บทที่ 27

ทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้

อ้างอิงจากมัทธิว 8 ข้อที่ 2-4; 9 ข้อที่ 1-8; 32-34; มาระโก 1 ข้อที่ 40-45; 2 ข้อที่ 1-17; ลูกา 5 ข้อที่ 12-28


ในบรรดาโรคที่รู้จักกันทางแถบตะวันออก โรคเรื้อนน่ากลัวที่สุด  ลักษณะของโรคที่รักษาไม่ได้และติดต่อกันง่ายและเกิดผลกระทบอันน่ากลัวแก่ผู้ที่ติดโรคนี้ทำให้คนกล้าหาญที่สุดหวาดกลัว  ชาวยิวถือว่าโรคนี้เป็นการพิพากษาลงโทษอย่างหนึ่งของบาปและเรียกกันว่า “ภัยพิบัติ” และ “กิจการของพระเจ้า”  ด้วยลักษณะของโรคที่ฝังรากลึก รักษาให้หายขาดไม่ได้และอันตรายถึงตาย จึงมักถือว่าโรคนี้เป็นสัญลักษณ์ของบาป  ตามบัญญัติพิธีกรรมแล้ว ผู้ป่วยโรคเรื้อนจะถูกประกาศว่าเป็นคนไม่สะอาด  เขาจะถูกขับออกไปจากที่พำนักของมนุษย์ราวกับคนตาย ทุกสิ่งที่เขาสัมผัสจะเป็นมลทิน  ลมหายใจของเขาทำให้อากาศเป็นพิษ  ผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคจะถูกนำขึ้นรายงานตัวต่อพวกปุโรหิตซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่วินิจฉัยและลงความเห็นอาการโรคของเขา  หากเขาถูกตัดสินว่าเป็นโรคเรื้อน เขาจะต้องแยกตัวเองออกไปจากครอบครัวของเขา ตัดขาดจากชุมนุมชนอิสราเอลและถูกกำหนดให้คบเฉพาะกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเดียวกันเท่านั้น  ข้อกำหนดของกฎในเรื่องนี้ไม่ผ่อนปรน  แม้กษัตริย์และผู้ปกครองก็ยังไม่ได้รับการยกเว้น  พระราชาองค์ใดเป็นโรคน่ากลัวนี้ จะต้องยอมสละราชอำนาจและหนีไปจากสังคม  {DA 262.1}          

คนโรคเรื้อนจะต้องไปจากมิตรสหายและญาติสนิทและแบกรับคำสาปแช่งของโรคภัยของเขาเอง  เขาถูกบังคับให้เปิดเผยหายนะอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง ต้องฉีกเสื้อผ้าของตนเองและส่งเสียงเตือนให้ทุกคนหลีกหนีไปให้ไกลจากตัวเขาที่สกปรก  เสียงร้อง “มลทิน มลทิน” อันโหยหวนเศร้าสลดจากคนพลัดบ้านพลัดเมืองและโดดเดี่ยวเป็นสัญญาณที่ทำให้ผู้ฟังหวาดกลัวและรังเกียจ  {DA 262.2}          

ในแถบดินแดนที่พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจอยู่ มีคนมากมายที่ตกทุกข์เช่นนี้ และข่าวการประกอบพระราชกิจของพระองค์มาถึงพวกเขาและจุดประกายแห่งความหวังขึ้นมา  แต่นับจากสมัยของผู้เผยพระวจนะเอลีชาแล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดที่เป็นโรคนี้ได้รับการชำระให้หายสะอาด  พวกเขาไม่กล้าหวังให้พระเยซูทรงทำสิ่งที่ไม่ทรงเคยทำให้แก่มนุษย์คนใดมาก่อนให้แก่พวกเขา อย่างไรก็ตาม ความเชื่อได้เริ่มเกิดขึ้นในหัวใจของคนหนึ่ง แต่กระนั้นชายผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าเฝ้าพระเยซูได้อย่างไร  ในสภาพที่ถูกกีดกันออกไปจากการติดต่อกับเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ เขาจะเสนอตัวเองต่อพระเจ้าพระผู้รักษาได้อย่างไร?  และเขาสงสัยว่าพระคริสต์จะทรงรักษาเขาได้หรือไม่  พระองค์จะทรงก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรคนหนึ่งที่เชื่อว่ากำลังทนทุกข์อยู่ภายใต้คำพิพากษาของพระเจ้าหรือ?  พระองค์จะไม่ทรงกระทำเหมือนเช่นพวกฟาริสีและแม้แต่พวกแพทย์ที่ประกาศคำสาปแช่งใส่เขาและเตือนให้เขาออกไปให้ห่างจากที่ชุมนุมชนของมนุษย์หรือ?  เขาคิดถึงเรื่องทั้งหมดของพระเยซูที่มีคนเคยเล่าให้เขาฟัง  พระองค์ไม่เคยปฏิเสธผู้ใดที่มาทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์  ชายผู้น่าสงสารคนนี้ตัดสินใจที่จะไปหาพระผู้ช่วยให้รอด  แม้ว่าเขาจะถูกกักตัวอยู่นอกเมือง แต่เป็นได้ที่สักวันหนึ่งเขาอาจสวนทางกับพระองค์บนทางเดินในภูเขาหรือพบพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่นอกเมืองก็ได้  อุปสรรคต่าง ๆ ล้วนยิ่งใหญ่แต่นี่คือความหวังเดียวของเขา  {DA 262.3}                  

