บทที่ 3
“ครบกำหนดแล้ว”
“เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา. . . .เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร” กาลาเทีย 4 ข้อที่ 4, 5 {DA 31.1 การเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดพยากรณ์ไว้แล้วในสวนเอเดน เมื่ออาดัมและเอวารับพระสัญญานี้เป็นครั้งแรกนั้น เขาทั้งสองหวังที่จะเห็นพระสัญญาสำเร็จในเร็ววัน พวกเขาต้อนรับบุตรชายหัวปีด้วยความชื่นชมโดยหวังว่าเขาน่าจะเป็นพระผู้ไถ่ แต่พวกเขาจะต้องคอยต่อไปเพื่อให้พระสัญญาสำเร็จ ผู้ที่รับพระสัญญาครั้งแรกสุด ตายไปโดยไม่ได้เห็นพระสัญญาสำเร็จ จากสมัยของเอโนค พระสัญญานี้ยังคงส่งต่อกันมาอีกโดยผ่านบรรพชนและผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ทำให้การเสด็จมาบังเกิดของพระองค์เป็นความหวังที่มีชีวิตชีวา แต่ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ได้เสด็จมา คำพยากรณ์ของดาเนียลเปิดเผยถึงเวลาของการเสด็จมา แต่พวกเขาแปลความหมายของข่าวนี้ไปอย่างไม่ถูกต้อง ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่าผ่านไป เสียงของผู้เผยพระวจนะยุติ มือของผู้กดขี่ข่มเหงตกใส่ชนชาติอิสราเอลอย่างทารุณ และคนมากมายพร้อมที่จะอุทานขึ้นมาว่า “วันเหล่านั้นก็ไกลออกไป และนิมิตทุกเรื่องก็เหลว” เอเสเคียล 12 ข้อที่ 22 {DA 31.2}
แต่ดั่งดวงดาวที่แล่นไปบนเส้นทางโคจรตามที่กำหนดไว้ในท้องนภาอันกว้างใหญ่ พระประสงค์ของพระเจ้าไม่เคยเร่งรีบและไม่เคยชักช้า โดยทางสัญลักษณ์ของความมืดมิดยิ่งใหญ่และเตาที่ควันพลุ่งอยู่ พระเจ้าทรงสำแดงให้อับราฮัมเห็นว่าชนชาติอิสราเอลจะตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์และยังทรงเปิดเผยว่า “ต่อมาเชื้อสายของเจ้าจะออกมา พร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย” ปฐมกาล 15 ข้อที่ 14 อำนาจทั้งหมดของอาณาจักรหยิ่งยโสของฟาโรห์ต่อต้านพระวจนะนั้นอย่างไร้ผล ตามพระสัญญาของพระเจ้า “ในวันนั้นเอง ประชากรทั้งหมดของพระยาห์เวห์ก็เคลื่อนออกจากแผ่นดินอียิปต์” อพยพ 12 ข้อที่ 41 ดังนี้แหละในสภาของสวรรค์ เวลาของการเสด็จมาของพระคริสต์ถูกกำหนดแล้ว เมื่อเข็มนาฬิกายิ่งใหญ่ของเวลาชี้ไปยังเวลาที่กำหนด พระเยซูเสด็จมาบังเกิดในบ้านเบธเลเฮม {DA 32.1}
“เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา” พระเจ้าพระผู้ทรงจัดเตรียมทรงเป็นผู้ชี้นำการเคลื่อนไหวของประชาชาติและกระแสแรงกระตุ้นและอิทธิพลของมนุษย์ จนกระทั่งโลกสุกงอมพร้อมที่จะต้อนรับการเสด็จมาของพระผู้ช่วย ประชาชาติทั้งหลายรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้รัฐบาลเดียว พูดภาษาเดียวกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาษาแห่งวรรณกรรม ชาวยิวที่กระจายไปทั่วสารทิศเข้ามารวมกันที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลองงานเทศกาลประจำปี เมื่อเขาเหล่านั้นกลับไปยังต่างแดนก็จะกระจายข่าวดีแห่งการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ไปทั่วโลก {DA 32.2}
ในช่วงเวลาเดียวกัน ระบบนอกศาสนาสูญเสียอำนาจของการครอบงำคนทั้งหลาย มนุษย์เบื่อหน่ายการแห่แสดงกลางแจ้งและนิยาย พวกเขาปรารถนาศาสนาที่ให้ความพึงพอใจ ขณะที่ดูประหนึ่งว่าแสงแห่งความจริงไปจากมวลมนุษย์ ก็ยังมีจิตวิญญาณที่คอยตามหาแสงสว่างและพวกเขาทุกข์กังวลและโศกเศร้าใจ พวกเขาหิวกระหายความรู้ในพระเจ้าผู้ทรงชนม์ และต้องการความมั่นใจของชีวิตเบื้องหลังความตาย {DA 32.3}
