บทที่ 80
ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ
ในที่สุดพระเยซูทรงพักผ่อนแล้ว วันแห่งความอับอายและความทรมานอันยาวนานสิ้นสุดลง ในขณะที่ลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้านำวันสะบาโตเข้ามา พระบุตรของพระเจ้าประทับอย่างเงียบสงบอยู่ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ พระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นแล้ว พระหัตถ์ทั้งสองกุมไว้ด้วยความสงบ พระองค์ทรงพักตลอดช่วงเวลาอันบริสุทธิ์ของวันสะบาโต {DA 769.1}
ในปฐมกาลหลังจากพระราชกิจแห่งการทรงสร้างพระบิดาและพระบุตรทั้งสองพระองค์ทรงพักผ่อนในวันสะบาโต เมื่อ "ฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน และสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่มีอยู่ในนั้นก็ถูกสร้างเสร็จ" ปฐมกาล 2 ข้อที่ 1 พระผู้สร้างและสรรพสิ่งมีชีวิตบนสวรรค์ต่างชื่นชมยินดีขณะใคร่ครวญถึงฉากอันรุ่งโรจน์ "เมื่อเหล่าดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญและบรรดาบุตรพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน?" โยบ 38 ข้อที่ 7 บัดนี้ พระเยซูทรงหยุดพักจากพระราชกิจแห่งการไถ่บาป และแม้คนทั้งหลายในโลกที่รักพระองค์จะมีความเศร้าโศก แต่กระนั้นในสวรรค์กลับมีความชื่นชมยินดี ในสายตาของชาวสวรรค์แล้วมองเห็นพระสัญญาของอนาคตที่เจิดจ้าไปด้วยพระสิริ พระราชกิจแห่งการทรงสร้างที่ได้รับการฟื้นฟูและเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการไถ่ไว้ซึ่งเมื่อได้พิชิตบาปแล้วจะไม่มีวันล้มลงอีก ผลลัพธ์ที่ไหลรินจากพระราชกิจที่เสร็จสมบูรณ์ของพระคริสต์เช่นนี้คือสิ่งที่พระเจ้าและเหล่าทูตสวรรค์มองเห็น ด้วยวันที่พระเยซูทรงหยุดพักได้ถูกเชื่อมโยงกับภาพฉากนี้ไปตลอดกาล เพราะ "พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์" และ "สารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ " เฉลยธรรมบัญญัติ 32 ข้อที่ 4; ปัญญาจารย์ 3 ข้อที่ 14 เมื่อจะมี "วาระแห่งการฟื้นฟูสรรพสิ่ง ตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา" กิจการ 3 ข้อที่ 21 วันสะบาโตแห่งการทรงสร้างซึ่งเป็นวันที่พระเยซูทรงพักผ่อนอยู่ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ จะยังคงเป็นวันพักผ่อนและวันปีติยินดี สวรรค์และโลกจะร่วมกันสรรเสริญ "จากวันสะบาโตถึงอีกวันสะบาโต" อิสยาห์ 66 ข้อที่ 23 ประชาชาติของผู้ได้รับความรอดจะก้มกราบลงนมัสการพระเจ้าและพระเมษโปดกด้วยความชื่นชมยินดี {DA 769.2}
ในเหตุการณ์ช่วงปิดท้ายของวันที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนกางเขน มีหลักฐานสดใหม่ที่ทรงโปรดประทานให้เห็นถึงคำพยากรณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ขณะที่ความมืดได้ถูกยกออกจากกางเขน และเสียงร้องจวนจะสิ้นพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดถูกเปล่งออกไปนั้น ก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันทีว่า "ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ" มัทธิว 27 ข้อที่ 54 {DA 770.1}
คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกระซิบอย่างแผ่วเบา สายตาทั้งหมดหันไปมองหาว่าเสียงนี้มาจากไหน ใครพูด? นายร้อยทหารชาวโรมันนั่นเอง ความอดทนนานอย่างพระเจ้าของพระผู้ช่วยให้รอด และการสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของพระองค์ พร้อมกับเสียงร้องแห่งชัยชนะบนริมพระโอษฐ์ของพระองค์สร้างความประทับใจให้กับชาวต่างชาติคนนี้ ในพระวรกายอันฟกช้ำและแตกหักที่แขวนอยู่บนไม้กางเขน นายร้อยมองเห็นสันฐานของพระบุตรของพระเจ้า เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะสารภาพความเชื่อของเขาได้ ด้วยประการฉะนี้ จึงมีหลักฐานให้เห็นอีกครั้งว่าพระผู้ไถ่ของเราทรงเห็นผลที่เกิดจากการตรากตรำจิตวิญญาณของพระองค์ ในวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์นั้น มีชายอยู่สามคนซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากได้ประกาศถึงความเชื่อของพวกเขาในองค์พระเยซู ได้แก่ ผู้ควบคุมทหารยามชาวโรมัน ชายที่แบกกางเขนของพระผู้ช่วยให้รอด และโจรบนไม้กางเขนที่ตายอยู่ข้างกางเขนของพระองค์ {DA 770.2}
