บทที่ 52

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง

บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 10 ข้อที่ 1-30


เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ”  "เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา  เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ" {DA 476.1}         

อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงใช้วิธีเข้าถึงจิตใจของผู้ฟังของพระองค์โดยการใช้สื่อที่พวกเขาคุ้นเคย  พระองค์ทรงเปรียบอำนาจในการชักจูงของพระวิญญาณเหมือนกับน้ำที่เย็นฉ่ำและให้ความสดชื่น  พระองค์ทรงเปรียบตัวพระองค์เองเป็นความสว่าง ซึ่งเป็นต้นกำหนิดของชีวิตและความปีติยินดีให้แก่ธรรมชาติและมนุษย์  บัดนี้พระองค์ทรงใช้ภาพของทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะเพื่อเป็นตัวแทนถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับผู้ที่เชื่อในพระองค์  ไม่มีภาพอื่นใดที่ผู้ฟังของพระองค์จะคุ้นเคยมากไปกว่านี้ และพระดำรัสของพระคริสต์ได้เชื่อมภาพนี้เข้ากับพระองค์เองไปตลอดกาล  สาวกไม่มีทางมองผู้เลี้ยงแกะที่คอยอภิบาลฝูงแกะของพวกเขาโดยที่จะไม่นึกถึงบทเรียนของพระผู้ช่วยให้รอด  ในผู้เลี้ยงแกะซื่อสัตย์แต่ละคนพวกเขาจะเห็นพระคริสต์  พวกเขาจะมองเห็นตัวเองอยู่ในฝูงแกะที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และต้องการที่พึ่งพิง  {DA 476.2}               

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์นำภาพนี้ไปใช้กับพันธกิจของพระเมสสิยาห์ ด้วยคำปลอบโยนที่ว่า "โอ ศิโยนผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงของเจ้าด้วยเต็มกำลัง โอ เยรูซาเล็มผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย จงพูดกับเมืองทั้งหลายของยูดาห์ว่า’ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า!’. . . .พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์เหมือนผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง"  อิสยาห์ 40 ข้อที่  9-11  ดาวิดร้องบทเพลงว่า "พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" สดุดี 23 ข้อที่  1  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประกาศโดยทางเอเสเคียลว่า "เราจะตั้งผู้เลี้ยงคนหนึ่งไว้เหนือเขา. . . .และเขาจะเลี้ยงดูพวกเขา"  "เราจะเสาะหาแกะที่หาย เราจะนำตัวที่หลงกลับมา เราจะพันผ้าให้แกะที่กระดูกหัก และเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย" “เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับพวกเขา”  "พวกเขาจะไม่เป็นของริบของบรรดาประชาชาติอีกต่อไป. . . .และพวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว" เอเสเคียล 34 ข้อที่ 23, 16, 25, 28  {DA 476.3}                 

พระคริสต์ทรงใช้คำพยากรณ์เหล่านี้เพื่อกล่าวถึงพระองค์เอง และพระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าพระลักษณะนิสัยของพระองค์แตกต่างจากลักษณะอุปนิสัยของบรรดาผู้นำของชนชาติอิสราเอล  พวกฟาริสีได้ไล่คนหนึ่งออกไปจากฝูงแกะเมื่อสักครู่นี้เองเนื่องจากเขากล้าเป็นพยานถึงอำนาจของพระคริสต์  พวกเขาตัดวิญญาณดวงหนึ่งที่พระเมษบาลองค์เที่ยงแท้ได้ทรงดึงให้เข้ามาหาตัวพระองค์  ในการทำเช่นนี้พวกเขาแสดงว่าตนเองขาดความรู้เรื่องพันธกิจที่ทรงโปรดมอบให้แก่พวกเขา และไม่คู่ควรกับความวางใจที่ทรงโปรดมอบไว้ให้ในฐานนะผู้เลี้ยงฝูงแกะ  บัดนี้พระเยซูทรงสำแดงต่อหน้าพวกเขาเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขาและพระผู้เลี้ยงที่ดีและพระองค์ทรงเน้นให้เห็นว่าพระองค์เองทรงเป็นผู้เลี้ยงองค์เที่ยงแท้ของฝูงแกะของพระเจ้า  อย่างไรก็ตามก่อนที่จะทรงทำเช่นนี้ พระองค์ทรงเอาอีกภาพหนึ่งมาตรัสถึงพระองค์เอง  {DA 477.1}   