ในขณะที่ชาวยิวเดินออกห่างไปจากพระเจ้า ความเชื่อจืดจางไปและความหวังยุติที่จะส่องสว่างให้กับอนาคต พวกเขาแทบจะจับใจความคำสอนของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายไม่ได้ สำหรับคนทั้งหลายทั่วไป ความตายเป็นเรื่องลึกลับที่น่ากลัว ภายภาคหน้ามีแต่ความไม่แน่นอนและความมืดมน ไม่ใช่มีแต่เสียงคร่ำครวญของแม่ทั้งหลายของบ้านเบธเลเฮมเพียงลำพังเท่านั้น แต่ยังมีเสียงร้องยิ่งใหญ่จากหัวใจของมวลมนุษยชาติที่ผู้เผยพระวจนะส่งผ่านมาเมื่อหลายศตวรรษก่อนที่ว่า จากหมู่บ้านรามาห์ “เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้เสียงดัง คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบรรดาบุตรของตน นางไม่รับฟังคำปลอบใจ เพราะบุตรทั้งหลายไม่อยู่แล้ว” มัทธิว 2 ข้อที่ 18 มนุษย์ “ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย” มัทธิว 4 ข้อที่ 16 ไม่ได้รับการปลอบประโลม พวกเขารอคอยการเสด็จมาของพระเจ้าพระผู้ช่วยกู้ด้วยตาละห้อย เมื่อนั้นความมืดจะถูกขจัดออกไป และความลึกลับของอนาคตจะได้กระจ่างแจ้ง {DA 32.4} ในอาณาบริเวณรอบนอกแผ่นดินยูเดีย ผู้คนต่างทำนายว่ามีพระอาจารย์จะมาปรากฏ คนเหล่านี้เป็นผู้ที่แสวงหาความจริง และพวกเขาได้รับวิญญาณแห่งการทรงดลใจ ครูเหล่านี้คนแล้วคนเล่าขึ้นมาเหมือนดั่งดวงดาวในท้องฟ้าที่มืดมิด คำพยากรณ์ของพวกเขาจุดประกายแสงแห่งความหวังในดวงใจของคนนับพันในโลกของคนต่างชาติ {DA 33.1}
เป็นเวลานานหลายร้อยปีที่พระคัมภีร์ถูกแปลเป็นภาษากรีก ภาษากรีกใช้กันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรโรมัน มีชาวยิวกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหนและความหวังในการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ก็กระจายไปในหมู่ชนชาวต่างชาติได้ระดับหนึ่ง ท่ามกลางคนที่ชาวยิวจัดว่าเป็นคนนอกศาสนานั้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่เข้าใจคำพยากรณ์ของการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ได้ซาบซึ้งกว่าพวกธรรมาจารย์ของอิสราเอลเสียอีก มีบางคนหวังคอยการเสด็จมาของพระองค์เพื่อการช่วยให้รอดจากบาป นักปราชญ์พยายามศึกษาความลี้ลับขององค์ประกอบของชาวฮีบรู แต่ความดันทุรังของชาวยิวขัดขวางการแผ่กระจายของแสงสว่าง พวกเขามุ่งมั่นที่จะแยกตัวเองออกจากประเทศอื่นๆ และไม่ยินดีแบ่งปันความรู้ที่พวกเขามีอยู่ในเรื่องพิธีกรรมทางศาสนาที่เป็นสัญลักษณ์ พระเจ้าพระผู้ทรงเป็นแบบจำลองตามที่บ่งไว้ในสัญลักษณ์จะต้องเสด็จมาเองเพื่ออธิบายถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ {DA 33.2}
พระเจ้าตรัสกับโลกแล้วโดยผ่านทางธรรมชาติ ทางแบบจำลองและสัญลักษณ์ ทางบรรพชนและผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย บทเรียนที่ประทานให้แก่มนุษยชาติต้องเป็นภาษาของมนุษย์ พระเจ้าพระผู้สื่อพันธสัญญาจะต้องเป็นผู้ตรัส พระสุรเสียงของพระองค์จะต้องดังขึ้นในพระวิหารของพระองค์เอง พระคริสต์ต้องเสด็จมาเพื่อตรัสพระดำรัสที่เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งและแน่นอน พระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดแห่งความจริงจะทรงเป็นผู้แยกความจริงออกจากแกลบของคำพูดมนุษย์ซึ่งเป็นเหตุทำให้พระคำไม่เกิดผล จะต้องอธิบายหลักการของการปกครองของพระเจ้าและแผนการแห่งการไถ่ให้รอดให้ชัดแจ้ง จะต้องจัดวางบทเรียนของพระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาเดิมได้ไว้อย่างเต็มที่ต่อหน้ามนุษย์ {DA 34.1}
