บทที่ 58

“ลาซารัส ออกมาเถิด"

ลูกา 10 ข้อที่ 38-42; ยอห์น 11 ข้อที่ 1-44


ลาซารัสแห่งเมืองเบธานีเป็นหนึ่งในบรรดาสาวกที่มีศรัทธาแน่วแน่มากที่สุดคนหนึ่งของพระคริสต์  ตั้งแต่แรกที่เขาพบกับพระคริสต์ ความเชื่อของเขาในพระองค์ก็เข้มแข็ง ความรักที่เขามีต่อพระองค์นั้นลึกซึ้งและพระผู้ช่วยให้รอดทรงรักเขามาก  พระคริสต์ทรงประกอบกิจอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อลาซารัส  พระผู้ช่วยให้รอดทรงอวยพรทุกคนที่ขอให้พระองค์ช่วย พระองค์ทรงรักครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด แต่สำหรับบางคนพระองค์ทรงผูกพันด้วยความสัมพันธ์อย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ  พระหทัยของพระองค์ทรงสานความผูกพันอย่างแนบแน่นกับครอบครัวนี้ที่อยู่ในหมู่บ้านเบธานี และเพื่อสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวพระองค์ได้ประกอบกิจที่ประเสริฐที่สุด  {DA 524.1}    

พระเยซูทรงพักผ่อนที่บ้านของลาซารัสเสมอ  พระผู้ช่วยให้รอดไม่มีบ้านของพระองค์เอง  พระองค์ทรงพึ่งไมตรีจิตของมิตรสหายและของพวกสาวก และบ่อยครั้งเมื่อทรงอิดโรยและกระหายหามิตรภาพของมนุษย์ พระองค์ก็ทรงหลบไปอยู่ในครอบครัวที่เงียบสงบแห่งนี้ด้วยความยินดี ทรงออกไปจากความระแวงสงสัยและความอิจฉาของพวกฟาริสีที่โกรธแค้น  ณ ที่นี่พระองค์ทรงพบกับการต้อนรับที่จริงใจและมิตรภาพอันบริสุทธิ์และฝักใฝ่ศาสนา  ณ ที่นี่พระองค์ตรัสได้อย่างตรงไปตรงมาและอิสระเต็มที่ด้วยทรงทราบดีว่าพระดำรัสของพระองค์จะเป็นที่เข้าใจและถูกเก็บรักษาไว้ราวกับเป็นสมบัติอันมีคุณค่า   {DA 524.2}

พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเห็นคุณค่าของบ้านที่เงียบสงบและผู้ฟังที่ใส่ใจ  พระองค์ทรงปรารถนาความอ่อนโยน ความเอื้อเฟื้ออารีและความรักใคร่ของมนุษย์  คนทั้งหลายที่คอยฟังคำสอนจากสวรรค์ที่พระองค์ทรงพร้อมที่จะสอนอยู่เสมอนั้นจะได้รับพระพรยิ่งใหญ่  ในขณะที่มหาชนติดตามพระคริสต์ผ่านท้องทุ่งกว้างใหญ่ พระองค์ทรงเปิดเผยความงดงามของโลกธรรมชาติให้แก่พวกเขา  พระองค์ทรงหาทางเปิดตาแห่งการเข้าใจของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเห็นว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงค้ำจุนโลกอย่างไร  เพื่อปลุกให้พวกเขาชื่นชมพระคุณแห่งความดีและความเมตตา พระองค์ทรงหันความสนใจของผู้ฟังให้เข้าหาน้ำค้างที่หลั่งลงมาอย่างนุ่มนวล ฝนที่ตกลงมาอย่างแผ่วเบา และแสงแดดที่ส่องมาอย่างเจิดจ้า ทั้งหมดนี้พระองค์ประทานให้อย่างเท่าเทียมกันแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว  พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าทรงห่วงใยถึงสภาพของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมามากเพียงใด  แต่มหาชนเข้าใจได้ช้าและในบ้านที่เบธานี พระคริสต์ทรงได้รับการพักผ่อนจากความขัดแย้งที่น่าเบื่อหน่ายในชีวิตที่มีเพื่อประชาชน  ณ ที่นี่ พระองค์ทรงเปิดเผยบทเรียนของพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมให้แก่คนที่เปิดใจฟังด้วยความซาบซึ้ง  ในการสนทนาซักถามอย่างเป็นการส่วนตัวเหล่านี้พระองค์ทรงเปิดเผยต่อผู้ฟังของพระองค์ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ไม่ทรงดำริที่จะตรัสกับมหาชนที่หลากหลาย  พระองค์ไม่ได้ใช้อุปมาในการตรัสกับมิตรสหายของพระองค์  {DA 524.3}                

ขณะที่พระคริสต์ประทานบทเรียนอันประเสริฐของพระองค์อยู่นั้น มารีย์นั่งฟังด้วยความเคารพและอุทิศตนแทบพระบาทของพระองค์  มีอยู่ครั้งหนึ่งมารธาที่ยุ่งยากใจกับการเตรียมอาหารจึงได้ไปเข้าเฝ้าพระคริสต์ ทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ปรนนิบัติอยู่คนเดียว? ขอพระองค์สั่งน้องให้มาช่วยข้าพระองค์ด้วย"  นี่เป็นครั้งแรกที่พระคริสต์เสด็จไปที่เบธานี  พระผู้ช่วยให้รอดและสาวกของพระองค์เพิ่งเดินทางมาจากเมืองเยรีโค เป็นการเดินทางที่ยากลำบาก  มารธากระวนกระวายใจกับการจัดเตรียมเพื่อให้ความสะดวกสบายแก่พวกเขา และด้วยความวิตกกังวลเธอลืมความสุภาพที่ต้องแสดงออกเพื่อถวายพระอาคันตุกะของเธอ  พระเยซูตรัสตอบเธอด้วยพระดำรัสอันอ่อนโยนและอดทนว่า "มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน  สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ก็เลือกเอาส่วนที่ดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้"  มารีย์สะสมพระวจนะอันมีค่าจากริมพระโอษฐ์ของพระผู้ช่วยให้รอดไว้ในใจของเธอ เป็นพระดำรัสที่มีค่าสำหรับเธอมากกว่าอัญมณีราคาแพงที่สุดในโลก  {DA 525.1}              