พระองค์ตรัสว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร  แต่คนที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ"  พวกฟาริสีไม่ได้เข้าใจว่าพระดำรัสเหล่านี้ต่อว่าพวกเขาอยู่  เมื่อพวกเขาหาเหตุผลในใจอันเกี่ยวกับความหมายอยู่นั้น พระเยซูตรัสกับพวกเขาอย่างชัดเจนว่า "เราเป็นประตู ถ้าใครเข้าไปทางเรา คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร  ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ "  {DA 477.2}               

พระคริสต์ทรงเป็นทางเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า ตั้งแต่สมัยยุคแรกสุดบุตรธิดาทุกคนของพระองค์พบประตูทางเข้านี้  พวกเขาเห็น “พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก” (ยอห์น 1 ข้อที่ 29) ในพระเยซู ตามที่แสดงด้วยแบบ ด้วยเงาของสัญลักษณ์ ด้วยถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ด้วยการเปิดเผยในบทเรียนที่ทรงสอนสาวกของพระองค์ และด้วยการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงประกอบกิจเพื่อผู้คน  พระเจ้าทรงนำพวกเขาให้เข้ามาสู่พระคุณของพระพระเจ้าผ่านทางพระองค์  หลายคนมาพร้อมกับนำเสนอความเชื่ออื่นของทางโลก และพวกเขาคิดค้นพิธีและระบบใหม่ขึ้นด้วยหวังว่าจะได้เป็นคนชอบธรรมและอยู่อย่างสันติกับพระองค์ และด้วยการทำเช่นนี้จะได้พบหนทางเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์  แต่พระคริสต์ทรงเป็นประตูทางเข้าเพียงทางเดียว  และบรรดาผู้ที่พยายามเอาสิ่งอื่นมาแทนพระคริสต์คือโจรและขโมย  {DA 477.3}        

พวกฟาริสีไม่ได้เข้าทางประตู  พวกเขาปีนเข้าคอกโดยทางอื่นที่ไม่ใช่ทางพระคริสต์และไม่ได้ทำงานของผู้เลี้ยงแกะอย่างซื่อสัตย์ให้สำเร็จ  พวกปุโรหิตและผู้ปกครอง พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีทำลายทุ่งหญ้าที่มีชีวิตและทำให้แหล่งน้ำแห่งชีวิตเป็นมลทิน  ถ้อยคำแห่งการทรงดลใจกล่าวถึงผู้เลี้ยงเทียมเท็จเหล่านั้นอย่างไม่ผิดพลาดไว้ว่า "ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่ได้เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่ได้รักษา  ตัวที่กระดูกหักเจ้าก็ไม่ได้พันผ้า  ตัวที่หลงทางไปเจ้าก็ไม่ได้ไปตามกลับมา. . . .แต่เจ้าได้ควบคุมแกะทั้งหลายด้วยการบังคับ และด้วยความเกรี้ยวกราด”  เอเสเคียล 34 ข้อที่ 4  {DA 478.1}                  

