  และสิทธิ์ในการชี้นำพระองค์ในการประกอบพันธกิจของพระองค์  เป็นเวลาสามสิบปี พระองค์ทรงเป็นบุตรชายที่น่ารักและเชื่อฟังมาตลอด และความรักของพระองค์ไม่เคยแปรเปลี่ยนและบัดนี้พระองค์ทรงต้องปฏิบัติกิจของพระบิดาของพระองค์  ในฐานะพระบุตรของพระเจ้าพระผู้สูงสุดและพระผู้ช่วยของโลก ไม่มีความสัมพันธ์ใดในโลกที่จะเหนี่ยวรั้งพระองค์จากพระราชกิจของพระองค์หรือมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของพระองค์  พระองค์ทรงต้องมีอิสระเสรีในการปฏิบัติตามพระทัยของพระเจ้า  บทเรียนนี้มีไว้สำหรับเราด้วย  การอ้างสทธิ์ของพระเจ้าในเรานั้นมีความสำคัญยิ่งต่อความสัมพันธ์ของมวลมนุษย์ ไม่มีความสัมพันธ์ใดในโลกที่จะหันเหเท้าของเราออกไปจากเส้นทางเดินที่พระองค์ทรงจัดวางให้เราเดิน  {DA 146.2}           

ความหวังเดียวสำหรับความรอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ล้มลงในบาปคือพระคริสต์  มารีย์จะได้รับความรอดโดยผ่านพระเมษโปดกของพระเจ้าเท่านั้น  ในตัวของเธอเองไม่มีความดีใดเลย สายสัมพันธ์ของเธอกับพระเยซูไม่ได้ทำให้เธอมีความสัมพันธ์ในทางฝ่ายจิตวิญญาณกับพระองค์พิเศษไปกว่ามนุษย์อื่น  เรื่องนี้บ่งบอกไว้ในพระดำรัสที่พระผู้ช่วยตรัสไว้  พระองค์ทรงอธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ของพระองค์กับเธอในฐานะบุตรมนุษย์และในฐานะพระบุตรของพระเจ้า  ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างทั้งสองไม่มีทางจัดเธอให้มีฐานะเท่าเทียมกับพระองค์  {DA 147.1}      

เวลาของเรายังมาไม่ถึง” เป็นพระดำรัสที่แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่าทุกการกระทำในชีวิตของพระคริสต์ในโลกเป็นการกระทำให้สำเร็จตามแผนการที่มีมาตั้งแต่ก่อนนิจนิรันดร์กาล  ก่อนที่พระองค์เสด็จมายังโลก แผนการนี้แผ่ไว้อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ สมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียด  แต่ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์  พระองค์ได้รับการนำทางทีละขั้นตามน้ำพระทัยของพระบิดา พระองค์ไม่ทรงลังเลที่จะปฏิบัติตามเวลาที่ทรงกำหนดไว้แล้ว พระองค์ทรงรอกระทั่งเวลานนมาถึงด้วยการยอมจำนนในลัษณะเดียวกัน  {DA 147.2}    

ด้วยพระดำรัสที่พระองค์ตรัสกับมารีย์ว่าเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึงนั้น พระองค์กำลังตรัสตอบความในใจที่เธอไม่ได้พูดออกทางวาจา นั่นคือความคาดหวังที่เธอกับประชากรทั้งหลายยึดมั่นไว้  เธอหวังว่าพระองค์จะทรงเปิดเผยว่าพระองค์เองคือพระเมสสิยาห์และขึ้นประทับบัลลังก์ของชนชาติอิสราเอล  แต่เวลานั้นยังมาไม่ถึง  พระเยซูทรงยอมรับสภาพของความเป็นมนุษย์ไม่ใช่ในฐานะพระมหากษัตริย์ แต่ในฐานะของ “คนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก” อิสยาห์ 53 ข้อที่ 3  {DA 147.3}      