"สิ่งเดียว" ที่มาร์ธาต้องการคือจิตใจที่อุทิศถวายอย่างสงบ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ในอนาคต และพระคุณที่จำเป็นเพื่อการเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณ   เธอต้องกังวลในสิ่งที่ไม่ยั่งยืนให้น้อยลงและใส่ใจกับสิ่งที่ยั่งยืนให้มากขึ้น พระเยซูจะทรงสอนเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์ให้คว้าทุกโอกาสเพื่อได้มาซึ่งปัญญาในเรื่องความรอด  พระราชกิจของพระคริสต์ต้องการคนทำงานที่มีความเอาใจใส่และกระฉับกระเฉง  มีทุ่งกว้างมากมายสำหรับมารธาที่มีใจจดจ่อกับการทำงานอย่างกระตือรือร้นในด้านศาสนา  แต่ขอให้พวกเขานั่งพร้อมกับมารีย์ที่แทบพระบาทของพระเยซูเสียก่อน  จงให้พระคุณของพระคริสต์ชำระความมานะอุตสาหะ ความฉับไวและพละกำลังให้บริสุทธิ์เสียก่อนแล้วพลังอำนาจของชีวิตก็จะเป็นพลังอำนาจที่ระงับไว้ไม่อยู่เพื่อประกอบการดี  {DA 525.2}        

ความโศกเศร้าได้มายังบ้านอันสงบสุขที่พระเยซูทรงใช้พักผ่อน  ลาซารัสป่วยกะทันหันและพี่สาวส่งข่าวไปยังพระผู้ช่วยให้รอดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่"  พวกเขาเห็นว่าโรคที่จู่โจมเข้าหาน้องชายนั้นรุนแรง  แต่พวกเขามั่นใจว่าพระคริสต์ทรงรักษาได้ทุกโรค  พวกเขาเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงเห็นใจความทุกข์ยากของพวกเขา  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ขอร้องอย่างเร่งด่วนเพื่อขอให้พระองค์เสด็จมาในทันที เพียงส่งแต่ข้อความปรับทุกข์ไปเท่านั้นว่า "คนที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่"  พวกเขาคิดว่าพระองค์น่าจะตอบสนองคำทูลขอของพวกเขาและเสด็จมาอยู่กับพวกเขาทันทีที่ทรงมาถึงหมู่บ้านเบธานี  {DA 525.3}

ด้วยใจจดใจจ่อพวกเขารอคอยคำตอบจากพระเยซู  ตราบใดที่ประกายแห่งชีวิตยังคงเหลืออยู่ในน้องชาย พวกเขายังคงคอยเฝ้าอธิษฐานรอการเสด็จมาของพระเยซู  แต่ผู้สื่อข่าวกลับมาโดยไม่มีพระองค์มาด้วย  แต่กระนั้นยังฝากข้อความมาว่า "โรคนี้จะไม่ถึงตาย" และพวกเขายึดมั่นในความหวังว่าลาซารัสจะมีชีวิตอยู่ต่อไป  พวกเขาพูดถ้อยคำอ่อนโยนแห่งความหวังและกำลังใจให้กับคนป่วยที่แทบไม่รู้สึกตัวแล้ว  เมื่อลาซารัสตาย พวกเขาก็ผิดหวังอย่างขมขื่น แต่พวกเขารู้สึกถึงพระคุณของพระคริสต์ที่ค้ำชูพวกเขาไว้อยู่ และพระคุณนี้ปกป้องพวกเขาจากการครุ่นคิดและกล่าวโทษพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 526.1}                   

เมื่อพระคริสต์ทรงได้ยินข่าวนี้แล้ว สาวกคิดว่าพระองค์ทรงรับข่าวไว้ด้วยความเย็นชา  พระองค์ไม่ทรงแสดงออกถึงความเสียใจตามที่พวกเขาคาดไว้  ขณะที่ทอดพระเนตรพวกเขาอยู่ พระองค์ตรัสว่า "โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้”  เป็นเวลาสองวันพระองค์ยังประทับอยู่ในสถานที่ที่พระองค์ประทับอยู่นั้น  ความล่าช้านี้เป็นปริศนาสำหรับสาวก  พวกเขาคิดว่าการทรงปรากฏอยู่ในบ้านของคนที่เจ็บป่วยอยู่นั้นจะเป็นการปลอบประโลมได้ดีสักเพียงไร! ความรักอันแรงกล้าของพระองค์ที่มีต่อครอบครัวนี้ที่หมู่บ้านเบธานีเป็นที่รู้จักกันดีในท่ามกลางสาวกและพวกเขารู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ไม่ทรงตอบสนองกับข้อความอันน่าเศร้าที่ว่า "คนที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่"  {DA 526.2}                   

ในช่วงสองวันนั้นดูเหมือนพระคริสต์ไม่ทรงคำนึงถึงข่าวสารที่ได้รับเพราะพระองค์ไม่ได้ตรัสถึงลาซารัสเลย  สาวกทั้งหลายนึกถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นผู้เบิกทางของพระเยซู  พวกเขาสงสัยว่าเหตุใดพระเยซูผู้ทรงมีฤทธิ์อำนาจกระทำการอัศจรรย์อันน่าพิศวง จึงปล่อยให้ยอห์นอยู่ในคุกอย่างหดหู่ร่วงโรยและต้องตายอย่างโหดร้าย  ด้วยอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำไมพระคริสต์จึงไม่ช่วยชีวิตของยอห์นเล่า?  เป็นคำถามที่พวกฟาริสีมักนำเสนอขึ้นมาเพื่อใช้เป็นคำโต้เถียงที่แย้งไม่ได้ต่อคำอ้างชองพระคริสต์ที่ว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดทรงเตือนสาวกของพระองค์แล้วถึงเรื่องของการทดลอง ความสูญเสียและการกดขี่ข่มเหง  พระองค์จะทรงทอดทิ้งพวกเขาในการทดลองหรือไม่?  บางคนตั้งแง่สงสัยว่าพวกเขาเข้าใจพันธกิจของพระองค์ผิดไป  ทุกคนทุกข์ใจมาก  {DA 526.3}                        

