บทที่ 68

ณ ลานพระวิหารชั้นนอก

บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 12 ข้อที่ 20-43


ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย  พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า ‘ท่านเจ้าข้า เราอยากจะเห็นพระเยซู’  ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปไปทูลพระเยซู”  {DA 621.1}                          

เวลานี้พระราชกิจของพระคริสต์ที่ปรากฏให้เห็นเป็นสภาพของความพ่ายแพ้อย่างทารุณเจ็บปวด  พระองค์ทรงชนะในความขัดแย้งกับพวกปุโรหิตและฟาริสี แต่เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเขาไม่มีวันรับพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์  ความแตกแยะครั้งสุดท้ายได้มาถึงแล้ว  ในสายตาของสาวกแล้ว เป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังสำหรับพระองค์  แต่พระราชกิจของพระคริสต์กำลังก้าวมาถึงความสำเร็จอย่างสมบูรณ์  เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่เพียงเกี่ยวข้องกับชนชาติยิวเท่านั้น แต่กับคนทั้งโลกด้วย  เมื่อพระคริสต์ได้ยินคำขออย่างกระตือรือร้นที่ว่า "เราอยากจะเห็นพระเยซู" นั่นเป็นการสะท้อนเสียงร้องโหยหาของโลก พระพักตร์ของพระองค์สว่างขึ้นและพระองค์ตรัสว่า "ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ" ตามคำร้องขอของชาวกรีกพระองค์ทรงเห็นผลอย่างจริงจังจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  {DA 621.2}

เมื่อถึงช่วงปิดท้ายชีวิตของพระองค์ ชายเหล่านี้ที่มาจากทางทิศตะวันตกได้มาตามหาพระผู้ช่วยให้รอด เหมือนดั่งนักปราชญ์ที่มาจากทางทิศตะวันออกเมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ  ในสมัยที่พระคริสต์ประสูติ ชาวยิวหมกมุ่นอยู่กับแผนการอันทะเยอทะยานของพวกเขาเองจนไม่รู้เวลาเมื่อพระองค์เสด็จมา  โหราจารย์จากดินแดนคนนอกศาสนามายังรางหญ้าพร้อมกับของถวายต่างๆ เพื่อนมัสการพระผู้ช่วยให้รอด  ในนองเดียวกัน ชาวกรีกเหล่านี้เป็นตัวแทนของประชาชาติ ชนเผ่าและประชาชนของโลกที่ได้มาเข้าเฝ้าพระเยซู  ดังนั้นคนของทุกแดนดินและของทุกยุคจะถูกดึงดูดให้เข้ามายังกางเขนของพระผู้ช่วยให้รอด   ดังนั้น "คนจำนวนมากที่มาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วมงานเลี้ยงกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในแผ่นดินสวรรค์"  มัทธิว 8 ข้อที่ 11  {DA 621.3}                              

ชาวกรีกได้ยินว่าพระคริสต์เสด็จอย่างมีชัยชนะเข้ากรุงเยรูซาเล็ม  บางคนทึกทักจนเป็นข่าวที่แพร่กระจายไปทั่วว่าพระองค์ทรงขับไล่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองออกไปจากพระวิหาร  และพระองค์จะทรงขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด และปกครองในฐานะกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล  ชาวกรีกประสงค์ที่จะรู้ความจริงในเรื่องพันธกิจของพระองค์  พวกเขาพูดว่า "เราอยากจะเห็นพระเยซู"  พวกเขาได้รับตามที่ความปรารถนาไว้  เมื่อคำขอมาถึงพระเยซู พระองค์ประทับอยู่ตรงส่วนของพระวิหารที่ทุกคนนอกจากชาวยิวจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าไป  แต่พระองค์เสด็จออกไปหาชาวกรีกในลานวิหารชั้นนอก และพระองค์ทรงสนทนากับพวกเขาเป็นการส่วนตัว  {DA 622.1}                                    

