บทที่ 1
“พระเจ้าสถิตกับเรา”
“เขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล. . . . แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” มัทธิว 1 ข้อที่ 23 “ความสว่าง ของ . . . . เรื่องพระสิริ ของ . . . . พระฉายาของพระเจ้า” “ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์” พระเยซูคริสต์ทรงเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับพระบิดามาตั้งแต่นิรันดร์กาล พระองค์ “ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า” 2 โครินธ์ 4 ข้อที่ 4, 6 พระฉายาแห่งความยิ่งใหญ่และงามสง่า “ทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า” ฮีบรู 1 ข้อที่ 3 เพื่อสำแดงพระสิรินี้พระองค์จึงเสด็จมายังโลกใบนี้ พระองค์เสด็จมายังโลกที่ปกคลุมด้วยความมืดของบาป เพื่อเปิดเผยแสงแห่งความรักของพระเจ้า เพื่อให้ “พระเจ้าสถิตกับเรา” ดังนั้น จึงมีคำพยากรณ์กล่าวถึงพระองค์ว่า “เขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล” {DA 19.1}
เมื่อพระเยซูทรงอยู่ร่วมกับเรา พระองค์ทรงเปิดเผยพระเจ้าให้แก่ทั้งมนุษย์และทูตสวรรค์ พระองค์ทรงเป็นพระวาทะของพระเจ้า คือการทำให้พระราชดำริของพระเจ้าเป็นเสียงดังพอที่จะได้ยิน ในคำอธิษฐานของพระองค์เผื่อสาวกทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์” คือ “พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง” “เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์นั้นจะอยู่ในเขา และข้าพระองค์อยู่ในเขา” ยอห์น 17 ข้อที่ 26, อพยพ 34 ข้อที่ 6 แต่การเปิดเผยเช่นนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับบรรดาผู้ที่เกิดมาในโลกนี้เท่านั้น โลกเล็กๆ ใบนี้เป็นหนังสือบทเรียนของจักรวาล เป้าหมายแห่งพระคุณอันประเสริฐของพระเจ้าและความลี้ลับของความรักแห่งการทรงไถ่ให้รอดเป็นสาระสำคัญที่ “พวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู” และเป็นบทเรียนให้พวกเขาศึกษาได้ตลอดชั่วนิรันดร์ ทั้งผู้ที่ได้รับการไถ่ให้รอดและผู้ที่ไม่เคยล้มลงในบาปจะค้นพบว่ากางเขนของพระคริสต์เป็นศาสตร์และบทเพลงของเขา จะมองเห็นว่าพระสิริที่ส่องมาจากพระพักตร์อันเปล่งด้วยรัศมีภาพของพระเยซูเป็นพระสิริแห่งความรักที่เสียสละตนเอง ให้เห็นว่าด้วยแสงสว่างที่ส่องมาจากคาลวารีกฎของความรักที่ละทิ้งตนเองเป็นกฎของชีวิตสำหรับโลกและสวรรค์ ให้เห็นว่าความรักที่ “ไม่เห็นแก่ตัว” มีแหล่งกำเนิดมาจากพระหทัย [หัวใจ] ของพระเจ้า และยังเห็นว่าในพระเจ้าพระผู้ทรงอ่อนโยนและมีใจอ่อนน้อมทรงเปิดเผยให้เราเห็นพระลักษณะนิสัยของพระองค์ผู้ประทับในความสว่างที่มนุษย์เข้าถึงไม่ได้ {DA 19.2}
ในปฐมกาล พระราชกิจแห่งการทรงสร้างทั้งหมดเปิดเผยให้เห็นถึงพระเจ้า พระคริสต์เองทรงเป็นผู้กางท้องฟ้าและวางรากฐานของแผ่นดินโลก พระหัตถ์ของพระองค์เองเป็นผู้ทรงแขวนโลกในห้วงอวกาศและทรงตกแต่งดอกไม้ในทุ่งนา “พระองค์ผู้ทรงสถาปนาภูเขาด้วยพระกำลังของพระองค์” “ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมัน” สดุดี 65 ข้อที่ 6; 95 ข้อที่ 5 พระองค์เองทรงเป็นผู้ตบแต่งโลกให้สวยงาม และบรรยากาศเต็มไปด้วยบทเพลง พระองค์ทรงจารึกข่าวสารแห่งความรักของพระบิดาไว้บนพื้นโลกและในอากาศและบนท้องฟ้า {DA 20.1}