หลังจากรอสองวันแล้ว พระเยซูตรัสกับสาวกว่า "ให้เรากลับเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีก"  สาวกทวงถามว่าหากพระเยซูจะไปแคว้นยูเดีย ทำไมพระองค์จึงรอตั้งสองวัน  แต่บัดนี้ความห่วงกังวลในตัวพระคริสต์และในตัวพวกเขาเองขึ้นมาเป็นอันดับสูงสุดในสมองของพวกเขา  พวกเขามองไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากภัยอันตรายในเส้นทางที่พระอาจารย์ของพวกเขากำลังจะดำเนินไป  "พระอาจารย์" พวกเขาทูล "เมื่อเร็วๆ นี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ?”  พระเยซูตรัสตอบว่า "กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ?’"  เราอยู่ภายใต้การนำทางของพระบิดาของเรา ตราบใดที่เราทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ชีวิตของเราก็ปลอดภัย  สิบสองชั่วโมงของวันนี้ยังไม่สิ้นสุด  เรากำลังเข้ามายังส่วนวันที่เหลือของเรา แต่ในขณะที่เวลาส่วนนี้ยังคงเหลืออยู่ เราปลอดภัยดี  {DA 526.4}                         

"ถ้าใครเดินตอนกลางวัน” พระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “เขาจะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้"  ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยของพระเจ้า ผู้ดำเนินตามเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้จะไม่สะดุดและล้มลง  แสงสว่างจากพระวิญญาณแห่งการทรงนำของพระเจ้าจะทำให้เขาเข้าใจหน้าที่ของตนได้อย่างชัดเจนและจะนำเขาไปอย่างถูกต้องจนสิ้นสุดงานของเขา  “แต่ถ้าใครเดินตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา”  ผู้ที่เดินในเส้นทางที่เขาเลือกด้วยตัวเองโดยที่ไม่ได้รับการทรงเรียกของพระเจ้าก็จะสะดุด  สำหรับเขากลางวันกลายเป็นกลางคืนและไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนเขาก็ไม่ปลอดภัย  {DA 527.1}                         

พระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงตรัสกับพวกเขาว่า ‘ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว แต่เรากำลังจะไปปลุกให้เขาตื่น’’"  “ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว”  เป็นพระดำรัสที่จับใจเพียงไร!  เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจเพียงไร!  ความคิดถึงแต่เรื่องภัยอันตรายที่พระอาจารย์จะต้องประสบจากการไปกรุงเยรูซาเล็มทำให้พวกสาวกแทบจะลืมครอบครัวที่ประสบกับการสูญเสียที่หมู่บ้านเบธานี  แต่สำหรับพระคริสต์แล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น  สาวกรู้สึกว่าถูกตำหนิ  พวกเขาผิดหวังเพราะพระคริสต์ไม่ทรงตอบสนองต่อข่าวที่ได้รับในทันที  พวกเขาถูกทดลองให้คิดว่าพระองค์ไม่ทรงมีความรักอันอ่อนโยนต่อลาซารัสและพี่สาวและน้องสาวของเขาอย่างที่พวกเขาเข้าใจว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น หากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วพระองค์ก็น่าจะเร่งกลับไปพร้อมกับผู้นำข่าวสารมาทูลพระองค์  แต่พระดำรัสที่ว่า "ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว" ปลุกความรู้สึกถูกต้องขึ้นมาในใจของพวกเขา  พวกเขามั่นใจว่าพระคริสต์ไม่ทรงลืมมิตรสหายคนหนึ่งที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน  {DA 527.2}                       

"พวกสาวกทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะมีอาการดีขึ้น’  พระเยซูตรัสถึงการตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน"  พระคริสต์ทรงเอาการนอนหลับเป็นสัญลักษณ์แทนความตายให้กับลูกๆ ของพระองค์ที่เชื่อ  ชีวิตของพวกเขาซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้าและจนถึงวันที่เสียงแตรครั้งสุดท้ายจะดังขึ้น ผู้ที่ตายไปแล้วจะนอนหลับในพระองค์  {DA 527.3}                

"ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาตรงๆ ว่า ‘ลาซารัสตายแล้ว และเพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ อย่างไรก็ดี ให้พวกเราไปหาเขากัน เถิด’”  โธมัสมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความตายที่กำลังคอยพระอาจารย์อยู่ถ้าพระองค์จะเสด็จไปยังแคว้นยูเดีย แต่เขาก็รวบรวมจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญทั้งหมดของตนเอง แล้วพูดกับสาวกคนอื่นๆ ว่า "ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์"  เขารู้ดีแก่ใจถึงความเกลียดชังของชาวยิวที่มีต่อพระคริสต์  พวกเขาตั้งเป้ากำหนดความตายของพระองค์ แต่เรื่องนี้ยังทำให้สำเร็จไม่ได้ เพราะเวลาที่ทรงจัดสรรไว้ให้พระองค์ยังมีเหลือ  ในช่วงเวลานี้ทูตสวรรค์บนสวรรค์ยังคอยคุ้มครองพระเยซูไว้อยู่ และแม้แต่ในภูมิภาคของแคว้นยูเดียซึ่งพวกธรรมาจารย์กำลังวางแผนว่าจะจับพระองค์และนำไปประหารอย่างไรนั้นจะไม่มีภัยอันตรายที่จะมาถึงพระองค์ได้  {DA 527.4}                