คนโรคเรื้อนถูกนำพาให้เข้ามาเฝ้าพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ริมทะเลสาบและประชาชนล้อมอยู่รอบพระองค์  คนโรคเรื้อนยืนอยู่ห่างไกล เขาจับพระดำรัสจากริมฝีพระโอษฐ์ของพระผู้ช่วยให้รอดได้ไม่กี่คำ  เขามองเห็นพระเยซูทรงวางพระหัตถ์ลงบนผู้ป่วย  เขามองเห็นคนง่อย คนตาบอด คนอัมพาตและคนที่กำลังตายด้วยโรคต่างๆ ลุกขึ้นด้วยพลานามัยที่สมบูรณ์และสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการทรงช่วยกู้  ความเชื่อในหัวใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาค่อยๆ ขยับมาใกล้และเข้าใกล้ฝูงชนที่ชุมนุมกันอยู่มากขึ้น  เขาลืมข้อกำหนดห้ามที่ควบคุมเขาอยู่ เขาลืมความปลอดภัยของประชาชนรวมถึงลืมความหวาดกลัวที่คนทั้งหลายมีต่อเขา  เขาคิดถึงแต่เพียงพระพรแห่งความหวังของการรักษา  {DA 263.1}           

ตัวเขาเองเป็นภาพที่น่ารังเกียจ  โรคกัดกร่อนเขาไปอย่างน่ากลัวและร่างกายที่เปื่อยเน่าของเขานั้นน่าขยะแขยงมากจนไม่น่ามอง  เมื่อประชาชนเห็นเขาแล้วต่างก็พากันถอยหนีไปด้วยความหวาดผวา  พวกเขาเบียดเข้าหากันเพื่อหนีไปจากการสัมผัสกับตัวเขา  บางคนพยายามห้ามเขาเข้าใกล้พระเยซูแต่ก็ล้มเหลว  เขามองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา  สีหน้าเหยียดหยามเหล่านั้นหายไปจากสายตาของเขา  เขาเห็นแต่เพียงพระบุตรของพระเจ้า  เขาได้ยินแต่พระสุรเสียงของพระองค์ที่ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่กำลังจะตาย  เขามุ่งหน้าเข้าไปหาพระเยซูและทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระองค์และร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” {DA 263.2}        

พระเยซูตรัสตอบว่า “เราพอใจแล้ว จงหายสะอาด” และทรงวางพระหัตถ์ลงบนเขา  มัทธิว 8 ข้อที่ 3  {DA 263.3}           

ทันใดนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับคนโรคเรื้อน  ผิวหนังของเขากลับผ่องใส เส้นประสาทไวต่อการสัมผัส กล้ามเนื้อเต่งตึง  ผิวหยาบกร้านตกสะเก็ดที่เป็นลักษณะเฉพาะของคนโรคเรื้อนหายไปแล้วในพริบตาและเป็นผิวหนังอันอ่อนนุ่มสีชมพูเหมือนผิวของเด็กที่สมบูรณ์ {DA 263.4}            

พระเยซูตรัสกำชับชายคนนั้นไม่ให้เปิดเผยภารกิจที่ทรงกระทำ แต่ให้ตรงไปยังพระวิหารเพื่อแสดงตัวพร้อมเครื่องถวายบูชา พวกปุโรหิตจะไม่ยอมรับเครื่องบูชานี้จนกว่าจะได้ตรวจและประกาศว่าชายคนนี้หายโรคแล้วอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ทำพิธีนี้ด้วยความยินดี  แต่พวกเขาไม่อาจหลบเลี่ยงการตรวจสอบและให้คำตัดสินเรื่องของชายคนนี้ได้  {DA 264.1}   

พระวจนะในพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าพระคริสต์ทรงเร่งเร้ากำชับชายคนนั้นถึงความจำเป็นของการเก็บเรื่องไว้ให้เงียบและลงมือปฏิบัติอย่างฉับไวไว้ “พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า ‘อย่าเล่าให้ใครฟัง แต่จงไปแสดงตัวกับปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว’”  หากปุโรหิตทราบความจริงถึงเรื่องการรักษาคนโรคเรื้อนแล้ว ความเกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อพระคริสต์อาจทำให้พวกเขาประกาศคำตัดสินเท็จ  พระเยซูทรงประสงค์ให้ชายคนนี้ไปสำแดงตัวเองที่พระวิหารก่อนที่ข่าวการอัศจรรย์จะไปถึงพวกเขา  เพื่อจะได้รับคำตัดสินที่ไม่ลำเอียง และคนโรคเรื้อนที่หายโรคจะได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่กับครอบครัวและบรรดามิตรสหายของเขา {DA 264.2}                

