บทที่ 54

ชาวสะมาเรียผู้ใจดี

บทนี้อ้างอิงจาก ลูกา 10 ข้อที่ 25-37


ในเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี พระคริสต์ทรงอธิบายให้เห็นถึงลักษณะของศาสนาที่แท้จริง  พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าศาสนาไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยกฎระเบียบ ปรัชญาหรือพิธีกรรม แต่อยู่ที่การแสดงออกถึงการกระทำแห่งความรัก ในการทำประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้อื่น ในคุณความดีที่จริงใจ  {DA 497.1}                        

เมื่อพระคริสต์ทรงสอนประชาชนอยู่นั้น "มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งยืนขึ้นทดสอบพระองค์ ทูลถามว่า ‘ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์?’”  ฝูงชนขนาดใหญ่ที่มาชุมนุมกันรอคอยคำตอบด้วยใจจดจ่อ  พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์คิดที่จะทำให้พระคริสต์ติดกับดักด้วยการให้ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติเป็นผู้ทูลคำถามนี้  แต่พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงโต้แย้งกับเขา พระองค์ทรงเรียกร้องคำตอบจากผู้ถามเอง "ในธรรมบัญญัติเขียนว่าอย่างไร? พระองค์ตรัส “ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?"  ชาวยิวกล่าวหาว่าพระเยซูให้ความสำคัญเพียงน้อยนิดต่อพระบัญญัติที่ประทานให้จากภูเขาซีนาย แต่พระองค์ทรงกลับคำถามจากเรื่องความรอดจากบาปไปเป็นเรื่องการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า  {DA 497.2}                         

ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนนั้นจึงตอบว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้าและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" พระคริสต์ทรงตอบว่า "ท่านตอบถูกแล้ว จงกระทำอย่างนั้นและจะได้ชีวิต"  {DA 497.3}

ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนนี้ไม่พอใจกับตำแหน่งและผลงานของพวกฟาริสี  เขาศึกษาพระคัมภีร์เพื่อหาความหมายที่แท้จริง  เขาเอาใจใส่อย่างเอาจริงเอาจังกับการศึกษาพระคัมภีร์ด้วยหวังที่จะได้ความหมายที่แท้จริง เขาสนใจเรื่องนี้มากจึงทูลถามด้วยความจริงใจว่า "ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร?"  ในคำตอบของเขาที่กล่าวอ้างถึงข้อกำหนดของพระบัญญัตินั้น เขาข้ามคำสอนเรื่องระเบียบประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ไป  สำหรับเรื่องนี้เขาถือว่าไม่มีคุณค่าและได้เสนอหลักการยิ่งใหญ่สองประการซึ่งเป็นพื้นฐานของพระบัญญัติและคำสอนของผู้เผยพระวจนะ  พระคริสต์ทรงชมเชยคำตอบที่ได้รับ ซึ่งคำตอบนี้ทำให้พระผู้ช่วยให้รอดอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบฝั่งธรรมาจารย์  พวกเขากำหนดโทษพระองค์ไม่ได้เพราะพระองค์ทรงสนับสนุนบัญญัติที่พวกนักตีความหมายพระบัญญัติจัดการอยู่  {DA 497.4}                            

"จงไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต"  พระเยซูตรัส  พระองค์ทรงนำเสนอพระบัญญัติว่าเป็นเอกภาพเดียวกันกับพระเจ้า และในบทเรียนนี้ทรงสอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะถือรักษาพระบัญบัติข้อหนึ่งแต่ล่วงละเมิดข้ออื่นๆ เพราะหลักการเดียวครอบคลุมพระบัญญัติทั้งหมด  การเชื่อปฏิบัติพระบัญญัติทั้งหมดเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของมนุษย์  หลักการเรื่องการรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและรักมนุษย์อย่างไม่ลำเอียงจะต้องแสดงออกในชีวิต  {DA 498.1}                         

ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติท่านนี้รู้ตัวว่าตนเป็นผู้ล่วงละเมิดพระบัญญัติ  พระดำรัสที่พินิจพิเคราะห์ของพระคริสต์ตัดสินเขาแล้ว  ความชอบธรรมของพระบัญญัติที่เขาอ้างว่าเข้าใจนั้น เขากลับไม่ได้ถือปฏิบัติ  เขาไม่ได้แสดงความรักของเขาต่อเพื่อนมนุษย์  สิ่งที่เขาต้องการคือการกลับใจ แต่แทนที่จะกลับใจเขากลับพยายามแก้ตัว  แทนที่จะยอมรับความจริง เขากลับหาทางที่จะแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามพระ บัญญัตินั้นยากเพียงไร  ด้วยการทำเช่นนี้เขาหวังที่จะหลีกเลี่ยงคำตัดสินว่าทำผิดและเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในสายตาของประชาชน  พระผู้ช่วยให้รอดทรงสำแดงให้เขาเห็นว่าคำถามของเขานั้นไม่จำเป็นเพราะตัวเขาเองตอบคำถามได้  แต่กระนั้นเขาก็ยังถามเพิ่มต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า "ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?"  {DA 498.2}                          

ท่ามกลางชาวยิวแล้ว คำถามนี้เป็นเหตุของการถกเถียงอยงไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาไม่สงสัยเมื่อพูดถึงคนต่างชาติและชาวสะมาเรีย เพราะคนเหล่านี้เป็นคนแปลกหน้าและเป็นศัตรู  แต่เส้นแบ่งแยกระหว่างคนในชาติเดียวกันและระหว่างคนแต่ละชนชั้นของสังคมนั้นอยู่ที่ตรงไหน?  พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้อาวุโสควรถือว่าใครเป็นเพื่อนบ้านเล่า?  พวกเขาใช้ทั้งชีวิตวกวนอยู่กับพิธีกรรมที่ทำให้ตนเองบริสุทธิ์  พวกเขาสอนว่าการแตะต้องฝูงชนที่โง่เขลาและเลินเล่อจะทำให้เป็นมลทิน และต้องลงแรงพยายามกำจัดมลทินให้หมดไป พวกเขาควรจะยอมรับคน "มลทิน" เป็นเพื่อนบ้านอย่างนั้นเชียวหรือ?  {DA 498.3}                              

อีกครั้งหนึ่งพระคริสต์ทรงปฏิเสธที่จะถูกชักนำให้เข้าไปสู่ความขัดแย้ง  พระองค์ไม่ทรงประณามความคลั่งศาสนาของคนที่คอยหาทางกำหนดโทษพระองค์  แต่ด้วยการใช้เรื่องเล่าง่ายๆ พระองค์ทรงนำเสนอให้พวกเขามองเห็นภาพแห่งความรักที่หลั่งไหลมาจากสวรรค์ให้สัมผัสหัวใจของทุกคนและผู้เชี่ยวชาญบัญญัติประกาศยอมรับ  {DA 498.4}                          

วิธีขับไล่ความมืดคือการเปิดรับให้แสงสว่างเข้ามา  การนำเสนอความจริงเป็นวิธีดีที่สุดในกรจัดการกับความผิด  การเปิดเผยความรักของพระเจ้าจะทำให้มองเห็นทุพพลภาพและบาปของหัวใจที่มีศูนย์กลางอยู่ในอัตตา  {DA 498.5}                     

"มีชายคนหนึ่ง” พระเยซูตรัส “ลงจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น พวกโจรแย่งชิงเสื้อผ้าของเขา ทุบตีเขา แล้วทิ้งเขาไว้ในสภาพที่เกือบจะตายแล้ว  เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินมาตามทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นแล้วก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง  คนเลวีก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง"  อุปมานี้ไม่ใช่ภาพที่จินตนาการขึ้นมาเอง แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่ประชาชนทราบกันทั่วไป  ปุโรหิตและคนเลวีที่เดินผ่านไปอีกฝากหนึ่งนั้นอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังฟังพระดำรัสของพระคริสต์อยู่  {DA 499.1}                            

ในการเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค คนเดินทางจะต้องผ่านส่วนหนึ่งของถิ่นทุรกันดารของแผ่นดินยูเดีย  ทางเดินขรุขระนำไปยังหุบเขาเปลี่ยวชุกชุมด้วยโจรผู้ร้ายและมักเป็นจุดเกิดเหตุที่รุนแรง  ตรงบริเวณนี้เองที่คนเดินทางถูกปล้น ถูกปลดเอาของมีค่าทุกอย่าง เขาบาดเจ็บและฟกช้ำและนอนในสภาพปางตายข้างทาง  ขณะที่เขานอนอยู่ข้างทางนั้นมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินผ่านมา  ปุโรหิตเพียงแต่ชำเลืองมองคนบาดเจ็บ  จากนั้นมีเลวีคนหนึ่งเดินผ่านมา  ชาวเลวีคนนี้อยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น จึงหยุดและมองดูคนที่ทุกข์ทรมานรายนี้  เขารู้ดีว่าควรจะทำอะไร แต่เป็นหน้าที่ที่เขาไม่เห็นชอบด้วย  เขาคิดในใจว่าไม่น่าเดินผ่านมาทางนี้เลย เพื่อจะไม่ต้องเห็นชายบาดเจ็บคนนี้  เขาแก้ตัวว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องของเขา  {DA 499.2}                    

ชายทั้งสองนี้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์และอ้างว่าเป็นผู้สอนสั่งอธิบายพระคัมภีร์  พวกเขาเป็นชนชั้นที่ได้รับเลือกจากท่ามกลางประชาชนให้เป็นตัวแทนพิเศษของพระเจ้า  พวกเขาจะต้อง "มีใจเมตตากรุณาคนโง่และคนหลงผิด"  ฮีบรู 5 ข้อที่ 2 TKJV เพื่อเขาจะนำมนุษย์ไปสู่ความเข้าใจความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษยชาติ  งานที่ทรงบัญชาให้พวกเขาทำนั้นเป็นพระราชกิจเดียวกันกับที่พระเยซูทรงบรรยายว่าเป็นของพระองค์เมื่อตรัสว่า  “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้  เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย  ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ"  ลูกา 4 ข้อที่ 18  {DA 499.3}            

ทูตแห่งฟ้าสวรรค์มองความทุกข์ของสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าที่อยู่บนโลกและพวกเขาพร้อมที่จะร่วมมือกับมนุษย์เพื่อช่วยคนที่ถูกกดขี่และทนทุกข์ทรมาน  พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ปุโรหิตและคนเลวีเดินทางมาตามเส้นทางที่คนบาดเจ็บนอนอยู่ เพื่อให้พวกเขาได้มองเห็นว่าคนเจ็บต้องการความเมตตาและความช่วยเหลือ  ชาวสวรรค์ทั้งปวงคอยเฝ้ามองว่าหัวใจของคนเหล่านี้จะเมตตาสงสารความทุกข์ยากของมนุษย์หรือไม่  พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นผู้สั่งสอนชาวฮีบรูในถิ่นทุรกันดารจากเสาเมฆและเสาไฟ พระองค์ทรงสอนบทเรียนที่แตกต่างจากที่ประชาชนทั้งหลายได้รับจากปุโรหิตและครูทั้งหลายของพวกเขา  กฎแห่งความเมตตาที่ทรงจัดเตรียมให้นั้นครอบคลุมไปจนถึงสัตว์ชั้นต่ำที่แสดงความต้องการหรือความทุกข์ของมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้  พระเจ้าประทานแนวทางให้แก่ชนชาติอิสราเอลโดยผ่านทางโมเสสว่า "เมื่อเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนเขาให้ได้  เมื่อเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าเมินเฉย จงช่วยเขายกมันขึ้น"  อพยพ 23 ข้อที่ 4, 5  แต่ในกรณีชายที่ถูกโจรประทุษร้ายจนบาดเจ็บพระเยซูทรงนำเสนอเพื่อให้เห็นว่าพี่น้องคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส  หัวใจของพวกเขาจะต้องเมตตาสงสารคนนั้นมากยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานที่มีไว้ใช้งานตัวหนึ่งเสียอีก!  ข่าวสารนี้ได้ทรงโปรดประทานผ่านโมเสสว่าพระเจ้าของพวกเขา "ทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่าเกรงกลัว” “ประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและแม่ม่าย และทรงรักคนต่างด้าว”  ดังนั้นพระองค์จึงทรงบัญชาว่า “จงรักคนต่างด้าว” “จงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง"  เฉลยธรรมบัญญัติ 10 ข้อที่ 17-19; เลวีนิติ 19 ข้อที่ 34  {DA 500.1}                   

