บทที่ 86

จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ

อ้างอิงจาก มัทธิว 28 ข้อที่ 16-20


       ขณะที่พระคริสต์ประทับอยู่ห่างจากพระที่นั่งในสวรรค์ของพระองค์เพียงก้าวเดียวนั้น  พระองค์ทรงมอบหมายหน้าที่ให้แก่บรรดาสาวก  “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว พระองค์ตรัส “พวกท่านจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน”  มาระโก 16 ข้อที่ 15  พระดำรัสนี้ถูกกล่าวซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อสาวกจะเข้าใจถึงความสำคัญ  แสงสว่างของพระเจ้าส่องสว่างออกไปด้วยลำแสงแรงกล้าอย่างชัดแจ้งท่ามกลางมนุษย์ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินโลก ทั้งคนระดับสูงและระดับต่ำ  คนมั่งมีและคนยากจน  สาวกจะร่วมมือกับพระผู้ไถ่ในพันธกิจของการช่วยคนทั้งหลายในโลกให้ได้รับความรอด  {DA 818.1}                                       

       พระคริสต์ประทานพระบัญชาให้แก่สาวกสิบสองคนขณะที่ทรงพบกับพวกเขาในห้องชั้นบน แต่บัดนี้จะทรงมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่คนจำนวนมากขึ้น  ในการชุมนุมกันบนภูเขาในแคว้นกาลิลี ผู้เชื่อทั้งหมดเท่าที่เรียกกันมาได้นั้น ได้มาร่วมชุมนุมกันแล้ว  เรื่องการประชุมนี้ พระองค์เองทรงกำหนดเวลาและสถานที่ไว้แล้วก่อนที่จะสิ้นพระชนม์  ทูตสวรรค์ที่อุโมงค์ฝังศพเตือนสาวกให้ระลึกถึงพระสัญญาของพระเยซูที่จะพบกับพวกเขาในแคว้นกาลิลี  พระสัญญานี้ถูกกล่าวย้ำให้แก่ผู้เชื่อที่มาร่วมชุมนุมในกรุงเยรูซาเล็มในช่วงสัปดาห์ของเทศกาลปัสกา และจากคนเหล่านั้นส่งต่อไปถึงอีกหลายคนที่ยังตกอยู่ในความทุกข์โศกจากการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาทุกคนจึงเฝ้าคอยด้วยความใส่ใจอย่างแรงกล้าที่จะได้มาเข้าร่วมการสนทนาในครั้งนี้  พวกเขาพากันเดินทางไปยังสถานที่นัดหมายโดยใช้ทางอ้อมและมากันจากทั่วสารทิศเพื่อจะได้ไม่ปลุกความสงสัยของพวกยิวที่มีใจริษยา  พวกเขาเหล่านั้นพากันมาด้วยใจพิศวงถึงข่าวที่ได้รับ ต่างสนทนากันถึงเรื่องพระคริสต์อย่างกระตือรือร้น  {DA 818.2}  

       เมื่อถึงเวลานัดหมาย  มีผู้เชื่อประมาณห้าร้อยคนรวมกันเป็นกลุ่มขนาดเล็กบนไหล่เขา ต่างร้อนรนที่จะได้ฟังเรื่องของพระคริสต์จากคนที่ได้เห็นพระองค์นับตั้งแต่ทรงคืนพระชนม์จากความตาย  พวกสาวกเดินจากกลุ่มนี้ไปยังกลุ่มนั้นพร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินเกี่ยวกับพระเยซู  และชี้แจงเหตุผลจากพระคัมภีร์เหมือนเช่นที่พระเยซูทรงอธิบายพวกเขา  โธมัสสาธยายถึงเรื่องความไม่เชื่อของเขาและเล่าว่าความสงสัยของเขาถูกกวาดทิ้งไปหมดได้อย่างไร  ในทันใดนั้นพระเยซูเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ไม่มีใครบอกได้ว่าพระองค์เสด็จมาจากทิศทางไหนและเสด็จมาได้อย่างไร  คนมากมายที่อยู่ในที่นั้นไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อน  แต่พวกเขาเห็นรอยตะปูจากการตรึงกางเขนที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์  พระพักตร์ของพระองค์มีลักษณะเหมือนพระพักตร์ของพระเจ้า  และเมื่อคนทั้งหลายเห็นพระเยซูพวกเขาก็ก้มกราบลงนมัสการพระองค์  {DA 818.3}                              

       แต่มีบางคนสงสัย  ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ  ยังมีคนที่เชื่อยากและพวกเขาก็เอาตัวเองไปอยู่ฝั่งเดียวกับพวกขี้สงสัย  คนเหล่านี้สูญเสียมากเนื่องจากการไม่เชื่อของตนเอง  {DA 819.1}                                       

       ครั้งนี้เป็นครั้งเดียวภายหลังจากการทรงคืนพระชนม์ที่พระเยซูทรงพบปะสนทนากับผู้เชื่อจำนวนมากมายเช่นนี้  พระองค์เสด็จมาและตรัสกับพวกเขาว่า  “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” สาวกกราบลงนมัสการพระองค์ก่อนที่พระองค์ตรัส  แต่ถ้อยคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ซึ่งความตายได้ปิดไว้ทำให้สาวกตื่นเต้นด้วยอำนาจอันแปลกประหลาด  บัดนี้พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงชนม์  หลายคนเคยเห็นพระคริสต์ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์รักษาคนเจ็บป่วยและควบคุมตัวแทนของซาตาน  พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงมีอำนาจที่จะจัดตั้งแผ่นดินของพระองค์ขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม  พระองค์ทรงมีอำนาจที่จะปราบการขัดขวางทั้งปวง  และทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติ  พระองค์ทรงเคยห้ามคลื่นลม  ทรงดำเนินบนพื้นทะเลที่มีฟองคลื่นสีขาว  พระองค์ทรงปลุกคนตายแล้วให้คืนชีพได้  บัดนี้พระองค์ทรงประกาศว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมด”  ทรงมอบไว้ให้แก่พระองค์แล้ว  ถ้อยคำที่พระเยซูตรัสได่ยกระดับจิตใจของคนทั้งหลายที่ได้ฟังพระองค์ให้สูงขึ้นเหนือสรรพสิ่งทางโลกและสิ่งชั่วคราวไปยังสิ่งที่ยั่งยืนอยู่ชั่วกาลนิรันดร์ในสวรรค์  พวกเขาเหล่านั้นคิดถึงแต่สิ่งที่สูงส่งที่สุดคือพระเกียรติยศและพระสิริของพระองค์  {DA 819.2}                            