พระคริสต์ทรงบัญชาให้ชายคนนี้เก็บเรื่องให้เงียบไว้เพราะทรงมีเป้าหมายอื่นอยู่ด้วย  พระผู้ช่วยให้รอดทรงทราบดีว่าศัตรูของพระองค์หาทางอยู่อย่างไม่ลดละที่จะหยุดยั้งพระราชกิจของพระองค์และหันประชาชนให้ออกไปจากพระองค์  พระองค์ทรงทราบว่าหากเรื่องราวการรักษาคนโรคเรื้อนดังก้องไปทั่วแล้ว คนอื่นที่ล้มป่วยด้วยโรคร้ายนี้จะเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ไว้และจะมีเสียงร้องดังขึ้นว่าประชาชนอาจจะเปรอะเปื้อนจากการสัมผัสกับพวกเขา  คนโรคเรื้อนมากมายไม่ได้ใช้ของประทานด้านสุขอนามัยที่ดีเพื่อเป็นพรให้แก่ตัวเองหรือแก่ผู้อื่น  และการดึงดูดบรรดาคนโรคเรื้อนมายังพระองค์นั้น จะเป็นการทรงเปิดโอกาสให้แก่ข้อกล่าวหาที่ว่าพระองค์ทรงทำผิดข้อห้ามของกฎเกณฑ์ทางพิธีกรรม  ด้วยเหตุทั้งหมดนี้พระราชกิจของพระองค์ในการประกาศพระกิตติคุณก็จะถูกขัดขวาง  {DA 264.3}         

เหตุการณ์เกิดขึ้นตามคำเตือนของพระคริสต์  ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เป็นพยานของการรักษาคนโรคเรื้อนและพวกเขาใจจดจ่ออยากรู้คำตัดสินของปุโรหิต  เมื่อชายคนนี้กลับไปหาเพื่อนของเขาก็เกิดความตื่นเต้นกันอย่างมาก  แม้จะมีคำเตือนจากพระเยซูแล้ว ชายคนนี้ก็ไม่ได้พยายามปกปิดความจริงเรื่องที่เขาหายโรค  แท้จริงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดเรื่องนี้ด้วย แต่คนโรคเรื้อนกลับป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง  เขาคิดเองว่าเป็นเพราะความถ่อมตนของพระเยซูที่ทรงมอบข้อห้ามนี้แก่เขา เขาออกไปประกาศอำนาจของพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้รักษายิ่งใหญ่  เขาไม่เข้าใจว่าทุกการกระทำที่เขาแสดงออกจะทำให้พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองยิ่งมุ่งมั่นที่จะทำลายพระเยซูมากขึ้น  ชายที่กลับคืนสู่สภาพดีนี้รู้สึกว่าพระพรของสุขภาพที่ดีนั้นมีค่ายิ่ง  ยิ่งเขาชื่นชมปรีดีกับพลังของชายฉกรรจ์และการได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมของเขาอีกครั้ง  และรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดการถวายพระเกียรติแด่พระผู้ทรงเป็นแพทย์รักษาเขาให้หาย  แต่การกระทำของเขาในการป่าวประกาศเรื่องที่เกิดขึ้นไปอย่างโด่งดังกลับไปขัดขวางพระราชกิจของพระผู้ช่วยให้รอด  การกระทำนี้ทำให้ประชาชนมาห้อมล้อมพระองค์อย่างหนาแน่นจนกดดันให้พระองค์ต้องยุติพระราชกิจไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง  {DA 264.4}               

การกระทำทุกขั้นตอนในพันธกิจการรับใช้ของพระคริสต์นั้นมีเป้าหมายที่แผ่ออกไปอย่างกว้างไกล  มีผลครอบคลุมมากยิ่งกว่าสิ่งที่มองเห็นจากการกระทำ  ดังในเรื่องของคนโรคเรื้อน ในขณะที่พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการรับใช้ให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์นั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะอวยพระพรแก่ผู้ที่ไม่ได้มาด้วย  ในขณะที่พระองค์ทรงเรียกคนเก็บภาษี คนนอกศาสนาและคนสะมาเรียให้เข้ามาหาพระองค์นั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเข้าถึงบรรดาปุโรหิตและครูสอนทั้งหลายที่ปิดกั้นตัวเองด้วยอคติและธรรมเนียมประเพณี พระองค์ไม่ทรงละวิธีใดในความพยายามที่จะเข้าถึงคนเหล่านี้  การที่พระองค์ทรงส่งคนโรคเรื้อนที่หายแล้วให้ไปหาปุโรหิตนั้น พระองค์ประทานคำพยานที่ทรงมุ่งหวังปลดอคติของพวกเขา  {DA 265.1}

พวกฟาริสียืนกรานกล่าวหาว่าคำสอนของพระคริสต์ขัดแย้งกับพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานให้โมเสส แต่พระองค์ทรงพระบัญชาให้คนโรคเรื้อนที่หายโรคไปถวายเครื่องบูชาตามกฎบัญญัตินั้นเป็นการหักล้างข้อกล่าวหานี้  เป็นพยานหลักฐานอย่างเพียงพอสำหรับทุกคนที่มั่นใจจะเชื่อ  {DA 265.2}          