แม้ว่ามารีย์มีความเข้าใจพันธกิจของพระคริสต์ไม่ถูกต้องก็ตามที แต่เธอก็ยังคงวางใจพระองค์อย่างเต็มที่โดยไม่สงสัย พระองค์ทรงสนองความเชื่อนี้ด้วยการทำการอัศจรรย์ครั้งแรกเพื่อเป็นการให้เกียรติความไว้วางใจของมารีย์ และเพื่อหนุนความเชื่อของสาวกทั้งหลายของพระองค์  สาวกจะต้องพบกับการทดลองมากมายและรุนแรงจนทำให้ไม่เชื่อ  สำหรับพวกเขาแล้วคำพยากรณ์แสดงให้เห็นอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์  พวกเขาหวังว่าผู้นำศาสนาจะยอมรับพระองค์ด้วยความมั่นใจมากกว่าความมั่นใจของพวกเขาเอง  พวกเขาประกาศให้ประชาชนทราบถึงพระราชกิจประเสริฐของพระคริสต์และความไว้วางใจของพวกเขาเองในพันธกิจของพระองค์ แต่พวกเขาแปลกใจและผิดหวังอย่างขมขื่นอันเนื่องจากการแสดงออกถึงความไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัดของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์อคติที่ฝังลึกและความเป็นศัตรูกับพระเยซู  การอัศจรรย์ของพระเยซูในช่วงแรกเริ่มหนุนให้สาวกเข้มแข็งขึ้นเพื่อพวกเขาจะยืนหยัดต่อต้านการขัดขวางนี้  {DA 147.4}             

พระดำรัสของพระเยซูไม่มีทางทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจ  มารีย์บอกเจ้าหน้าที่บริการว่า “จงทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด”  ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกระทำในสิ่งที่เธอทำได้เพื่อเตรียมทางให้กับพระราชกิจของพระคริสต์  {DA 148.1}            

ตรงบริเวณประตูทางเข้ามีโอ่งหินใส่น้ำขนาดใหญ่อยู่หกใบและพระเยซูตรัสสั่งให้คนใช้ตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม  พวกเขาจึงเทน้ำให้เต็มโอ่ง  เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาที่ต้องการน้ำองุ่นอย่างเร่งด่วน พระองค์จึงตรัสสั่งว่า “’จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด’ เขาก็เอาไปให้”  น้ำที่ไหลออกมานั้นเป็นเหล้าองุ่นแทนที่จะเป็นน้ำที่เทลงในโอ่ง  ทั้งเจ้าภาพของงานและแขกทั่วไปไม่ทราบว่าเหล้าองุ่นหมด  เมื่อเจ้าภาพได้ชิมเหล้าองุ่นที่คนใช้นำมาให้แล้ว พวกเขาพบว่าเหล้าองุ่นมีคุณภาพเหนือกว่าที่แจกจ่ายไปในช่วงเริ่มแรกของงานเลี้ยง  เจ้าภาพจึงหันไปถามเจ้าบ่าวว่า “ใครๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่ค่อยดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงเดี๋ยวนี้” {DA 148.2}        

สิ่งของที่โลกให้ก็เหมือนกับมนุษย์เลี้ยงแขกด้วยเหล้าองุ่นอย่างดีที่สุดก่อนแล้วจึงเลี้ยงด้วยเหล้าองุ่นไม่ดี  โลกยื่นสิ่งที่ตาชื่นชอบและทำให้ความรู้สึกตื่นเต้น แต่ในที่สุดจะไม่นำมาซึ่งความพึงพอใจ  เหล้าองุ่นกลับกลายเป็นความขมขื่นและความรื่นเริงกลายเป็นความเศร้าหมอง  เริ่มต้นด้วยบทเพลงและความสนุกลงเอยด้วยความเบื่อหน่ายและความรังเกียจ  แต่ของประทานของพระเยซูนั้นสดและใหม่อยู่เสมอ  งานเลี้ยงที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้จิตวิญญาณไม่เคยที่จะไม่ให้ความพึงพอใจและความสุข  ของประทานใหม่เอี่ยมแต่ละชิ้นเพิ่มความสามารถของผู้รับให้สำนึกและชื่นชอบกับพระพรของพระเจ้า  พระองค์ประทานพระคุณซ้อนพระคุณ  จะไม่มีวันหมดสิ้น  หากคุณอยู่ในพระองค์ เมื่อคุณรับของประทานอันอุดมในวันนี้จะเป็นเครื่องประกันว่าคุณจะได้ของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่าในวันพรุ่งนี้  พระดำรัสของพระเยซูที่ประทานให้กับนาธานาเอลเป็นกฎของพระเจ้าในการปฏิบัติต่อเหล่าบุตรแห่งความเชื่อ  ด้วยการเปิดเผยความรักของพระองค์ที่สดใหม่ พระองค์ทรงประกาศแก่หัวใจที่เปิดรับว่า “ท่านจึงเชื่อหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก”  ยอห์น 1 ข้อที่ 50  {DA 148.3}         