ในขณะที่ยามค่ำคืนกำลังจะใกล้เข้ามาแล้วนั้น มีความเงียบอย่างผิดปกติล้อมอยู่เหนือกางเขนคาลวารี ฝูงชนต่างแยกย้ายกันไป และหลายคนกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ด้วยวิญญาณจิตที่แตกต่างไปจากเมื่อเช้า หลายคนวิ่งกรูเข้าไปที่กางเขนจากความอยากรู้อยากเห็นและไม่ได้เกิดจากความเกลียดชังที่มีต่อพระคริสต์ พวกเขายังคงเชื่อคำกล่าวหาของพวกปุโรหิต และมองว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้ร้าย ภายใต้ความตื่นเต้นที่ไม่เป็นธรรมชาติ พวกเขาได้เข้าร่วมกับฝูงชนร้องกล่าวโทษพระองค์ แต่เมื่อโลกถูกห่อหุ้มด้วยความมืด และพวกเขายืนอยู่ที่นั่น ถูกกล่าวโทษจากจิตใต้สำนึกตำหนิของตนเอง พวกเขาก็รู้สึกสำนึกในความผิดยิ่งใหญ่ ไม่มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยหรือเย้ยหยันออกมาจากท่ามกลางความเศร้าสลดอันน่ากลัวนั้น และเมื่อความมืดถูกยกขึ้นพวกเขาก็หาทางเดินกลับบ้านด้วยความเงียบอย่างเคร่งขรึม พวกเขาเชื่อว่าข้อกล่าวหาของพวกปุโรหิตเป็นเรื่องเท็จ เชื่อว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้เสแสร้ง และในอีกหลายสัปดาห์ต่อมาเมื่อเปโตรเทศนาในวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาเป็นหนึ่งในหลายพันคนที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสกลับใจมาหาพระคริสต์ {DA 770.3}
แต่เหตุการณ์ที่ผู้นำชาวยิวเห็นเป็นประจักษ์พยานนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลง ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อพระเยซูไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย ความมืดที่ปกคลุมโลกบริเวณที่ตรึงกางเขนนั้นไม่ได้หนาทึบไปกว่าความมืดมิดที่ยังคงห่อหุ้มจิตใจของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง ในวันที่พระองค์ประสูติ ดวงดาวรู้จักพระคริสต์ และนำนักปราชญ์ไปยังรางหญ้าที่พระองค์ประทับ ชาวสวรรค์ทั้งปวงรู้จักพระองค์และแซ๋ซ้องร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เหนือที่ราบเบธเลเฮม ทะเลรู้จักพระสุรเสียงของพระองค์ และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ โรคภัยไข้เจ็บและความตายยอมรับอำนาจของพระองค์และยอมปล่อยเหยื่อของพวกมันให้แก่พระองค์ ดวงอาทิตย์ยอมรับพระองค์และเมื่อมองเห็นความเจ็บปวดที่จวนจะสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้ซ่อนความสว่างของแสงเอาไว้ ก้อนหินรู้จักพระองค์และสั่นสะเทือนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อพระองค์ทรงกันแสง ธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตยอมรับพระคริสต์ และเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่พวกปุโรหิตและผู้ปกครองของชนชาติอิสราเอลไม่รู้จักพระบุตรของพระเจ้า {DA 770.4}
แต่ถึงกระนั้น พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ พวกเขาดำเนินการตามความมุ่งหมายของตนในการประหารพระคริสต์เรียบร้อย แต่พวกเขาไม่รู้สึกถึงชัยชนะที่พวกเขาคาดหวังไว้ แม้จะอยู่ในขณะที่อยู่ในช่วงเวลาแห่งชัยชนะที่เห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็ยังถูกความสงสัยคุกคามว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป พวกเขาได้ยินเสียงร้องว่า "สำเร็จแล้ว" "พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์" ยอห์น 19 ข้อที่ 30; ลูกา 23 ข้อที่ 46 พวกเขาเห็นก้อนหินแตกและรู้สึกถึงแผ่นดินไหวยิ่งใหญ่ และพวกเขากระสับกระส่ายและไม่สบายใจ {DA 771.1}
พวกเขาอิจฉาอิทธิพลของพระคริสต์ที่มีต่อประชาชนในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอิจฉาพระองค์แม้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาเกรงกลัวพระคริสต์ผู้สิ้นพระชนม์มากยิ่งกว่าที่เคยเกรงกลัวพระคริสต์ขณะที่ทรงมีชีวิตอยู่ พวกเขาหวาดหวั่นว่าความสนใจของประชาชนจะมุ่งไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดต่อมาหลังการตรึงกางเขนพระองค์ พวกเขากลัวผลงานของวันนั้น พวกเขาจะไม่มีทางยอมให้พระศพของพระองค์ยังคงแขวนอยู่บนไม้กางเขนในช่วงวันสะบาโต บัดนี้วันสะบาโตกำลังมาถึงแล้ว และหากยังคงปล่อยให้พระศพแขวนอยู่จะเป็นการละเมิดความบริสุทธิ์ของวันสะบาโต ดังนั้น ด้วยการใช้ข้ออ้างนี้ ผู้นำชาวยิวจึงไปขอปีลาตให้เร่งความตายของนักโทษ และให้นำร่างของพวกเขาลงจากกางเขนก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน {DA 771.2}
