บทที่ 82
“หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?”
บทนี้อ้างอิงจากมัทธิว 28 ข้อที่ 1, 5-8; , มาระโก 16 ข้อที่ 1-8;
ลูกา 24 ข้อที่ 1-12; ยอห์น 20 ข้อที่ 1-18
ลูกา 24 ข้อที่ 1-12; ยอห์น 20 ข้อที่ 1-18
พวกผู้หญิงที่ยืนอยู่รอบกางเขนของพระคริสต์ต่างพากันรอและเฝ้าคอยให้เวลาของวันสะบาโตผ่านพ้นไป ในเวลาเช้ามืดของวันต้นสัปดาห์ พวกเธอมุ่งหน้าเดินไปยังอุโมงค์ฝังศพ ในมือถือเครื่องเทศน้ำมันหอมเพื่อชโลมพระศพของพระผู้ช่วยให้รอดโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องการทรงเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์เลย ในหัวใจของพวกเธอ ดวงอาทิตย์แห่งความหวังของพวกเธอลับขอบฟ้าไปแล้วและความมืดยามค่ำคืนเข้ามาแทนที่ ขณะที่เดินไป พวกเธอทบทวนถึงพระราชกิจแห่งความเมตตาและพระดำรัสแห่งการปลอบประโลมใจ แต่พวกเธอจำไม่ได้ถึงพระดำรัสของพระองค์ที่กล่าวว่า "เราจะมาหาท่านอีก" ยอห์น 16 ข้อที่ 22 {DA 788.1}
พวกเธอไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อเดินเข้ามาใกล้สวนก็พูดคุยกันว่า "ใครจะช่วยกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์" พวกเธอรู้ดีว่าไม่มีทางกลิ้งก้อนหินออกได้ แต่กระนั้นก็ยังเดินต่อไป และดูเถิด ทันใดนั้นมีแสงวาบสว่างด้วยรัศมีภาพยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่ฟ้า พื้นดินสั่นสะท้าน พวกเธอมองเห็นว่าก้อนหินขนาดใหญ่ถูกกลิ้งออกไปแล้ว อุโมงค์ฝังศพว่างเปล่า {DA 788.2}
ผู้หญิงทั้งหมดไม่ได้มายังอุโมงค์ฝังศพจากทิศทางเดียวกัน มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรกที่มาถึงอุโมงค์ และเมื่อเห็นก้อนหินถูกกลิ้งออกไปแล้ว เธอก็วิ่งไปบอกสาวกทั้งหลาย ในเวลาเดียวกัน หญิงคนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึง มีแสงส่องสว่างส่องอยู่ในอุโมงค์ แต่พระศพของพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น ในขณะที่พวกเธอรีรออยู่นั้น พวกเธอก็รู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมอาภรณ์แห่งความสว่างนั่งอยู่ข้างอุโมงค์ฝังศพ เขาคือทูตสวรรค์ที่กลิ้งก้อนหินออกไป เขาอำพรางกายเป็นมนุษย์เพื่อไม่ให้มิตรสหายของพระเยซูตื่นตระหนก แต่กระนั้นแสงแห่งพระสิริของสวรรค์ยังส่องอยู่รอบตัวของเขา และพวกผู้หญิงก็กลัว พวกเธอหันหลังหนี แต่คำพูดของทูตสวรรค์หยุดยั้งย่างก้าวของพวกเธอไว้ "อย่ากลัวเลย" เขากล่าว “เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แน่ะเราบอกพวกท่านแล้ว" พวกเธอมองเข้าไปในอุโมงค์ฝังศพอีกครั้งและก็ได้ยินข่าวอันน่ามหัศจรรย์ดังขึ้นอีกครั้ง ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งในร่างของมนุษย์อยู่ที่นั่นและพูดว่า "พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม? [พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว] จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลีว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่" {DA 788.3}
พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว! พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว! พวกผู้หญิงพูดคำเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเวลานี้พวกเธอไม่ต้องใช้เครื่องหอมอีกแล้ว พระผู้ช่วยให้รอดทรงมีชีวิตอยู่และไม่ตาย ตอนนี้พวกเธอนึกขึ้นได้แล้วว่า เมื่อพระองค์ตรัสถึงเรื่องความตายของพระองค์นั้นพระองค์ทรงบอกด้วยว่าจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง ช่างเป็นวันอะไรหนอที่มีให้แก่โลกใบนี้! พวกผู้หญิงรีบออกไปจากอุโมงค์ฝังศพอย่างรวดเร็ว "ด้วยความกลัวและความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และวิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์" {DA 789.1}