สาวกประหลาดใจกับพระดำรัสของพระคริสต์เมื่อพระองค์ตรัสว่า "ลาซารัสตายแล้ว และ. . . .เราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น"  พระผู้ช่วยให้รอดเองทรงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงบ้านของมิตรสหายที่กำลังระทมทุกข์อยู่หรือ?  เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามารีย์และมารธาและลาซารัสที่กำลังจะตายถูกปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ตามลำพัง  แต่ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว  พระคริสต์ทรงมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดและหลังจากลาซารัสตาย พี่และน้องทั้งสองผู้โศกเศร้าก็ได้รับการค้ำจุนจากพระคุณของพระองค์ พระเยซูทรงเห็นความเศร้าโศกของหัวใจที่แตกสลายในขณะที่ลาซารัสดิ้นรนกับศัตรูอันแข็งแกร่งซึ่งก็คือความตาย  พระองค์ทรงสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจในขณะที่พระองค์ตรัสกับสาวกว่า "ลาซารัสตายแล้ว"  แต่พระราชดำริของพระคริสต์ไม่ทรงมีไว้ให้กับคนที่พระองค์ทรงรักที่หมู่บ้านเบธานีเท่านั้น พระองค์ยังทรงคำนึงถึงการอบรมสอนสาวกของพระองค์  พวกเขาจะต้องเป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกเพื่อพระพรของพระบิดาจะโอบกอดทุกคนไว้  เพื่อเห็นแก่พวกเขาพระองค์ทรงอนุญาตให้ลาซารัสตาย  หากพระองค์ทรงทำให้เขาหายจากความเจ็บป่วยและกลับแข็งแรงดี การอัศจรรย์อันเป็นหลักฐานเชิงบวกมากที่สุดเกี่ยวกับพระลักษณะความเป็นพระเจ้าของพระองค์ก็จะไม่ได้เกิดขึ้น  {DA 528.1}                      

หากพระคริสต์ประทับอยู่ในห้องคนป่วย ลาซารัสจะไม่ตาย เพราะซาตานจะไม่มีอำนาจเหนือเขา  ความตายไม่มีทางเล็งลูกศรไปที่ลาซารัสขณะที่เขาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ประทานชีวิต  ดังนั้นพระคริสต์ทรงยังคงประทับอยู่ห่างออกไป  พระองค์ทรงปล่อยให้ศัตรูแสดงอำนาจของมัน เพื่อพระองค์จะขับไล่มันให้ถอยออกไปในฐานะศัตรูที่ถูกปราบ  พระองค์ทรงอนุญาตให้ลาซารัสผ่านเข้าไปอยู่ภายใต้การครอบงำของความตาย และพี่น้องทั้งคู่ได้เห็นลาซารัสฝังในหลุมศพ  พระคริสต์ทรงทราบดีว่าในขณะที่พวกเขามองใบหน้าของลาซารัสที่ตายแล้ว ความเชื่อของพวกเขาในพระผู้ไถ่ของพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างรุนแรง  แต่พระองค์ทรงทราบดีว่าเนื่องจากการปล้ำสู้ของพวกเขาในเวลานี้ ความเชื่อของพวกเขาจะส่องประกายด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พระองค์ทรงร่วมอยู่ในความทุกข์ทรมานที่พวกเขากำลังประสบอยู่  ความล่าช้าไม่ได้ทำให้ความรักของพระองค์น้อยลงไปกว่าเดิม แต่พระองค์ทรงทราบว่าสำหรับพวกเขารวมทั้งลาซารัส พระองค์เองและสาวกของพระองค์จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน  {DA 528.2}                  

"เพราะเห็นแก่พวกท่าน" "เพื่อท่านจะได้เชื่อ " สำหรับทุกคนที่ยื่นมือไปสัมผัสพระหัตถ์แห่งการทรงนำของพระเจ้า วินาทีแห่งความท้อแท้ใจมากที่สุดคือเวลาที่การทรงช่วยของพระเจ้าอยู่ใกล้ที่สุด  พวกเขามองย้อนกลับไปด้วยความขอบคุณในส่วนที่มืดมนที่สุดในทางของพวกเขา  “องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทราบว่าจะช่วยคนที่ยำเกรงพระเจ้าพ้นจากการทดลองได้อย่างไร?”  2 เปโตร 2 ข้อที่ 9  จากทุกการล่อลวงและทุกการทดลอง พระองค์จะทรงนำพวกเขาออกมาด้วยความเชื่อที่มั่นคงยิ่งขึ้นและประสบการณ์อันไพบูลย์ยิ่งขึ้น  {DA 528.3}                            

การเสด็จมาหาลาซารัสล่าช้าเช่นนี้ พระคริสต์ทรงมีจุดประสงค์แห่งความเมตตาต่อผู้ที่ยังไม่ได้รับพระองค์  พระองค์ทรงชะลอ เพื่อว่าโดยการทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากความตายพระองค์จะประทานอีกหลักฐานหนึ่งให้แก่ประชาชนที่ไม่เชื่ออย่างดื้อด้านว่าแท้จริงแล้วพระองค์ทรงเป็น “ชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย”  พระองค์ไม่ทรงเต็มใจที่จะละทิ้งความหวังของประชาชนที่เป็นแกะเร่ร่อนยากจนแห่งวงศ์วานอิสราเอล  พระหทัยของพระองค์แตกสลายเพราะการไม่สำนึกผิดของพวกเขา  ด้วยพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะประทานอีกหลักฐานหนึ่งแก่พวกเขาว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพดีดั่งเดิมได้และทรงเป็นพระองค์เดียวเท่านั้นที่นำชีวิตและความเป็นอมตะมาเปิดเผย  นี่จะเป็นหลักฐานที่พวกปุโรหิตไม่มีทางแปลความหมายผิด  นี่เป็นสาเหตุของความตั้งพระทัยที่จะไปยังหมู่บ้านเบธานีล่าช้า การปลุกลาซารัสให้เป็นขึ้นจากความตายเป็นการอัศจรรย์ที่เลิศที่สุด เป็นการเอาตราของพระเจ้าประทับลงบนพระราชกิจของพระองค์ และแสดงสิทธิความเป็นพระเจ้าของพระองค์  {DA 529.1}                            

ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ในการเดินทางของพระเยซูไปยังหมู่บ้านเบธานีนั้น พระองค์ทรงดูแลปรนนิบัติคนป่วยและคนที่ขัดสนอยู่เสมอ  เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงตัวเมือง พระองค์ทรงบัญชาผู้ส่งข่าวไปหาพี่สาวน้องสาวเพื่อแจ้งข่าวของการเสด็จมาถึง  พระคริสต์ไม่ได้เสด็จเข้าบ้านทันที แต่ยังคงอยู่ในที่เงียบๆ แห่งหนึ่งข้างทาง  การที่ชาวยิวจัดงานศพให้แก่มิตรสหายและญาติที่เสียชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระคริสต์  พระองค์ทรงได้ยินเสียงร่ำไห้ของคนรับจ้างไว้ทุกข์และไม่ทรงประสงค์พบกับพี่สาวและน้องสาวในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเช่นนี้  ในบรรดาเพื่อนที่ร่วมไว้ทุกข์ยังมีญาติของครอบครัว  คนเหล่านี้ดำรงตำแหน่งอันสูงศักดิ์ในกรุงเยรูซาเล็ม  ในท่ามกลางคนเหล่านี้ บางคนเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระคริสต์  พระคริสต์ทรงทราบจุดประสงค์ของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงไม่ทรงนำตัวพระองค์เองไปปรากฎในสถานที่เช่นนั้นทันที  {DA 529.2}                         

ข่าวสารที่นำส่งไปถึงมารธานั้นเงียบมากจนคนรอบข้างในห้องไม่ได้ยิน  มารีย์ที่หมกมุ่นอยู่กับความเศร้าโศกก็ไม่ได้ยินเช่นกัน  มารธาลุกทันที วิ่งไปเข้าเฝ้าพระเป็นเจ้า แต่มารีย์คิดว่าเธอวิ่งไปยังที่ฝังลาซารัส มารีย์ยังคงนั่งเป็นทุกข์อยู่กับที่ จมอยู่ในความเศร้าโศกของเธอโดยไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวายใด  {DA 529.3}              

มารธาเร่งรีบไปเข้าเฝ้าพระเยซู หัวใจของเธอปั่นป่วนด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งกัน  ในพระพักตร์ที่แสดงออกถึงอารมณ์ของพระองค์นั้น เธอเห็นได้แต่ความอ่อนโยนและความรักแบบเดียวกับที่อยู่บนพระพักตร์นั้นมาตลอด  เธอไม่ได้ผิดหวังที่เชื่อมั่นในพระองค์ แต่เธอนึกถึงน้องชายสุดที่รักของเธอซึ่งก็เป็นที่รักยิ่งของพระเยซูด้วยความเศร้าใจที่โหมกระหน่ำเข้ามาในใจของเธอเพราะพระคริสต์ไม่เสด็จมาเร็วกว่านี้ แต่กระนั้นก็ยังมีความหวังว่าพระองค์จะทรงทำบางสิ่งเพื่อปลอบโยนพวกเขาได้แม้แต่ในเวลสนี้ เธอจึงกล่าวว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย "  ครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากคนที่ร้องไห้ไว้ทุกข์ พี่น้องทั้งสองพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  {DA 529.4}                            

ด้วยความสงสารอย่างมนุษย์และแบบพระเจ้าพระเยซูทรงมองดูใบหน้าที่เศร้าโศกและห่วงใยของเธอ  มารธาไม่คิดที่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดแสดงออกในคำพูดอันน่าสลดใจ “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย"  แต่เมื่อมองไปยังพระพักตร์นั้นที่เปี่ยมด้วยรัก เธอพูดเพิ่มด้วยว่า  “แต่ข้าพระองค์ก็ทราบว่าไม่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์" {DA 529.5}                

พระเยซูทรงหนุนความเชื่อของเธอ ตรัสว่า "ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก"  คำตอบของพระองค์ไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที  พระองค์ทรงนำความคิดของมารธาออกจากเหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่องการฟื้นฟูน้องชายให้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม และทรงตรึงความคิดนั้นไปยังกาลภายหน้าเมื่อผู้ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง  สิ่งนี้พระองค์ทรงทำเพื่อเธอจะมองเหตุการณ์การเป็นขึ้นมาจากตายของลาซารัสเป็นคำมั่นสัญญาถึงการเป็นขึ้นจากตายของคนชอบธรรมที่ตายแล้ว และเป็นดังการรับรองว่าเหตุการณ์นี้จะสำเร็จได้ด้วยอำนาจของพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 530.1}                      

มารธาตอบว่า "ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา" {DA 530.2}              

พระเยซูยังคงพยายามชี้แนะแนวทางที่แท้จริงให้กับความเชื่อของเธอ พระเยซูทรงประกาศว่า "เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย"  ในพระคริสต์คือชีวิต เป็นชีวิตดั้งเดิม ไม่ได้ยืมมา ไม่ได้รับมาจากที่อื่นใด  “คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ” 1 ยอห์น 5 ข้อที่ 12  ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์คือหลักประกันชีวิตนิรันดร์ของผู้เชื่อ "คนที่วางใจในเรา" พระเยซูตรัส "จะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป  และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?”  ในที่นี้พระคริสต์ทรงมองไปยังเวลาการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์  เมื่อนั้นคนชอบธรรมที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย และคนชอบธรรมที่ยังมีชีวิตจะเปลี่ยนใหม่ให้ไปอยู่สวรรค์โดยไม่ต้องพบกับความตาย  การอัศจรรย์ที่พระคริสต์กำลังจะกระทำด้วยการเรียกลาซารัสให้เป็นขึ้นจากตายจะเป็นตัวแทนของการเป็นขึ้นของคนชอบธรรมทั้งหมดที่ตายแล้ว  พระองค์ทรงเปิดเผยผ่านพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ว่าตัวพระองค์เองทรงเป็นต้นกำเนิดของการเป็นขึ้น  พระองค์ผู้ทรงจะสิ้นพระชนม์ในเร็ววันนี้บนกางเขนทรงยืนอยู่ที่นั่น ในพระหัตถ์ทรงถือกุญแจแห่งความตาย  ทรงพิชิตหลุมศพและทรงยืนยันสิทธิและอำนาจของพระองค์ที่จะประทานชีวิตนิรันดร์  {DA 530.3}

มารธาตอบสนองพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า "เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?"  มารธาตอบว่า "เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก"  เธอไม่เข้าใจความสำคัญทั้งหมดของคำที่พระคริสต์ตรัส แต่เธอสารภาพความเชื่อของเธอในความเป็นพระเจ้าของพระองค์และความเชื่อมั่นของเธอที่ว่าพระองค์ทรงสามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย  {DA 530.4}            