เช่นเดียวกับพวกเขา ปีลาตก็ไม่ต้องการให้พระศพของพระเยซูแขวนอยู่บนกางเขน เมื่อได้รับความยินยอมจากปีลาตแล้ว พวกเขาก็ทุบขาทั้งสองของโจรทั้งคู่ให้หักเพื่อเร่งให้พวกเขาตายเร็วขึ้น แต่พวกเขาพบว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว ใจที่หยาบกร้านของพวกทหารถูกทำให้อ่อนลงจากสิ่งที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นเกี่ยวกับพระคริสต์ และพวกเขายับยั้งการทุบขาของพระองค์ให้หัก ด้วยเหตุนี้การถวายพระเมษโปดกของพระเจ้าจึงสำเร็จตามกฎของพิธีปัสกา "เขาทั้งหลายต้องไม่ให้อะไรเหลือไว้จนวันรุ่งขึ้น และไม่ให้หักกระดูกแกะปัสกา ให้เขาทำตามกฎเกณฑ์ในเรื่องเทศกาลปัสกาทุกประการ" กันดารวิถี 9 ข้อที่ 12 {DA 771.3}
พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองต่างประหลาดใจเมื่อพบว่าพระคริสต์สิ้นพระชนม์แล้ว การตายด้วยการตรึงไม้กางเขนเป็นกระบวนการที่ยึดเยื้อ เป็นเรื่องยากที่จะระบุเวลาว่าชีวิตจะสิ้นสุดลงเมื่อใด การตายจากการตรึงกางเขนภายในหกชั่วโมงเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกปุโรหิตต้องการความมั่นใจว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แล้วจริง และด้วยคำแนะนำของพวกเขา ทหารคนหนึ่งได้เอาทวนแทงเข้าที่สีข้างของพระองค์ จากแผลที่เกิดขึ้น มีสายน้ำสองสายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนไหลพุ่งออกมาอย่างแรง สายหนึ่งเป็นพระโลหิต อีกสายหนึ่งเป็นน้ำ ทุกคนที่ยืนสังเกตอยู่ล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และยอห์นบันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างชัดเจน เขากล่าวว่า "ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า ‘พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว’ และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า ‘พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง’" ยอห์น 19 ข้อที่ 34-37 {DA 771.4}
หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกปุโรหิตและผู้ปกครองได้รายงานข่าวไปทั่วว่าพระคริสต์ไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงแค่เป็นลมหมดสติและหลังจากนั้นก็ฟื้นขึ้นมา อีกรายงานหนึ่งยืนยันว่าไม่ใช่พระวรกายเนื้อหนังและกระดูกที่แท้จริง แต่เป็นรูปลักษณ์เหมือนของพระวรกายที่ถูกนำไปฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพ การกระทำของทหารโรมันหักล้างความเท็จเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้ทุบขาของพระองค์ให้หักเพราะพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาแทงสีข้างของพระองค์เพื่อให้พวกปุโรหิตพอใจ หากชีวิตไม่ได้ดับสูญไปแล้ว บาดแผลนี้คงไม่ทำให้พระองค์พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ได้ทันที {DA 772.1}
แต่ไม่ใช่การแทงของทวน ไม่ใช่ความเจ็บปวดของไม้กางเขนที่ทำให้พระเยซูสิ้นพระชนม์ พระสุรเสียงที่ "ทรงร้องเสียงดัง" มัทธิว 27 ข้อที่ 50; ลูกา 23 ข้อที่ 46 ในวินาทีของความตาย กระแสเลือดและน้ำที่ไหลออกมาจากสีข้างของพระองค์นั้นได้ประกาศว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยหัวใจแตกสลาย หัวใจของพระองค์แตกสลายเนื่องจากความปวดร้าวทางจิตใจ พระองค์ทรงถูกสังหารด้วยบาปของโลกใบนี้ {DA 772.2}
การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ทำให้ความหวังของสาวกของพระองค์พังพินาศไป พวกเขามองไปยังเปลือกตาของพระองค์ที่ปิดสนิทและศีรษะที่ก้มพับลง เส้นเกศาที่ขมวดเป็นก้อนด้วยพระโลหิต รวมถึงพระหัตถ์และพระบาทที่ถูกแทงและความปวดร้าวของพวกเขานั้นก็ไม่อาจที่จะพรรณนาได้ จนถึงช่วงสุดท้ายพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ ด้วยความโศกเศร้าอย่างเต็มล้นพวกเขาจึงจำพระดำรัสตรัสของพระองค์ที่ตรัสบอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์นี้ไม่ได้ บัดนี้ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์เคยตรัสไว้จะปลอบประโลมใจพวกเขาได้ พวกเขาเห็นแต่เพียงไม้กางเขนและเหยื่อที่อาบด้วยพระโลหิต อนาคตมืดมนด้วยความสิ้นหวัง ความเชื่อของพวกเขาในพระเยซูพังพินาศไป แต่พวกเขาไม่เคยรักพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขามากเหมือนในเวลานี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยรู้สึกถึงคุณค่าของพระองค์และความจำเป็นที่จะต้องมีพระองค์สถิตอยู่ร่วมด้วย {DA 772.3}
