บทที่ 3

ครบกำหนดแล้ว


       เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา. . . .เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร” กาลาเทีย 4 ข้อที่ 4, 5 {DA 31.1          การเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดพยากรณ์ไว้แล้วในสวนเอเดน  เมื่ออาดัมและเอวารับพระสัญญานี้เป็นครั้งแรกนั้น เขาทั้งสองหวังที่จะเห็นพระสัญญาสำเร็จในเร็ววัน  พวกเขาต้อนรับบุตรชายหัวปีด้วยความชื่นชมโดยหวังว่าเขาน่าจะเป็นพระผู้ไถ่  แต่พวกเขาจะต้องคอยต่อไปเพื่อให้พระสัญญาสำเร็จ  ผู้ที่รับพระสัญญาครั้งแรกสุด ตายไปโดยไม่ได้เห็นพระสัญญาสำเร็จ  จากสมัยของเอโนค พระสัญญานี้ยังคงส่งต่อกันมาอีกโดยผ่านบรรพชนและผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ทำให้การเสด็จมาบังเกิดของพระองค์เป็นความหวังที่มีชีวิตชีวา  แต่ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ได้เสด็จมา  คำพยากรณ์ของดาเนียลเปิดเผยถึงเวลาของการเสด็จมา แต่พวกเขาแปลความหมายของข่าวนี้ไปอย่างไม่ถูกต้อง  ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่าผ่านไป เสียงของผู้เผยพระวจนะยุติ  มือของผู้กดขี่ข่มเหงตกใส่ชนชาติอิสราเอลอย่างทารุณ และคนมากมายพร้อมที่จะอุทานขึ้นมาว่า “วันเหล่านั้นก็ไกลออกไป และนิมิตทุกเรื่องก็เหลว” เอเสเคียล 12 ข้อที่ 22 {DA 31.2}      

       แต่ดั่งดวงดาวที่แล่นไปบนเส้นทางโคจรตามที่กำหนดไว้ในท้องนภาอันกว้างใหญ่ พระประสงค์ของพระเจ้าไม่เคยเร่งรีบและไม่เคยชักช้า  โดยทางสัญลักษณ์ของความมืดมิดยิ่งใหญ่และเตาที่ควันพลุ่งอยู่ พระเจ้าทรงสำแดงให้อับราฮัมเห็นว่าชนชาติอิสราเอลจะตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์และยังทรงเปิดเผยว่า “ต่อมาเชื้อสายของเจ้าจะออกมา พร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย” ปฐมกาล 15 ข้อที่ 14 อำนาจทั้งหมดของอาณาจักรหยิ่งยโสของฟาโรห์ต่อต้านพระวจนะนั้นอย่างไร้ผล  ตามพระสัญญาของพระเจ้า “ในวันนั้นเอง ประชากรทั้งหมดของพระยาห์เวห์ก็เคลื่อนออกจากแผ่นดินอียิปต์”  อพยพ 12 ข้อที่ 41  ดังนี้แหละในสภาของสวรรค์ เวลาของการเสด็จมาของพระคริสต์ถูกกำหนดแล้ว  เมื่อเข็มนาฬิกายิ่งใหญ่ของเวลาชี้ไปยังเวลาที่กำหนด พระเยซูเสด็จมาบังเกิดในบ้านเบธเลเฮม  {DA 32.1}       

       เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา”  พระเจ้าพระผู้ทรงจัดเตรียมทรงเป็นผู้ชี้นำการเคลื่อนไหวของประชาชาติและกระแสแรงกระตุ้นและอิทธิพลของมนุษย์ จนกระทั่งโลกสุกงอมพร้อมที่จะต้อนรับการเสด็จมาของพระผู้ช่วย  ประชาชาติทั้งหลายรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้รัฐบาลเดียว พูดภาษาเดียวกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาษาแห่งวรรณกรรม  ชาวยิวที่กระจายไปทั่วสารทิศเข้ามารวมกันที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลองงานเทศกาลประจำปี  เมื่อเขาเหล่านั้นกลับไปยังต่างแดนก็จะกระจายข่าวดีแห่งการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ไปทั่วโลก  {DA 32.2}       