"เมื่อทูลอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า ‘อาจารย์เสด็จมาแล้วและทรงเรียกเธอ’"  เธอส่งข่าวสารของเธอต่ออย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเตรียมพร้อมที่จะจับกุมพระเยซูเมื่อมีโอกาส  เสียงร้องของผู้ร้องไห้ไว้ทุกข์ทำให้คนอื่นไม่ได้ยินคำพูดของเธอ {DA 530.5}                   

เมื่อได้ยินข้อความนั้นมารีย์ก็ลุกขึ้นด้วยความเร่งรีบและวิ่งออกจากห้องไปด้วยสีหน้ากระตือรือร้น  พวกคนร้องไห้ไว้ทุกข์คิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ จึงวิ่งตามเธอไป  เมื่อเธอไปถึงสถานที่ที่พระเยซูทรงกำลังรออยู่เธอก็คุกเข่าลงแทบพระบาทของพระองค์และพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นเทาว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย"  เสียงร้องของคนร้องไห้ไว้ทุกข์ทำให้เธอเจ็บปวด เพราะเธอปรารถนาคำพูดแผ่วเบาไม่กี่คำตามลำพังกับพระเยซู  แต่เธอทราบดีถึงความอิจฉาและความริษยาที่เก็บถนอมไว้ในใจของบางคนที่ต่อต้านพระคริสต์ และเธอก็อดกลั้นไม่แสดงความเศร้าโศกออกมาทั้งหมด  {DA 533.1}                     

"เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์สะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์"  พระองค์ทรงอ่านใจของทุกคนที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน  พระองค์ทรงมองเห็นในหลายๆ คนที่แสดงว่าเศร้าโศกนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง  พระองค์ทรงทราบดีว่าบางคนในกลุ่มซึ่งในขณะนี้แสดงความเสียใจอย่างหน้าไหว้หลังหลอกนั้น อีกไม่นานต่อมาจะวางแผนความตายซึ่งไม่เพียงมอบให้แก่ผู้ทำการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่เท่านั้นแต่จะให้แก่ผู้ที่เป็นขึ้นจากตายด้วย  พระคริสต์ทรงสามารถเปลื้องเสื้อคลุมของความเศร้าโศกที่ทำอย่างเสแสร้งออกไปจากตัวพวกเขาได้  แต่พระองค์ทรงระงับความโกรธแค้นอันชอบธรรมของพระองค์เอาไว้ พระองค์ทรงสามารถตรัสความจริงทั้งหมดได้ แต่พระองค์ไม่ได้ตรัส เพราะคนที่พระองค์ทรงรักซึ่งเชื่อพระองค์ด้วยความจริงใจนั้นกำลังคุกเข่าด้วยความเศร้าโศกอยู่แทบพระบาทของพระองค์  {DA 533.2}  

พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน?  พวกเขาทูลพระองค์ว่า ‘ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด’"  พวกเขาพากันไปที่อุโมงค์ฝังศพ  ช่างเป็นภาพที่โศกเศร้าเพียงไร  ลาซารัสเป็นที่รักมาก และสองพี่น้องของเขาก็ร้องไห้ด้วยหัวใจที่แตกสลายในขณะคนที่เคยเป็นเพื่อนของเขาต่างก็น้ำตาซึมไปกับพี่น้องที่โศกเศร้า  เมื่อคำนึงถึงความทุกข์ยากนี้ของมนุษย์และความจริงที่ว่าเพื่อนผู้ทุกข์ยากอาจโศกเศร้าให้กับคนตายในขณที่พระผู้ช่วยให้รอดของโลกประทับอยู่เคียงข้าง - "พระเยซูทรงกันแสง"  แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้แล้วและพระองค์ทรงสะเทือนพระทัยด้วยความเศร้าโศกของมนุษย์  จิตใจที่อ่อนโยนและเมตตาสงสารของพระองค์ทรงไวต่อการประทานความเห็นอกเห็นใจให้กับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก พระองค์กันแสงร่วมกับคนร้องไห้ และชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี  {DA 533.3}            

แต่ไม่ใช่แค่เพราะความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ที่มีต่อมารีย์และมารธาเท่านั้นที่ทำให้พระเยซูกันแสง  ในน้ำตาของพระองค์มีความเศร้าโศกที่สูงเกินความเศร้าโศกของมนุษย์เช่นเดียวกับฟ้าสวรรค์ที่สูงกว่าแผ่นดินโลก  พระคริสต์ไม่ได้กันแสงเพื่อลาซารัส เพราะพระองค์ทรงกำลังจะเรียกเขาให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ  พระองค์กันแสงเพราะหลายคนที่กำลังร่ำไห้ไว้ทุกข์ให้แก่ลาซารัสอยู่นั้น อีกไม่นานก็จะวางแผนกำหนดความตายให้แก่พระองค์ผู้ทรงเป็นชีวิตและเป็นเหตุให้เป็นขึ้นจากตาย แต่ชาวยิวที่ไม่เชื่อไม่สามารถแปลความหมายเรื่องน้ำพระเนตรของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง!  บางคนที่มองไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากมองว่าสถานการณ์ภายนอกของเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์อันเป็นสาเหตุให้พระองค์โศกเศร้าจึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า "ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร!"  คนอื่นๆ ที่พยายามจะทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่เชื่อลงในหัวใจของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ปัจจุบันก็กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า "ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?"  ถ้าพระคริสต์ทรงมีอำนาจช่วยลาซารัสแล้ว เพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงปล่อยให้เขาตายเล่า?  {DA 533.4}                   