ของขวัญของพระคริสต์ในงานเลี้ยงมงคลสมรสมีความหมายเป็นสัญลักษณ์  น้ำหมายถึงบัพติศมาเข้าสู่ความตายของพระองค์  เหล้าองุ่นคือการหลั่งพระโลหิตเพื่อบาปของโลก  น้ำที่เทลงในโอ่งได้มาโดยมือมนุษย์  แต่พระวจนะของพระคริสต์เท่านั้นที่จะนำมาซึ่งคุณความดีที่ให้ชีวิต  เช่นเดียวกับพิธีกรรมที่ชี้ไปยังความมรณาของพระผู้ช่วย  โดยอำนาจของพระคริสต์ที่ประกอบกิจโดยความเชื่อเท่านั้นที่จะเกิดผลในการเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณ  {DA 148.4}

พระดำรัสของพระคริสต์จัดเตรียมสิ่งสารพัดอย่างอุดมพอเพียงให้งานเลี้ยง  พระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงโปรดประทานนั้นมีอย่างพอเพียงที่จะลบล้างความชั่วของมนุษย์ให้หมดและทำให้จิตวิญญาณกลับคืนมาใหม่และเลี้ยงดูค้ำจุนเขา  {DA 149.1}               

ในงานเลี้ยงที่พระเยซูและสาวกเข้าร่วมครั้งแรกนั้น พระองค์ประทานถ้วยที่มีสัญลักษณ์เป็นความหมายชี้ไปยังพระราชกิจแห่งการทรงช่วยมนุษย์ให้รอด ที่งานเลี้ยงครั้งสุดท้ายพระองค์ประทานถ้วยนี้อีกครั้งในขณะทรงสถาปนาพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชี้ไปยังความมรณาของพระองค์ “จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”  1 โครินธ์ 11 ข้อที่ 26  และในขณะที่จะแยกย้ายจากพระผู้เป็นเจ้าด้วยความโศกเศร้า พระองค์ประทานคำปลอบประโลมของการที่จะได้พบกันใหม่อีกว่า “เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น ที่เราจะดื่มกับพวกท่านอีกในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา” มัทธิว 26 ข้อที่ 29  {DA 149.2}            

เหล้าองุ่นที่พระคริสต์ประทานในงานเลี้ยงและที่พระองค์ประทานให้สาวกทั้งหลายเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระองค์เองนั้นเป็นน้ำองุ่นใสบริสุทธิ์ของผลองุ่น  ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงน้ำองุ่นใหม่ที่ “ได้จากพวงองุ่น” นั้นว่า “อย่าทำลายมันเสีย เพราะมีพรอยู่ในนั้น” อิสยาห์ 65 ข้อที่ 8  {DA 149.3}               

ในสมัยพระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ประทานคำเตือนแก่ชนชาติอิสราเอลว่า “เหล้าองุ่นทำให้ชอบเยาะเย้ย และสุราก็ทำให้เกะกะระราน ใครยอมให้มันพาเจิ่นไป ก็ไม่มีปัญญา” สุภาษิต 20 ข้อที่ 1  และพระองค์เองไม่ทรงเป็นผู้ประทานเครื่องดื่มเช่นนี้  ซาตานล่อมนุษย์ให้ปล่อยตัวดื่มเพื่อทำให้เหตุผลมัวหมองและความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณมึนชา แต่พระคริสต์ทรงสอนให้เราควบคุมธรรมชาติฝ่ายต่ำของเรา  ทั้งชีวิตของพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของการละทิ้งตน  เพื่อทำลายอำนาจของความอยาก พระองค์ทรงทนทุกข์แทนเราในการทดสอบอันสาหัสที่มวลมนุษย์ชาติต้องดำเนินผ่าน  พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ชี้แนะให้ยอห์นผู้ให้บัพติศมาอย่าดื่มน้ำองุ่นหมักหรือเหล้า  พระองค์เองทรงเป็นผู้แนะเรื่องการละเว้นเดียวกันนี้แก่ภรรยาของมาโนอาห์  ผู้วินิจฉัย 13 ข้อที่ 2-5  และพระองค์ทรงประกาศคำสาปแช่งแก่ผู้ที่ทำให้เพื่อนบ้านดื่ม  ฮาบากุก 2 ข้อที่ 15  พระคริสต์ไม่ทรงขัดแย้งกับคำสอนของพระองค์เอง  เหล้าองุ่นที่ไม่ได้ผ่านการหมักในการเลี้ยงแขกที่งานมงคลสมรสเป็นเครื่องดื่มบริบูรณ์ด้วยคุณค่าและทำให้สดชื่น  น้ำองุ่นสดใหม่นี้จะทำให้การลิ้มรสเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับความอยากอาหารที่จะให้ประโยชน์กับร่างกาย  {DA 149.4}         

ขณะที่แขกในงานชื่นชมกับคุณภาพของเหล้าองุ่นนั้น พวกเขาถามคนใช้ถึงการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น คนกลุ่มนี้ตื่นตะลึงไปชั่วขณะกับการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำโดยไม่ได้คิดถึงพระองค์เลย  เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่เมื่อพวกเขาคิดถึงพระองค์ขึ้นมา ปรากฏว่าพระองค์เสด็จไปจากที่นั่นอย่างเงียบๆ แล้ว แม้แต่สาวกก็ยังไม่ทันรู้ตัว  {DA 149.5}            

บัดนี้พวกเขาเริ่มหันความสนใจไปยังสาวก  เป็นครั้งแรกที่สาวกทั้งหลายมีโอกาสประกาศยอมรับว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซู  พวกเขาเล่าถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจากริมฝั่งแม่น้ำจอร์เดนและที่นั่นประกายแห่งความหวังสว่างขึ้นในหัวใจของคนมากมายว่าพระเจ้าทรงจัดผู้ช่วยปลดปล่อยประชากรของพระองค์  ข่าวของเรื่องอัศจรรย์แพร่ไปทั่วบริเวณนั้นและไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม  พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองค้นหาคำพยากรณ์ที่ชี้ไปยังการเสด็จมาของพระคริสต์ด้วยความสนใจใหม่  มีความปรารถนาอย่างกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้พันธกิจของครูใหม่พระผู้ทรงปรากฏตัวท่ามกลางประชากรอย่างสุภาพถ่อมตน  {DA 150.1}         

พันธกิจของพระคริสต์แตกต่างอย่างโดดเด่นจากงานของผู้นำชาวยิว การให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมทำลายเสรีภาพที่แท้จริงของความนึกคิดและการกระทำ  พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในความกลัวของการทำผิดกฎอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่เป็น “มลทิน” พวกเขาไม่เพียงแต่ถอยหนีออกห่างไปจากคนต่างชาติแต่ยังหนีไปจากคนส่วนใหญ่ของพวกเขาเอง โดยไม่ใส่ใจที่จะให้ประโยชน์แก่พวกเขาหรือคบเขาเป็นมิตร  เนื่องจากการที่พวกเขาใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้อยู่อย่างเสมอ สมองของพวกเขาจึงแคระแกร็นและทำให้ชีวิตคับแคบอยู่ในวงจำกัด  แบบอย่างการกระทำของพวกเขาส่งเสริมความทนงตนในตนเองและทำให้คนทุกชนชั้นทนการกระทำของพวกเขาไม่ได้  {DA 150.2}