มารีย์ยังไม่ได้ยินข่าวดี เธอไปหาเปโตรและยอห์นพร้อมกับข้อความที่น่าเศร้า "เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน" พวกสาวกทั้งสองรีบไปที่อุโมงค์ฝังศพและได้เห็นตามที่มารีย์บอก พวกเขาเห็นผ้าพันพระเศียรและผ้าป่านวางอยู่ แต่ไม่พบองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ถึงกระนั้นแม้แต่สถานที่นี้ก็เป็นประจักษ์พยานว่าพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว ผ้าพันพระเศียรและผ้าป่านไม่ได้ถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจแต่กลับถูกพับวางไว้ในที่ของมัน ยอห์น “เห็นและเชื่อ” เขายังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าพระคริสต์จะต้องเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่บัดนี้เขาจดจำได้แล้วถึงพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่บอกถึงการทรงคืนพระชนม์ของพระองค์ {DA 789.2}
พระคริสต์นั่นเองที่ทรงวางผ้าพันพระศพเหล่านั้นอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ เมื่อทูตสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ลงมายังอุโมงค์ฝังศพ ทูตสวรรค์อีกองค์ได้ลงมาด้วย เขาพร้อมกับเพื่อนทูตสวรรค์ได้อยู่ดูแลปกป้องพระศพขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกลิ้งก้อนหินออกไป ทูตสวรรค์อีกองค์ได้เดินเข้าไปในอุโมงค์ และเอาผ้าพันพระศพออกจากพระวรกายของพระเยซู แต่เป็นพระหัตถ์ของพระเยซูเองที่ทรงพับผ้าเหล่านั้นแต่ละชิ้นไว้อย่างเรียบร้อยและทรงวางไว้ในตำแหน่งของมัน ในสายพระเนตรของพระองค์ผู้ทรงบงการวิถีของดวงดาวและอะตอมนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สำคัญ ความมีระเบียบและความสมบูรณ์แบบมองเห็นได้ในพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ {DA 789.3}
มารีย์ตามหลังยอห์นและเปโตรไปถึงอุโมงค์ฝังศพ เมื่อพวกเขากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มเธอก็ยังคงรีรออยู่ที่นั่น ขณะที่เธอมองเข้าไปในอุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่า ความเศร้าโศกท่วมล้นหัวใจของเธอ ขณะที่เธอมองเข้าไปนั้น เธอเห็นทูตสวรรค์สององค์ องค์หนึ่งอยู่ตรงบริเวณที่วางพระเศียร และอีกองค์อยู่ตรงที่วางพระบาทของพระเยซู “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” {DA 789.4}
หลังจากนั้นเธอก็หันหลังเดินจากไป แม้เดินออกไปจากทูตสวรรค์ โดยมีความคิดว่าเธอจะต้องไปหาใครสักคนที่จะบอกเธอได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระศพของพระเยซู มีอีกเสียงหนึ่งพูดกับเธอว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” ด้วยตาที่พร่ามัวจากน้ำตา มารีย์มองเห็นแค่รูปทรงของชายคนหนึ่งและทึกทักเอาเองว่าเป็นคนสวน เธอพูดว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” หากอุโมงค์ฝังศพของเศรษฐีท่านนี้สูงส่งเกินกว่าที่จะฝังองค์พระเยซู เธอเองจะเป็นคนจัดสถานที่ถวายพระองค์ มีอุโมงค์ฝังศพแห่งหนึ่งที่พระสุรเสียงของพระคริสต์เองทรงทำให้ว่างเปล่า เป็นอุโมงค์ที่เคยฝังลาซารัส เธอจะหาสถานที่สักแห่งตรงบริเวณนั้นถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอไม่ได้เลยหรือ? เธอรู้สึกว่าการได้ดูแลพระศพที่ถูกตรึงและมีค่าของพระองค์จะเป็นการปลอบประโลมใจที่เศร้าโศกของเธอได้ {DA 790.1}