โยบเคยบอกไว้ว่า "คนต่างถิ่นมิได้ค้างแรมข้างถนน ข้าเปิดประตูบ้านแก่คนเดินทาง"  และเมื่อทูตสวรรค์สองคนที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์มาเมืองโสโดม โลทก้มกราบลงกับพื้นและพูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง"  โยบ 31 ข้อที่ 32; ปฐมกาล 19 ข้อที่ 2  ปุโรหิตและคนเลวีคุ้นเคยกับบทเรียนเหล่านี้ดี แต่พวกเขาไม่ได้นำมาลงมือปฏิบัติในชีวิต  พวกเขาผ่านการฝึกในโรงเรียนระดับชาติที่พวกเขาภาคภูมิใจอย่างโอหัง จึงทำให้พวกเขาเห็นแก่ตัว จิตใจคับแคบและเก็บตัวไม่คบผู้อื่น  เมื่อพวกเขามองคนที่นอนบาดเจ็บอยู่ก็แยกแยะไม่ออกว่าเป็นคนชาติเดียวกันหรือไม่  พวกเขาคิดว่าอาจเป็นชาวสะมาเรียจึงเมินหน้าหนีไป  {DA 500.2}                            

ตามพระดำรัสที่พระคริสต์ทรงบรรยายไว้นั้น ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติมองไม่เห็นว่ามีความแตกต่างอันใดระหว่างการกระทำของพวกเขากับคำสอนที่เขาได้รับมาในเรื่องข้อกำหนดของพระบัญญัติ  แต่บัดนี้พระองค์ทรงนำเสนอให้เขาเห็นอีกภาพหนึ่ง  {DA 503.1}                

ชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินผ่านมาทางคนที่นอนบาดเจ็บอยู่ และแล้วเมื่อเขามองเห็นชายคนนั้น เขาก็รู้สึกสงสาร  เขาไม่ได้ตั้งแง่สงสัยว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ  ชายสะมาเรียรู้ดีแก่ใจว่าหากตัวเขาเป็นยิว และหากสภาพของเขาทั้งสองสลับที่กัน ชายนั้นจะต้องถ่มน้ำลายรดหน้าเขาและเดินผ่านไปด้วยความเหยียดหยาม  แต่เขาไม่ได้ลังเลเพราะเรื่องเหล่านี้  เขาไม่ได้คิดว่าตนเองอาจจะได้รับอันตรายรุนแรงขณะรีรออยู่บริเวณนั้น  สิ่งที่เขามองเห็นนั้นเป็นการเพียงพอแล้วคือมีคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือและตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก  เขาถอดเสื้อคลุมของเขาเองออกมาคลุมผู้บาดเจ็บ  เอานำน้ำมันและเหล้าองุ่นที่เตรียมไว้ใช้ระหว่างการเดินทางออกมาใช้รักษาและทำให้ชายที่บาดเจ็บสดชื่นขึ้น  เขายกชายนั้นขึ้นหลังลาและเดินทางไปอย่างช้าๆ ด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ชายแปลกหน้าต้องกระทบกระเทือนเพิ่มความเจ็บปวด  เขานำคนนั้นมายังโรงแรมและดูแลเขาตลอดคืน คอยเฝ้าเขาอย่างเอาใจใส่  ในวันรุ่งขึ้นเมื่อชายที่บาดเจ็บมีอาการดีขึ้น ชายชาวสะมาเรียจึงเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป  แต่ก่อนออกเดินทาง เขาฝากชายนี้ไว้กับผู้ดูแลของโรงแรม ชำระค่าใช้จ่ายและฝากเงินล่วงหน้าไว้  แต่เขาก็ยังไม่พอใจกับการที่ได้ทำเพียงเท่านี้ เขายังเตรียมการล่วงหน้าไว้สำหรับความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เขาบอกกับเจ้าของโรงแรมว่า "ช่วยรักษาเขาด้วย สำหรับเงินที่ต้องเสียเกินกว่านี้จะใช้ให้เมื่อกลับมา " {DA 503.2}                      