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการปฏิรูปด้วยการดำเนินใกล้ชิดอย่างเห็นอกเห็นใจกับมนุษยชาติ  ในขณะที่พระเยซูทรงให้ความเคารพต่อธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างสูงสุด พระองค์ทรงตำหนิความเคร่งครัดในทางศาสนาอย่างหลอกลวงของพวกฟาริสีและทรงพยายามปลดปล่อยคนทั้งหลายออกจากกฎระเบียบอันไร้เหตุผลที่ผูกมัดพวกเขา  พระองค์ทรงแสวงหาทางที่จะทำลายกำแพงขวางกั้นระหว่างชนชั้นต่างๆ ของสังคมเพื่อรวบรวมคนทั้งหลายให้มาอยู่ร่วมเป็นบุตรในครอบครัวเดียวกัน  พระองค์ทรงเข้าร่วมงานเลี้ยงมงคลสมรสเพื่อวางแผนในขั้นตอนของการรวบรวมนี้ให้สำเร็จ  {DA 150.3}      

พระเจ้าทรงนำยอห์นผู้ให้บัพติศมาไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพื่อปกป้องเขาจากอิทธิพลของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์และเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับหน้าที่พิเศษ  แต่การอยู่อย่างสันโดษและโดดเดี่ยวของเขานั้นไม่ใช่เป็นแบบอย่างที่มีไว้ให้กับประชาชมทั่วไป  ตัวยอห์นเองไม่ได้ชี้นำให้ผู้ฟังละทิ้งภาระหน้าที่เดิม  เขาร้องเรียกพวกเขาให้แสดงหลักฐานของการกลับใจโดยความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในสถานที่ที่พระเจ้าทรงเรียกพวกเขา  {DA 150.4}       

พระเยซูทรงตำหนิการปล่อยตัวตามใจตนเองทุกรูปแบบ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ทรงมีธรรมชาติของการเข้าสังคม  พระองค์ทรงต้อนรับมิตรไมตรีของคนทุกชนชั้น ทรงเยี่ยมครอบครัวของทั้งคนร่ำรวยและคนยากจน คนที่มีการศึกษาและคนขาดความรู้  และทรงหาทางที่จะยกระดับความคิดของพวกเขาจากปัญหาสามัญทั่วไปของชีวิตไปสู่เรื่องทางฝ่ายจิตวิญญาณและนิรันดร์กาล  พระองค์ไม่ทรงเปิดโอกาสให้กับการสำมะเลเทเมาและไม่มีแววของการตลกคะนองทางฝ่ายโลกทำให้ภารกิจของพระองค์มัวหมอง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ทรงมีความสุขกับภาพแห่งสันติสุขที่บริสุทธิ์และพระองค์รับรองการชุมนุมสังสรรค์ของสังคมโดยทรงสถิตร่วมอยู่กับพวกเขา  งานมงคลสมรสของชาวยิวเป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจและความสุขของการเฉลิมฉลองไม่ได้ทำให้บุตรมนุษย์ไม่ทรงพอพระทัย  โดยการเข้าร่วมงานเลี้ยง พระเยซูประทานเกียรติแก่งานมงคลสมรสว่าเป็นสถาบันของพระเจ้า  {DA 150.5}               

ทั้งพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ใช้การแต่งงานเพื่อแสดงถึงการผูกพันรวมกันเป็นหนึ่งอย่างอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นระหว่างพระคริสต์กับประชากรของพระองค์  ในพระหทัยของพระเยซูแล้วความชื่นชมยินดีของงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสชี้ไปถึงความชื่นชมของวันนั้นเมื่อพระองค์ทรงนำเจ้าสาวของพระองค์กลับไปยังบ้านของพระบิดาและผู้ที่ได้รับความรอดกับพระผู้ไถ่จะนั่งรับประทานอาหารร่วมกับพระเมษโปดก  พระองค์ตรัสว่า “เจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์ในเจ้าสาวอย่างไร พระเจ้าของท่านจะเปรมปรีดิ์ในท่านอย่างนั้น” “ท่านจะไม่ถูกเรียกว่าผู้ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป. . . .แต่คนเขาจะเรียกท่านว่าวามปีติยินดีของเราอยู่ในเธอ. . . .เพราะพระยาห์เวห์ทรงปีติยินดีในท่าน”  “พระองค์จะทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี และทรงสงบในความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงร่าเพราะเจ้าด้วยการร้องเพลงเสียงดัง”  อิสยาห์ 62 ข้อที่ 5, 4; เศฟันยาห์ 3 ข้อที่ 17  เมื่ออัครสาวกยอห์นได้รับอนุญาตให้เห็นนิมิตเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ท่านบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลายและเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว” “ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก”  วิวรณ์ 19 ข้อที่ 6, 7, 9  {DA 151.1}      