แต่ในเวลานี้ ด้วยพระสุรเสียงอันคุ้นเคยของพระองค์เอง พระเยซูตรัสกับเธอว่า “มารีย์เอ๋ย” ณ เวลานี้เอง เธอรู้แล้วว่าผู้ที่กำลังตรัสกับเธอไม่ใช่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง และเมื่อเธอหันหน้ามองไปนั้น เธอเห็นพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เบื้องหน้าเธอ ด้วยความปลื้มปีติ เธอลืมไปเลยว่าพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนมาแล้ว เธอกระโจนเข้าหาราวกับจะสวมกอดพระบาทของพระองค์ไว้และพูดขึ้นว่า “รับโบนี” แต่พระคริสต์ทรงชูพระหัตถ์ขึ้นตรัสว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” มารีย์จึงนำข่าวสารแห่งความปีติยินดีไปบอกแก่พวกสาวก {DA 790.2}
พระเยซูทรงปฏิเสธที่จะรับการเทิดทูนกราบนมัสการจากประชากรของพระองค์จนกว่าพระองค์จะได้รับคำรับรองจากพระบิดาว่าทรงรับเครื่องถวายบูชาแห่งการเสียสละตนของพระองค์แล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปยังพระบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์และทรงได้ยินคำรับรองจากพระเจ้าเองว่า การที่พระองค์ทรงไถ่โทษบาปของมนุษย์นั้นมีเหลือเฟือแล้วและโดยพระโลหิตของพระองค์มนุษย์ทุกคนจะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระบิดาทรงยืนยันอนุมัติพันธสัญญาที่ทรงทำไว้กับพระคริสต์ที่ว่า พระบิดาจะทรงยอมรับมนุษย์ที่กลับใจและเชื่อฟังและจะทรงรักพวกเขาเหมือนเช่นที่พระองค์ทรงรักพระบุตรของพระองค์ พระคริสต์ทรงประกอบกิจเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้วและทรงทำตามคำปฏิญาณที่ “จะกระทำให้คนมีค่ามากกว่าทองคำเนื้อดี และมนุษย์มีค่ามากกว่าทองคำแห่งโอฟีร์” อิสยาห์ 13 ข้อที่ 12 TKJV สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงโปรดมอบไว้แก่เจ้าชายแห่งชีวิตแล้ว และพระองค์ได้เสด็จกลับมายังผู้ติดตามของพระองค์ในโลกแห่งความบาปเพื่อจะมอบอำนาจและพระสิริของพระองค์ให้แก่พวกเขา {DA 790.3}
ในขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดประทับอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระบิดาและทรงรับของประทานมาฝากคริสตจักรของพระองค์นั้น พวกสาวกครุ่นคิดถึงอุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่าแล้วทุกข์ใจและร้องไห้ วันนั้นเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีของชาวสวรรค์ทั้งปวงแต่กลับกลายเป็นวันแห่งความไม่มั่นใจ วันแห่งความสับสน และวันแห่งความงุนงงของพวกสาวก การไม่เชื่อคำพยานของพวกผู้หญิงเป็นหลักฐานแสดงว่าความเชื่อของพวกเขาได้ตกต่ำลงไปมากแค่ไหน ข่าวการทรงคืนพระชนม์ของพระคริสต์นั้นแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้จนพวกเขาไม่อาจเชื่อได้ พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้ดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ พวกเขาเคยฟังคำสอนและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของพวกสะดูสีมามากเกินไปจนความฝังใจเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายในความคิดของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่คลุมเครือ พวกเขาแทบไม่เข้าใจว่าการทรงคืนพระชนม์นั้นหมายความว่าอะไร เรื่องยิ่งใหญ่สำคัญเช่นนี้พวกเขารับไม่ได้ {DA 790.4}