       ถ้อยคำที่พระคริสต์ตรัสบนไหล่เขาเป็นการประกาศให้ทราบว่าการถวายบูชาของพระองค์เพื่อมนุษย์ทั้งปวงนั้นเสร็จสิ้นและสมบูรณ์แล้ว  เงื่อนไขของการลบมลทินบาปได้รับการปฏิบัติสำเร็จครบถ้วนแล้ว  พระราชกิจที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประกอบกิจในโลกนี้สำเร็จแล้วด้วยความเรียบร้อย  พระองค์กำลังจะเสด็จไปยังพระที่นั่งของพระเจ้าเพื่อไปรับเกียรติยศจากเหล่าทูตสวรรค์  ศักดิเทพและบรรดาผู้มีอำนาจ  พระองค์ทรงก้าวเข้าสู่พระราชกิจของการทำหน้าที่เป็นคนกลาง  ด้วยอำนาจที่ไร้ขอบเขตจำกัด พระองค์ได้ทรงมอบหมายพระมหาบัญชาให้แก่สาวกว่า  “ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"  มัทธิว 28 ข้อที่ 19, 20  {DA 819.3}                             

       ชนชาติยิวได้รับฝากความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไว้  แต่ศาสนาของฟาริสีทำให้ชาวยิวถือว่าตนเป็นคนพิเศษที่สุดและเป็นคนใจแคบที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง เช่น เครื่องแต่งกาย  ขนบธรรมเนียมและพิธีกรรมประเพณีต่างๆ ทำให้พวกเขาเป็นผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นแสงสว่างของโลก  พวกเขาถือว่าตนที่เป็นชนชาติยิวนั้นคือโลก   แต่พระคริสต์ทรงบัญชาสาวกของพระองค์ให้ประกาศความเชื่อและการนมัสการที่ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะหรือประเทศชาติ  เป็นความเชื่อที่จะปรับเข้าได้กับคนทั้งปวง ทุกประเทศและคนทุกชนชั้น  {DA 819.4}                              

       ก่อนพระคริสต์เสด็จไปจากสาวก  พระองค์ตรัสถึงลักษณะแผ่นดินของพระองค์ไว้อย่างชัดเจน  พระองค์ทรงเตือนสาวกให้ระลึกถึงถ้อยคำที่พระองค์เคยตรัสถึงเรื่องของแผ่นดินนี้มาก่อนแล้วว่าเป็นอย่างไร  พระองค์ทรงเปิดเผยว่าไม่ใช่ความมุ่งหมายของพระองค์ที่จะจัดตั้งอาณาจักรทางฝ่ายโลก  แต่เป็นอาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณ  พระองค์จะไม่ครองราชย์บนพระที่นั่งของดาวิดในฐานะกษัตริย์ของแผ่นดินโลก  อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงอธิบายและแสดงข้อความในพระคัมภีร์ให้เหล่าสาวกได้เห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์ได้ถูกลิขิตไว้แล้วในสวรรค์จากการปรึกษาร่วมกันระหว่างพระบิดากับพระองค์เอง  ทั้งหมดได้รับการเปิดเผยไว้ล่วงหน้าผ่านมนุษย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจ  พระองค์ตรัสว่า  ท่านเห็นแล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่เราได้เปิดเผยให้แก่ท่านในเรื่องของการปฏิเสธว่าเราเป็นพระเมสสิยาห์นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว  ทุกเรื่องที่เรากล่าวถึงเกี่ยวกับความอัปยศที่เราจะต้องแบกรับและความตายที่เราจะต้องเผชิญล้วนเกิดขึ้นแล้ว  ในวันที่สามเราได้เป็นขึ้นมาแล้ว  ท่านจะต้องขยันขันแข็งใส่ใจศึกษาพระคัมภีร์ให้มากขึ้นและท่านจะค้นพบว่าทุกรายละเอียดของคำพยากรณ์ที่กล่าวเจาะจงถึงเรานี้ได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว  {DA 820.1}                    

       พระคริสต์ทรงบัญชาให้สาวกปฏิบัติกิจที่ทรงมอบไว้ในมือของพวกเขาโดยให้เริ่มที่กรุงเยรูซาเล็มก่อน  กรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่ประชาชนได้เห็นพระเยซูทรงยอมรับความทุกข์ทรมานและความอัปยศอย่างน่าประหลาดใจเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์  ที่นั่นพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน  ถูกเหยียดหยามและถูกตัดสินโทษประหาร  แผ่นดินยูดาห์เป็นถิ่นกำเนิดของพระองค์  ณ ที่นั่นพระองค์ทรงสวมอาภรณ์ของความเป็นมนุษย์และทรงดำเนินร่วมกับมนุษย์และมีเพียงไม่กี่คนที่ตระหนักว่าสวรรค์มาใกล้แผ่นดินโลกมากเพียงไรเมื่อพระเยซูทรงดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา  งานของสาวกจะต้องเริ่มต้นขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม  {DA 820.2}                        

       เมื่อคำนึงถึงความทุกข์ทั้งหมดที่พระคริสต์ทรงแบกรับที่นั่นรวมถึงการประกอบพระราชกิจของพระองค์ที่ไม่มีใครซาบซึ้งในพระคุณ  สาวกน่าจะทูลร้องขอท้องทุ่งที่น่าจะทำงานให้เกิดผลได้มากกว่านี้  แต่พวกเขาไม่ได้ทูลร้องอ้อนวอนขอเช่นนั้น  ผืนนาผืนนั้นที่พระองค์ทรงหว่านเมล็ดพืชแห่งความจริงไว้แล้ว สาวกของพระองค์จะต้องรดน้ำพรวนดินและเมล็ดพืชเหล่านั้นจะงอกขึ้นและออกผลให้เก็บเกี่ยวอย่างอุดมสมบูรณ์  ในการทำงานของพวกเขานั้น สาวกจะต้องเผชิญกับการกดขี่ข่มเหงอันเนื่องจากความริษยาและความเกลียดชังของชาวยิว  แต่เรื่องนี้พระอาจารย์ของพวกเขาทรงทนผ่านมาแล้วและพวกเขาจะต้องไม่หลบหนี  ข้อเสนอแห่งความเมตตาจะต้องถูกยื่นให้แก่พวกฆาตกรของพระผู้ช่วยให้รอดก่อนเป็นกลุ่มแรก  {DA 820.3}                        