ในทุกยุคสมันนักปรัชญาและครูคิดหาวิธีเติมเต็มความต้องการของจิตวิญญาณ ทุกประเทศนอกศาสนามีครูและระบบศาสนาที่ยอดเยี่ยมซึ่งเสนอวิธีนำไปสู่ความรอดด้วยวิธีอื่นนอกเหนือจากวิธีของพระคริสต์ วิธีการเหล่านี้ทำให้ผู้คนหันออกไปจากพระพักตร์ของพระบิดาและทำให้พวกเขากลัวพระองค์ผู้ประทานเพียงแต่พระพรแก่พวกเขา  ทิศทางการทำงานของพวกเขาคือการฉกชิงสิ่งที่เป็นของพระเจ้า รวมทั้งการทรงสร้างและการทรงไถ่  ผู้สอนเทียมเท็จเหล่านี้ปล้นมนุษย์ด้วยเช่นกัน  ศาสนาเทียมเท็จยึดครองคนนับล้านเอาไว้ พวกเขาตกเป็นทาสของความกลัวเยี่ยงทาสและความเฉยเมยที่เยือกเย็น  พวกเขาทำงานเหมือนสัตว์ที่แบกภาระหนัก ปราศจากความหวัง ความปีติยินดี หรือความทะเยอทะยานในชีวิตนี้ และมีเพียงความกลัวอันเบื่อหน่ายของชีวิตในโลกหน้า สิ่งเดียวที่ยกจิตวิญญาณได้คือข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า  การใคร่ครวญถึงความรักของพระเจ้าที่แสดงออกผ่านทางพระบุตรของพระองค์จะปลุกเร้าจิตใจและปลุกเร้าพลังจิตวิญญาณอย่างที่ไม่มีอะไรอื่นจะทำได้  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อสร้างพระลักษณ์ของพระเจ้าในมนุษย์ขึ้นมาใหม่  และใครก็ตามที่ทำให้ผู้คนหันหลังจากพระคริสต์กำลังหันพวกเขาออกจากแหล่งของการพัฒนาเติบโตที่แท้จริง  เขาฉ้อโกงความหวัง เป้าหมาย และสง่าราศีแห่งชีวิตไปจากเขาเหล่านั้น เขาคนนั้นเป็นขโมยและเป็นโจร  {DA 478.2}                  

คนที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ”  พระคริสต์ทรงเป็นทั้งประตูและผู้เลี้ยง  พระองค์ทรงเข้ามาด้วยพระองค์เอง  โดยการทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เองพระองค์จึงได้ทรงเป็นพระผู้เลี้ยง  "คนเฝ้าประตูจึงเปิดประตูให้คนนั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป  เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” {DA 478.3}        

ในบรรดาสรรพสัตว์ที่ทรงสร้างมานั้น แกะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ขี้ขลาดและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากที่สุด และในทางตะวันออกผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขาอย่างไม่ย่อท้อและไม่หยุดหย่อน  ในสมัยโบราณเหมือนเช่นในสมัยนี้ ความปลอดภัยมักจะมีแต่น้อยเมื่ออยู่นอกกำแพงเมือง  โจรปล้นสะดมจากชนเผ่าชายแดนที่เร่ร่อนหรือสัตว์ล่าเหยื่อจากที่ซ่อนในโขดหินนอนรอปล้นฝูงสัตว์  ผู้เลี้ยงแกะเฝ้ารออยู่ในหน้าที่ของเขา โดยรู้ดีว่าเขาเอาชีวิตของตนเองเสี่ยงภัยอันตรายอยู่ ยาโคบผู้ดูแลฝูงสัตว์ของลาบันในทุ่งหญ้าของเมืองฮารานบรรยายถึงการตรากตรำทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของตัวเองว่า "เวลากลางวันแดดก็เผาฉัน เวลากลางคืนก็หนาวเหน็บ ฉันนอนไม่หลับ"  ปฐมกาล 31 ข้อที่ 40  ขณะที่เฝ้าดูแลฝูงแกะของบิดาของเขาเด็กชายดาวิดใช้มือเปล่าเผชิญหน้ากับสิงโตและหมีและช่วยลูกแกะที่ถูกขโมยไปออกมาจากฟันของของพวกมัน  {DA 478.4}         

ในขณะที่ผู้เลี้ยงแกะนำฝูงแกะของตนข้ามเนินเขาหิน ผ่านป่าและหุบเหวป่าไปยังซอกหญ้าริมแม่น้ำ ในขณะที่เขาเฝ้ามองฝูงแกะบนภูเขาในค่ำคืนที่เงียบเหงา ปกป้องจากพวกโจร คอยดูแลอย่างเอาใจใส่สัตว์ตัวที่ป่วยและอ่อนแอด้วยความอ่อนโยนนั้น ชีวิตของเขาก็เข้าประสานเป็นหนึ่งเดียวกับของพวกฝูงแกะ  ไม่ว่าฝูงแกะจะมีขนาดใหญ่เพียงใด ผู้เลี้ยงรู้จักแกะทุกตัว ทุกตัวมีชื่อของมันและตอบสนองตามชื่อที่ผู้เลี้ยงเรียก  DA 479.1}                     