แม้ในความตาย พระวรกายของพระคริสต์ก็ยังมีค่าอย่างมากยิ่งสำหรับสาวกของพระองค์ พวกเขาปรารถนาที่จะถวายการฝังพระศพอย่างสมเกียรติแด่พระองค์ แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร อาชญากรรมที่พระเยซูถูกกำหนดโทษประหารคือการทรยศต่อรัฐบาลโรมัน ผู้ที่รับโทษประหารจากการกระทำผิดเช่นนี้จะต้องถูกส่งไปฝังยังสถานที่ที่จัดไว้สำหรับอาชญากรประเภทนี้โดยเฉพาะ สาวกยอห์นกับสตรีจากแคว้นกาลิลียังคงอยู่รอบกางเขน พวกเขาปล่อยให้พระศพขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาตกไปอยู่ในมือของทหารที่ไร้สามัญสำนึกและยังนำไปฝังอยู่ในหลุมที่ไร้เกียรติเช่นนั้นไม่ได้ แต่กระนั้น พวกเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น พวกเขาไม่มีทางได้รับความเห็นใจจากผู้มีอำนาจชาวยิว และพวกเขาก็ไม่มีอิทธิพลต่อปีลาตด้วย {DA 772.4}
ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ โยเซฟแห่งอาริมาเธียและนิโคเดมัสได้เข้ามาช่วยพวกสาวก ชายสองท่านนี้เป็นสมาชิกสภาซันเฮดรินและคุ้นเคยกับปีลาต ทั้งสองเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพล พวกเขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องฝังพระศพของพระเยซูอย่างสมเกียรติ {DA 773.1}
ด้วยความกล้าหาญโยเซฟเข้าไปหาปีลาต และขอพระศพของพระเยซู เป็นครั้งแรกที่ปีลาตได้รู้ว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ มีรายงานที่ขัดแย้งกันมากมายที่ท่านได้รับเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะตรึงกางเขน แต่ข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์กลับถูกกีดกันออกไปจากท่านโดยเจตนา พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเตือนปีลาตให้ระวังการหลอกลวงของพวกสาวกของพระคริสต์ในเรื่องพระศพของพระองค์ เมื่อได้รับคำขอของโยเซฟแล้ว ท่านจึงให้ไปตามนายร้อยที่รับผิดชอบดูแลกางเขน และเพื่อให้มั่นใจว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วจริง ท่านยังได้ให้เขารายงานรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่คาลวารี เพื่อยืนยันคำพยานของโยเซฟด้วย {DA 773.2}
คำขอของโยเซฟได้รับการอนุมัติ ในขณะที่ยอห์นกำลังกังวลถึงเรื่องการฝังพระศพของพระอาจารย์ โยเซฟก็กลับมาพร้อมคำสั่งของปีลาตให้จัดการกับพระศพของพระคริสต์ และนิโคเดมัสได้นำเครื่องหอมผสมกำยานและว่านหางจระเข้ราคาแพงที่หนักถึงห้าสิบกิโลกรัมมาชโลมพระองค์ ในพิธีศพของคนที่มีเกียรติสูงส่งในทั้งกรุงเยรูซาเล็มคงไม่มีใครได้รับการเคารพยกย่องอย่างมากไปกว่านี้ พวกสาวกต่างประหลาดใจที่เห็นผู้ปกครองผู้ร่ำรวยเหล่านี้แสดงความใส่ใจในเรื่องพิธีฝังพระศพของพระเป็นเจ้าของพวกเขามากเท่ากับพวกเขา {DA 773.3}
ทั้งโยเซฟและนิโคเดมัสไม่ได้ยอมรับพระผู้ช่วยให้รอดอย่างเปิดเผยขณะที่พระองค์ทรงพระชนม์ พวกเขารู้ว่าการกระทำดังกล่าวของพวกเขาจะกีดกันพวกเขาออกไปจากสภาซันเฮดริน และพวกเขาหวังที่จะใช้อิทธิพลของพวกเขาปกป้องพระองค์ในสภา ดูเหมือนว่า พวกเขาจะประสบความสำเร็จอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่บรรดาปุโรหิตเจ้าเล่ห์ที่เห็นว่าพวกเขาชื่นชอบพระคริสต์ ได้สกัดกั้นต่อต้านแผนการของพวกเขา ในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่พระเยซูถูกพิพากษากำหนดโทษประหารและถูกนำไปตรึงกางเขน บัดนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ปกปิดความผูกพันของพวกเขาที่มีต่อพระองค์อีกต่อไป ในขณะที่สาวกทั้งหลายกลัวที่จะแสดงตนอย่างเปิดเผยว่าเป็นผู้ติดตามของพระองค์โยเซฟและนิโคเดมัสก็มาช่วยเหลือพวกเขาอย่างกล้าหาญ ความช่วยเหลือจากชายร่ำรวยและมีเกียรติเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างมากในยามนี้ สิ่งที่สาวกยากจนไม่มีทางทำได้เพื่อพระอาจารย์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น พวกเขาทำได้ ทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่งและอิทธิพลของพวกเขาปกป้องพวกเขาจากความมุ่งร้ายของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองได้ในระดับหนึ่ง {DA 773.4}