       และในกรุงเยรูซาเล็มมีคนมากมายเชื่อพระเยซูอย่างลับๆ แล้ว และมีหลายคนถูกพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองหลอก  สำหรับคนเหล่านี้จะต้องนำเสนอข่าวประเสริฐให้แก่พวกเขา  พวกเขาจะต้องได้รับคำเชิญชวนให้กลับใจใหม่  จะต้องอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจนถึงความจริงอันประเสริฐที่ว่าการลบบาปจะเกิดขึ้นได้โดยผ่านทางพระคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น  ในขณะที่คนทั้งหมดในกรุงเยรูซาเล็มถูกปลุกปั่นด้วยเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นนี้ การเทศนาเรื่องข่าวประเสริฐจะทำให้เกิดความประทับลงสู่จิตใจได้อย่างลึกซึ้งที่สุด  {DA 820.4}                                        

       แต่พระราชกิจนี้จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้  ข่าวนี้จะต้องประกาศไปยังอาณาบริเวณห่างไกลที่สุดของแผ่นดินโลกด้วย  พระคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า  ท่านได้เป็นประจักษ์พยานถึงชีวิตของการเสียสละของเราเพื่อชาวโลก  ท่านได้เห็นกิจการที่เราทำเพื่อชนชาติอิสราเอล  แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้รับชีวิต  แม้ว่าพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองจะร่วมกันกระทำกับเราตามที่มุ่งหมายไว้  แม้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับเราตามที่พระคัมภีได้ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้ว  แต่พวกเขาก็ยังมีโอกาสอีกครั้งที่จะรับพระบุตรของพระเจ้า  ท่านได้เห็นแล้วว่าทุกคนที่มาหาเราและสารภาพความผิดบาป เราเต็มใจยกโทษให้พวกเขา  ทุกคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย ทุกคนที่ปรารถนา ก็จะคืนดีกับพระเจ้าและรับชีวิตนิรันดร์ได้  สาวกทั้งหลายของเราเอ๋ย  เรามอบข่าวแห่งความเมตตากรุณานี้ให้แก่พวกท่าน  ท่านจะต้องประกาศข่าวนี้แก่ชนชาติอิสราเอลก่อน  แล้วจึงประกาศไปยังทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ  ท่านจะต้องประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวยิวและชาวต่างชาติ  ทุกคนที่เชื่อจะรวมกันมาอยู่ในคริสตจักรเดียวกัน  {DA 821.1}                                    

       สาวกทั้งหลายจะได้รับอำนาจอันมหัศจรรย์ผ่านทางของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  คำพยานของพวกเขาจะได้การรับรองด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์  อัครสาวกจะไม่ใช่เป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ทำการอัศจรรย์ได้  แต่คนทั้งหลายที่รับคำสอนของอัครสาวกก็จะทำการอัศจรรย์ได้ด้วย  พระเยซูตรัสว่า “มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาจะจับงูได้ด้วยมือเปล่า ถ้าพวกเขากินยาพิษใดๆ มันจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเขา และพวกเขาจะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค" มาระโก 16 ข้อที่ 17, 18  {DA 821.2}      

       ในสมัยนั้น  การวางยาพิษเป็นสิ่งที่นิยมทำกันอยู่เสมอ  คนที่ไร้ศีลธรรมจะไม่รอช้าที่จะกำจัดผู้ที่ขัดขวางความทะเยอทะยานของพวกตน  พระเยซูทรงทราบดีว่าชีวิตของสาวกตกอยู่ในภัยอันตรายเช่นนี้  หลายคนคิดว่าการฆ่าพยานของพระเจ้าให้ตายนั้นเป็นการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า  ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงทรงสัญญาที่จะคุ้มครองปกป้องพวกเขาให้พ้นจากภัยอันตรายนี้  {DA 821.3}                                          

       สาวกจะได้รับอำนาจอย่างเดียวกันกับของพระเยซูที่ “ทรงรักษาบรรดาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย”  โดยการรักษาโรคทางกายให้หายในพระนามของพระองค์ พวกเขาก็จะเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะรักษาดวงวิญญาณให้หายได้ด้วย  มัทธิว 4 ข้อที่ 23; 9 ข้อที่ 6  บัดนี้พระคริสต์ทรงสัญญาที่จะประทานอำนาจอย่างใหม่ให้แก่พวกเขา  พวกสาวกจะต้องเทศนาสั่งสอนชนชาติอื่นๆ  และพวกเขาจะได้รับอำนาจให้พูดภาษาอื่นๆ ได้  เหล่าอัครสาวกและมิตรสหายของพวกเขาเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาแต่อย่างใด  แต่ถึงกระนั้นด้วยการหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์  ถ้อยคำที่พวกเขาพูดไม่ว่าจะเป็นภาษาของเขาเองหรือภาษาต่างประเทศ  จะเป็นภาษาที่บริสุทธิ์ เข้าใจได้ง่ายและพวกเขาพูดภาษาเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องทั้งสำเนียงก็ชัดเจน  {DA 821.4}                                    

       โดยประการฉะนี้พระคริสต์ทรงมอบหมายพันธกิจให้แก่สาวกของพระองค์  พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการดำเนินงานและพระองค์เองทรงเป็นผู้รับผิดชอบความสำเร็จของงาน  ตราบใดที่พวกเขายอมเชื่อฟังและทำงานร่วมกับพระองค์  พวกเขาจะไม่ล้มเหลว  พระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า จงออกไปประกาศสั่งสอนชนทุกประเทศ  จงไปยังท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลที่สุดในดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยและท่านจงรู้ไว้เถิดว่าเราจะอยู่กับท่าน  จงทำงานด้วยความเชื่อและความวางใจ  เพราะเราจะไม่มีวันละทิ้งพวกท่านเลย  {DA 822.1}

       พระมหาบัญชาของพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานให้แก่สาวกทั้งหลายนั้นนับรวมผู้เชื่อทั้งหมดเอาไว้ด้วย  พระมหาบัญชานี้ครอบคลุมผู้ที่เชื่อในพระคริสต์ทุกคนจนถึงวาระสุดปลายของยุค  เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงที่จะคิดว่างานการช่วยจิตวิญญาณให้ได้รับความรอดขึ้นอยู่กับศาสนาจารย์ที่เจิมแล้วเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ทุกคนที่ได้รับการทรงดลใจของพระเจ้าจะได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐ  ทุกคนที่รับชีวิตของพระคริสต์ได้รับการเจิมตั้งให้เป็นผู้ที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้ได้รับความรอด  คริสตจักรของพระเจ้าได้รับการแต่งตั้งไว้เพื่อพันธกิจนี้ และทุกคนที่ยอมรับคำปฏิญาณศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักรได้ปฏิญาณตนไว้ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานกับพระคริสต์  {DA 822.2}                          

       พระวิญญาณและเจ้าสาวกล่าวว่า ‘เชิญเสด็จมาเถิด’ และให้คนที่ได้ยินกล่าวด้วยว่า ‘เชิญเสด็จมาเถิด" วิวรณ์ 22 ข้อที่ 17  ทุกคนที่ได้ยินคำเชิญนี้จะต้องกล่าวย้ำคำเชิญนี้  ไม่ว่าบุคคลผู้หนึ่งจะมีอาชีพใดก็ตาม  หน้าที่อันดับแรกของเขาคือจะต้องชักนำดวงวิญญาณมาหาพระคริสต์  เขาอาจจะพูดต่อหน้าที่ประชุมไม่ได้แต่เขาทำงานกับคนแต่ละคนได้  เขาเอาคำสั่งสอนที่ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาไปบอกพวกเขาได้  พันธกิจแห่งการรับใช้ไม่ได้หมายถึงการเทศนาแต่เพียงอย่างเดียว  พวกเขาปรนนิบัติรับใช้ด้วยการบรรเทาความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมาน ช่วยคนยากไร้ขัดสน และพูดคำปลอบประโลมใจผู้ที่ทุกข์ยากและมีความเชื่อน้อย  ใกล้และไกลยังมีจิตวิญญาณหลายดวงที่ตกทุกข์อยู่ในความรู้สึกผิด  ไม่ใช่ความยากลำบาก  การตรากตรำหรือความยากจนที่ทำให้มนุษยชาติตกต่ำ  มันคือความรู้สึกผิดและการกระทำผิด  สิ่งนี้นำความว้าวุ่นและความไม่พึงพอใจมาให้  พระคริสต์ทรงปรารถนาให้ผู้รับใช้ของพระองค์ปรนนิบัติดวงวิญญาณทั้งหลายที่ป่วยด้วยบาป  {DA 822.3}                

       สาวกจะต้องเริ่มทำงานของพวกเขาจากจุดที่พวกเขาอยู่  พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยให้ท้องนาที่ทำยากที่สุดและคาดหวังผลได้น้อยที่สุดผ่านไป  ด้วยประการฉะนี้ผู้รับใช้ทุกคนของพระคริสต์จะต้องเริ่มงานจากตำแหน่งที่เขาอยู่  ในครอบครัวของเราเองอาจจะมีจิตวิญญาณที่หิวกระหายความเห็นอกเห็นใจและขาดอาหารแห่งชีวิต  อาจจะมีเด็กๆ ที่ต้องถูกฝึกให้ทำงานเพื่อพระคริสต์  ยังมีคนนอกศาสนาอยู่ตรงประตูหน้าบ้านของเรา  ให้เราทำงานที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความสัตย์ซื่อ  แล้วให้ความพยายามของเราขยายกว้างไกลตามที่พระหัตถ์ของพระเจ้าจะทรงนำ  งานของหลายคนอาจจะดูเหมือนถูกจำกัดด้วยสภาพการณ์ต่างๆ  แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด  หากลงมือทำด้วยความเชื่อและด้วยความขยันหมั่นเพียรแล้ว  จะได้เห็นผลจนถึงที่สุดปลายของแผ่นดินโลก  ในสมัยที่พระคริสต์ทรงอยู่ในแผ่นดินโลกนี้  ดูประหนึ่งว่าพันธกิจของพระองค์ถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ  แต่ฝูงชนมหาศาลจากทั่วสารทิศได้ยินข่าวสารของพระองค์  บ่อยครั้งพระเจ้าทรงใช้วิธีเรียบง่ายที่สุดทำงานเพื่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เป็นแผนการของพระองค์ที่ทุกส่วนของพันธกิจของพระองค์ต้องพึ่งส่วนอื่นๆ ของพันธกิจดั่งวงล้อซ้อนอยู่กลางวงล้อ ทั้งหมดทำงานประสานเข้าด้วยกัน  คนงานที่ถ่อมตนที่สุดเมื่อถูกขับเคลื่อนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะสัมผัสสายเครื่องดนตรีที่ตาเปล่ามองไม่เห็นและจะส่งเสียงดนตรีไพเราะดังกังวานไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลกตลอดกาล  {DA 822.4}                                    

       แต่จะต้องไม่มองข้ามพระบัญชาที่ว่า  “พวกท่านจงออกไปทั่วโลก” เราได้รับการทรงเรียกให้เงยหน้าดู “เลยขอบเขตของพวกท่าน”  2 โครินธ์ 10 ข้อที่ 16  พระคริสต์ทรงทำลายกำแพงแห่งอคติที่อยู่ระหว่างเชื้อชาติและสอนให้รักครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด  พระองค์ทรงยกมนุษย์ให้ออกจากแวดวงคับแคบที่ความเห็นแก่ตัวได้กำหนดไว้  พระองค์ทรงลบล้างเส้นแบ่งแยกขอบเขตและความแตกต่างอันจอมปลอมของสังคม  พระองค์ไม่ทรงแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างเพื่อนบ้านและคนแปลกหน้า  มิตรสหายหรือศัตรู  พระองค์ทรงสอนเราให้คอยมองว่าจิตวิญญาณขัดสนทุกดวงเป็นพี่น้องของเราและโลกนี้เป็นท้องนาของพวกเรา  {DA 823.1}

       เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน”  พระองค์ยังตรัสอีกด้วยว่า “มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาจะจับงูได้ด้วยมือเปล่า ถ้าพวกเขากินยาพิษใดๆ มันจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเขา และพวกเขาจะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"  พระสัญญานี้มีขอบเขตกว้างไกลเท่าพระมหาบัญชา  ไม่ใช่ว่าของประทานทุกอย่างจะประทานให้แก่ผู้เชื่อแต่ละคน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรง “จัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์” 1 โครินธ์ 12 ข้อที่ 11  แต่มีพระสัญญาว่าจะทรงมอบของประทานของพระวิญญาณให้แก่ผู้เชื่อทุกคนตามความจำเป็นสำหรับใช้ในพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ปัจจุบันนี้พระสัญญานี้มีอำนาจและความน่าเชื่อถือเท่าเทียมกับในสมัยของอัครสาวก  “มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั่น”  นี่คือสิทธิพิเศษของบุตรทั้งหลายของพระเจ้า  และความเชื่อควรจะยึดมั่นในทุกสิ่งเท่าที่พอจะทำได้เพื่อจะรับรองสนับสนุนความเชื่อนั้น  {DA 823.2}                        

       พวกเขาจะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"  โลกนี้เป็นเรือนโรคเรื้อนขนาดใหญ่  แต่พระคริสต์เสด็จมาเพื่อทรงรักษาคนเจ็บป่วยและประกาศการช่วยกู้ให้กับคนที่ตกเป็นเชลยของซาตาน  ในตัวพระองค์เองทรงเป็นสุขภาพที่สมบูรณ์และกำลัง  พระองค์ทรงโปรดประทานชีวิตให้แก่คนป่วยเจ็บและคนตกทุกข์และผู้ที่ถูกมารครอบครอง  พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งคนใดที่เข้ามารับอำนาจการรักษาของพระองค์  พระองค์ทรงทราบดีว่าคนที่พากันมาขอร้องให้พระองค์ช่วยนั้นได้นำโรคมาสู่ตัวเอง  แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะรักษาพวกเขาให้หาย  และเมื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์เข้าสู่จิตวิญญาณที่น่าสมเพชเวทนาเหล่านั้น  พวกเขาก็สำนึกในบาป  และหลายคนได้รับการรักษาให้หายจากโรคทั้งทางจิตวิญญาณและโรคทางกาย  ข่าวประเสริฐยังคงมีอำนาจเช่นเดิม  แล้วทำไมปัจจุบันนี้เราจึงไม่เห็นผลอย่างเดียวกันนี้เล่า?  {DA 823.3}                            

       พระคริสต์ทรงสัมผัสได้ถึงความทุกข์โศกของทุกคนที่ตกอยู่ในความทรมาน  เมื่อวิญญาณชั่วทำลายร่างกายของมนุษย์  พระคริสต์ทรงสัมผัสได้ถึงคำสาปนั้น  เมื่อความร้อนของไข้สูงกำลังแผดเผากระแสแห่งชีวิตให้หมดไป  พระองค์ทรงเข้าพระทัยดีถึงความระทมทุกข์นั้น  และพระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะรักษาคนป่วยเจ็บในปัจจุบันนี้เช่นเดียวกับในสมัยที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ในแผ่นดินโลก  ผู้รับใช้ของพระคริสต์เป็นตัวแทนของพระองค์  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พวกเขาใช้ฤทธิ์อำนาจแห่งการรักษาของพระองค์  {DA 823.4}     

       ในวิธีการรักษาของพระผู้ช่วยให้รอดนั้นมีบทเรียนที่มอบให้สาวกของพระองค์  มีอยู่ครั้งหนึ่ง  พระเยซูทรงเอาโคลนทาตาของคนตาบอดแล้วตรัสบัญชาเขาว่า  "จงไปล้างออกเสียในสระสิโลอัมเถิด’ (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับเห็นได้” ยอห์น 9 ข้อที่ 7  การรักษาคนป่วยเจ็บให้หายจะต้องใช้ฤทธิ์อำนาจของพระผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น  แต่ถึงกระนั้น  พระคริสต์ทรงใช้ของธรรมดาที่มีอยู่ในธรรมชาติ  ถึงแม้พระองค์ไม่ได้ใช้ยารักษาโรคแต่พระองค์ทรงเห็นชอบที่จะใช้วิธีบำบัดที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ  {DA 824.1}                    

       พระคริสต์ตรัสกับหลายคนที่พระองค์ทรงรักษาให้หายป่วยแล้วว่า “นี่อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน" ยอห์น 5 ข้อที่ 14  ด้วยประการฉะนี้  พระคริสต์ทรงสอนว่า ความเจ็บป่วยเป็นผลของการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าทั้งทางฝ่ายธรรมชาติและฝ่ายจิตวิญญาณ  ความทุกข์ยากยิ่งใหญ่ในโลกจะไม่มีอยู่อีกต่อไปหากมนุษย์จะดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับแผนการของพระผู้สร้าง  {DA 824.2}                                       

       พระคริสต์ทรงเป็นผู้นำและเป็นพระอาจารย์ของชนชาติอิสราเอลสมัยโบราณ  และพระองค์ทรงสอนพวกเขาว่า  สุขภาพที่ดีเป็นบำเหน็จรางวัลของการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า  พระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ใหญ่ทรงรักษาคนเจ็บป่วยในแผ่นดินปาเลสไตน์ ตรัสบอกประชากรของพระองค์จากเสาเมฆว่าพวกเขาจะต้องทำอย่างไรและพระเจ้าจะทรงกระทำการใดเพื่อพวกเขา  พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าใส่ใจฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์ อีกทั้งเงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการแล้ว โรคต่างๆ ซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่คนอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้เกิดขึ้นกับเจ้าเลย เพราะเราคือยาห์เวห์แพทย์ของเจ้า” อพยพ 15 ข้อที่ 26  พระคริสต์ประทานคำสอนอย่างเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและพระองค์ทรงประทานคำมั่นสัญญาให้แก่พวกเขาว่า “พระยาห์เวห์จะทรงเอาความเจ็บไข้ไปจากพวกท่าน”  เฉลยธรรมบัญญัติ 7 ข้อที่ 15  เมื่อพวกเขาปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างครบถ้วนแล้วก็จะได้รับตามที่ทรงสัญญาไว้ว่า  “ไม่มีสักคนหนึ่งในตระกูลของพระองค์ที่อ่อนแอ” สดุดี 105 ข้อที่ 37 TKJV  {DA 824.3}        