บัดนี้บาปทำให้พระราชกิจอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้าต้องเปรอะเปื้อน แต่กระนั้นผลงานแห่งฝีพระหัตถ์ยังคงอยู่ แม้จนกระทั่งบัดนี้ สรรพสิ่งทั้งหมดที่ทรงสร้างประกาศพระสิริแห่งความเป็นเลิศของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่ดำรงชีวิตเพื่อตนเองนอกจากหัวใจของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว ไม่มีนกที่เกาะอยู่กลางอากาศและไม่มีสัตว์ที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นโลกเว้นเสียแต่จะรับใช้ชีวิตอื่น ไม่มีใบไม้ในป่าใหญ่หรือใบหญ้าอันต่ำต้อยในท้องทุ่งเว้นเสียแต่จะมีหน้าที่ในการรับใช้ ต้นไม้และพุ่มไม้ทุกต้นและใบไม้ทุกใบเป็นแหล่งแห่งชีวิต ซึ่งถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้วมนุษย์และสัตว์จะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ และในทางกลับกันมนุษย์และสัตว์ก็รับใช้ชีวิตของต้นไม้และพุ่มไม้และใบไม้ ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมและเปิดเผยความสวยงามเพื่อเป็นพรให้แก่โลก ดวงอาทิตย์ส่องสว่างให้โลกอันกว้างใหญ่ได้เบิกบานสำราญใจ มหาสมุทรเองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำพุและบ่อน้ำทั้งหลายของเราก็รับสายธารจากทั่วสารทิศ แต่มันรับมาเพื่อให้ต่อไป ละอองน้ำที่ลอยขึ้นจากกลางน้ำ ตกลงมาเป็นหยาดน้ำฝนเพื่อรดแผ่นดินโลก ทำให้บังเกิดผลและแตกหน่อ {DA 20.2}
บรรดาทูตสวรรค์แห่งสง่าราศีมีความสุขด้วยการให้ พวกเขาให้ความรักและการคุ้มครองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแก่จิตวิญญาณทั้งหลายที่ล้มลงในบาปและไม่มีความชอบธรรม ชาวสวรรค์ตามหาหัวใจของมนุษย์ พวกเขานำแสงสว่างจากพระบัลลังก์เบื้องบนลงมายังโลกที่มืด รับใช้ด้วยความอ่อนโยนและอดทนต่อวิญญาณจิตของมนุษย์ เพื่อนำผู้หลงหายกลับมาสามัคคีธรรมร่วมกับพระคริสต์ด้วยความใกล้ชิดที่เกินความเข้าใจของพวกเขา {DA 21.1}
แต่เมื่อเราหันความคิดออกไปจากตัวแทนขนาดเล็กทั้งหมดนี้แล้ว เราจะมองเห็นพระเจ้าในพระเยซู เมื่อมองไปยังพระเยซู เราจะมองเห็นว่าทรงเป็นพระสิริของพระเจ้าของเราที่มีแต่จะให้ “เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ” พระคริสต์ตรัส “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดา” “เราไม่ได้แสวงหาเกียรติของเราเอง” แต่ “แสวงหาเกียรติให้ผู้ที่ใช้ [เรา] มา” ยอห์น 8 ข้อที่ 28; 6 ข้อที่ 57; 8 ข้อที่ 50; 7 ข้อที่ 18 พระดำรัสเหล่านี้แสดงถึงหลักการยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นกฎแห่งชีวิตสำหรับจักรวาล พระคริสต์ทรงรับทุกสิ่งจากพระเจ้าแต่พระองค์ทรงรับเพื่อประทานต่อ ดังนั้นในท้องพระโรงแห่งสวรรค์และในพระราชกิจของพระองค์เพื่อสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นนั้น ชีวิตของพระบิดาได้ถ่ายทอดไปยังทุกสิ่งโดยผ่านทางพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ และโดยผ่านทางพระบุตร คลื่นกระแสแห่งรักก็จะถ่ายทอดเป็นการสรรเสริญและการรับใช้ด้วยความชื่นบานกลับไปยังพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง และโดยผ่านทางพระคริสต์ในลักษณะเช่นนี้ วงจรแห่งการให้ด้วยใจโอบอ้อมอารีซึ่งเป็นกฎแห่งชีวิตจึงครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งแสดงถึงพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าพระผู้ประทานยิ่งใหญ่ (DA 21.2}