       ในช่วงเวลาเดียวกัน ระบบนอกศาสนาสูญเสียอำนาจของการครอบงำคนทั้งหลาย  มนุษย์เบื่อหน่ายการแห่แสดงกลางแจ้งและนิยาย  พวกเขาปรารถนาศาสนาที่ให้ความพึงพอใจ  ขณะที่ดูประหนึ่งว่าแสงแห่งความจริงไปจากมวลมนุษย์ ก็ยังมีจิตวิญญาณที่คอยตามหาแสงสว่างและพวกเขาทุกข์กังวลและโศกเศร้าใจ  พวกเขาหิวกระหายความรู้ในพระเจ้าผู้ทรงชนม์ และต้องการความมั่นใจของชีวิตเบื้องหลังความตาย  {DA 32.3}             

       ในขณะที่ชาวยิวเดินออกห่างไปจากพระเจ้า ความเชื่อจืดจางไปและความหวังยุติที่จะส่องสว่างให้กับอนาคต  พวกเขาแทบจะจับใจความคำสอนของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายไม่ได้  สำหรับคนทั้งหลายทั่วไป ความตายเป็นเรื่องลึกลับที่น่ากลัว  ภายภาคหน้ามีแต่ความไม่แน่นอนและความมืดมน  ไม่ใช่มีแต่เสียงคร่ำครวญของแม่ทั้งหลายของบ้านเบธเลเฮมเพียงลำพังเท่านั้น แต่ยังมีเสียงร้องยิ่งใหญ่จากหัวใจของมวลมนุษยชาติที่ผู้เผยพระวจนะส่งผ่านมาเมื่อหลายศตวรรษก่อนที่ว่า จากหมู่บ้านรามาห์ “เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้เสียงดัง คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบรรดาบุตรของตน นางไม่รับฟังคำปลอบใจ เพราะบุตรทั้งหลายไม่อยู่แล้ว” มัทธิว 2 ข้อที่ 18 มนุษย์ “ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย”  มัทธิว 4 ข้อที่  16 ไม่ได้รับการปลอบประโลม  พวกเขารอคอยการเสด็จมาของพระเจ้าพระผู้ช่วยกู้ด้วยตาละห้อย เมื่อนั้นความมืดจะถูกขจัดออกไป และความลึกลับของอนาคตจะได้กระจ่างแจ้ง  {DA 32.4}                ในอาณาบริเวณรอบนอกแผ่นดินยูเดีย ผู้คนต่างทำนายว่ามีพระอาจารย์จะมาปรากฏ  คนเหล่านี้เป็นผู้ที่แสวงหาความจริง และพวกเขาได้รับวิญญาณแห่งการทรงดลใจ  ครูเหล่านี้คนแล้วคนเล่าขึ้นมาเหมือนดั่งดวงดาวในท้องฟ้าที่มืดมิด  คำพยากรณ์ของพวกเขาจุดประกายแสงแห่งความหวังในดวงใจของคนนับพันในโลกของคนต่างชาติ  {DA 33.1}              