เวลาที่พระคริสต์จะรับพระเกียรติสิริมาถึงแล้ว  พระองค์ประทับอยู่ใต้เงาของกางเขน และคำถามของชาวกรีกแสดงให้พระองค์ทรงเห็นว่าการถวายบูชาของพระองค์กำลังจะนำบุตรชายและบุตรหญิงมากมายเข้ามาหาพระเจ้า  พระองค์ทรงทราบว่าอีกไม่นานชาวกรีกจะเห็นพระองค์ประทับอยู่ตรงตำแหน่งที่พวกเขายังไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อน  พวกเขาจะเห็นพระองค์ถูกนำไปยืนข้างบารับบัสผู้ที่เป็นโจรและฆาตกรคนหนึ่งที่ถูกเลือกให้ปล่อยไปต่อเบื้องพระพักตร์พระบุตรของพระเจ้า  พวกเขาจะได้ยินเสียงประชาชนที่ถูกพวกปุโรหิตและผู้ปกครองดลใจสนับสนุนให้พวกเขาเลือก  และเมื่อได้ยินคำถามที่ว่า "เราจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?"  คำตอบที่จะได้รับคือ "ให้ตรึงที่กางเขน" มัทธิว 27 ข้อที่ 22  ด้วยการทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของมนุษย์ พระคริสต์ทรงทราบว่าอาณาจักรของพระองค์จะสมบูรณ์และจะขยายออกไปยังทั่วทั้งโลก  พระองค์จะทรงทำงานเป็นพระเจ้าผู้ทรงฟื้นฟูและพระวิญญาณจะทรงมีชัยต่อศัตรูของพระองค์  ชั่วขณะหนึ่งพระองค์ทอดพระเนตรไปยังอนาคตกาล และทรงได้ยินเสียงที่ประกาศไปทั่วทุกส่วนของโลกว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป" ยอห์น 1 ข้อที่ 29  ในคนแปลกหน้าเหล่านี้พระองค์ทรงเห็นคำมั่นสัญญาของการเก็บเกี่ยวอันยิ่งใหญ่เมื่อกำแพงกั้นระหว่างชาวยิวและคนต่างชาติจะถูกทำลายลงและทุกชาติ ทุกภาษา และชนชาติต่างๆ จะได้ยินข่าวสารแห่งความรอด  ความคาดหวังในเรื่องนี้และความสำเร็จสมบูรณ์ของความหวังของพระองค์นั้นแสดงออกมาในพระดำรัสที่ว่า "ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ"  แต่วิธีที่จะรับเกียรติสิรินี้มาได้นั้น ไม่เคยหายไปจากพระหทัยของพระคริสต์  การรวบรวมคนต่างชาติให้เข้ามาจะเกิดขึ้นหลังการสิ้นสิ้นพระชนม์ที่กำลังเข้ามาใกล้  โดยความมรณาของพระองค์เท่านั้นที่โลกนี้จะได้รับความรอด  เหมือนเช่นเมล็ดข้าวสาลี  บุตรมนุษย์จะต้องถูกนำไปหว่านลงในดินก่อน และสิ้นพระชนม์ และนำไปฝังให้พ้นสายตา แต่พระองค์จะทรงพระชนม์กลับมาอีกครั้ง  {DA 622.2}                            

พระคริสต์ทรงนำเสนออนาคตของพระองค์ ด้วยการใช้สิ่งของในธรรมชาติอธิบายให้สาวกเข้าใจ  ผลที่แท้จริงของพันธกิจของพระองค์จะต้องได้มาด้วยการมรณาของพระองค์ “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า" พระองค์ตรัส "ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก"  เมื่อเมล็ดข้าวสาลีตกลงดินและตายไป ก็จะงอกขึ้นและเกิดผล  ดังนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์จะทำให้เกิดผลสำหรับอาณาจักรของพระเจ้า  ตามกฎของพืชผักทั้งหลายนั้น ชีวิตจะได้มาจากผลของการมรณาของพระองค์  {DA 623.1}                            