ผู้นำที่กรุงเยรูซาเล็มส่งคนสอดแนมไปค้นหาข้ออ้างเพื่อประหารพระคริสต์  พระองค์ทรงโต้ตอบด้วยการประทานหลักฐานแห่งความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติและความเคารพยำเกรงของพระองค์ที่มีต่อพระบัญญัติและอำนาจของพระองค์ที่จะช่วยกู้จากบาปและความตาย  ด้วยประการฉะนี้ พระองค์ทรงเป็นพยานถึงคนเหล่านั้นว่า “พวกเขาตอบแทนความดีของข้าพระองค์ด้วยความชั่วและตอบแทนความรักของข้าพระองค์ด้วยความเกลียดชัง” สดุดี 109 ข้อที่ 5  พระองค์ผู้ประทานคำสอน “จงรักศัตรูของท่าน ” ทรงเป็นแบบอย่างด้วยตัวพระองค์เองถึงหลักการของการไม่ตอบโต้ “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่ว หรืออย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้าม จงอวยพร” มัทธิว 5 ข้อที่ 44; 1 เปโตร 3 ข้อที่ 9  {DA 265.3}           

ปุโรหิตคนเดียวกันกับที่ตัดสินเนรเทศคนโรคเรื้อนนั้นเป็นผู้ให้คำรับรองการหายโรคของเขา  คำตัดสินที่ประกาศออกไปและที่บันทึกไว้นี้เป็นหลักฐานยืนยันสำหรับพระคริสต์  คนที่หายโรคจึงกลับไปยังชุมนุมชนคนอิสราเอลด้วยหลักฐานยืนยันของปุโรหิตเองว่าไม่มีร่องรอยของโรคหลงเหลืออยู่ในตัวของเขา  เขาเองเป็นพยานที่มีชีวิตสำหรับพระเจ้าผู้ทรงมีบุญคุณต่อเขา  ด้วยความชื่นชมยินดีเขาถวายเครื่องบูชาของเขาและเทิดทูนพระนามของพระเยซู  ปุโรหิตถูกโน้มน้าวด้วยอำนาจความเป็นพระเจ้าของพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาได้โอกาสที่จะรู้จักความจริงและได้รับประโยชน์จากแสงสว่างนั้น หากพวกเขาปฏิเสธ โอกาสนั้นก็จะผ่านพ้นไปโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีก  มีคนมากมายปฏิเสธแสงสว่างนี้ แต่กระนั้นแสงนี้ก็ไม่ได้ประทานมาให้โดยเปล่าประโยชน์  มีหัวใจมากมายที่ได้รับการสัมผัสแต่ไม่ได้แสดงสัญญาณใดๆ ออกมาอยู่ชั่วระยะหนึ่ง  ในช่วงชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดนั้นดูเสมือนหนึ่งว่าพระราชกิจของพระองค์ได้รับการตอบสนองด้วยความรักจากบรรดาปุโรหิตและครูผู้สอนแต่เพียงเล็กน้อย แต่ภายหลังที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์แล้ว “พวกปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ”  กิจการ 6 ข้อที่ 7  {DA 265.4}

พระราชกิจแห่งการรักษาของพระคริสต์เพื่อให้คนโรคเรื้อนหายจากโรคน่ากลัวของเขานั้นเป็นการสอนให้เห็นถึงพระราชกิจของพระองค์ในการชำระจิตวิญญาณจากบาป  ชายที่มาหาพระเยซู “เป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว” พิษแห่งความตายแผ่ไปทั่วร่างกายของเขา สาวกพยายามขัดขวางพระอาจารย์จากการสัมผัสคนนั้น เพราะผู้ที่แตะต้องคนโรคเรื้อนจะเป็นคนที่มีมลทินเสียเอง  แต่เมื่อพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ลงบนคนโรคเรื้อนนั้น พระเยซูไม่ทรงเป็นมลทิน  การสัมผัสของพระองค์ประทานอำนาจที่ให้ชีวิต  พระองค์ทรงชำระคนโรคเรื้อนให้หายสะอาด   โรคเรื้อนแห่งความบาปก็เป็นเหมือนเช่นนี้ คือ ฝังรากลึก นำมาซึ่งความตายและชำระล้างให้สะอาดด้วยกำลังอำนาจของมนุษย์ไม่ได้  “ศีรษะก็เจ็บไปหมด ใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น ตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงศีรษะ ไม่มีตรงไหนปรกติเลย ล้วนแต่ฟกช้ำและเป็นรอยเฆี่ยน ทั้งยังเป็นแผลเลือดไหล”  อิสยาห์ 1 ข้อที่ 5, 6  แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติพระองค์ไม่ได้เปรอะเปื้อนด้วยมลทิน  การมาปรากฏของพระองค์นั้นมีคุณงามความดีให้กับคนบาป  ใครก็ตามเมื่อกราบลงแทบพระบาทและทูลด้วยความเชื่อว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” จะได้ยินคำตอบกลับมาว่า “เราพอใจแล้ว จงหายสะอาด”  มัทธิว 8 ข้อที่ 2, 3  {DA 266.1}                 

ในการรักษาโรคบางกรณี พระเยซูไม่ได้ประทานพระพรให้แก่ผู้ที่ต้องการทันที แต่สำหรับคนโรคเรื้อนแล้ว ในทันทีที่เขาทูลขอ พระองค์ก็ทรงโปรดประทานให้อย่างฉับพลัน  เมื่อเราอธิษฐานขอพระพรทางฝ่ายโลก คำตอบอาจจะมาช้าหรือพระเจ้าอาจประทานสิ่งอื่นที่เราไม่ได้ทูลขอ  แต่คำตอบจะไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเราขอการทรงช่วยเพื่อให้หลุดพ้นจากบาป   พระเจ้าทรงประสงค์ชำระเราจากบาปเพื่อให้เราเป็นบุตรของพระองค์และเพื่อช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ พระคริสต์ “ทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา”  กาลาเทีย 1 ข้อที่ 4  “และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์”  1 ยอห์น 5 ข้อที่ 14, 15  “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”  1 ยอห์น 1 ข้อที่ 9  {DA 266.2}                