       เป็นเวลานานหลายร้อยปีที่พระคัมภีร์ถูกแปลเป็นภาษากรีก ภาษากรีกใช้กันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรโรมัน  มีชาวยิวกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหนและความหวังในการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ก็กระจายไปในหมู่ชนชาวต่างชาติได้ระดับหนึ่ง ท่ามกลางคนที่ชาวยิวจัดว่าเป็นคนนอกศาสนานั้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่เข้าใจคำพยากรณ์ของการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ได้ซาบซึ้งกว่าพวกธรรมาจารย์ของอิสราเอลเสียอีก  มีบางคนหวังคอยการเสด็จมาของพระองค์เพื่อการช่วยให้รอดจากบาป  นักปราชญ์พยายามศึกษาความลี้ลับขององค์ประกอบของชาวฮีบรู  แต่ความดันทุรังของชาวยิวขัดขวางการแผ่กระจายของแสงสว่าง  พวกเขามุ่งมั่นที่จะแยกตัวเองออกจากประเทศอื่นๆ และไม่ยินดีแบ่งปันความรู้ที่พวกเขามีอยู่ในเรื่องพิธีกรรมทางศาสนาที่เป็นสัญลักษณ์  พระเจ้าพระผู้ทรงเป็นแบบจำลองตามที่บ่งไว้ในสัญลักษณ์จะต้องเสด็จมาเองเพื่ออธิบายถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ {DA 33.2}            

       พระเจ้าตรัสกับโลกแล้วโดยผ่านทางธรรมชาติ ทางแบบจำลองและสัญลักษณ์ ทางบรรพชนและผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย  บทเรียนที่ประทานให้แก่มนุษยชาติต้องเป็นภาษาของมนุษย์  พระเจ้าพระผู้สื่อพันธสัญญาจะต้องเป็นผู้ตรัส  พระสุรเสียงของพระองค์จะต้องดังขึ้นในพระวิหารของพระองค์เอง  พระคริสต์ต้องเสด็จมาเพื่อตรัสพระดำรัสที่เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งและแน่นอน  พระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งความจริงจะทรงเป็นผู้แยกความจริงออกจากแกลบของคำพูดมนุษย์ซึ่งเป็นเหตุทำให้พระคำไม่เกิดผล  จะต้องอธิบายหลักการของการปกครองของพระเจ้าและแผนการแห่งการไถ่ให้รอดให้ชัดแจ้ง จะต้องจัดวางบทเรียนของพระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาเดิมได้ไว้อย่างเต็มที่ต่อหน้ามนุษย์ {DA 34.1}       

ท่ามกลางชนชาติยิว ยังมีจิตวิญญาณที่มั่นคง เป็นพงศ์พันธุ์ของเชื้อสายบริสุทธิ์  พวกเขาเป็นผู้ที่ถนอมรักษาความรู้ของพระเจ้าไว้  คนเหล่านี้ยังรอคอยความหวังแห่งคำมั่นสัญญาที่ทำไว้กับบรรพบุรุษ  พวกเขาตั้งความเชื่อให้เข้มแข็งโดยศึกษาคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าทรงโปรดประทานผ่านโมเสสว่า “พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราแก่พวกท่านจากพี่น้องของพวกท่านเอง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในทุกสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับพวกท่าน” กิจการ 3 ข้อที่ 22 อีกครั้งพวกเขายังอ่านต่อไปว่าพระเจ้าจะทรงเจิมพระเจ้าพระผู้ “นำข่าวดีมายังคนที่ทุกข์ใจ” เพื่อ “ปลอบโยนคนชอกช้ำใจ และเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย” และ “ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์”  อิสยาห์ 6;1, 2  เขาเหล่านั้นยังอ่านต่อไปว่า พระองค์จะทรง “สถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก” อย่างไรและจะ “รอคอยธรรมบัญญัติของท่าน” อย่างไร  บรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของพระองค์ และพวกพระราชามายังความสุกใสแห่งรุ่งอรุณของพระองค์เจ้าอย่างไร  อิสยาห์ 42 ข้อที่ 4; 60 ข้อที่ 3  {DA 34.2}         