เมื่อพระเยซูทรงเล่าเรื่องนี้จบ พระองค์ทรงเพ่งพระเนตรมายังผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ ด้วยการชำเลืองมองนั้นดูเสมือนหนึ่งว่าทรงพินิจอ่านจิตวิญญาณของเขาและ พระองค์ตรัสว่า "ท่านเห็นว่าในสามคนนั้นคนไหนถือได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น? "  ลูกา 10 ข้อที่ 36  {DA 503.3}      

ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติไม่ยอมแม้แต่จะให้คำว่าสะมาเรียออกมาจากริมฝีปากของเขา และเขาตอบว่า "คนนั้นแหละที่แสดงความเมตตาต่อเขา”  พระเยซูตรัสว่า "ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น" {DA 503.4}                   

ด้วยประการฉะนี้คำถามที่ว่า "ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?" นั้นพระเยซูทรงตอบไปแล้วตลอดกาล  พระคริสต์ทรงสำแดงให้เห็นว่าเพื่อนบ้านของเราไม่ได้หมายถึงบุคคลที่ร่วมเป็นหนึ่งกับเราในคริสตจักรหรือในความเชื่อ  ความเป็นเพื่อนบ้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ สีผิวหรือชนชั้น  เพื่อนบ้านของเราคือทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือของเรา  เพื่อนบ้านของเราคือจิตวิญญาณทุกดวงที่ถูกศัตรูทุบตีจนบาดเจ็บและฟอกช้ำ  ทุกคนที่เป็นสมบัติของพระเจ้าคือเพื่อนบ้านของเรา  {DA 503.5}                   

ในเรื่องของชาวสะมาเรียผู้ใจดี พระเยซูประทานให้เห็นภาพของตัวพระองค์เองและพันธกิจของพระองค์  มนุษย์ถูกซาตานหลอก ทุบตีและปล้น และปล่อยทิ้งไว้ให้พินาศ  แต่พระองค์ทรงเวทนาสงสารสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ชองเรา เพื่อเสด็จมาช่วยกู้เราให้รอด  พระองค์ทรงพบเราปางตายและทรงเข้ามาช่วยกู้เราให้รอด  พระองค์ทรงรักษาบาดแผลของเรา  ทรงปกคลุมเราด้วยเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม ทรงเปิดสถานที่หลบภัยเพื่อให้เราปลอดภัยและทรงจัดเตรียมให้เราอย่างเต็มที่โดยพระองค์เองทรงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด  พระองค์ทรงสิ้นพรชนม์เพื่อช่วยเราให้รอด ประทานพระองค์เองเป็นแบบอย่างเพื่อบอกผู้ติดตามพระองค์ทุกคนให้ทราบว่า "สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ จงรักกันและกัน"  “เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น"  ยอห์น 15 ข้อที่ 17; 13 ข้อที่ 34  {DA 503.6}                          

คำถามของผู้เชี่ยวชาญบัญญัติที่ทูลถามพระองค์คือ "ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร?”  และพระเยซูผู้ทรงตระหนักว่าความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์เป็นผลรวมของความชอบธรรมตรัสว่า "จงไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต" ชาวสะมาเรียปฏิบัติตามแนวคิดของหัวใจที่เมตตาและเปี่ยมด้วยรัก และด้วยการกระทำนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า  พระคริสต์บัญชาผู้เชี่ยวชาญบัญญัติว่า "ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น"  พระเจ้าทรงคาดหวังให้เหล่าบุตรของพระองค์ลงมือทำมิใช่แค่พูดเพียงอย่างเดียว  "ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์"  1 ยอห์น 2 ข้อที่ 6  {DA 504.1}          

บทเรียนสำหรับโลกในทุกวันนี้มีความจำเป็นไม่น้อยไปกว่าสมัยที่พระโอษฐ์ของพระเยซูตรัสบทเรียนดังกล่าวข้างต้น ความเห็นแก่ตัวและกฎระเบียบที่เยือกเย็นซึ่งเกือบจะทำให้ไฟแห่งความรักดับไปและขจัดพระคุณของพระเจ้าที่ควรจะทำให้ลักษณะอุปนิสัยมีกลิ่นหอมหวาน  คนมากมายที่อ้างพระนามพระองค์มองไม่เห็นความจริงที่ว่าคริสเตียนคือผู้แทนของพระคริสต์ ในทุกแห่งที่เราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว ในละแวกเพื่อนบ้าน ในคริสตจักรและในที่ใดก็ตาม หากปราศจากการกระทำที่เสียสละตนเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นแล้ว ถึงแม้เราจะแสดงตัวว่านับถือศาสนาใดก็ตามเราก็ไม่ใช่คริสเตียน  {DA 504.2}                    