“พวกท่านจงไป” พวกทูตสวรรค์กล่าวกับพวกผู้หญิง “บอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านไว้แล้ว” ทูตสวรรค์เหล่านี้เป็นทูตสวรรค์คุ้มครองพระคริสต์ตลอดช่วงเวลาที่พระองค์ดำเนินชีวิตอยู่ในโลก พวกเขาได้เห็นเป็นประจักษ์พยานถึงความทรมานและการตรึงกางเขนของพระองค์ พวกเขาเคยฟังพระดำรัสของพระองค์ที่ประทานให้แก่พวกสาวก เรื่องนี้เห็นได้จากข่าวสารของพวกเขาที่ให้แก่สาวก และน่าจะทำให้สาวกมั่นใจในความจริงของข้อความนี้ คำพูดเช่นนี้น่าจะมาจากผู้สื่อข่าวขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น {DA 793.1}
“จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วย“ ทูตสวรรค์กล่าว นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เปโตรหดหู่ใจด้วยความรู้สึกสำนึกผิด การปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างน่าอับอายของเขา และสายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงทอดพระเนตรด้วยความรักและความเจ็บปวดรวดร้าวยังคงติดตาของเขาอยู่ตลอด ในบรรดาสาวกทั้งหมด เขาเจ็บปวดทุกข์ใจอย่างขมขื่นที่สุด คำแห่งความมั่นใจถูกส่งให้แก่เขาว่าการกลับใจของเขาได้ทรงโปรดรับไว้แล้วและบาปของเขานั้นได้รับการอภัยแล้ว มีการเอ่ยถึงชื่อของเขาด้วย {DA 793.2}
“จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น” สาวกทั้งหมดละทิ้งพระเยซูไปแล้วและคำเชิญชวนให้พบพระองค์อีกครั้งนั้นหมายถึงพวกเขาทั้งหมดด้วย พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขาไป เมื่อมารีย์ชาวมักดาลาบอกพวกเขาว่าเธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น เธอได้เน้นย้ำคำเชิญให้ไปพบกันที่แคว้นกาลิลี และข่าวสารนี้ส่งมายังพวกเขาเป็นครั้งที่สาม ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นไปเข้าเฝ้าพระบิดาแล้ว พระเยซูทรงปรากฏต่อผู้หญิงคนอื่นๆ ตรัสว่า “นี่แน่ะ. . . .หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับพวกเธอว่า ‘อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น’” {DA 793.3}
ภายหลังจากที่พระคริสต์ทรงคืนพระชนม์ พระราชกิจในโลกอันดับแรกของพระองค์คือ การทำให้สาวกมั่นใจว่า ความรักและความเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนที่ทรงมีต่อพวกเขานั้นไม่ลดน้อยลงไปเลย พระองค์ทรงปรากฏตัวแก่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อประทานหลักฐานแก่พวกเขาว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงชนม์และเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงทำลายพันธนาการของหลุมฝังศพและเพื่อแสดงว่าศัตรูแห่งความตายผูกมัดพระองค์ไม่ได้อีกต่อไปและเพื่อเปิดเผยว่าพระองค์ยังทรงมีหัวใจแห่งรักดวงเดิมเหมือนครั้นที่ทรงเป็นพระอาจารย์สุดที่รักของพวกเขา พระองค์จะทรงผูกพันความรักให้แนบสนิทรอบตัวพวกเขายิ่งขึ้น จงไปบอกพี่น้องของเราเพื่อพวกเขาจะมาพบกับเราที่แคว้นกาลิลี พระองค์ตรัส {DA 793.4}
เมื่อพวกเขาได้ยินการนัดหมายที่ประทานให้อย่างเฉพาะเจาะจงนี้ พวกสาวกก็เริ่มคิดถึงพระดำรัสที่พระคริสต์เคยตรัสทำนายกับพวกเขาไว้ล่วงหน้าถึงเรื่องการทรงคืนพระชนม์ของพระองค์ แต่จนถึงบัดนี้ พวกเขาก็ยังไม่ชื่นชมยินดี พวกเขาสลัดทิ้งความสงสัยและความงุนงงไปไม่ได้ แม้พวกผู้หญิงประกาศว่าพวกเธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็ตาม แต่พวกสาวกก็ยังไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงภาพลวงตา {DA 794.1}