       คำพูดสุดท้ายก่อนตายของยาโคบให้ความหวังแก่พวกเขา “คทาจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ ทั้งไม้ถือของผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา”  ปฐมกาล 49 ข้อที่ 10  อำนาจของอิสราเอลที่ตกต่ำลงแสดงว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ใกล้เข้ามาแล้ว  คำพยากรณ์ของดาเนียลวาดให้เห็นภาพแห่งพระสิริของการทรงครอบครองราชอาณาจักรหนึ่งที่จะมาภายหลังอาณาจักรอื่นๆ ของโลก และผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “ราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์” ดาเนียล 2 ข้อที่ 44 ในขณะที่น้อยคนเข้าใจลักษณะพระราชกิจของพระคริสต์ก็ตามที แต่มีความคาดหวังที่เกิดขึ้นทั่วไปว่าจะมีเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งเสด็จมาจัดตั้งอาณาจักรในอิสราเอลและเป็นผู้ช่วยกู้ประเทศชาติให้รอด  {DA 34.3}        

       เวลาครบกำหนดมาถึงแล้ว  มนุษยชาติที่ตกต่ำลงไปตลอดยุคแห่งการล่วงละเมิด ร้องเรียกการเสด็จมาของพระผู้ช่วย  ซาตานทำงานเพื่อให้เหวลึกระหว่างโลกกับสวรรค์ห่างกันจนข้ามกันไม่ได้  เขาใช้วิธีหลอกลวงจนทำให้มนุษย์กล้าทำบาปมากยิ่งขึ้น  เขาประสงค์ที่จะให้พระเจ้าหมดความอดทนและทำให้ความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ดับสูญไป เพื่อพระองค์จะทรงทิ้งโลกให้อยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน  {DA 34.4}               

       ซาตานคอยปิดกั้นมนุษย์จากความรู้เรื่องพระเจ้า เพื่อหันเหความสนใจจากพระนิเวศของพระเจ้าและเพื่อจัดตั้งอาณาจักรของมันเอง  การต่อสู้เพื่อความเป็นใหญ่ของเขาดูเสมือนว่าเกือบได้ชัยชนะอย่างเต็มที่  จริงอยู่ว่าในทุกยุคพระเจ้าทรงมีตัวแทนของพระองค์  แม้ในท่ามกลางคนนอกศาสนา ยังมีคนที่พระคริสต์ทรงประกอบกิจผ่านพวกเขาเพื่อยกชูเหล่าคนทั้งหลายจากบาปและความตกต่ำของพวกเขา  แต่คนเหล่านี้ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและเป็นที่เกลียดชัง  คนจำนวนมากมายตายอย่างทารุณป่าเถื่อน  เงามืดที่ซาตานทอดไว้อยู่เหนือพวกเขาทำให้มืดมนลงแล้วลงอีก  {DA 35.1}           

       ซาตานหันมนุษย์ออกจากพระเจ้าโดยผ่านทางระบบนอกศาสนามาตลอดหลายยุคแล้ว  แต่มันได้ชัยชนะยิ่งใหญ่ด้วยการบิดเบือนความเชื่อของชนชาติอิสราเอล  ด้วยการทำให้พวกเขาใคร่ครวญและบูชาความคิดของตนเอง  คนนอกศาสนาสูญเสียความรู้ในเรื่องพระเจ้าและตกต่ำเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ  ชนชาติอิสราเอลก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน  หลักการเรื่องมนุษย์ช่วยตนเองให้รอดโดยการกระทำของตัวเองเป็นพื้นฐานของพวกนอกศาสนา บัดนี้ความเชื่อเช่นนี้เข้ามาเป็นหลักการของศาสนายิวแล้ว  ซาตานปลูกฝังหลักการนี้ไว้  ที่ใดก็ตามที่รับหลักการเช่นนี้ไว้ มนุษย์ก็จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นบาป  {DA 35.2}         