       บทเรียนนี้มีไว้เพื่อเรา  ทุกคนที่ต้องการถนอมรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข  ทุกคนจะต้องเรียนรู้ว่าเงื่อนไขเหล่านี้คืออะไร  พระเจ้าไม่พอพระทัยกับการขาดความรู้เรื่องกฎบัญญัติของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นกฎธรรมชาติหรือกฎทางฝ่ายจิตวิญญาณ  เราต้องเป็นผู้ร่วมกระทำการกับพระเจ้าในการฟื้นฟูสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณให้กลับสู่สภาพเดิม  {DA 824.4}                                

       และเราจะต้องสอนคนอื่นว่าจะถนอมดูแลสุขภาพและรักษาสุขภาพให้กลับมาดีได้อย่างไร  สำหรับคนที่ป่วยเราจะต้องใช้วิธีบำบัดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ในธรรมชาติ และเราจะต้องชี้นำคนป่วยให้ไปหาพระเจ้าซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่รักษาโรคให้หายได้  เป็นหน้าที่ของเราที่จะนำเสนอคนป่วยและผู้ที่ทุกข์ทรมานไปยังพระคริสต์ด้วยแขนแห่งความเชื่อของเรา  เราจะต้องสอนพวกเขาให้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ยิ่งใหญ่  เราจะต้องยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์และอธิษฐานขอการสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์  หัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐคือการรักษาคนป่วยเจ็บให้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม และพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาที่จะให้เราบอกคนป่วย  คนสิ้นหวังและคนทุกข์ยากให้ยึดพระกำลังของพระองค์ไว้อย่างมั่นคง  {DA 824.5}                          

       อำนาจแห่งความรักมีอยู่ในการรักษาของพระคริสต์ และด้วยการมีส่วนร่วมในความรักนั้นเราจึงเป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระองค์ได้  ถ้าเราละเลยที่จะเอาตัวเราเชื่อมต่อกับพระคริสต์  กระแสแห่งพลังที่ให้ชีวิตจะไหลผ่านอย่างไพบูลย์จากตัวเราไปยังประชาชนไม่ได้  ในอดีตมีอยู่หลายแห่งที่พระคริสต์เองทรงประกอบกิจยิ่งใหญ่มากมายไม่ได้เนื่องจากความไม่เชื่อของพวกเขา  เช่นเดียวกันในเวลานี้ความไม่เชื่อได้แยกคริสตจักรออกไปจากพระผู้ช่วยเหลือของเธอ  คริสตจักรยึดสภาพที่แท้จริงของเรื่องนิรันดร์กาลไว้อย่างอ่อนแรง  สภาพที่คริสตจักรขาดความเชื่อเช่นนี้ทำให้พระเจ้าผิดหวังและปล้นเอาพระสิริของพระองค์ไป  {DA 825.1}   

       การประกอบกิจของพระคริสต์ทำให้คริสตจักรได้รับคำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์ตรัสว่า จงออกไปสั่งสอน “นี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” การรับแอกของพระองค์มาแบกไว้เป็นเงื่อนไขอันดับแรกของการรับฤทธิ์อำนาจของพระองค์  ชีวิตของคริสตจักรขึ้นกับความซื่อสัตย์ของคริสตจักนในการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์  การละเลยพระราชกิจจะเชื้อเชิญให้ความอ่อนแอและความเสื่อมโทรมฝ่ายจิตวิญญาณเข้ามาอย่างแน่นอน  เมื่อไม่มีการลงมือทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อผู้อื่นแล้ว  ความรักก็จะสูญหายไปและความเชื่อของเราก็จะลดน้อยถอยลงไป  {DA 825.2}           

       พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นผู้อบรมสั่งสอนคริสตจักรในเรื่องงานการประกาศข่าวประเสริฐ  พวกเขาจะต้องสอนประชาชนว่าจะแสวงหาและช่วยคนที่หลงทางให้รอดได้อย่างไร  แต่พวกเขาทั้งหลายกำลังทำงานนี้อยู่หรือไม่?  อนิจจา มีสักกี่คนที่กำลังช่วยพัดประกายไฟแห่งชีวิตในคริสตจักรที่พร้อมจะมอดดับให้ลุกโชน!  มีคริสตจักรกี่แห่งที่ต้องได้รับการดูแลราวกับลูกแกะป่วยจากผู้ที่สมควรจะออกไปตามหาลูกแกะหลงหาย!  และคนนับล้านที่ไม่มีพระคริสต์กำลังพินาศไปอยู่ตลอดเวลา  {DA 825.3}                              

       เพื่อเห็นแก่มนุษย์ความรักของพระเจ้าได้ถูกปลุกเร้าอย่างล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งได้  และบรรดาทูตสวรรค์ต่างพิศวงเมื่อเห็นผู้รับความรักยิ่งใหญ่นี้แสดงความซาบซึ้งออกมาอย่างผิวเผิน  เหล่าทูตสวรรค์รู้สึกพิศวงเมื่อมนุษย์มีความสำนึกบุญคุณในความรักของพระเจ้าแค่เพียงตื้นเขิน เรารู้ได้หรือไม่ว่าพระคริสต์ทรงเฝ้าคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างไร?  คุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไรเมื่อทราบว่าลูกของพวกท่านที่หลงทางอยู่กลางหิมะและความหนาวเหน็บถูกคนที่น่าจะช่วยพวกเขาให้รอดได้นั้นมองข้ามและปล่อยให้พินาศไป?  พวกเขาจะไม่รู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดขีดและขุ่นเคืองอย่างบ้าคลั่งหรือ?  พวกเขาจะไม่ประณามคนเหล่านั้นว่าเป็นฆาตกรด้วยความโกรธเคืองเดือดดาลด้วยน้ำตาและรุนแรงเท่าความรักของพวกเขาหรือ?  ความทุกข์ระทมของมนุษย์ทุกคนเป็นความทุกข์ระทมของบุตรของพระเจ้า  และผู้ที่ไม่ยื่นมือออกเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังพินาศจะกระตุ้นพระพิโรธอันชอบธรรมของพระองค์  นี่คือพระพิโรธของพระเมษโปดก  ผู้ที่อ้างตนว่าร่วมสามัคคีธรรมกับพระคริสต์แต่เพิกเฉยต่อความต้องการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น พระองค์จะทรงประกาศในวันพิพากษาอันยิ่งใหญ่ว่า  “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่ทำความชั่วมาจากไหน จงไปให้พ้นหน้าเรา” ลูกา 13 ข้อที่ 27  {DA 825.4}                