ผู้ที่พรวนดิน จะได้เห็นภาพประกอบคำอธิบายอยู่ต่อหน้าพวกเขาเสมอ  ปีแล้วปีเล่า มนุษย์เก็บรักษาแหล่งเมล็ดข้าวไว้ด้วยการเอาเมล็ดข้าวที่ดีที่สุดไปหว่านลงดิน  ชั่วขณะหนึ่ง เมล็ดนี้จะต้องฝังลงดิน เพื่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงคอยเฝ้าดูและแล้วลำต้นก็ปรากฏให้เห็น ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง  แต่การพัฒนานี้เกิดขึ้นไม่ได้เว้นเสียแต่เมล็ดข้าวจะถูกนำไปฝังไว้ให้พ้นสายตา ซ่อนไว้ให้มิดชิด และตามรูปการณ์แล้ว สูญเปล่า  {DA 623.2}

เมล็ดที่ฝังอยู่ในดินจะเกิดผล และในทางกลับกันผลก็จะถูกนำไปเพาะปลูกต่อไป  ด้วยประการฉะนี้ จะมีการเก็บเกี่ยวที่ขยายเพิ่มมากขึ้น  ดังนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนกางเขนคาลวารีก็จะเกิดผลถึงชีวิตนิรันดร์  การใคร่ครวญถึงเครื่องบูชานี้จะเป็นสง่าราศีของผู้ที่เกิดผลเนื่องจากเครื่องบูชานี้ พวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ตลอดยุคนิรันดร์กาล  {DA 623.3}

เมล็ดข้าวสาลีที่ถนอมรักษาชีวิตของมันเองไว้จะไม่เกิดผล  เป็นเมล็ดที่อยู่โดดเดี่ยว  หากพระคริสต์ทรงประสงค์แล้ว พระองค์ทรงสามารถเลือกที่จะช่วยตัวเองให้พ้นจากความตายได้  แต่หากพระองค์จะทรงเลือกที่จะทำเช่นนี้ พระองค์ก็จะทรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว  พระองค์ทรงนำบุตรชายหญิงสักคนกลับไปหาพระเจ้าไม่ได้  โดยการยอมสละชีวิตของพระองค์เท่านั้นที่พระองค์จะทรงมอบชีวิตให้มนุษยชาติได้  ด้วยการหว่านลงดินเท่านั้นที่พระองค์จะเป็นเมล็ดพืชเพื่อการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ได้  พวกเขาเป็นมหาชนขนาดใหญ่ที่ออกมาจากทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติที่รับการทรงไถ่ให้รอดเพื่อถวายพระเจ้า  {DA 623.4} 

ด้วยความจริงนี้ พระคริสต์ทรงเชื่อมโยงบทเรียนแห่งการเสียสละตนเองที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ ข้อที่  "คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์"  ทุกคนที่จะเกิดผลในฐานะคนงานร่วมกับพระคริสต์ต้องตกลงดินและตายเสียก่อน  จะต้องหว่านชีวิตลงไปในร่องดินของความต้องการของโลก  การรักตัวเอง การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจะต้องพินาศไป กฎแห่งการเสียสละคือกฎแห่งการเก็บรักษาตนเองไว้  คนทำสวนถนอมเมล็ดพันธุ์ด้วยการหว่าน  ชีวิตของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน  การให้คือการมีชีวิต  ชีวิตที่ถวายรับใช้พระเจ้าและมนุษย์อย่างใจกว้างจะเก็บถนอมรักษาชีวิตไว้  ผู้ที่ยอมเสียสละชีวิตในโลกนี้เพื่อเห็นแก่พระคริสต์จะรักษาชีวิตไว้เพื่อนิจนิรันดร์  {DA 623.5}        