       ข่าวสารแห่งความรอดสื่อมาถึงคนทั่วไปโดยผ่านสื่อตัวแทนมนุษย์  ชาวยิวผูกขาดความจริงที่เป็นชีวิตนิรันดร์ไว้กับตัว  พวกเขากักเก็บมานาแห่งชีวิตไว้จนเปื่อยเน่าไป  ศาสนาที่พวกเขาพยายามปกปิดไว้ให้กับตัวเองกลับกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจ  พวกเขาปล้นพระสิริของพระเจ้า และหลอกลวงโลกด้วยพระกิตติคุณเทียมเท็จ  พวกเขาปฏิเสธที่จะมอบถวายตัวเองให้พระเจ้าเพื่อความรอดของโลกและปล่อยตัวเป็นสื่อของซาตานจนโลกพินาศ  {DA 36.1}            

       ประชากรที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นหลักและพื้นฐานของความจริงได้กลายเป็นผู้แทนของซาตาน  พวกเขาทำงานตามความปรารถนาของซาตานด้วยการเดินบนเส้นทางของการบิดเบือนพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า และทำให้โลกมองพระองค์ว่าทรงเหี้ยมโหด  ตัวปุโรหิตเองที่ปฏิบัติหน้าที่ในวิหารยังมองไม่เห็นความสำคัญของพิธีกรรมที่ปฏิบัติอยู่  พวกเขาหยุดที่จะมองเกินจากสัญลักษณ์ที่ชี้ไปยังสิ่งที่เป็นความหมายในการถวายเครื่องเผาบูชา  ในการเผาบูชา พวกเขาทำราวกับว่าเป็นการแสดงของตัวละคร  พิธีกรรมที่พระเจ้าเองทรงสถาปนานั้นพวกเขาทำจนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจมืดบอดและหัวใจแข็งกระด้าง  พระเจ้าไม่อาจทำอะไรให้มนุษย์โดยผ่านช่องทางนี้อีกต่อไป  ระบบทั้งหมดนี้จะต้องถูกกวาดล้างทิ้งไป  {DA 36.2}         

       การหลอกลวงของบาปได้ไปถึงขีดสูงสุดแล้ว  ตัวแทนทั้งหลายที่ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์เลวทรามทำงานอย่างเต็มที่  เมื่อพระบุตรของพระเจ้าทอดพระเนตรไปยังโลกพระองค์ทรงเห็นแต่ความทุกข์และความโศกเศร้า  ด้วยความสงสาร พระองค์ทรงเห็นว่ามนุษย์ตกเป็นเหยื่อของความโหดเหี้ยมของซาตาน  พระองค์ทรงมองด้วยความสงสารคนทั้งหลายที่ถูกทำให้เสื่อม ถูกสังหาร สูญหาย  พวกเขาเลือกผู้ปกครองที่ผูกมัดพวกเขาให้อยู่ในการจองจำ  ในสภาพที่มึนงงและถูกหลอก พวกเขาร่วมไปในขบวนมุ่งหน้าไปสู่ความพินาศนิรันดร์ ไปสู่ความตายที่ไม่มีความหวังของชีวิต ไปสู่ยามค่ำคืนที่ไม่มีรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ สื่อตัวแทนของซาตานเข้าร่วมกันกับมนุษย์  ร่างกายของมนุษย์ที่สร้างมาเพื่อให้พระเจ้าทรงร่วมสถิตอยู่กลายเป็นที่สิงของพวกผีมาร  ตัวแทนเหนือธรรมชาติทำงานกับสามัญสำนึก เส้นประสาท อารมณ์ อวัยวะของมนุษย์เพื่อปล่อยตัวให้กับตัณหาเลวทรามที่สุด  ตราประทับของฝูงมารเองอยู่บนใบหน้าของมนุษย์  ใบหน้าของมนุษย์สะท้อนความชั่วเป็นจำนวนมากที่สิงอยู่ในตัวของพวกเขา  ลักษณะของภาพเช่นนี้ที่พระผู้ไถ่ทรงเห็น  พระเจ้าผู้ทรงไร้ขอบเขตจำกัด พระองค์ทรงความบริสุทธิ์ทอดพระเนตรปรากฏการณ์อะไรเช่นนี้เล่า!  {DA 36.3}     