       พระมหาบัญชาที่พระคริสต์ประทานให้แก่สาวกนั้นไม่เพียงประกอบด้วยโครงร่างงานของพวกเขาเท่านั้นแต่ยังประทานข่าวสารให้กับพวกเขาด้วย  พระองค์ตรัสสั่งว่า  จงสอนประชาชนให้ “ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้”  สาวกจะต้องสอนสิ่งที่พระคริสต์ทรงสอนพวกเขา  ซึ่งไม่เพียงถ้อยคำที่พระองค์ตรัสเองเท่านั้นแต่รวมถึงคำสอนทั้งหมดที่ตรัสผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะและครูของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมด้วย  จะต้องตัดคำสอนของมนุษย์ทิ้งไป  ไม่มีช่องว่างให้กับธรรมเนียมประเพณี  ทฤษฎีและข้อสรุปต่างๆ ของมนุษย์หรือกฎระเบียบของคริสตจักร  กฎระเบียบต่างๆ ที่ผู้มีอำนาจฝ่ายศาสนาบัญญัติขึ้นไม่รวมอยู่ในพระมหาบัญชานี้  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ผู้รับใช้ของพระคริสต์จะต้องไม่สอน  สมบัติที่พระองค์ประทานให้แก่สาวกเพื่อส่งต่อให้แก่คนในโลก คือ “ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด” รวมถึงบันทึกพระวจนะคำและการประกอบกิจของพระองค์  พระนามของพระคริสต์เป็นหลักการสำคัญของพวกเขา  เป็นตราสัญลักษณ์ของความโดดเด่น  เป็นสายผูกพันความเป็นหนึ่ง  เป็นอำนาจสำหรับแนวทางการกระทำของพวกเขา  และเป็นแหล่งกำเนิดความสำเร็จของพวกเขา  ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้รับการประทับตราด้วยพระนามของพระองค์จะได้รับการยอมรับในอาณาจักรของพระองค์  {DA 826.1}                                     

       จะต้องประกาศข่าวประเสริฐออกไปไม่ใช่ในลักษณะทฤษฎีที่ไร้วิญญาณแต่เป็นอำนาจอันมีชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้  พระเจ้าทรงปรารถนาให้คนทั้งหลายที่รับพระคุณของพระองค์เป็นพยานถึงอำนาจของพระคุณ  คนที่มีแนวทางดำเนินชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุดเมื่อกลับใจแล้วพระองค์ทรงยอมรับด้วยเต็มพระทัย  เมื่อพวกเขากลับใจพระองค์จะประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกเขา และวางเขาไว้ในตำแหน่งที่มีเกียรติสูงที่สุดซึ่งเป็นตำแหน่งแห่งความวางใจและทรงบัญชาให้พวกเขาออกไปประกาศพระเมตตาอันไม่จำกัดของพระองค์ให้แก่ฝูงชนที่ไม่ภักดี  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นพยานถึงความจริงว่า โดยอาศัยพระคุณของพระเจ้ามนุษย์จะมีลักษณะอุปนิสัยที่เหมือนพระคริสต์และจะชื่นชมยินดีในคำมั่นสัญญาแห่งความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้เราเป็นพยานถึงความจริงที่ว่าพระองค์จะไม่ทรงพอพระทัยจนกว่าจะนำมนุษยชาติกลับคืนมาและกลับไปยังตำแหน่งอันศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งในฐานะบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์  {DA 826.2}   

       ความอ่อนโยนของผู้เลี้ยงแกะ  ความรักของบิดามารดาและพระคุณอันไร้ที่เปรียบของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยความเมตตาสงสารมีอยู่ในพระคริสต์   พระองค์ทรงนำเสนอพระพรต่างๆ ของพระองค์ในลักษณะที่น่าดึงดูดใจที่สุด  พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยกับการแค่กล่าวคำอวยพรเหล่านี้เท่านั้นแต่ทรงนำเสนอพระพรเหล่านี้ด้วยวิธีที่น่าดึงดูดใจมากที่สุดเพื่อปลุกให้เกิดความปรารถนาที่จะรับพระพรเหล่านั้นมาครอบครองไว้  ในลักษณเดียวกันผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องนำเสนอความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นของขวัญพิเศษอันล้ำค่าเหนือคำพรรณนา  ความรักอันประเสริฐของพระคริสต์จะหลอมละลายหัวใจและทำให้หัวใจสงบในขณะที่การพูดแค่หลักคำสอนเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำสิ่งใดให้สำเร็จได้  “พระเจ้าของพวกท่านตรัสว่า ‘จงชูใจ จงชูใจประชากรของเรา’”  “โอ ศิโยนผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงของเจ้าด้วยเต็มกำลัง โอ เยรูซาเล็มผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย จงพูดกับเมืองทั้งหลายของยูดาห์ว่า ‘ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า!’. . . พระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์เหมือนผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มไว้ที่พระทรวง” อิสยาห์ 40 ข้อที่ 1, 9-11  จงบอกประชาชนว่าพระองค์ทรง  “โดดเด่นท่ามกลางคนนับหมื่น”  และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่  “หวานฉ่ำที่สุด” เพลงซาโลมอน 5 ข้อที่ 10, 16  คำพูดเพียงอย่างเดียวบรรยายสิ่งนี้ไม่ได้  จงให้พระวจนะสะท้อนออกมาในลักษณะอุปนิสัยและเปิดเผยออกมาในชีวิต  พระคริสต์ประทับเป็นภาพเหมือนของพระองค์ในตัวสาวกทุกคน พระเจ้า “ทรงกำหนด” ทุกคน “ไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์” โรม 8 ข้อที่ 29  ในทุกคนจะต้องเปิดเผยให้โลกเห็นความรักที่อดทนนาน  ความบริสุทธิ์  ความนอบน้อม ความเมตตาและความจริงของพระคริสต์  {DA 826.3}                    