ในสวรรค์นั่นเองที่กฎนี้ถูกล่วงละเมิดไป บาปก่อตัวขึ้นจากการแสวงหาเพื่อตนเอง ลูซีเฟอร์เครูบผู้พิทักษ์ต้องการเป็นที่หนึ่งในสวรรค์ เขาหาทางคอยควบคุมชาวสวรรค์ เพื่อจะหันเหพวกเขาออกจากพระผู้สร้างของพวกเขาและเพื่อนำพวกเขาให้จงรักภักดีต่อตัวเขาเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำเสนอพระเจ้าไปในทางที่ผิดและอ้างว่าพระองค์ทรงประสงค์ยกตัวพระองค์เองให้สูงส่ง เขาหาช่องทางที่จะนำอุปนิสัยอันชั่วช้าของเขาเองใส่ให้กับพระผู้สร้างผู้ทรงเปี่ยมด้วยรัก ด้วยการใช้วิธีนี้เขาหลอกทูตสวรรค์ ด้วยการใช้วิธีนี้เขาล่อลวงมนุษย์ เขานำให้พวกเขาสงสัยพระวจนะของพระเจ้าและคลางแคลงในคุณงามความดีของพระองค์ เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเที่ยงธรรมและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่อย่างน่าเกรงขาม ซาตานทำให้มนุษย์มองว่าพระองค์ทรงโหดเหี้ยมร้ายกาจและไม่ให้อภัย ด้วยวิธีเช่นนี้เขาจึงดึงมนุษย์ให้เข้าร่วมกับเขาในการกบฏต่อพระเจ้า แล้วค่ำคืนมืดมิดแห่งความทุกข์ยากลำบากจึงตกลงมายังโลก {DA 21.3}
โลกมืดมนไปเพราะการเข้าใจพระเจ้าผิด เพื่อขจัดเงาแห่งความโศกและนำโลกกลับไปยังพระเจ้า จะต้องตัดอำนาจหลอกลวงของซาตานให้ขาด เรื่องนี้ทำให้สำเร็จโดยใช้กำลังบังคับไม่ได้ การใช้อำนาจบังคับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับหลักการแห่งการปกครองของพระเจ้า พระองค์ทรงประสงค์แต่การรับใช้แห่งความรักเท่านั้น การบงการ กำลังหรืออำนาจสั่งให้รักไม่ได้ มีเพียงความรักเท่านั้นที่จะปลุกความรักให้ตื่นขึ้นได้ การรู้จักพระเจ้าคือการรักพระองค์ จะต้องสำแดงออกมาให้เห็นว่าพระลักษณะอุปนิสัยของซาตาน พระเจ้าเพียงองค์เดียวทั่วทั้งจักรวาลที่ทรงประกอบพระราชกิจนี้ได้ มีเพียงความรักเท่านั้นที่จะปลุกความรักให้ตื่นขึ้นได้ การรู้จักพระเจ้าคือการรักพระองค์ จะต้องสำแดงให้เห็นว่าพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าแตกต่างจากลักษณะของซาตาน ทั่วทั้งจักรวาลมีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวผู้ทรงประกอบกิจนี้ได้ มีเพียงผู้พระองค์ผู้ทรงหยั่งรู้ถึงความสูงและความลึกล้ำของความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงเปิดเผยออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ในค่ำคืนที่มืดมนของโลก “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้” จะต้องปรากฎ มาลาคี 4 ข้อที่ 2 {DA 22.1}
แผนการเพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นภายหลังอาดัมล้มลงในบาป แผนการนี้เป็นการเปิดเผย “ข้อล้ำลึก ซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่โบราณกาล” โรม 16 ข้อที่ 25 เป็นการเปิดเผยหลักการซึ่งเป็นรากฐานของพระบัลลังก์ของพระเจ้ามาตั้งแต่อดีตนิรันดร์กาล พระเจ้าและพระคริสต์ทรงทราบมาตั้งแต่แรกเริ่มถึงการกบฏของซาตานและการล้มลงของมนุษย์ เนื่องด้วยอำนาจการหลอกลวงของผู้ล่วงละเมิดมาแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้บาปต้องเกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงเห็นล่วงหน้าว่าบาปจะเกิดขึ้นและทรงหาทางออกเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินอันเลวร้ายน่ากลัวนี้ พระองค์ทรงรักโลกนี้มากจนกระทั่งพระองค์ทรงทำพันธสัญญาด้วยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ ” ยอห์น 3 ข้อที่ 16 {DA 22.2}
ลูซีเฟอร์พูดไว้แล้วว่า “ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้าเหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า. . . .ข้าจะทำให้ตัวของข้าเองเหมือนองค์ผู้สูงสุด” อิสยาห์ 14 ข้อที่ 13, 14 แต่พระคริสต์ พระ “ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์” ฟีลิปปี 2 ข้อที่ 6, 7 {DA 22.3}
นี่เป็นการเสียสละที่พระองค์ทรงกระทำด้วยความสมัครใจ พระเยซูน่าจะยังคงประทับอยู่เคียงข้างพระบิดา พระองค์น่าจะยังคงเก็บพระสิริของสวรรค์และความเคารพนับถือของทูตสวรรค์ไว้ แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะมอบคทาคืนให้กับพระหัตถ์ของพระบิดาและทรงก้าวลงจากพระบัลลังก์ของจักรวาล เพื่อพระองค์จะทรงนำแสงสว่างไปให้ผู้ที่อยู่ในความมืดและประทานชีวิตแก่ผู้ที่กำลังพินาศ {DA 22.4}
เมื่อเกือบสองพันปีที่แล้ว มีเสียงลึกลับเสียงหนึ่งดังขึ้นในฟ้าสวรรค์จากพระที่นั่งของพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์. . . .ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์ ตามที่มีเรื่องข้าพระองค์เขียนไว้ในหนังสือม้วน” ฮีบรู 10 ข้อที่ 5-7 ด้วยพระดำรัสที่ประกาศนี้ ทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าที่ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่อดีตกาลนิรันดร์เกิดขึ้นจริง พระคริสต์กำลังจะเสด็จมายังโลกของเราและทรงมาบังเกิดเป็นเนื้อหนัง พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์” หากพระองค์เสด็จมาพร้อมด้วยรัศมีภาพที่เป็นของพระองค์ขณะอยู่ร่วมกับพระบิดาก่อนมีโลกใบนี้ เราจะไม่อาจทนพระสิริเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ไม่ได้ การสำแดงพระสิริของพระองค์ถูกปกปิดไว้เพื่อให้เรามองได้และไม่ถูกทำลาย ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ซ่อนอยู่ในความเป็นมนุษย์ สง่าราศีที่ตามองไม่เห็นซ่อนอยู่ภายใต้รูปกายของมนุษย์ที่ดวงตาเฝ้ามองได้ {DA 23.1}
เป้าหมายยิ่งใหญ่นี้พระเจ้าทรงเปิดเผยล่วงหน้าให้เห็นแล้วด้วยแบบและสัญลักษณ์ พุ่มไม้ลุกเป็นไฟที่พระคริสต์ทรงปรากฏต่อหน้าโมเสสเปิดเผยพระเจ้า สัญลักษณ์ที่ทรงเลือกมาเพื่อเป็นตัวแทนพระเจ้าคือพุ่มไม้อันต่ำต้อยที่ดูเสมือนว่าไม่มีสิ่งที่น่าดึงดูดใจ ความต่ำต้อยนี้ปิดซ่อนพระเจ้าผู้ทรงไม่มีขอบเขตจำกัดเอาไว้ พระเจ้าแห่งความเมตตาเก็บซ่อนพระสิริของพระองค์ในรูปแบบที่ต่ำต้อยที่สุด เพื่อให้โมเสสมองเห็นแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาไฟในเวลากลางคืนทำหน้าที่นี้เช่นกัน