พระคริสต์ทรงสอนความจริงเดียวกันนี้อีกครั้งในการรักษาคนง่อยที่เมืองคาเปอรนาอุม  พระองค์ทรงประกอบการอัศจรรย์นี้เพื่อสำแดงฤทธิ์อำนาจของการอภัยบาป  การรักษาคนง่อยผู้นี้ยังแสดงให้เห็นภาพของความจริงอันมีค่าอื่นๆ อีกหลายประการ เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังและกำลังใจ  และเนื่องจากเรื่องนี้เชื่อมโยงกับการถากถางเสียดสีของพวกฟาริสี จึงมีบทเรียนเตือนใจด้วยเช่นกัน  {DA 267.1}                

คนง่อยนี้สูญสิ้นความหวังทั้งหมดที่จะหายโรคเหมือนผู้ป่วยโรคเรื้อนคนนั้น  โรคของเขาเป็นผลจากชีวิตที่ทำบาปและความเจ็บปวดของเขาทำให้เขาสำนึกผิดอย่างขมขื่น  ก่อนหน้านี้เขาเคยอ้อนวอนขอให้พวกฟาริสีและแพทย์ทั้งหลายช่วยเหลือเพื่อหวังที่จะได้รับการบรรเทาจากความทุกข์ระทมของความคิดและความเจ็บปวดทางกาย  แต่พวกเขากลับประกาศอย่างเย็นชาว่าเขาเป็นโรคที่รักษาให้หายไม่ได้และปล่อยให้เขาตกไปอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า  พวกฟาริสีถือว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นหลักฐานถึงความไม่พอพระทัยของพระเจ้า  และพวกเขาจะแยกตัวเองให้อยู่เหนือคนเจ็บป่วยและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ  แต่ถึงกระนั้นมีอยู่บ่อยครั้งที่บรรดาผู้ยกตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กลับทำผิดมากกว่าผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากที่พวกเขาตำหนิเสียอีก  {DA 267.2}                

ชายง่อยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และเมื่อมองไปรอบตัวเขามองไม่เห็นความช่วยเหลือจากทิศใด เขาก็จมลงสู่ความสิ้นหวัง  แต่แล้วเขาได้ยินเรื่องพระราชกิจอันประเสริฐของพระเยซู มีคนบอกเขาว่าคนที่ทำบาปพอๆ กับเขาและช่วยเหลือตนเองไม่ได้ยังได้รับการรักษาให้หาย แม้คนโรคเรื้อนก็ยังหายสะอาด และเพื่อนๆ ที่นำเรื่องนี้มาบอกเขาก็หนุนใจให้เขาเชื่อว่าเขาเองก็อาจจะหายโรคได้เช่นกันหากเพียงแต่มีคนพาเขาไปหาพระเยซู แต่ความหวังของเขานั้นสลายไปเมื่อเขาคิดขึ้นมาได้ว่าเขาป่วยเป็นโรคนี้ได้อย่างไร  เขากลัวว่าพระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จะทนไม่ได้กับสภาพของตัวเขา {DA 267.3}                

แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้ปรารถนาการรักษาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงกลับคืนมาอีกครั้งมากไปกว่าการปลดเปลื้องจากภาระบาป  หากเพียงแต่เขาจะได้เข้าเฝ้าพระเยซูและรับคำมั่นใจว่าจะได้รับการอภัยและมีสันติสุขของสวรรค์แล้วเท่านั้น เขาก็พึงพอใจแล้วที่จะมีชีวิตอยู่หรือตายก็ได้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เสียงร้องของชายที่กำลังจะตายคือ โอ ข้าอยากเข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์!  ไม่มีเวลาที่จะสูญเสียอีกต่อไปแล้ว เนื้อหนังของเขาเริ่มเปื่อยเน่า  เขาขอให้เพื่อนๆ ช่วยเอาแคร่หามเขาไปหาพระเยซูและพวกเขาก็ทำด้วยความยินดี  แต่ในบ้านและรอบบ้านที่พระผู้ช่วยให้รอดประทับอยู่นั้นมีฝูงชนชุมนุมกันอยู่อย่างหนาแน่น ผู้ป่วยและเพื่อนของเขาเข้าถึงพระองค์หรือแม้แต่จะเข้าไปให้ใกล้พอเพื่อจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ก็ยังไม่ได้  {DA 267.4}             

พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ที่บ้านของเปโตร  กิจวัตรที่ปฏิบัติกันประจำอยู่นั้นคือสาวกมักนั่งล้อมรอบพระองค์และ “มีพวกฟาริสีและพวกอาจารย์สอนธรรมบัญญัติมานั่งอยู่ด้วย เป็นคนที่มาจากทั่วทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย และกรุงเยรูซาเล็ม”  พวกเขาเป็นคนสอดแนมเพื่อหาช่องกล่าวหาพระเยซู  ถัดจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ออกไปเป็นมหาชนหลากหลายมีทั้งคนที่กระตือรือร้น คนที่น่านับถือ คนอยากรู้อยากเห็นและคนไม่เชื่อ  คนหลายชนชาติ และชนทุกระดับสังคมก็มาอยู่ที่นั่น “ฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับพระองค์เพื่อที่จะรักษาโรคได้”  พระวิญญาณแห่งชีวิตสถิตอยู่ท่ามกลางผู้มาร่วมชุมนุมแต่พวกฟาริสีและพวกอาจารย์สอนธรรมบัญญัติไม่รู้สึกถึงการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย  พวกเขาไม่ตระหนักถึงความต้องการและจึงไม่มีการรักษาสำหรับพวกเขา “พระองค์ทรงให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดี และทรงทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า”  ลูกา 1 ข้อที่ 53  {DA 267.5}             

ผู้แบกหามคนง่อยพยายามแหวกฝ่าฝูงชนเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่ประสบผล  คนป่วยมองดูรอบตัวเองด้วยความทุกข์ที่พูดไม่ออก  เมื่อความช่วยเหลือที่ต้องการมาอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้ เขาจะยอมละทิ้งความหวังนี้ไปได้อย่างไร?  เขาเสนอให้ เพื่อนๆ แบกเขาขึ้นไปยังหลังคาบ้านและรื้อถอนหลังคาบ้านเพื่อเอาตัวเขาหย่อนลงไปยงแทบพระบาทพระเยซู  การกระทำนี้ทำให้การพูดคุยหยุดชะงักไป  พระผู้ช่วยให้รอดทรงจ้องใบหน้าเศร้าหมองและทรงมองเห็นสายตาที่เพ่งมองพระองค์  พระองค์ทรงเข้าพระทัยเหตุการณ์ได้ดี  พระองค์ทรงชักนำวิญญาณจิตที่งุนงงและสงสัยให้มาหาพระองค์  ขณะที่คนง่อยยังอยู่บ้านนั้น พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำให้เขาสำนึกบาปได้ เมื่อเขากลับใจจากบาปและเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเยซูว่าจะทำให้เขาหายบริบูรณ์ได้แล้ว พระเมตตาคุณที่ประทานชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดก็เริ่มอวยพรหัวใจปรารถนาของเขาก่อนแล้ว  พระเยซูทรงเฝ้าดูแสงประกายแรกเริ่มของความเชื่อ ซึ่งเติบโตขึ้นจนเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยเพียงพระองค์เดียวของคนบาปและได้ทรงเห็นความเชื่อนั้นเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผ่านทางความพยายามทุกๆ ย่างก้าวที่จะเข้ามาให้ถึงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์  {DA 268.1}             

บัดนี้ พระดำรัสมาถึงหูของผู้ที่ทนทุกข์ราวกับเสียงดนตรี  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว”  {DA 268.2}        

ภาระแห่งความหดหู่สิ้นหวังแล่นออกไปจากจิตวิญญาณของชายป่วย  สันติสุขของการอภัยโทษเข้ามาอยู่ในจิตวิญญาณของเขาและเปล่งประกายออกมาจากใบหน้าของเขา  ความเจ็บป่วยทางกายหายไปและทั้งตัวของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลง  คนง่อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้นได้รับการรักษาให้หายดีแล้ว!  คนบาปหนาได้รับการอภัย!  {DA 268.3}          

ด้วยความเชื่ออันใสบริสุทธิ์ เขารับพระดำรัสของพระเยซูเป็นของประทานที่ให้ประโยชน์แก่ชีวิตใหม่  เขาไม่เรียกร้องขอสิ่งอื่นใดมากไปกว่านี้  ได้แต่นอนนิ่งอยู่อย่างสุขสงบใจ  ดีใจเกินที่จะพูด  แสงสว่างแห่งสรวงสวรรค์ส่องให้สีหน้าของเขามีประกายและประชาชนมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตะลึง  {DA 268.4}           

พวกธรรมาจารย์คอยจ้องดูด้วยใจจดจ่อว่าพระคริสต์จะทรงจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร  พวกเขายังจำได้ดีว่าชายคนนี้เคยมาขอร้องให้พวกเขาช่วยและพวกเขาปฏิเสธที่จะให้ความหวังและความเห็นใจแก่เขา  แค่นี้ยังไม่พอ พวกเขายังประกาศด้วยว่าชายผู้นี้ตกอยู่ภายใต้คำสาปของพระเจ้าเนื่องจากบาปของเขา  สิ่งเหล่านี้เข้ามายังสมองของพวกเขาอย่างชัดเจนเมื่อมองเห็นชายที่นอนป่วยอยู่ต่อหน้าพวกเขา  พวกเขามองเห็นว่าทุกคนสนใจคอยดูภาพเหตุการณ์นี้ และหวั่นวิตกอย่างยิ่งว่าตนเองจะสูญเสียอิทธิพลเหนือประชนชนไป  {DA 268.5}

ผู้ทรงเกียรติเหล่านี้ไม่ได้แลกเปลี่ยนคำพูดด้วยกันเลย แต่ด้วยต่างคนต่างมองหน้ากันแล้ว พวกเขาอ่านความคิดของแต่ละคนออกได้อย่างเดียวกันว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งคลื่นความรู้สึก  พระเยซูทรงประกาศอภัยบาปของคนง่อยแล้ว  พวกฟาริสีจับใจความพระดำรัสนี้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าและก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าพวกเขาควรเสนอจุดนี้ว่าเป็นบาปที่สมควรตาย  พวกเขาพูดกันในใจว่า “ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียว”  มาระโก 2 ข้อที่ 7  {DA 269.1}               