ท่ามกลางชนชาติยิว ยังมีจิตวิญญาณที่มั่นคง เป็นพงศ์พันธุ์ของเชื้อสายบริสุทธิ์ พวกเขาเป็นผู้ที่ถนอมรักษาความรู้ของพระเจ้าไว้ คนเหล่านี้ยังรอคอยความหวังแห่งคำมั่นสัญญาที่ทำไว้กับบรรพบุรุษ พวกเขาตั้งความเชื่อให้เข้มแข็งโดยศึกษาคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าทรงโปรดประทานผ่านโมเสสว่า “พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราแก่พวกท่านจากพี่น้องของพวกท่านเอง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในทุกสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับพวกท่าน” กิจการ 3 ข้อที่ 22 อีกครั้งพวกเขายังอ่านต่อไปว่าพระเจ้าจะทรงเจิมพระเจ้าพระผู้ “นำข่าวดีมายังคนที่ทุกข์ใจ” เพื่อ “ปลอบโยนคนชอกช้ำใจ และเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย” และ “ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์” อิสยาห์ 6;1, 2 เขาเหล่านั้นยังอ่านต่อไปว่า พระองค์จะทรง “สถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก” อย่างไรและจะ “รอคอยธรรมบัญญัติของท่าน” อย่างไร บรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของพระองค์ และพวกพระราชามายังความสุกใสแห่งรุ่งอรุณของพระองค์เจ้าอย่างไร อิสยาห์ 42 ข้อที่ 4; 60 ข้อที่ 3 {DA 34.2}
คำพูดสุดท้ายก่อนตายของยาโคบให้ความหวังแก่พวกเขา “คทาจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ ทั้งไม้ถือของผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา” ปฐมกาล 49 ข้อที่ 10 อำนาจของอิสราเอลที่ตกต่ำลงแสดงว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ใกล้เข้ามาแล้ว คำพยากรณ์ของดาเนียลวาดให้เห็นภาพแห่งพระสิริของการทรงครอบครองราชอาณาจักรหนึ่งที่จะมาภายหลังอาณาจักรอื่นๆ ของโลก และผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “ราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์” ดาเนียล 2 ข้อที่ 44 ในขณะที่น้อยคนเข้าใจลักษณะพระราชกิจของพระคริสต์ก็ตามที แต่มีความคาดหวังที่เกิดขึ้นทั่วไปว่าจะมีเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งเสด็จมาจัดตั้งอาณาจักรในอิสราเอลและเป็นผู้ช่วยกู้ประเทศชาติให้รอด {DA 34.3}
เวลาครบกำหนดมาถึงแล้ว มนุษยชาติที่ตกต่ำลงไปตลอดยุคแห่งการล่วงละเมิด ร้องเรียกการเสด็จมาของพระผู้ช่วย ซาตานทำงานเพื่อให้เหวลึกระหว่างโลกกับสวรรค์ห่างกันจนข้ามกันไม่ได้ เขาใช้วิธีหลอกลวงจนทำให้มนุษย์กล้าทำบาปมากยิ่งขึ้น เขาประสงค์ที่จะให้พระเจ้าหมดความอดทนและทำให้ความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ดับสูญไป เพื่อพระองค์จะทรงทิ้งโลกให้อยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน {DA 34.4}