ด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพ พวกเขาปลดพระศพของพระเยซูลงมาจากไม้กางเขนด้วยมือของพวกเขาเอง น้ำตาแห่งความเห็นอกเห็นใจของพวกเขาไหลอย่างไม่หยุดเมื่อพวกเขามองร่างอันบอบช้ำและฉีกขาดของพระองค์ โยเซฟเป็นเจ้าของอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่เจาะในหิน เขาจัดเตรียมอุโมงค์นี้ไว้สำหรับตัวเขาเอง แต่เป็นอุโมงค์ที่อยู่ใกล้คาลวารี และบัดนี้เขาจัดเตรียมไว้ถวายพระเยซู ด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเอาผ้าป่านห่อหุ้มพระศพพร้อมกับเครื่องเทศที่นิโคเดมัสนำมาและนำพระผู้ไถ่ไปยังอุโมงค์ฝังศพ ณ ที่นั่นสาวกสามคนยืดแขนและขาที่แหลกเหลวและจับพระหัตถ์ของพระองค์มากุมวางไว้ที่พระอุระซึ่งไร้ชีพจร สตรีชาวกาลิลีคอยดูว่าทุกสิ่งที่พอจะทำได้นั้นได้ทำเสร็จแล้วเพื่อร่างไร้ชีวิตของพระอาจารย์สุดที่รักของพวกเขา แล้วพวกเขาได้เห็นก้อนหินขนาดใหญ่ถูกกลิ้งปิดปากอุโมงค์ และพระผู้ช่วยให้รอดทรงถูกวางไว้ให้พักผ่อนในนั้น สตรีหลายคนอยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายที่เชิงไม้กางเขน และเป็นกลุ่มสุดท้ายที่อุโมงค์ฝังศพของพระคริสต์ ในขณะที่ค่ำคืนราตรีกำลังมาถึง มารีย์ขาวมักดาลาและมารีย์คนอื่นๆ ยังรีรออยู่รอบที่พักขององค์พระผู้เป็นเจ้า ร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าถึงชะตากรรมของพระองค์ผู้ที่พวกเขารัก "แล้วพวกนางก็กลับไป. . . .พวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ" ลูกา 23 ข้อที่ 56 {DA 774.1}
สำหรับสาวกที่โศกเศร้าเสียใจ รวมทั้งพวกปุโรหิต พวกผู้ปกครอง พวกธรรมาจารย์ และประชาชนแล้วสะบาโตวันนั้นจะเป็นวันที่ไม่มีวันลืม เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินในตอนเย็นของวันเตรียม เสียงแตรดังขึ้น บ่งบอกว่าวันสะบาโตได้เริ่มขึ้นแล้ว การถือเทศกาลปัสกาดำเนินไปตามปกติเช่นที่เป็นมานานหลายศตวรรษ ในขณะที่พระองค์ผู้ที่ปัสกาเล็งถึงได้ทรงถูกสังหารโดยคนชั่วและประทับในอุโมงค์ของโยเซฟ ในวันสะบาโตลานของพระวิหารเต็มไปด้วยผู้นมัสการ มหาปุโรหิตจากเมืองโกลโกธาอยู่ที่นั่น สวมใส่อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์อันงดงามของตน ปุโรหิตสวมหมวกขาวยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่บางคนในที่นั้นอยู่อย่างไม่สงบนิ่งในขณะที่เลือดของวัวและแพะถูกนำขึ้นถวายไถ่บาป พวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าลูกแกะแบบจำลองได้มาบรรจบพบกับลูกแกะที่เป็นต้นแบบที่แท้จริงแล้ว นั่นคือเครื่องบูชาที่ประเมินค่าไม่ได้ถูกนำขึ้นถวายเพื่อไถ่บาปของโลกแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าพิธีถวายบูชาที่ทำอยู่นั้นไม่มีคุณค่าอีกต่อไป แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครมองดูการถวายด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ แตรและเครื่องดนตรีและเสียงของนักร้องดังและชัดเจนตามปกติ แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วทุกสิ่ง มีการถามต่อๆ กันถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้อภิสุทธิสถานถูกคุ้มกันด้วยความศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ถูกรุกราน แต่บัดนี้ถูกเปิดออกให้ทุกคนมองเข้าไปได้ ผ้าม่านผืนหนาที่ทำจากผ้าลินินแท้และประดับด้วยด้ายทองคำ สีแดงและสีม่วงอย่างสวยงามวิจิตรถูกฉีกขาดจากบนลงล่าง สถานที่ที่พระยาห์เวห์พบกับมหาปุโรหิตเพื่อสื่อพระสิริของพระองค์ สถานที่ซึ่งเคยเป็นห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเปิดออกให้แก่ทุกสายตา กลายเป็นสถานที่ที่พระเจ้าจะไม่ยอมรับอีกต่อไป พวกปุโรหิตปรนนิบัติอยู่หน้าแท่นถวายเครื่องบูชาด้วยความรู้สึกเศร้าหมองว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น การที่ความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของอภิสุทธิสถานถูกเปิดออกทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงภัยพิบัติที่จะมาถึง {DA 774.2}