พระเยซูทรงเพ่งมองพวกเขา  พวกเขาซ่อนความขลาดไว้และต้องการถอยหนี พระองค์ตรัสว่า “ทำไมพวกท่านจึงคิดการชั่วอยู่ในใจ? การที่พูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน?  ทั้งนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้’ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า ‘จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน’” {DA 269.2}              

และแล้วผู้ที่นอนมากับแคร่เมื่อเข้ามาเฝ้าพระเยซูนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยกำลังและขาที่ว่องไวของวัยหนุ่ม  เลือดที่ให้พลังชีวิตไหลผ่านเส้นเลือดของเขา  อวัยวะทุกส่วนของร่างกายทำงานทันที  ประกายแห่งความสุขสมบูรณ์เข้าแทนที่สภาพซีดเซียวใกล้ความตาย “คนง่อยก็ลุกขึ้น แล้วยกแคร่ของตนทันที เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งหลาย ทุกคนก็ประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้ากล่าวว่า ‘เราไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย’”  {DA 269.3}                

โอ ความรักอันประเสริฐยิ่งของพระคริสต์ พระองค์ทรงโน้มก้มลงมาเพื่อรักษาคนที่ทำบาปผิดและได้รับความทุกข์ลำบาก!  ความเป็นพระเจ้าทรงร่วมทุกข์โศกและบรรเทาความเจ็บป่วยต่างๆ ของมนุษยชาติที่ทุกข์ระกำใจ!  โอ อำนาจประเสริฐยิ่งที่สำแดงท่ามกลางเหล่าบุตรของมวลมนุษย์!  ผู้ใดเล่าจะสงสัยข่าวสารแห่งการช่วยให้รอด?  ผู้ใดเล่าจะดูแคลนพระเมตตาคุณของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเห็นใจ?  {DA 269.4}             

ร่างกายที่กำลังเปื่อยเน่าจะกลับคืนสู่สุขภาพที่ดีแข็งแรงขึ้นมาใหม่ได้นั้นจะต้องใช้พลังอำนาจที่ไม่น้อยไปกว่าอำนาจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า  พระสุรเสียงเดียวกันที่ตรัสประทานชีวิตให้ชายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาจากผงคลีดินได้ตรัสประทานชีวิตให้ชายง่อยที่กำลังจะตาย  และอำนาจเดียวกันนี้ที่ประทานชีวิตให้แก่เนื้อหนังได้ทำให้เกิดหัวใจใหม่  พระองค์ผู้ที่ในขณะสร้างโลก “ตรัส โลกก็เกิดขึ้นมา” และเมื่อ “ทรงบัญชา มันก็ตั้งมั่นคง”  สดุดี 33 ข้อที่ 9  นั้น ได้ตรัสประทานชีวิตให้แก่จิตวิญญาณที่ตายในความผิดและความบาป  การรักษาร่างกายให้หายนั้นเป็นหลักฐานแสดงถึงอำนาจที่ทำให้หัวใจเกิดใหม่  พระคริสต์ตรัสบัญชาให้ชายง่อยลุกขึ้นเดินนั้นก็ “เพื่อให้ท่านรู้ว่า” พระองค์ตรัส “บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้” {DA 269.5}                

พระคริสต์ทรงรักษาชายง่อยทั้งทางด้านจิตวิญญาณและด้านร่างกาย  การรักษาทางฝ่ายจิตวิญญาณให้หายจะส่งผลทำให้การรักษาทางกายให้หายกลับสู่ปกติตามมาด้วย  จะต้องไม่ถูกมองข้ามบทเรียนนี้  ในโลกวันนี้ มีคนนับพันที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย  พวกเขามีสภาพเหมือนเช่นคนง่อยที่กำลังรอคอยพระดำรัสที่ว่า “บาปต่างๆ ของท่านได้รับอภัยแล้ว” ภาระบาปพร้อมด้วยความไม่สงบและความปรารถนาที่ไม่เคยรู้จักพอของบาปนั้นเป็นรากฐานโรคภัยของเขา พวกเขาจะไม่พบการบรรเทาจากโรคภัยจนกว่าจะเข้ามาเฝ้าพระผู้ทรงรักษาของจิตวิญญาณ สันติสุขที่มีเพียงพระองค์ผู้เดียวจะประทานให้ได้นั้นจะมอบความว่องไวให้แก่ปัญญาและสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกาย  {DA 270.1}

พระเยซูเสด็จมา “เพื่อทำลายกิจการของมาร” “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต” และพระองค์ตรัสว่า “เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์” พระองค์ทรง “เป็นวิญญาณผู้ประทานชีวิต” 1 ยอห์น 3 ข้อที่ 8  ยอห์น 1 ข้อที่ 4; 10 ข้อที่ 10  1 โครินธ์ 15 ข้อที่ 45  และในปัจจุบันพระองค์ยังทรงมีพลังอำนาจที่ให้ชีวิตเช่นเดียวกับครั้นเมื่อสมัยที่ทรงอยู่ในโลกเมื่อทรงรักษาคนป่วยและตรัสอภัยให้คนบาป พระองค์ “ผู้ทรงอภัยความชั่วทั้งสิ้นของเจ้า” พระองค์ “ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของเจ้า”  สดุดี 103 ข้อที่ 3  {DA 270.2}         