ด้วยสายตาแห่งการพยากรณ์พระคริสต์ทรงเห็นความเป็นศัตรูของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี  พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขากำลังวางแผนการสิ้นพระชนม์ของพระองค์  พระองค์ทรงทราบดีว่าบางคนที่บัดนี้ทำเป็นเห็นอกเห็นใจอย่างออกหน้าอีกไม่นานจะปิดประตูแห่งความหวังและประตูของปราสาทของพระเจ้าใส่ตัวเอง  มีอยู่ฉากหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยความอัปยศอดสูและการตรึงกางเขนของพระองค์ซึ่งจะส่งผลให้กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายและในเวลานั้นจะไม่มีใครคร่ำครวญถึงคนตาย  การลงโทษที่เกิดขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็มปรากฏเป็นภาพอย่างเด่นชัดอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์  พระองค์ทรงเห็นกองกำลังทหารโรมันล้อมกรุงเยรูซาเล็มด้วย  พระองค์ทรงทราบดีว่าคนที่ในเวลานี้ร้องไห้ให้กับลาซารัสจะต้องตายในการล้อมเมืองและในความตายของพวกเขาจะไม่มีความหวัง  {DA 534.1}                   

ไม่ใช่เพียงเพราะภาพที่อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์เท่านั้นที่ทำให้พระคริสต์กันแสง  แต่น้ำหนักของความเศร้าโศกจากทุกยุคสมัยอยู่บนพระองค์ด้วย  พระองค์ทรงเห็นผลอันน่ากลัวที่สุดของการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า  พระองค์ทอดพระเนตรประวัติศาสตร์ของโลก เริ่มต้นตั้งแต่การตายของอาเบล ความขัดแย้งระหว่างความดีและความชั่วได้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง  เมื่อทรงมองลงไปในอีกหลายปีข้างหน้าที่กำลังจะมา พระองค์ทรงเห็นความทุกข์ทรมานและความเศร้าโศก น้ำตาและความตายซึ่งจะต้องตกลงมายังเผ่าพันธุ์มนุษย์  พระหทัยของพระองค์ถูกแทงด้วยความเจ็บปวดของครอบครัวมนุษย์จากทุกยุคสมัยและทุกดินแดน  ความเศร้าโศกทุกข์ร้องของเผ่าพันธุ์ที่บาปนั้นทับถมลงอย่างหนักบนจิตวิญญาณของพระองค์ และน้ำพุของน้ำพระเนตรของพระองค์ก็แตกเพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะบรรเทาความทุกข์ทั้งหมดของพวกเขา  {DA 534.2}                      

พระเยซูสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ"  พวกเขาฝังลาซารัสไว้ในถ้ำหินที่สกัดไว้ มีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งวางไว้ตรงหน้าทางเข้า  "จงเอาหินออกเสีย" พระคริสต์ตรัสบัญชา  เมื่อคิดว่าพระองค์ทรงปรารถนาเพียงเพื่อมองดูคนตาย มารธาคัดค้านขึ้นมาว่าศพฝังไปแล้วสี่วันและเปื่อยเน่าแล้ว  ประโยคคำพูดนี้ที่ลั่นออกมาก่อนการทรงเรียกลาซารัสให้เป็นขึ้นมานั้น ไม่เปิดช่องให้ศัตรูของพระคริสต์พูดได้ว่ามีการกระทำการอย่างหลอกลวงเกิดขึ้น  ในอดีตพวกฟาริสีเผยแพร่ข้อความเท็จเกี่ยวกับการสำแดงอำนาจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ทรงปลุกลูกสาวของไยรัสให้มีชีวิตกลับคืนมา พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า "เด็กคนนั้นยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับอยู่เท่านั้น" มาระโก 5 39  ขณะที่เธอป่วยเพียงไม่นานและถูกปลุกให้เป็นขึ้นมาทันทีหลังจากที่ตายไปแล้ว  พวกฟาริสีจึงประกาศว่าเด็กนั้นยังไม่ตาย พระคริสต์เองยังตรัสว่าเธอหลับไปเท่านั้น  พวกเขาพยายามทำให้ดูเหมือนว่าพระคริสต์รักษาโรคไม่ได้ และมีกลลวงอยู่ในการอัศจรรย์ แต่ในกรณีนี้ ไม่มีใครปฏิเสธว่าลาซารัสได้ตายแล้ว  {DA 534.3}                          

เมื่อพระเจ้าจะทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจ ซาตานขับเคลื่อนใครบางคนให้คัดค้าน  “จงเอาหินออกเสีย” พระคริสต์ตรัส  จงเตรียมมารคาสำหรับพระราชกิจของเราเท่าที่จะทำได้  แต่คุณลักษณะเชิงบวกและความทะเยอทะยานของมารธาแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด  เธอไม่เต็มใจให้นำศพที่เน่าเปื่อยมาปรากฎต่อสายตา  หัวใจของมนุษย์เชื่องช้าที่จะเข้าใจถ้อยคำของพระคริสต์และความเชื่อของมารธายังไม่ได้รู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของพระสัญญาของพระองค์  {DA 535.1}           

พระคริสต์ทรงตำหนิมารธา แต่ตรัสด้วยพระดำรัสที่อ่อนโยนที่สุดว่า "เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?"  ทำไมเจ้าจึงสงสัยอำนาจของเรา?  เหตุใดจึงหาเหตุผลมาขัดแย้งข้อกำหนดของเรา?  พระดำรัสของเราเจ้าวางใจได้ หากเจ้าจะเชื่อ เจ้าจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า  ความเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติขัดขวางการประกอบกิจของพระองค์ผู้ทรงอำนาจทุกอย่างไม่ได้  ความสงสัยและความไม่เชื่อไม่ใช่ความถ่อมใจ  ความเชื่อในพระวจนะของพระคริสต์โดยปราศจากข้อสงสัยเป็นความถ่อมใจที่แท้จริง เป็นการยอมจำนนอย่างแท้จริง  {DA 535.2}                     