จิตใจของหลายคนยุ่งวุ่นวายอยู่กับความคิดต่างๆ ที่เริ่มต้นขึ้นจากฉากของกางเขนคาลวารี นับตั้งแต่เหตุการณ์ตรึงกางเขนจนถึงการเป็นขึ้นจากความตาย ดวงตามากมายที่ไม่ได้นอนหลับแต่ค้นหาคำพยากรณ์อยู่ตลอดเวลา บางคนทำเพื่อเรียนรู้ความหมายที่ครบถ้วยสมบูรณ์ของเทศกาลที่พวกเขาฉลองกันอยู่ บางคนทำเพื่อหาหลักฐานว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระองค์ที่ทรงอ้างถึง และคนอื่นๆ ด้วยใจที่โศกเศร้าค้นหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์องค์เที่ยงแท้ แม้ว่าพวกเขาจะค้นหาด้วยเป้าหมายที่แต่ต่างกัน ทุกคนได้รับการดลบันดาลใจในความจริงเรื่องเดียวกัน นั้นคือคำพยากรณ์เป็นขึ้นจริงแล้ว จากในเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา และผู้ที่ถูกตรึงทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก หลายคนที่ร่วมกันอยู่ในพิธีวันนั้นไม่ได้กลับมาเข้าร่วมพิธีปัสกาอีกต่อไป ปุโรหิตหลายคนก็ยังยอมรับพระลักษณะนิสัยที่แท้จริงของพระเยซู การศึกษาค้นคว้าคำพยากรณ์ของพวกเขาไม่ได้ไร้ผล และหลังจากทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า {DA 775.1}
เมื่อนิโคเดมัสเห็นพระเยซูทรงถูกยกขึ้นบนไม้กางเขนนั้น เขาจำพระดำรัสตรัสของพระองค์ในยามค่ำคืนบนภูเขามะกอกเทศได้ "โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์" ยอห์น 3 ข้อที่ 14, 15 ในวันสะบาโตนั้นเมื่อพระคริสต์ประทับอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ นิโคเดมัสมีโอกาสใคร่ครวญไตร่ตรอง บัดนี้แสงสว่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้นทำให้จิตใจของเขากระจ่างขึ้น และถ้อยคำที่พระเยซูตรัสกับเขาก็ไม่ลึกลับอีกต่อไป เขารู้สึกได้ว่าเขาได้สูญเสียโอกาสไปมากที่ไม่นำตัวเองไปติดสนิทกับพระผู้ช่วยให้รอดในชณะที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ บัดนี้เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่คาลวารี คำอธิษฐานของพระคริสต์ที่มีให้แก่ฆาตกรของพระองค์และคำตอบของพระองค์ที่ประทานให้แก่คำร้องขอของโจรที่กำลังจะตายนั้นได้พูดบางสิ่งกับหัวใจของสมาชิกสภาที่คงแก่เรียนผู้นี้ อีกครั้งเขาเพ่งมองพระผู้ช่วยให้รอดในความทุกข์ทรมานของพระองค์และอีกครั้งเขาได้ยินเสียงร้องครั้งสุดท้ายว่า "สำเร็จแล้ว" เป็นเหมือนดั่งคำพูดของผู้ชนะ อีกครั้งเขามองโลกที่โคลงแคลงไป ท้องฟ้าที่มืดมิด ม่านที่ฉีกขาด และก้อนหินที่แตกสลายไป และความเชื่อของเขาที่หยั่งรากลึกอย่างมั่นคงไปตลอดกาล เหตุการณ์ที่ทำลายความหวังของพวกสาวกกลับทำให้โยเซฟและนิโคเดมัสเชื่อในความเป็นพระเจ้าของพระเยซู ความกล้าหาญของความเชื่อที่มั่นคงและไม่หวั่นไหวได้เอาชนะความกลัวของพวกเขาแล้ว {DA 775.2}
ไม่เคยมีเวลาใดที่พระคริสต์ดึงดูดความสนใจของฝูงชนได้เท่ากับในเวลานี้ที่พระองค์ถูกวางไว้ในอุโมงค์ฝังศพ เช่นเคยประชาชนต่างพาคนป่วยและคนที่ตกทุกข์ทรมานมายังลานพระวิหาร ตามที่เคยปฏิบัติกันมาตลอด ต่างถามกันว่ามีใครบ้างที่จะบอกพวกเราถึงเรื่องของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ? หลายคนมาจากแดนไกลเพื่อขอเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ทรงรักษาคนเจ็บป่วยและทำให้คนตายเป็นขึ้นมา รอบด้านมีแต่เสียงร้องหาว่าต้องการพระคริสต์พระผู้ทรงรักษา! ในเวลานี้ ผู้คนที่คิดว่าน่าจะเป็นโรคเรื้อนจะต้องผ่านการตรวจสอบของพวกปุโรหิต หลายคนถูกบังคับให้ต้องฟังคำตัดสินว่าสามีหรือภรรยาหรือลูกของตนถูกประกาศว่าเป็นโรคเรื้อน และถูกตัดสินให้ออกไปจากที่พักพิงของบ้านและการดูแลของมิตรสหาย เพื่อคอยเตือนคนแปลกหน้าด้วยเสียงร้องโหวหวนว่า "มลทิน มลทิน!" พระหัตถ์ที่เป็นมิตรของพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งไม่เคยปฏิเสธที่จะสัมผัสเพื่อการรักษาผู้เป็นโรคเรื้อนที่น่ารังเกียจถูกพับไว้บนพระอุระของพระองค์ ริมพระโอษฐ์ที่ตอบคำร้องของเขาด้วยถ้อยคำที่ปลอบโยน "เราพอใจแล้ว จงหายสะอาด" มัทธิว 8 ข้อที่ 3 บัดนี้เงียบกริบ หลายคนวิงวอนขอความเห็นอกเห็นใจและการสงเคราะห์จากมหาปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง แต่ก็ไร้ผล เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะมีพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ท่ามกลางพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาทูลขอพระองค์ด้วยความตั้งใจจริงอย่างไม่ลดละ พวกเขาจะไม่หันหลังกลับ แต่พวกเขาถูกขับออกจากลานพระวิหาร และทหารถูกบัญชาให้ไปยืนประจำการที่ประตูต่างๆ เพื่อป้องกันฝูงชนที่มาพร้อมกับคนเจ็บป่วยและคนที่กำลังจะเสียชีวิตพร้อมทั้งที่ร้องขอให้เข้าไปยังลานพระวิหาร {DA 776.1}