พระเยซูทรงเห็นว่าจิตวิญญาณทุกดวงจะต้องได้รับการเชิญให้เข้าร่วมอาณาจักรของพระองค์  พระองค์ทรงสัมผัสหัวใจของประชาชนด้วยการคลุกคลีท่ามกลางพวกเขาเพื่อหวังให้พวกเขาได้รับคุณประโยชน์  พระองค์ทรงเข้าถึงพวกเขาตามทางหลวงสาธารณะ ในบ้านพักส่วนตัว ในเรือ ในธรรมศาลา ริมฝั่งทะเลและที่งานเลี้ยงมงคลสมรส พระองค์ทรงพบพวกเขาในที่ทำมาหาเลี้ยงชีพประจำวันและแสดงออกถึงความสนใจในเรื่องสามัญทั่วไป  พระองค์ทรงนำการสั่งสอนเข้าไปในครัวเรือน นำคนในครอบครัวให้มาอยู่ภายใต้อิทธิพลของการทรงอยู่ร่วมด้วยของพระเจ้า  ความเห็นอกเห็นใจที่หนักแน่นของพระองค์เองช่วยในการเอาชนะหัวใจ  บ่อยครั้งพระองค์เสด็จขึ้นไปยังภูเขาเพื่ออธิษฐานโดยลำพัง  แต่นี่ก็เพื่อตระเตรียมพระองค์เองสำหรับการรับใช้ในชีวิตแห่งการปฏิบัติกิจ  เมื่อเสร็จจากการอธิษฐานแล้วพระองค์ก็จะเสด็จออกไปช่วยเหลือคนเจ็บป่วย สั่งสอนผู้ไม่รู้และหักโซ่ตรวนของผู้ที่ถูกซาตานผูกมัดไว้  {DA 151.2}                

โดยการสัมผัสและการเข้าร่วมสังสรรค์เป็นการส่วนตัวที่พระองค์ทรงใช้ฝึกสาวกของพระองค์  ในบางครั้งพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาขณะนั่งอยู่ร่วมกันบนภูเขา บางครั้งที่ชายฝั่งทะเล หรือขณะเดินกันไปตามทาง พระองค์ทรงเปิดเผยความมหัศจรรย์ของอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงใช้การเทศนาแบบวิธีที่มนุษย์ใช้อยู่ในทุกวันนี้  ที่ใดก็ตามเมื่อมีหัวใจเปิดรับข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงเปิดเผยความจริงของทางสู่ความรอด พระองค์ไม่ได้ตรัสสั่งให้สาวกทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้เพียงแต่ตรัสว่า “ตามเรามา”  ในการเดินทางไปยังหมู่บ้านและเมืองใหญ่ พระองค์ทรงนำพวกเขาไปด้วย เพื่อให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงสั่งสอนคนทั้งหลายอย่างไร  พระองค์ทรงเชื่อมโยงความสนใจของพวกเขาให้เข้ากับของพระองค์และพวกเขาเข้าร่วมกับพระองค์ในการรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์  {DA 152.1}       

ทุกคนที่ประกาศพระวจนะของพระเจ้าและรับพระกิตติคุณแห่งพระคุณจะต้องทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ด้วยการใช้วิธีเชื่อมโยงพระองค์เองให้เข้ากับผลประโยชน์ของมนุษยชาติ เราจะต้องไม่ปฏิเสธการเข้าร่วมสังคม  เราต้องไม่ปลีกตัวเองออกห่างไปจากผู้อื่น  เพื่อจะเข้าไปให้ถึงคนทุกชนชั้น เราจะต้องไปหาพวกเขาในที่ที่พวกเขาอยู่  ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะเข้ามาหาเรา  ไม่ใช่จากบนธรรมาสน์เท่านั้นที่ความจริงของพระเจ้าจะสัมผัสหัวใจ  ยังมีสถานที่อื่นอีกเพื่อการรับแม้จะต่ำต้อยกว่าแต่ก็ให้ผลได้อย่างเต็มที่  สถานที่เหล่านั่นคือในบ้านของผู้ต่ำต้อยและในคฤหาสน์ของผู้ยิ่งใหญ่ บนโต๊ะร่วมสังสรรค์ และในชุมนุมสังสรรค์เพลิดเพลินอย่างใสบริสุทธิ์  {DA 152.2}      