พระคริสต์ทรงเชื่อมผลประโยชน์ของพระองค์เข้ากับของมนุษยชาติ และพระองค์ทรงเชิญชวนให้เราร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์ในการช่วยมนุษยชาติให้รอด  “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ” พระองค์ตรัส "ก็จงให้เปล่าๆ"  มัทธิว 10 ข้อที่ 8  บาปเป็นความชั่วที่ร้ายกาจที่สุดและเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสงสารและช่วยคนบาป  มีคนมากมายทำผิดและรู้สึกได้ถึงความอับอายและความเขลาของตน  พวกเขาหิวกระหายคำหนุนใจ พวกเขามองเห็นความผิดและการกระทำผิด จนกระทั่งถูกผลักไสไล่ส่งไปอย่างสิ้นหวัง  หากเราเป็นคริสเตียน เราจะต้องไม่ละเลยจิตวิญญาณเหล่านี้  เราจะต้องไม่เดินเลี่ยงไปอีกฟากหนึ่ง และทำตัวเหินห่างไปให้ไกลที่สุดจากผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา  เมื่อเราเห็นคนตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าเกิดจากความทุกข์ยากหรือจากบาป เราจะต้องไม่พูดเป็นอันขาดว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเรา  {DA 504.3}                       

"พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยน" กาลาเทีย 6 ข้อที่ 1  ด้วยความเชื่อและคำอธิษฐาน จงขับไล่อำนาจของศัตรูให้ถอยไปเสีย  จงกล่าววาจาแห่งความเชื่อและกำลังใจเพื่อเป็นน้ำมันชโลมรักษาผู้ที่ฟกช้ำและบาดเจ็บ  คนจำนวนมากหมดสติและท้อถอยหมดกำลังใจในการปล้ำสู้ดิ้นรนอันยิ่งใหญ่ของชีวิตทั้งๆ ที่คำพูดให้กำลังใจเพียงหนึ่งคำอาจจะหนุนให้เขาเข้มแข็งและเอาชนะได้  ชออย่าให้เราเดินผ่านจิตวิญญาณที่ทุกข์ใจโดยไม่ได้หาช่องทางที่จะปลอบประโลมเขาเหมือนเช่นที่เราเคยได้รับความประโลมใจจากพระเจ้า  {DA 504.4}                

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การกระทำให้หลักการของพระบัญญัติสำเร็จ โดยหลักการนี้ถูกแสดงออกมาให้เห็นเป็นภาพตัวอย่างในเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีแลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในชีวิตของพระเยซู  พระลักษณะนิสัยของพระองค์เปิดเผยให้เห็นถึงความสำคัญที่แท้จริงของพระบัญญัติและแสดงให้เห็นว่าการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองมีความหมายอย่างไร  เมื่อบุตรทั้งหลายของพระเจ้าปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยความเมตตา ความปรานี และความรักแล้ว พวกเขาก็รับรู้ถึงคุณลักษณะของพระบัญญัติในสวรรค์  พวกเขากำลังเป็นพยานให้แก่ความจริงที่ว่า "ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ดีพร้อมและฟื้นฟูชีวิต" สดุดี 19 ข้อที่ 7  และใครก็ตามที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรักนี้ก็กำลังทำผิดพระบัญญัติที่เขาแสดงออกว่าเคารพนับถือ  เพราะจิตวิญญาณที่เราแสดงออกต่อพี่น้องของเราจะเป็นตัวเปิดโปงให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่เรามีต่อพระเจ้า  ความรักของพระเจ้าในใจของเราเป็นน้ำพุแห่งความรักเดียวที่มอบให้แก่เพื่อนบ้านได้ "ถ้าใครกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารักพระเจ้า’ แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้" ท่านที่รักทั้งหลาย "ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา" {DA 505.1}                      

**********