ดั่งผู้เลี้ยงแกะในโลกที่รู้จักแกะของตน พระเจ้าพระผู้เลี้ยงทรงรู้จักฝูงแกะของพระองค์ที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกเช่นกัน "’เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา  เป็นแกะในทุ่งหญ้าของเรา  เจ้าทั้งหลายเป็นคนของเราและเราเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า’ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ"  พระเยซูตรัสว่า "เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา" "เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา"  เอเสเคียล 34 ข้อที่ 31; อิสยาห์ 43 ข้อที่ 1; 49 ข้อที่ 16  {DA 479.2}              

พระเยซูทรงรู้จักเราเป็นรายบุคคลและสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของเรา  พระองค์ทรงรู้จักชื่อของเราทุกคน  พระองค์ทรงรู้จักบ้านที่เราพักอาศัยและชื่อของผู้อาศัยแต่ละคน  บางครั้งพระองค์ทรงระบุทิศทางเพื่อให้คนงานของพระองค์ไปยังถนนหรือเมือง ไปยังบ้าน เพื่อให้ไปหาลูกแกะตัวหนึ่งของพระองค์  {DA 479.3}               

พระเยซูทรงรู้จักรายละเอียดของจิตวิญญาณทุกดวงราวกับว่าเขาคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขา  ความทุกข์ใจของทุกคนสัมผัสพระหทัยของพระองค์  เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังเข้าพระกรรณของพระองค์  พระองค์เสด็จมาเพื่อเชิญชวนมนุษย์ทุกคนให้มาหาพระองค์เอง  พระองค์ทรงบัญชาพวกเขาว่า "ตามเรามา" และพระวิญญาณของพระองค์ทรงขับเคลื่อนในหัวใจของพวกเขาเพื่อชักนำให้พวกเขามาหาพระองค์  หลายคนปฏิเสธการชักนำนี้  พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาเป็นใคร  พระองค์ทรงทราบดีว่าใครที่ยินดีรับการทรงเรียกของพระองค์และพร้อมที่จะมาอยู่ภายใต้การอภิบาลของพระองค์  พระองค์ตรัสว่า "แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา  เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา”  พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่แต่ละคนราวกับว่าในพื้นโลกไม่มีคนอื่นใดเลย  {DA 480.1}           

ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป. . . .และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” คนเลี้ยงแกะทางตะวันออกไม่ได้ไล่ต้อนแกะของเขา เขาไม่พึ่งการบังคับหรือความกลัว แต่จะเดินนำหน้า คอยเรียกพวกมัน   พวกแกะรู้จักเสียงของเขาและเชื่อฟังเสียงเรียก  พระเมษบาลผู้ช่วยให้รอดก็ทรงทำเช่นเดียวกันนี้กับลูกแกะของพระองค์  พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ได้ทรงนำประชากรของพระองค์เหมือนนำฝูงแพะแกะ โดยมือของโมเสสและอาโรน " พระเยซูตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะว่า "เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงนำเจ้ามาด้วยความรักมั่นคง"  พระองค์ไม่ทรงเคยบังคับให้ติดตามพระองค์ "เราจูงเขาด้วยสายแห่งความเมตตา ด้วยเชือกแห่งความรัก เราเป็นผู้ทำให้แอกที่ขากรรไกรของเขาเบาลง และเราก้มลงเลี้ยงเขา" สดุดี 77 ข้อที่ 20  เยเรมีย์ 31 ข้อที่ 3  โฮเชยา 11 ข้อที่ 4  {DA 480.2}            