ชีวิตที่ใช้ไปเพื่อตัวเองเปรียบได้กับเอาเมล็ดพืชนั้นมารับประทาน  เมล็ดหายไป แต่จะไม่มีเมล็ดที่เพิ่มขึ้น  มนุษย์สะสมรวบรวมทุกสิ่งไว้ให้กับตัวเขาเองได้ เขามีชีวิตอยู่และคิดและวางแผนเพื่อตัวเอง แต่เมื่อชีวิตของเขาล่วงไปแล้ว เขาจะไม่มีสิ่งใดเหลือ  กฎแห่งการรับใช้ตนเองเป็นกฎของการทำลายตัวเอง {DA 624.1}                      

"ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา " พระเยซูตรัส " คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น"  ทุกคนที่แบกกางเขนแห่งการเสียสละร่วมกับพระเยซูจะเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสิริของพระองค์  เป็นความสุขของพระคริสต์ที่สาวกของพระองค์จะได้รับพระสิริร่วมกับพระองค์ในความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดของพระองค์  พวกเขาเป็นผลของการเสียสละตนเองของพระองค์  การแสดงออกถึงพระลักษณะนิสัยและพระวิญญาณของพระองค์เองในพวกเขาเป็นรางวัลของพระองค์ และจะเป็นความสุขของพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์  พวกเขาร่วมรับความสุขนี้กับพระองค์ด้วยการเกิดผลของการทำงานและการเสียสละของพวกเขาที่ปรากฏให้เห็นในใจและชีวิตของคนอื่น  พวกเขาเป็นคนงานร่วมกันกับพระคริสต์และพระบิดาจะประทานเกียรติให้แก่พวกเขาเหมือนที่พระองค์ประทานเกียรติให้แก่พระบุตรของพระองค์  {DA 624.2}

ข่าวของชาวกรีกที่เป็นดังนิมิตบอกล่วงหน้าถึงการรวบรวมคนต่างชาติให้เข้ามานั้นได้นำพันธกิจทั้งหมดของพระองค์เข้ามายังพระดำริของพระองค์  พระราชกิจแห่งการไถ่ปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์นับตั้งแต่ในสวรรค์ที่แผนการนี้ถูกกำหนดขึ้นมาจนถึงการสิ้นพระชนม์ที่กำลังจะมาถึง  ดูเสมือนหนึ่งมีเมฆลึกลับโอบล้อมพระบุตรของพระเจ้าไว้  คนที่อยู่ใกล้พระองค์สัมผัสได้ถึงความเศร้าหมอง  พระองค์ทรงครุ่นคิดด้วยใจจดจ่อ  ในที่สุดพระสุรเสียงอันโศกเศร้าของพระองค์ทำลายความเงียบไป "เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้"  ในขณะที่รอคอยเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงอันใกล้นี้ พระคริสต์ทรงดื่มถ้วยแห่งความขมขื่นแล้ว  ความเป็นมนุษย์ในตัวพระองค์รู้สึกหวาดกลัวช่วงเวลาของการถูกทอดทิ้ง เมื่อมองจากสิ่งทั้งหมดที่ปรากฎออกมาภายนอกนั้น พระองค์ทรงถูกทอดทิ้งแม้กระทั่งจากพระเจ้า เมื่อทุกคนมองจะได้เห็นว่าพระองค์ทรงถูกพระเจ้าโบยตีและถูกข่มใจ  พระองค์ทรงกลัวการถูกเปิดโปงในที่สาธารณะ กลัวการถูกปฏิบัติในฐานะอาชญากรเลวที่สุด และกลัวความตายน่าอับอายและไร้เกียรติ  ลางสังหรณ์ของความขัดแย้งของพระองค์กับอำนาจแห่งความมืดรวมถึงควารู้สึกถึงภาระอันน่าสะพึงกลัวของการล่วงละเมิดของมนุษย์และพระพิโรธของพระบิดาอันเนื่องจากบาป ทำให้จิตวิญญาณของพระเยซูหมดแรงไปและความซีดเซียวดุจความตายก็แผ่คลุมพระพักตร์ของพระองค์ไว้  {DA 624.3}