ผู้ที่ได้รับความทุกข์ที่มาเพื่อขอการเยียวยาจากพระผู้ช่วยให้รอดต่างพากันจมปลักอยู่ภายใต้ความผิดหวัง ท้องถนนเต็มไปด้วยการร้องไห้คร่ำครวญ คนป่วยกำลังจะตายเพราะขาดการสัมผัสแห่งการรักษาของพระเยซู พวกเขาปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาแล้วแต่ก็ผิดหวัง แพทย์ทั้งหลายไม่มีทักษะใดเหมือนพระองค์ผู้ประทับอยู่ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ {DA 776.2}
เสียงร้องคร่ำครวญของผู้ที่ทำให้จิตใจหลายพันคนเชื่อมั่นว่าแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ในโลกได้ดับมืดไปแล้ว เมื่อไม่มีพระคริสต์ โลกก็ดำมืดและตกอยู่ในความโง่เขลา หลายคนที่เปล่งเสียงร้องขึ้นว่า "เอาไปตรึง เอาไปตรึงที่กางเขน" บัดนี้ตระหนักได้แล้าถึงหายนะที่เกิดขึ้นกับพวกเขาและอยากจะร้องอย่างกระตือรือร้นว่า โปรดเอาพระเยซูมาให้แก่พวกเรา! หากพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ {DA 776.3}
เมื่อประชาชนได้ยินว่าพระเยซูถูกพวกปุโรหิตประหารชีวิตจึงมีการซักถามกันขึ้นมาถึงเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ รายละเอียดของการพิจารณาคดีของพระองค์ถูกเก็บไว้เป็นความลับมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ พระนามของพระองค์ติดอยู่บนริมฝีปากของคนนับพันและรายงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีของพระองค์อย่างหลอกลวงและการปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไร้ความปรานีของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองถูกแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง พวกคนที่มีปัญญาได้เชิญพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองมาอธิบายคำพยากรณ์ของพันธสัญญาเดิมที่เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ และในขณะที่พยายามใส่ความเท็จบางอย่างเข้าไปในคำตอบ พวกเขาก็ดูคล้ายคนวิกลจริตอธิบายคำพยากรณ์ที่ชี้ถึงการทรมานและความตายของพระคริสต์ไม่ได้ แต่คนจำนวนมากที่ซักถามรู้สึกมั่นใจว่าคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว {DA 776.4}
การแก้แค้นที่พวกปุโรหิตคิดว่าจะหวานชื่นใจนั้นกลับกลายเป็นความขมขื่นสำหรับพวกเขาไปแล้ว พวกเขารู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับการตำหนิอย่างรุนแรงจากประชาชน พวกเขารู้ดีว่าคนที่พวกเขาใช้อิทธิพลเพื่อต่อต้านพระเยซูนั้น บัดนี้กำลังรู้สึกสยองขวัญกับงานอันน่าอับอายที่พวกเขาเองได้ทำลงไป พวกปุโรหิตเหล่านี้พยายามเชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้หลอกลวง แต่ก็ไร้ผล พวกเขาบางคนยืนอยู่ข้างอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสและได้เห็นคนตายกลับมีชีวิตอีก พวกเขาสั่นด้วยความกลัวว่าพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาจากความตายและปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาเคยได้ยินพระองค์ประกาศว่าพระองค์มีอำนาจที่จะสละชีวิตของพระองค์และรับกลับมาอีกครั้ง พวกเขาจำพระดำรัสของพระองค์ที่ตรัสว่า "ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน" ยอห์น 2 ข้อที่ 19 ยูดาสบอกพวกเขาถึงถ้อยคำที่พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกขณะเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย “ฟังนะ พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และพวกเขาจะลงโทษท่านถึงตาย ทั้งจะมอบตัวท่านไว้กับพวกต่างชาติเพื่อให้เยาะเย้ย เฆี่ยนตีและตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่" มัทธิว 20 ข้อที่ 18, 19 ตอนที่พวกเขาได้ยินถ้อยคำเหล่านี้พวกเขาต่างพากันเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะ แต่ในเวลานี้พวกเขาจำได้ว่าจนถึงบัดนี้คำทำนายต่างๆ ของพระคริสต์ได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว พระองค์ตรัสไว้แล้วว่าพระองค์จะเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามและใครจะบอกได้ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเล่า? พวกเขาปรารถนาที่จะหยุดความคิดเหล่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้ พวกเขาเชื่อและตัวสั่นเช่นเดียวกับมารซึ่งเป็นพ่อของพวกเขา {DA 777.1}