       สาวกกลุ่มแรกพากันออกไปประกาศพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาสำแดงพระคริสต์ให้ปรากฏในชีวิตของพวกเขา  และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกอบกิจร่วมกับพวกเขา  “ทรงสนับสนุนคำสอนของพวกเขา ด้วยการให้มีหมายสำคัญประกอบคำสอน”  มาระโก  16 ข้อที่ 20  สาวกเหล่านี้ได้เตรียมตัวกันก่อนทำงาน  พวกเขาได้ร่วมประชุมกันก่อนวันเพ็นเทคอสต์และกำจัดความแตกแยกบาดหมางออกไป  พวกเขาปรองดองกันเป็นหนึ่งเดียว  พวกเขาเชื่อในพระสัญญาที่พระคริสต์ตรัสไว้ว่าจะทรงอวยพรพวกเขาและพวกเขาก็อธิษฐานด้วยความเชื่อ  พวกสาวกไม่ได้ทูลขอพระพรให้กับตัวเองเท่านั้น  พวกเขาแบกภาระของการที่จะช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายให้รอด  ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศไปจนถึงดินแดนที่สุดปลายของโลก  และพวกเขายื่นมือรับอำนาจที่พระคริสต์ทรงสัญญาไว้ หลังจากนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงหลั่งลงมาและหลายพันคนกลับใจใหม่ในวันเดียว  {DA 827.1}                            

       ทั้งหหหดที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะเกิดได้อีกเช่นกันในปัจจุบัน  จงเทศนาพระคำของพระเจ้าแทนคำคาดเดาของมนุษย์  จงให้คริสเตียนทั้งหลายละทิ้งความขัดแย้งและมอบถวายตนเองให้พระเจ้าเพื่อช่วยจิตวิญญาณทั้งหลายให้รอด  ให้เขาทั้งหลายทูลขอพระพรด้วยความเชื่อแล้วพระพรก็จะมา  การหลั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์เป็น “ฝนต้นฤดู”  และผลลัพธ์นั้นยิ่งใหญ่แต่  “ฝนชุกปลายฤดู” จะบริบูรณ์มากยิ่งกว่า โยเอล 2 ข้อที่ 23  {DA 827.2}      

       ทุกคนที่อุทิศจิตวิญญาณ กายและจิตใจแด่พระเจ้าจะได้รับพลังอำนาจทางกายและทางปัญญาอย่างสม่ำเสมอ  คลังสมบัติที่ไม่มีวันเหือดแห้งอยู่ในกำมือของพวกเขา  พระคริสต์ประทานลมหายใจแห่งวิญญาณของพระองค์เองซึ่งเป็นชีวิตแท้ของพระองค์ให้แก่พวกเขา  พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานอำนาจเต็มที่เพื่อทำงานในหัวใจและในความคิด   พระคุณของพระเจ้าได้ขยายและเพิ่มพูนสติปัญญาความสามารถของพวกเขาและทุกธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าก็มาช่วยพวกเขาในพันธกิจการช่วยจิตวิญญาณให้รอด  โดยการร่วมมือกับพระคริสต์  พวกเขาจึงครบบริบูรณ์ในพระองค์ และความอ่อนแอของมนุษย์ได้รับพลังเสริมจนสามารถประกอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดได้  {DA 827.3}            

พระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาที่จะสำแดงพระคุณของพระองค์และประทับพระลักษณะนิสัยพระองค์ไว้ทั่วทั้งโลก  โลกเป็นทรัพย์สมบัติที่พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้ว  และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์มีเสรีภาพ บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์  แม้ซาตานทำงานขัดขวางความมุ่งหมายนี้  แต่กระนั้นโดยอาศัยพระโลหิตที่พระคริสต์ทรงหลั่งเพื่อโลกนี้ ทุกคนจะต้องได้รับชัยชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้าและพระเมษโปดก พระคริสต์จะไม่ทรงพอพระทัยจนกว่าชัยชนะจะครบถ้วนสมบูรณ์และ “ท่านจะเห็นความทุกข์ลำบากแห่งจิตวิญญาณของท่าน และจะพอใจ”  อิสยาห์ 53 ข้อที่ 11  ทุกชาติในแผ่นดินโลกจะได้ยินข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระองค์  ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับพระคุณของพระองค์แต่  “จะมีพงศ์พันธุ์หนึ่งปรนนิบัติพระองค์ คนรุ่นหลังจะได้ฟังเรื่ององค์เจ้านาย” สดุดี 22 ข้อที่ 30  “ราชอำนาจและความยิ่งใหญ่แห่งบรรดาราชอาณาจักรภายใต้สวรรค์ทั้งสิ้นจะต้องถูกมอบไว้แก่บรรดาผู้บริสุทธิ์คือ ประชากรขององค์ผู้สูงสุดนั้น”  และ “แผ่นดินโลกจะเต็มด้วยความรู้ในเรื่องของพระยาห์เวห์เหมือนน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น”  “แล้วพวกเขาจะยำเกรงพระนามพระยาห์เวห์จากตะวันตกและยำเกรงพระสิริของพระองค์จากที่ตะวันขึ้น”  ดาเนียล 7 ข้อที่ 27; อิสยาห์ 11 ข้อที่ 9; 59 ข้อที่ 19  {DA 827.4}

เท้าของผู้นำข่าวซึ่งอยู่บนภูเขานั้นช่างงดงามจริง คือผู้นำข่าวที่ประกาศสันติภาพ และผู้ที่นำข่าวอันน่ายินดี ทั้งเท้าของผู้ประกาศความรอดและผู้กล่าวกับศิโยนว่า ‘พระเจ้าของท่านทรงครอบครอง’ . . . .จงเปล่งเสียงร้องเพลงแห่งความยินดีด้วยกัน เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงปลอบโยนชนชาติของพระองค์. . . .พระยาห์เวห์เปลือยพระกรอันบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อหน้าต่อตาประชาชาติทั้งหมด และสุดปลายแผ่นดินโลกทั้งหมดจะเห็นความรอดของพระเจ้าของเรา”  อิสยาห์ 52 ข้อที่ 7-10  {DA 828.1}                                    

*********