ในฐานะสาวกของพระคริสต์ เราไม่ควรเข้าสมาคมกับชาวโลกเพียงเพื่อความสนุกสนาน เพื่อเข้าร่วมกับพวกเขาในการทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยขน์  การเข้าร่วมเช่นนี้จะนำไปสู่ภัยอันตรายเท่านั้น  เราไม่ควรรับรองเห็นชอบกับบาปด้วยคำพูดของเราหรือการกระทำของเรา ด้วยการนิ่งเฉยหรือการปรากฎตัวร่วมอยู่ด้วยกับพวกเขา  ไม่ว่าเราจะไปที่ใด เราจะต้องนำพระคริสต์ไปกับเราด้วยและเปิดเผยให้ผู้อื่นถึงคุณงามความดีของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  แต่สำหรับผู้ที่พยายามหวนแหนศาสนาของเขาโดยการปกปิดไว้ในกำแพงศิลาจะสูญเสียโอกาสอันทรงคุณค่าเพื่อประกอบการดี คริสเตียนเข้ามาสัมผัสกับโลกผ่านความสัมพันธ์ทางสังคม  ทุกคนที่ได้รับแสงสว่างจากพระเจ้าจะต้องส่องสว่างให้กับทางเดินของผู้ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นความสว่างแห่งชีวิต  {DA 152.3}      

เราทุกคนจะต้องเป็นพยานเพื่อพระเยซู  เราจะต้องพัฒนาพลังอำนาจทางสังคมที่พระคุณของพระคริสต์ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จงนำจิตวิญญาณทั้งหลายให้กลับมาหาพระผู้ช่วยให้รอด  จงให้โลกมองเห็นว่าเราไม่ได้หมกมุ่นอยู่แต่ในสิ่งที่เราสนใจอย่างเห็นแก่ตัว แต่เราปรารถนาให้คนอื่นร่วมแบ่งรับพระพรและสิทธิพิเศษของเรา  ให้พวกเขาเห็นว่าศาสนาของเราไม่ได้ทำให้เราใจจืดใจดำหรือเป็นคนเกรี้ยวกราด  ให้ทุกคนที่อ้างตนว่าได้พบพระคริสต์แล้ว รับใช้เหมือนเช่นพระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์  {DA 152.4}                   

อย่าให้คนในโลกฝังใจว่าคริสเตียนเป็นกลุ่มคนที่ทุกข์โศกและไม่มีความชื่นชมปรีดา  หากตาของเราเฝ้ามองไปยังพระเยซู เราจะมองเห็นพระผู้ช่วยพระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และจะรับแสงจากพระพักตร์ของพระองค์  ที่ใดก็ตามเมื่อพระวิญญาณของพระองค์ทรงเข้าครอบครอง ที่นั่นก็จะมีแต่สันติสุข และจะมีความสุขเช่นกัน เพราะมีการวางใจในพระเจ้าอย่างสงบและศักดิ์สิทธิ์  {DA 152.5}        

พระคริสต์ทรงพอพระทัยกับผู้ติดตามของพระองค์เมื่อพวกเขาแสดงให้เห็นว่าแม้พวกเขาจะเป็นแค่มนุษย์ก็ยังเป็นผู้ร่วมรับธรรมชาติของพระเจ้าได้  พวกเขาไม่ใช่รูปปั้นแต่เป็นชายและหญิงที่มีชีวิต  จิตใจของพวกเขาสดชื่นจากหยาดน้ำค้างแห่งพระคุณของพระองค์จะเปิดและบานออกหันเข้าหาดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  แสงที่ส่องมายังพวกเขาจะสะท้อนออกไปยังผู้อื่นด้วยผลงานที่สว่างเจิดจ้าเต็มไปด้วยความรักของพระคริสต์  {DA 153.1}

***********