การกลัวการลงโทษหรือความหวังที่จะได้รับผลตอบแทนนิรันดร์ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สาวกของพระคริสต์มาติดตามพระองค์  พวกเขามองเห็นความรักของพระผู้ช่วยให้รอดที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ที่เผยให้เห็นตลอดการเดินทางท่องไปมาของพระองค์บนโลกตั้งแต่รางหญ้าในหมู่บ้านเบธเลเฮมจนถึงกางเขนคาลวารี และภาพที่พวกเขาเฝ้ามองดูพระองค์นั้นดึงดูดและทำให้จิตวิญญาณอ่อนโยนและยอมจำนน ความรักถูกปลุกขึ้นในหัวใจของผู้ที่เฝ้ามองไปยังพระองค์  พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงและเดินตามพระองค์ไป  {DA 480.3}                   

ดั่งผู้เลี้ยงเดินนำอยู่หน้าฝูงแกะเพื่อเผชิญกับภัยอันตรายตามทางก่อนฝูงแกะฉันใด พระเยซูก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้กับประชากรของพระองค์เช่นกัน “เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า” ทางมุ่งไปสวรรค์ถูกเจิมด้วยรอยพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอด  เส้นทางอาจสูงชันและขรุขระ พระเยซูทรงดำเนินผ่านทางนั้นมาแล้ว พระบาทของพระองค์ทรงเหยียมหนามอันโหดร้ายลงเพื่อเกลี่ยทางให้เราเดินได้ง่ายขึ้น  ทุกภาระที่เราได้รับคำบัญชาให้แบกนั้น พระองค์เองทรงแบกให้เราแล้ว  {DA 480.4}        

แม้บัดนี้พระองค์เสด็จขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและร่วมประทับบนพระบัลลังก์ของจักรวาลแล้ว แต่พระเยซูไม่ได้สูญเสียธรรมชาติอันเปี่ยมด้วยความเมตตาและเห็นใจของพระองค์ไป  วันนี้หัวใจอันอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจดวงเดียวกันยังเปิดกว้างให้กับความทุกข์ยากทั้งหมดของมนุษยชาติ  วันนี้ พระหัตถ์ที่ถูกแทงทรงยื่นออกไปเพื่ออวยพระพรประชากรของพระองค์ที่อยู่ในโลกให้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  "และพวกเขาจะไม่พินาศ ไม่มีผู้ใดดึงพวกเขาออกจากมือของเรา"  จิตวิญญาณที่มอบถวายตนเองให้กับพระคริสต์นั้นมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์มากกว่าคนทั้งโลก  พระผู้ช่วยให้รอดจะทรงดำเนินผ่านความทุกข์ทรมานของคาลวารีเพียงเพื่อคนเดียวที่ต้องการความรอดในอาณาจักรของพระองค์  พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งผู้ที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขา  พระองค์จะทรงยึดผู้ติดตามของพระองค์ไว้แน่นเว้นเสียแต่พวกเขาเลือกที่จะทิ้งพระองค์ไป  {DA 480.5}                       

ในขณะที่เราเดินผ่านการทดลองทั้งหมดของเรานั้น เรามีพระผู้ช่วยองค์หนึ่งผู้จะไม่ทรงละทิ้งเรา  พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้เราอยู่โดดเดี่ยวเพื่อดิ้นรนกับการทดลอง เพื่อต่อสู้กับความชั่ว และในที่สุดถูกภาระยากลำบากและความเศร้าเสียใจบดขยี้  แม้ว่าบัดนี้พระองค์จะถูกปิดซ่อนจากสายตามนุษย์มตะ หูแห่งความเชื่อจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสว่า อย่ากลัวเลย เราจะอยู่กับเจ้า  เรา "เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่นี่แน่ะ เรายังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์"  วิวรณ์ 1 ข้อที่ 18  เราทนแบกความทุกข์โศกของเจ้า ร่วมประสบการณ์การดิ้นรนของเจ้า เผชิญกับการทดลองของเจ้า  เราเข้าใจน้ำตาของเจ้า เราก็ร่ำไห้กับเจ้า  เราทราบดีถึงความโศกเศร้าของเจ้าที่ทุกข์สุดลำเค็ญเกินที่จะระบายให้เข้าหูของมนุษย์คนใด  อย่าคิดว่าเจ้าอ้างว้างและถูกทอดทิ้ง  แม้ว่าความเจ็บปวดของเจ้าจะไม่ประสานเข้ากับขั้วหัวใจของคนใดในโลก ให้มองมายังเราและมีชีวิต "’เพราะภูเขาทั้งหลายอาจถูกเคลื่อนย้ายไป และบรรดาเนินเขาอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่เคลื่อนย้ายไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสวัสดิภาพของเราจะไม่คลอนแคลน’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงสงสารเจ้าตรัสดังนี้"  อิสยาห์ 54 ข้อที่ 10  {D A 483.1}                      