ซาตานคอยปิดกั้นมนุษย์จากความรู้เรื่องพระเจ้า เพื่อหันเหความสนใจจากพระนิเวศของพระเจ้าและเพื่อจัดตั้งอาณาจักรของมันเอง การต่อสู้เพื่อความเป็นใหญ่ของเขาดูเสมือนว่าเกือบได้ชัยชนะอย่างเต็มที่ จริงอยู่ว่าในทุกยุคพระเจ้าทรงมีตัวแทนของพระองค์ แม้ในท่ามกลางคนนอกศาสนา ยังมีคนที่พระคริสต์ทรงประกอบกิจผ่านพวกเขาเพื่อยกชูเหล่าคนทั้งหลายจากบาปและความตกต่ำของพวกเขา แต่คนเหล่านี้ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและเป็นที่เกลียดชัง คนจำนวนมากมายตายอย่างทารุณป่าเถื่อน เงามืดที่ซาตานทอดไว้อยู่เหนือพวกเขาทำให้มืดมนลงแล้วลงอีก {DA 35.1}
ซาตานหันมนุษย์ออกจากพระเจ้าโดยผ่านทางระบบนอกศาสนามาตลอดหลายยุคแล้ว แต่มันได้ชัยชนะยิ่งใหญ่ด้วยการบิดเบือนความเชื่อของชนชาติอิสราเอล ด้วยการทำให้พวกเขาใคร่ครวญและบูชาความคิดของตนเอง คนนอกศาสนาสูญเสียความรู้ในเรื่องพระเจ้าและตกต่ำเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ชนชาติอิสราเอลก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน หลักการเรื่องมนุษย์ช่วยตนเองให้รอดโดยการกระทำของตัวเองเป็นพื้นฐานของพวกนอกศาสนา บัดนี้ความเชื่อเช่นนี้เข้ามาเป็นหลักการของศาสนายิวแล้ว ซาตานปลูกฝังหลักการนี้ไว้ ที่ใดก็ตามที่รับหลักการเช่นนี้ไว้ มนุษย์ก็จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นบาป {DA 35.2}
ข่าวสารแห่งความรอดสื่อมาถึงคนทั่วไปโดยผ่านสื่อตัวแทนมนุษย์ ชาวยิวผูกขาดความจริงที่เป็นชีวิตนิรันดร์ไว้กับตัว พวกเขากักเก็บมานาแห่งชีวิตไว้จนเปื่อยเน่าไป ศาสนาที่พวกเขาพยายามปกปิดไว้ให้กับตัวเองกลับกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจ พวกเขาปล้นพระสิริของพระเจ้า และหลอกลวงโลกด้วยพระกิตติคุณเทียมเท็จ พวกเขาปฏิเสธที่จะมอบถวายตัวเองให้พระเจ้าเพื่อความรอดของโลกและปล่อยตัวเป็นสื่อของซาตานจนโลกพินาศ {DA 36.1}
ประชากรที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นหลักและพื้นฐานของความจริงได้กลายเป็นผู้แทนของซาตาน พวกเขาทำงานตามความปรารถนาของซาตานด้วยการเดินบนเส้นทางของการบิดเบือนพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า และทำให้โลกมองพระองค์ว่าทรงเหี้ยมโหด ตัวปุโรหิตเองที่ปฏิบัติหน้าที่ในวิหารยังมองไม่เห็นความสำคัญของพิธีกรรมที่ปฏิบัติอยู่ พวกเขาหยุดที่จะมองเกินจากสัญลักษณ์ที่ชี้ไปยังสิ่งที่เป็นความหมายในการถวายเครื่องเผาบูชา ในการเผาบูชา พวกเขาทำราวกับว่าเป็นการแสดงของตัวละคร พิธีกรรมที่พระเจ้าเองทรงสถาปนานั้นพวกเขาทำจนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจมืดบอดและหัวใจแข็งกระด้าง พระเจ้าไม่อาจทำอะไรให้มนุษย์โดยผ่านช่องทางนี้อีกต่อไป ระบบทั้งหมดนี้จะต้องถูกกวาดล้างทิ้งไป {DA 36.2}
การหลอกลวงของบาปได้ไปถึงขีดสูงสุดแล้ว ตัวแทนทั้งหลายที่ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์เลวทรามทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อพระบุตรของพระเจ้าทอดพระเนตรไปยังโลกพระองค์ทรงเห็นแต่ความทุกข์และความโศกเศร้า ด้วยความสงสาร พระองค์ทรงเห็นว่ามนุษย์ตกเป็นเหยื่อของความโหดเหี้ยมของซาตาน พระองค์ทรงมองด้วยความสงสารคนทั้งหลายที่ถูกทำให้เสื่อม ถูกสังหาร สูญหาย พวกเขาเลือกผู้ปกครองที่ผูกมัดพวกเขาให้อยู่ในการจองจำ ในสภาพที่มึนงงและถูกหลอก พวกเขาร่วมไปในขบวนมุ่งหน้าไปสู่ความพินาศนิรันดร์ ไปสู่ความตายที่ไม่มีความหวังของชีวิต ไปสู่ยามค่ำคืนที่ไม่มีรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ สื่อตัวแทนของซาตานเข้าร่วมกันกับมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์ที่สร้างมาเพื่อให้พระเจ้าทรงร่วมสถิตอยู่กลายเป็นที่สิงของพวกผีมาร ตัวแทนเหนือธรรมชาติทำงานกับสามัญสำนึก เส้นประสาท อารมณ์ อวัยวะของมนุษย์เพื่อปล่อยตัวให้กับตัณหาเลวทรามที่สุด ตราประทับของฝูงมารเองอยู่บนใบหน้าของมนุษย์ ใบหน้าของมนุษย์สะท้อนความชั่วเป็นจำนวนมากที่สิงอยู่ในตัวของพวกเขา ลักษณะของภาพเช่นนี้ที่พระผู้ไถ่ทรงเห็น พระเจ้าผู้ทรงไร้ขอบเขตจำกัด พระองค์ทรงความบริสุทธิ์ทอดพระเนตรปรากฏการณ์อะไรเช่นนี้เล่า! {DA 36.3}
บาปกลายเป็นศาสตร์หนึ่งไปแล้ว และความเลวทรามถูกเชิดชูให้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา การกบฏไชรากลงไปยังส่วนลึกของหัวใจ ความเป็นศัตรูรุนแรงที่สุดของมนุษย์คือการต่อต้านสวรรค์ เป็นการพิสูจน์ให้จักรวาลเห็นว่า เมื่อเดินเหินห่างออกไปจากพระเจ้าแล้ว จะยกชูมนุษยชาติขึ้นให้สูงไม่ได้ พวกเขาจะต้องได้องค์ประกอบใหม่แห่งชีวิตและอำนาจที่แผ่ออกจากพระองค์ผู้ทรงสร้างโลก {DA 37.1}
ด้วยความสนใจอันแรงกล้า โลกทั้งหลายที่ไม่เคยล้มลงในบาปเฝ้ามองด้วยความสนใจเพื่อให้พระยาห์เวห์ทรงลุกขึ้นกวาดล้างชาวโลกทิ้งไป และหากพระเจ้าทรงประกอบกิจเช่นนี้ ซาตานพร้อมลงมือปฏิบัติตามแผนเพื่อได้มาซึ่งความจงรักภักดีของเหล่าชาวสวรรค์ มันเคยประกาศว่าด้วยหลักการของการปกครองของพระเจ้าจะไม่มีทางอภัยจากบาปได้ หากทำลายโลกไป มันก็จะอ้างว่าคำกล่าวหาของมันถูกต้อง มันพร้อมกล่าวร้ายพระเจ้าและขยายการกบฏของมันไปยังโลกอื่นๆ เบื้องบน แต่แทนที่จะทำลายโลก พระเจ้าประทานพระบุตรมาช่วยโลกให้รอด ถึงแม้ความเลวทราบและการขัดขืนต่อต้านจะเห็นได้ทั่วไปในอาณาเขตของคนต่างชาติ หนทางเพื่อการฟื้นกลับคืนสู่สภาพดีดังเดิมทรงจัดไว้แล้ว ในวิกฤตที่ดูประหนึ่งว่าซาตานกำลังจะชนะ พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาพร้อมด้วยของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้า ตลอดทุกยุคและทุกเวลาพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ต่อเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ล้มลง แม้มนุษย์จะดำรงชีวิตอย่างผิดๆ พระเจ้าก็ยังทรงสำแดงพระกรุณาให้แก่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อครบกำหนดพระเจ้าทรงได้รับเกียรติยศโดยการหลั่งพระคุณแห่งการรักษาลงมาท่วมโลก ซึ่งจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางหรือหยุดยั้งพระคุณนี้ได้จนกว่าแผนการแห่งการทรงไถ่จะสำเร็จ {DA 37.2}
ซาตานปีติหรรษาที่ประสบชัยชนะในการทำให้พระฉายาของพระเจ้าในมนุษย์เสื่อมลงไป และแล้วพระเยซูเสด็จมาเพื่อนำพระฉายาของพระเจ้าพระผู้ทรงสร้างกลับมาคืนให้แก่มนุษย์ ไม่มีผู้ใดนอกจากพระคริสต์ที่จะสร้างลักษณะอุปนิสัยที่บาปทำลายไปกลับคืนมาใหม่ได้ พระองค์เสด็จมาขับไล่มารร้ายที่ควบคุมความปรารถนา พระองค์เสด็จมาเพื่อยกชูเราให้สูงขึ้นจากผงคลีดิน เพื่อปั้นลักษณะอุปนิสัยที่เปื้อนให้กลับขึ้นมาใหม่ตามรูปแบบของพระลักษณะนิสัยของพระองค์และทรงทำให้งดงามด้วยพระสิริของพระองค์เอง {DA 37.3}
************