       บาปกลายเป็นศาสตร์หนึ่งไปแล้ว และความเลวทรามถูกเชิดชูให้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา  การกบฏไชรากลงไปยังส่วนลึกของหัวใจ ความเป็นศัตรูรุนแรงที่สุดของมนุษย์คือการต่อต้านสวรรค์  เป็นการพิสูจน์ให้จักรวาลเห็นว่า เมื่อเดินเหินห่างออกไปจากพระเจ้าแล้ว จะยกชูมนุษยชาติขึ้นให้สูงไม่ได้  พวกเขาจะต้องได้องค์ประกอบใหม่แห่งชีวิตและอำนาจที่แผ่ออกจากพระองค์ผู้ทรงสร้างโลก  {DA 37.1}

       ด้วยความสนใจอันแรงกล้า โลกทั้งหลายที่ไม่เคยล้มลงในบาปเฝ้ามองด้วยความสนใจเพื่อให้พระยาห์เวห์ทรงลุกขึ้นกวาดล้างชาวโลกทิ้งไป  และหากพระเจ้าทรงประกอบกิจเช่นนี้ ซาตานพร้อมลงมือปฏิบัติตามแผนเพื่อได้มาซึ่งความจงรักภักดีของเหล่าชาวสวรรค์  มันเคยประกาศว่าด้วยหลักการของการปกครองของพระเจ้าจะไม่มีทางอภัยจากบาปได้  หากทำลายโลกไป มันก็จะอ้างว่าคำกล่าวหาของมันถูกต้อง  มันพร้อมกล่าวร้ายพระเจ้าและขยายการกบฏของมันไปยังโลกอื่นๆ เบื้องบน  แต่แทนที่จะทำลายโลก พระเจ้าประทานพระบุตรมาช่วยโลกให้รอด  ถึงแม้ความเลวทราบและการขัดขืนต่อต้านจะเห็นได้ทั่วไปในอาณาเขตของคนต่างชาติ หนทางเพื่อการฟื้นกลับคืนสู่สภาพดีดังเดิมทรงจัดไว้แล้ว  ในวิกฤตที่ดูประหนึ่งว่าซาตานกำลังจะชนะ พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาพร้อมด้วยของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้า  ตลอดทุกยุคและทุกเวลาพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ต่อเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ล้มลง  แม้มนุษย์จะดำรงชีวิตอย่างผิดๆ พระเจ้าก็ยังทรงสำแดงพระกรุณาให้แก่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง  และเมื่อครบกำหนดพระเจ้าทรงได้รับเกียรติยศโดยการหลั่งพระคุณแห่งการรักษาลงมาท่วมโลก ซึ่งจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางหรือหยุดยั้งพระคุณนี้ได้จนกว่าแผนการแห่งการทรงไถ่จะสำเร็จ  {DA 37.2}       

       ซาตานปีติหรรษาที่ประสบชัยชนะในการทำให้พระฉายาของพระเจ้าในมนุษย์เสื่อมลงไป  และแล้วพระเยซูเสด็จมาเพื่อนำพระฉายาของพระเจ้าพระผู้ทรงสร้างกลับมาคืนให้แก่มนุษย์  ไม่มีผู้ใดนอกจากพระคริสต์ที่จะสร้างลักษณะอุปนิสัยที่บาปทำลายไปกลับคืนมาใหม่ได้  พระองค์เสด็จมาขับไล่มารร้ายที่ควบคุมความปรารถนา  พระองค์เสด็จมาเพื่อยกชูเราให้สูงขึ้นจากผงคลีดิน เพื่อปั้นลักษณะอุปนิสัยที่เปื้อนให้กลับขึ้นมาใหม่ตามรูปแบบของพระลักษณะนิสัยของพระองค์และทรงทำให้งดงามด้วยพระสิริของพระองค์เอง  {DA 37.3}                

************