"จงเอาหินออกเสีย"  พระคริสต์ทรงสามารถบัญชาให้ก้อนหินเคลื่อนออกไปได้ และหินก้อนนั้นก็น่าจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์  พระองค์น่าจะบัญชาทูตสวรรค์ที่อยู่เคียงข้างพระองค์ให้ทำงานนี้ได้  เมื่อทรงบัญชา มือที่ตาเปล่ามองไม่เห็นน่าจะเคลื่อนหินก้อนนั้นให้ออกไปได้  แต่หินจะต้องถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้วยมือของมนุษย์  ด้วยประการฉะนี้พระคริสต์ทรงกำลังสำแดงให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์จะต้องร่วมมือกับความเป็นพระเจ้า  สิ่งที่กำลังของมนุษย์ทำได้ อำนาจของพระเจ้าจะไม่ได้รับบัญชาให้มาทำสิ่งนั้น  พระเจ้าไม่ทรงประกอบกิจโดยปราศจากการร่วมมือของมนุษย์  พระองค์ทรงเสริมกำลังให้แก่เขา ทรงร่วมมือกับเขาในขณะที่เขาใช้กำลังและความสามารถที่ทรงโปรดประทานให้แก่เขา  {DA 535.3}                           

คนที่นั่นได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเยซู  ก้อนหินได้ถูกกลิ้งออกไปแล้ว  ทุกอย่างทำไปอย่างเปิดเผยและทำไปด้วยความตั้งใจ  ทุกคนได้รับโอกาสที่จะเห็นว่าไม่มีการกระทำใดที่หลอกลวง  ร่างของลาซารัสวางอยู่ในอุโมงค์หิน เป็นร่างเย็นและวางแน่นิ่งอย่างสงบในความตาย  เสียงร้องของผู้ร้องไห้ไว้ทุกข์เงียบไป  กลุ่มคนยืนอยู่รอบอุโมงค์ฝังศพ พวกเขาเฝ้ารอเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมาด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง  {DA 535.4}             

ด้วยความสงบพระคริสต์ประทับอยู่ตรงหน้าอุโมงค์ฝังศพ  ความเคร่งขรึมอย่างขลังแผ่ไปยังคนทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น  พระคริสต์ทรงก้าวเข้าไปใกล้อุโมงค์ฝังศพมากยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์"  ก่อนหน้านี้ ศัตรูของพระคริสต์กล่าวหาว่าพระองค์หมิ่นประมาทพระเจ้า และหยิบก้อนหินเพื่อขว้างใส่พระองค์เพราะพระองค์อ้างว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า  พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ทำการอัศจรรย์โดยอำนาจของซาตาน แต่ ณ ที่นี่พระคริสต์ทรงอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ และด้วยความมั่นใจอย่างสมบูรณ์ทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  {DA 535.5}                      

พระคริสต์ทรงร่วมมือกับพระบิดาของพระองค์ในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ  ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์ทรงระมัดระวังเพื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้ประกอบกิจอย่างอิสระ พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ด้วยความเชื่อและคำอธิษฐาน  พระคริสต์ทรงปรารถนาให้ทุกคนเข้าใจความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา "ข้าแต่พระบิดา" พระองค์ตรัส "ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”  ในที่นี่สาวกและประชาชนจะได้รับหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์กับพระเจ้า  พวกเขาจะต้องได้รับการสำแดงให้เห็นว่าคำกล่าวอ้างของพระคริสต์ไม่ใช่เป็นการหลอกลวง  {DA 536.1}                  

"เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า ‘ลาซารัส ออกมาเถิด’"  เสียงของพระองค์นั้นชัดเจนและเจาะทะลุแก้วหูของผู้ตาย  ในขณะที่พระองค์ตรัส ความเป็นพระเจ้าส่องแวบผ่านความเป็นมนุษย์  ในพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งส่องประกายด้วยพระสิริของพระเจ้า ประชาชนมองเห็นความมั่นใจในอำนาจของพระองค์  สายตาทุกดวงจับจ้องไปที่ปากทางเข้าถ้ำ  หูทุกข้างโน้มเพื่อจับเสียงแผ่วเบาที่สุด  ด้วยความสนใจอันแรงกล้าและเจ็บปวดทุกคนรอคอยหลักฐานการทดสอบความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ หลักฐานที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า หรือดับความหวังไปตลอดกล  {DA 536.2}                         

มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในหลุมฝังศพที่เงียบสงบ และผู้ที่ตายไปแล้วนั้นยืนอยู่ตรงประตูอุโมงค์ฝังศพ  ผ้าพันศพที่ห่อเขาไว้ตอนถูกนำไปฝังนั้นขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขา และพระคริสต์ตรัสกับผู้ดูเหตุการณ์อย่างตื่นตะลึงอยู่นั้นว่า "จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด"  อีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาได้มองเห็นว่ามนุษย์จะต้องทำงานร่วมมือกันกับพระเจ้า  มนุษยชาติจะต้องปรนนิบัตรับใช้มนุษยชาติ  ลาซารัสได้รับอิสระภาพและยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชน ไม่ใช่ในสภาพซูบผอมอันเนื่องจากโรค และมีแขนขากะปลกกะเปลี้ยและเดินโซเซ แต่เป็นชายฉกรรจ์ในช่วงเยาว์วัยของชีวิต และด้วยความกระปรี้กระเปร่าสง่างามของลูกผู้ชาย  ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและด้วยความรักต่อพระผู้ช่วยให้รอดของเขา  เขาหมอบลงกราบด้วยความเทิดทูนแทบพระบาทของพระเยซู  {DA 536.3}                        

ในตอนแรก กลุ่มคนที่เฝ้ามองเหตุการ์แน่นิ่งไปด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้น ตามมาด้วยภาพแห่งความชื่นชมยินดีและโมทนาขอบคุณพระเจ้า  พี่น้องทั้งสองคนต้อนรับลาซารัสที่กลับมาด้วยชีวิตใหม่ราวกับเป็นของขวัญที่ได้รับจากพระเจ้า และด้วยน้ำตาแห่งความสุขเบิกบานใจ พวกเขาถวายคำขอบคุณพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไม่เป็นคำ  แต่ในขณะที่พี่น้องและมิตรสหายต่างชื่นชมยินดีในการกลับมาพบกันอีกครั้งนี้อยู่นั้นพระเยซูทรงถอยหายไปจากสถานที่แห่งนั้น  เมื่อพวกเขามองหาพระผู้ประทานชีวิต พระองค์ก็ไม่ได้ประทับอยู่ที่นั่นแล้ว  {DA 536.4}

**********