ดูราวกับปัญหาแล้วปัญหาเล่าทับถมประดังเข้ามา ในวันที่หกของสัปดาห์ พวกเขาเห็นพระอาจารย์สิ้นพระชนม์ ในวันต้นสัปดาห์พวกเขาเองหาพระศพไม่พบ และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขโมยพระศพเพื่อหลอกลวงประชาชน พวกเขาหมดหวังกับการที่ต้องคอยแก้ความฝังใจผิดๆ ที่ต่อต้านพวกเขามากขึ้น พวกเขากลัวความเป็นอริของพวกปุโรหิตและความโกรธของประชาชน พวกเขาปรารถนาให้พระเยซูอยู่กับพวกเขา พระองค์ผู้ทรงคอยช่วยพวกเขาในทุกความสับสนวุ่นวาย {DA 794.2}
บ่อยครั้งที่พวกเขากล่าวประโยคนี้ซ้ำๆ ว่า “เรามีความหวังว่าท่านจะเป็นผู้นั้นที่มาไถ่ชนชาติอิสราเอล ” ด้วยหัวใจอันโดดเดี่ยวและเจ็บปวดพวกเขาระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ที่กล่าวว่า “ถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้ยังสดอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้ว?” ลูกา 24 ข้อที่ 21; 23 ข้อที่ 31 พวกเขารวมตัวกันที่ห้องชั้นบนและปิดใส่กลอนประตูไว้ โดยรู้ดีว่าชะตากรรมของพระอาจารย์ที่รักของพวกเขาอาจจะเป็นของพวกเขาเมื่อใดก็ได้ {DA 794.3}
ตลอดเวลาพวกเขาน่าจะชื่นชมยินดีที่ได้รู้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นขึ้นมาแล้ว ในสวน มารีย์ยืนสะอื้นร่ำไห้ในขณะที่พระเยซูทรงอยู่เคียงข้างเธอ ตาของเธอพร่ามัวไปด้วยน้ำตาจนเธอมองไม่เห็นพระองค์ และหัวใจของพวกสาวกเต็มไปด้วยความเศร้าโศกจนไม่เชื่อข่าวสารของทูตสวรรค์หรือพระดำรัสของพระคริสต์เอง {DA 794.4}
มีคนอีกมากเพียงไรที่ยังคงทำในสิ่งที่สาวกเหล่านี้ทำ! มีคนอีกมากเพียงไรที่ยังคงสะท้อนเสียงร่ำไห้อย่างหมดหวังของมารีย์ “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” จะมีสักกี่คนที่พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับพวกเขาว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” พระองค์ประทับอยู่เคียงข้างพวกเขา แต่น้ำตาที่ทำให้ตาของพวกเขาบอดไปทำให้พวกเขามองไม่เห็นว่าเป็นพระองค์ พระองค์ตรัสกับพวกเขา แต่พวกเขาไม่เข้าใจ {DA 794.5}
โอ อยากให้ศีรษะที่ก้มลงถูกยกชูขึ้น อยากให้ตาเปิดออกเพื่อจะมองไปยังพระองค์ อยากให้หูฟังพระสุรเสียงของพระองค์! “จงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว” จงบอกพวกเขาว่าอย่าไปตามหาที่อุโมงค์ฝังศพใหม่ของโยเซฟซึ่งถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินขนาดใหญ่และประทับปิดด้วยตราของรัฐบาลโรมัน พระคริสต์ไม่ได้อยู่ที่นั่น อย่าไปยังอุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่า อย่าไปคร่ำครวญเหมือนเช่นคนที่ไร้ความหวังและช่วยตัวเองไม่ได้ พระองค์ทรงพระชนม์ และเพราะพระองค์ทรงชนม์ เราก็จะมีชีวิตด้วยเช่นกัน จงให้บทเพลงแห่งความชื่นชมยินดีดังขึ้นมาจากหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยการสนองพระคุณและจากริมฝีปากที่ถูกสัมผัสด้วยไฟบริสุทธิ์ว่า พระคริสต์ทรงคืนพระชนม์แล้ว! พระองค์ทรงพระชนม์เพื่อทูลขอเผื่อเราทั้งหลาย จงคว้าความหวังนี้ไว้ และความหวังนี้จะยึดจิตวิญญาณไว้ดั่งสมออันมั่นคงและผ่านการพิสูจน์แล้ว จงเชื่อแล้วเจ้าจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า {DA 794.6}
**********;