ผลที่เกิดกับประชาชนจากการรักษาชายง่อยคือ ดูประหนึ่งว่าสวรรค์ได้เปิดออกและแสดงให้เห็นรัศมีภาพของโลกที่ดีกว่า  ในขณะที่ชายหายป่วยเดินฝ่าฝูงชนไปและสรรเสริญพระเจ้าในทุกย่างก้าวพร้อมทั้งแบกภาระของเขาที่เบาอย่างขนนกนั้น ประชาชนต่างถอยหลังหลีกทางให้และจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่ประหม่าตกใจกลัวอย่างเหลือเชื่อและกระซิบคุยกันเบาๆ ว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ” {DA 270.3}        

พวกฟาริสีตกตะลึงจนพูดไม่ออกและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ พวกเขามองว่านี่ไม่ใช่โอกาสที่จะใช้ความอิจฉาของพวกเขายุยงฝูงชน  พระราชกิจประเสริฐที่กระทำในชายผู้ที่พวกเขามอบให้ไปอยู่กับพระพิโรธของพระเจ้านั้นประทับใจประชาชนอย่างล้นเหลือจนลืมพวกรับบีไปชั่วขณะหนึ่ง  พวกเขามองเห็นว่าพระคริสต์ทรงประกอบด้วยอำนาจที่พวกเขาถือว่าเป็นของพระเจ้าเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นลักษณะท่าทางอ่อนสุภาพและงามสง่าของพระองค์ช่างแตกต่างกับลักษณะที่หยิ่งยโสของพวกเขาเองเหลือเกิน  พวกเขารู้สึกอึกอักใจและขวยเขิน ตระหนักแต่ไม่ยอมรับว่าผู้ทรงฤทธิ์องค์หนึ่งมาสถิตอยู่ร่วมด้วย  ยิ่งหลักฐานที่แสดงว่าพระเยซูทรงมีอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้มีความหนักแน่นมากเท่าไร  พวกเขาก็ยิ่งจะยึดตัวเองให้ติดแน่นกับความไม่เชื่อมากยิ่งขึ้นเท่านั้น  จากบ้านของเปโตรที่พวกเขาได้เห็นคนง่อยหายป่วยกลับคืนสู่สภาพดีด้วยพระดำรัสของพระองค์นั้น พวกเขาเดินจากไปเพื่อค้นหาอุบายใหม่ที่จะหยุดยั้งพระบุตรของพระเจ้า  {DA 270.4}                 

อำนาจของพระคริสต์รักษาโรคทางกายไม่ว่าจะร้ายแรงหรือฝังรากลึกเพียงไรก็ตามให้หายได้ แต่โรคทางฝ่ายจิตวิญญาณจะยึดผู้ที่ปิดตาต่อต้านแสงสว่างอย่างมั่นคงถาวรมากยิ่งขึ้น  โรคเรื้อนและความง่อยไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าโรคความดื้อรั้นดันทุรังและความไม่เชื่อ  {DA 271.1}                

ในบ้านของชายง่อยที่หายป่วยแล้วนั้น มีความปีติชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวงเมื่อเขากลับมายังครอบครัวของเขาพร้อมทั้งหิ้วแคร่ที่หามเขาออกไปอย่างทุลักทุเลเพียงเมื่อไม่นานมานี้กลับมาอย่างสบาย  พวกเขาห้อมล้อมชายนี้ด้วยน้ำตาแห่งความชื่นชมยินดี  แทบไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตามองเห็น  เขายืนอยู่ต่อหน้าคนในบ้านด้วยกำลังของชายฉกรรจ์  แขนไร้ชีวิตที่พวกเขาเห็นมาตลอดนั้นพร้อมที่จะทำตามความตั้งใจของเขา ลำตัวที่ครั้งหนึ่งเคยเหี่ยวแห้งและซีดคล้ำนั้นบัดนี้สดใสและเปล่งปลั่ง  เขาเดินได้ด้วยย่างก้าวที่มั่นคงและคล่องแคล่ว  ความสุขและความหวังจารึกอยู่บนทุกส่วนของใบหน้าของเขาและแสดงออกถึงความบริสุทธิ์และสันติสุขที่เข้ามาแทนที่รอยแผลของบาปและความทุกข์ระทม  เสียงสรรเสริญแห่งความชื่นชมยินดีดังออกมาจากบ้านหลังนั้น และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติผ่านทางพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงนำความหวังมาให้ผู้สิ้นหวังและกำลังให้แก่ผู้ที่ถูกจองจำ ชายคนนี้และครอบครัวของเขาพร้อมแล้วที่จะสละชีวิตเพื่อพระเยซู ไม่มีความสงสัยที่จะทำให้ความเชื่อของเขามัวหมอง  ไม่มีความไม่เชื่อที่จะทำให้ความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์ผู้ประทานความสว่างเข้ามายังบ้านที่มืดมนหลังนี้ต้องมีตำหนิ  {DA 271.2}            

***********