และแล้วพระองค์ทรงยอมจำนนอย่างพระเจ้าต่อพระประสงค์ของพระบิดาของพระองค์ "แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง" พระองค์ตรัส " เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้  ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ"  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เท่านั้นที่จะโค้นล้างอาณาจักรของซาตานได้  ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ให้รอด และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติ  พระเยซูทรงยินยอมรับความทุกข์ทรมาน พระองค์ทรงยอมรับการเสียสละเป็นเครื่องถวายบูชา  พระเจ้าแห่งพระสิริของฟ้าสวรรค์ทรงยอมที่จะทนทุกข์ทรมานในฐานะพระเจ้าผู้รับบาป  "ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ" พระองค์ตรัส  ขณะที่พระคริสต์ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ มีคำตอบหนึ่งดังมาจากเมฆที่ลอยลงมาอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์  “เราให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก"  ทั้งชีวิตของพระคริสต์ตั้งแต่รางหญ้าจนถึงเวลาที่ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ตรัสขึ้นมานั้นพระองค์ทรงถวายพระสิริพระเจ้ามาตลอด  และในการทดลองที่กำลังจะมาถึง การทนทุกข์แบบมนุษย์พระเจ้าของพระองค์จะถวายพระสิริแด่พระนามพระบิดาของพระองค์อย่างแน่นอน  {DA 624.4}                              

ในขณะที่ได้ยินพระสุรเสียงอยู่นั้น มีแสงหนึ่งพุ่งออกมาจากเมฆ และโอบล้อมพระคริสต์ไว้ ราวกับพระกรของอำนาจอันไม่จำกัดมาล้อมตัวพระองค์ไว้เหมือนดั่งกำแพงไฟ  ประชาชนมองภาพนี้ด้วยความหวาดกลัวและความตกตะลึง  ไม่มีผู้ใดกล้าพูด  ด้วยริบฝีปากที่เงียบและลมหายใจที่กลั้นไว้ คนทั้งหมดยืนจ้องไปทางพระเยซู  พระบิดาทรงโปรดประทานคำพยานมาแล้ว เมฆนั้นถูกยกขึ้นไปและกระจายไปในท้องฟ้า  ช่วงเวลาแห่งการสื่อสารที่ตาเปล่าเห็นได้ระหว่างพระบิดาและพระบุตรสิ้นสุดลง  {DA 625.1}                      

"ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นก็พูดกันว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆ ว่า ‘ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับพระองค์’"  แต่ชาวกรีกที่กำลัง่ตามหาพระองค์เห็นเมฆ ได้ยินพระสุรเสียง เข้าใจความหมาย และเข้าใจพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง  พระองค์ทรงเปิดเผยให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานมาให้  {DA 625.2}                    

พระสุรเสียงของพระเจ้าดังขึ้นมาเมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาในช่วงเริ่มต้นของพันธกิจของพระองค์ และดังขึ้นอีกครั้งเมื่อพระองค์ทรงจำแลงพระกายบนภูเขา  บัดนี้ ในช่วงปิดท้ายพันธกิจก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม โดยผู้ที่ได้ยินมีกลุ่มคนขนาดใหญ่กว่าที่ได้ยิน และภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดกว่าเดิม  เมื่อสักครู่ พระเยซูตรัสถึงความจริงอันน่าเคร่งขรึมที่สุดเกี่ยวข้องกับสภาพของชาวยิวไปแล้ว  พระองค์ทรงเรียกเชิญครั้งสุดท้ายและประกาศชะตาของพวกเขา  บัดนี้พระเจ้าทรงประทับตราลงบนพันธกิจของพระบุตรของพระองค์อีกครั้ง  พระองค์ทรงรับรองพระองค์ที่ชนชาติอิสราเองปฏิเสธ  "เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่าน” พระเยซูตรัส “ไม่ใช่เพื่อเรา"  นี่คือหลักฐานยอดเยี่ยมที่สุดของการทรงเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ เป็นสัญญาณที่พระบิดาประทานมาเพื่อบอกว่าพระเยซูตรัสความจริงและทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  {DA 625.3}                  