ไม่ว่าผู้เลี้ยงแกะคนใดจะรักแกะของตนมากเพียงใด เขาจะรักบุตรชายหญิงของตนมากกว่า  พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นแค่ผู้เลี้ยงของเราเท่านั้น พระองค์ทรงเป็น "พระบิดานิรันดร์" ของเรา และพระองค์ตรัสว่า "เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา" ยอห์น 10 ข้อที่ 14, 15  เป็นถ้อยแถลงอันประเสริฐอะไรเช่นนี้!  พระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียว พระองค์ผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ทรงเป็น “ผู้ที่สนิทกับเรา” เศคาริยาห์ 13 ข้อที่ 7 ความสนิทสนมระหว่างพระองค์และพระเจ้าองค์นิรันดร์ถูกนำมาใช้เพื่อแสดงถึงความสนิทสนมระหว่างพระคริสต์และเหล่าบุตรของพระองค์บนแผ่นดินโลก!  {DA 483.2} 

พระเยซูทรงรักเราเพราะเราเป็นของขวัญจากพระบิดาของพระองค์และรางวัลการตอบแทนจากผลงานของพระองค์  พระองค์ทรงรักเราเหมือนบุตรของพระองค์  ท่านผู้อ่าน พระองค์ทรงรักคุณ  พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เองประทานสิ่งอื่นใดที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไม่ได้ สิ่งที่ดีกว่านี้ไม่ได้  ดังนั้นจงถวายความวางใจ  {DA 483.3}                  

พระเยซูทรงใส่พระทัยจิตวิญญาณของคนทั่วทั้งโลกที่ถูกผู้เลี้ยงเทียมเท็จนำไปในทางที่ผิด  บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรวบรวมเปรียบเหมือนแกะในทุ่งหญ้าของพระองค์กระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า และพระองค์ตรัสว่า "แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว"  ยอห์น 10 ข้อที่ 16  {DA 483.4}                          

"เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก"  นั่นคือ พระบิดาของเราทรงรักเจ้ามากจนพระองค์ทรงรักเรามากขึ้นเพราะเรายอมสละชีวิตเพื่อไถ่คณ  การที่เรามาเป็นตัวแทนและเป็นผู้ค้ำประกันพันธสัญญาของคุณโดยสละชีวิตของเราเพื่อรับหนี้สินของคุณและการล่วงละเมิดของคุณ ทำให้เราเป็นที่รักของพระบิดาของเรา  {DA 483.5}

"เราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก  ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมา"  ในขณะที่ดำรงเป็นสมาชิกของครอบครัวมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์มตะ ในฐานะพระเจ้าพระองค์ทรงเป็นน้ำพุแห่งชีวิตสำหรับโลก  พระองค์ทรงสามารถยับยั้งการรุกเข้ามาของความตาย และปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของมันได้ แต่พระองค์ทรงสละชีวิตโดยสมัครใจเพื่อพระองค์จะทรงนำชีวิตและความเป็นอมตะมาสู่ความสว่าง  พระองค์ทรงแบกรับบาปของโลก ทรงอดทนต่อคำสาปของมัน ทรงยอมสละชีวิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชาเพื่อมนุษย์จะได้ไม่ตายนิรันดร์ "แน่ทีเดียว ท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา และหอบความเจ็บปวดของเราไป. . . .ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา  เราทุกคนหลงทางไปเหมือนแกะ ต่างคนต่างหันไปตามทางของตนเอง และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาปของเราทุกคนลงบนตัวท่าน"  อิสยาห์ 53 ข้อที่ 4-6  {DA 484.1}                              

*******