บัดนี้ความตื่นเต้นที่บ้าคลั่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว ภาพของพระคริสต์ได้แทรกเข้ามารบกวนจิตใจของพวกเขา พวกเขามองเห็นพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงยืนอย่างสงบนิ่งและไม่บ่นต่อหน้าศัตรูของพระองค์ ทรงทนทุกข์ทรมานโดยไม่มีเสียงบ่นต่อการสบประมาทและการทารุณกรรม ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดของพระองค์ในการพิจารณาคดีและการตรึงกางเขนกลับมาหาพวกเขาด้วยความมั่นใจอย่างหนักแน่นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พวกเขามีความรู้สึกว่าพระองค์อาจปรากฏตัวมาประทับอยู่ต่อหน้าพวกเขาได้ทุกเมื่อ ผู้ถูกกล่าวหากลับกลายเป็นผู้กล่าวหา ผู้ที่ถูกประณามกลายเป็นผู้ประณาม ผู้ถูกสังหารเพื่อเรียกร้องขอความยุติธรรมในการตายของฆาตกรของพระองค์ {DA 777.2}
พวกเขาพักผ่อนได้แต่เพียงเล็กน้อยในวันสะบาโต แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมก้าวข้ามธรณีประตูของคนต่างชาติเพราะกลัวว่าจะเป็นมลทิน แต่พวกเขาก็ยังเรียกประชุมเรื่องพระศพของพระคริสต์ ความตายและอุโมงค์ฝังศพจะต้องกักขังพระองค์ผู้ที่พวกเขาตรึงกางเขน "พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต เรียนว่า ‘ท่านเจ้าเมืองขอรับ เราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่า “ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่” เพราะฉะนั้น ขอท่านมีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกของเขาจะมาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก’ ปีลาตจึงบอกพวกเขาว่า ‘พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่จะทำได้’" มัทธิว 27 ข้อที่ 62-65. {DA 777.3}
พวกปุโรหิตเป็นคนบงการแผนการปกป้องอุโมงค์ฝังศพให้แข็งแรง ก้อนหินขนาดใหญ่ถูกวางไว้หน้าทางเข้า พวกเขาเอาเชือกผูกก้อนหินไว้อย่างแน่นหนาและประทับด้วยตราของชาวโรมัน ถ้าหินก้อนนี้ถูกกลิ้นออกไป ตราก็จะแตกออกจากกัน มีทหารยามหนึ่งร้อยคนเฝ้าตรงอุโมงค์ฝังศพเพื่อป้องกันการบุกรุก พวกปุโรหิตทำทุกขั้นตอนที่จะทำได้เพื่อให้พระศพของพระคริสต์คงอยู่ในที่วางไว้ พระองค์ทรงถูกเก็บผนึกไว้อย่างแน่นหนาในอุโมงค์ราวกับว่าพระองค์จะคงอยู่ที่นั่นตลอดกาล {DA 778.1}
นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ที่อ่อนแอได้ปรึกษาและวางแผนกัน ฆาตกรเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่าการลงแรงของพวกเขานั้นไร้ประโยชน์ แต่การกระทำของพวกเขากลับทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติ การพยายามลงแรงเพื่อป้องกันการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์เป็นหลักฐานแสดงอย่างมั่นใจที่สุดถึงความคิดเห็นของพวกเขา จำนวนยามที่วางรอบอุโมงค์ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเป็นประจักษ์พพยานที่เข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้นถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ หลายร้อยปีก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประกาศผ่านผู้ประพันธ์เพลงสดุดีว่า "เหตุใดบรรดาประชาชาติจึงคิดกบฏ? ทำไมชาวประเทศทั้งหลายคิดลมๆ แล้งๆ? บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้นและนักปกครองปรึกษากันต่อสู้พระยาห์เวห์กับผู้รับการเจิมของพระองค์. . . .พระองค์ผู้ประทับในสวรรค์ทรงพระสรวล องค์เจ้านายทรงเย้ยหยันเขาเหล่านั้น" สดุดี 2 ข้อที่ 1-4 ทหารยามโรมันและอาวุธของพวกโรมันไม่มีอำนาจที่จะกักเก็บพระเจ้าแห่งชีวิตไว้ในอุโมงค์ฝังศพได้ เวลาแห่งการปลดปล่อยของพระองค์ มาใกล้จะถึงแล้ว {DA 778.2}
**********