“’เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว’” พระคริสต์ตรัสต่อไป “’เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป  เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา’  พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร"  นี่คือวิกฤตของโลก  ถ้าเราเป็นเครื่องบูชาลบบาปของมนุษย์ โลกก็จะสว่างไสวขึ้นมา  จะต้องทำลายการครอบงำของซาตานที่อยู่เหนือมนุษย์ไ  จะต้องนำพระฉายาของพระเจ้าในมนุษย์ที่เสียโฉมไปกลับคืนมาให้กับมนุษยชาติ และในที่สุดครอบครัวของธรรมิกชนจะได้รับบ้านบนสวรรค์เป็นมรดก  นี่คือผลที่ได้จากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์  ขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงตกอยู่ในภวังค์ของการใคร่ครวญถึงภาพเหตุการณ์แห่งชัยชนะที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงเห็นกางเขน ซึ่งเป็นไม้กางเขนที่โหดร้ายและไร้ความปรานีพร้อมกับความน่าสะพรึงกลัวที่สว่างเจิดจ้าด้วยเปลวเพลิงแห่งพระสิริ  {DA 625.4}                          

แต่พระราชกิจแห่งการไถ่บาปมนุษย์นั้นไม่ใช่ทั้งหมดจะสำเร็จเสร็จสิ้นได้ด้วยไม้กางเขน  ความรักของพระเจ้าถูกสำแดงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อจักรวาล  เจ้าชายของโลกนี้ถูกขับออกไปแล้ว  คำกล่าวหาที่ซาตานกระหน่ำใส่พระเจ้าถูกหักล้างไป  คำตำหนิที่มันนำมาใส่สวรรค์ถูกลบทิ้งไปตลอดกาล  พระเยซูทรงชักนำทูตสวรรค์รวมทั้งมนุษย์ให้เข้าไปหาพระผู้ไถ่  "เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว"  พระองค์ตรัส "เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา"  {DA 626.1}  

ขณะที่พระองค์ตรัสถ้อยคำเหล่านี้มีคนเป็นจำนวนมากล้อมอยู่รอบพระคริสต์และมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์  ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น? บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?'  พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน  ขณะที่พวกท่านมีความสว่าง จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกของความสว่าง’ “  {DA 626.2}  

ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์”  มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยทูลถามพระผู้ช่วยให้รอดว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน?"   ยอห์น 6 ข้อที่ 30  มีหมายสำคัญนับไม่ถ้วนเคยประทานให้แก่พวกเขาแล้ว  แต่พวกเขาปิดตาและทำให้หัวใจของตนแข็งกระด้างไป  บัดนี้เมื่อพระบิดาเองเป็นผู้ตรัสกับพวกเขาแล้วและพวกเขาก็ไม่อาจขอหมายสำคัญอื่นเพิ่มเติมได้อีกต่อไป แต่พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะเชื่อ  {DA 626.3}                          

อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี  เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา”  พวกเขาชื่นชอบคำสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าความพึงพอพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาปฏิเสธพระคริสต์และปฏิเสธข้อเสนอแห่งชีวิตนิรันดร์เพื่อที่จะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากคำตำหนิและความอับอาย  และตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมามีสักกี่คนที่ทำเช่นเดียวกันนี้!  สำหรับคนทั้งหมดเหล่านี้ พระดำรัสแห่งการเตือนของพระผู้ช่วยให้รอดนำมาใช้กับพวกเขาได้  "คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต"  "ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย"  ยอห์น 12 ข้อที่ 48  {DA 626.4}                            

อนิจจาสำหรับผู้ไม่รับรู้วันเวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยม! ด้วยย่างก้าวช้าๆ และด้วยความเศร้าพระทัย พระคริสต์เสด็จออกจากบริเวณพระวิหารนั้นไปตลอดกาล  {DA 626.5}  

**********