พระเจ้าทรงสื่อสารกับคนอิสราเอล ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ทราบถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและประทานพระคุณของพระองค์ให้แก่พวกเขา พระสิริของพระเจ้าถูกปิดซ่อนไว้และความยิ่งใหญ่ถูกปิดบังไว้เพื่อสายตาอันอ่อนแอของมนุษย์ผู้มีขอบเขตจำกัดอาจมองดูได้ ด้วยเหตุนี้พระคริสต์จึงต้องเสด็จมาใน “ร่างกายอันต่ำต้อยของเรา” ฟีลิปปี 3 ข้อที่ 21 “ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์” ฟีลิปปี 2 ข้อที่ 7 ในสายตาของโลก พระองค์ไม่มีความงดงามใดเพื่อดึงดูดให้พวกเขาปรารถนา แต่ถึงกระนั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นเนื้อหนัง ทรงเป็นแสงสว่างของสวรรค์และของโลก พระสิริของพระองค์ถูกปิดบังไว้ ความยิ่งใหญ่และความงามสง่าถูกซ่อนไว้เพื่อพระองค์จะทรงเข้ามาใกล้ผู้ที่ทุกข์โศกและถูกทดลองได้ {DA 23.2}
พระเจ้าตรัสบัญชาผ่านโมเสสเพื่อไปให้ถึงชนชาติอิสราเอลว่า “ให้พวกเขาสร้างสถานนมัสการสำหรับเรา เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา” อพยพ 25 ข้อที่ 8 และพระองค์สถิตในสถานนมัสการท่ามกลางประชากรของพระองค์ สัญลักษณ์แห่งการสถิตด้วยของพระองค์นี้อยู่กับพวกเขาตลอดเวลาการเดินทางอย่างอิดโรยท่ามกลางทะเลทราย ดังนั้น พระคริสต์ทรงจัดตั้งพลับพลาของพระองค์ท่ามกลางค่ายพักของมนุษย์ พระองค์ทรงกางเต็นท์ของพระองค์อยู่ข้างเต็นท์ของมนุษย์ เพื่อพระองค์จะทรงร่วมสถิตอยู่ท่ามกลางเราและทำให้เราคุ้นเคยกับพระลักษณะนิสัยและชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” ยอห์น 1 ข้อที่ 14 {DA 23.3}
เนื่องจากพระเยซูทรงอยู่ร่วมกับพวกเรา เรารู้ว่าพระเจ้าทรงคุ้นเคยกับการทดลองของเราและเห็นใจกับความโศกเศร้าของเรา บุตรชายและบุตรหญิงของอาดัมทุกคนจึงเข้าใจได้ว่าพระผู้สร้างของเราทรงเป็นสหายของคนบาป เพราะในทุกคำสอนแห่งพระคุณ ทุกคำมั่นสัญญาแห่งความสุข ทุกการกระทำแห่งรัก ทุกการเชิญชวนของพระเจ้าที่นำเสนอผ่านชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดในโลก พวกเรามองเห็นว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” {DA 24.1}
ซาตานนำเสนอว่ากฎแห่งรักของพระเจ้าเป็นกฎที่เห็นแก่ตัว เขาประกาศว่าคนไม่มีทางเชื่อปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าได้ การล้มลงในบาปของบรรพบุรุษคู่แรกพร้อมด้วยความทุกข์ยากทั้งหลายที่เป็นผลลัพธ์ตามมานั้น เขาโทษใส่พระผู้สร้าง และทำให้มนุษย์มองว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของบาปและความทุกข์ทรมานและความตาย พระเยซูเสด็จมาเพื่อเปิดโปงการหลอกลวงนี้ พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางเราเพื่อประทานแบบอย่างแห่งการเชื่อฟัง เพื่อการนี้ พระองค์จึงทรงรับธรรมชาติของมนุษย์และผ่านประสบการณ์ต่างๆ ของเรา “พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง” ฮีบรู 2 ข้อที่ 17 หากเราต้องทนแบกภาระใดซึ่งพระเยซูไม่ทรงทนรับมาก่อนแล้ว ซาตานอาจกล่าวหาในประเด็นนั้นว่าอำนาจของพระเจ้ามีไม่เพียงพอสำหรับเรา ด้วยเหตุนี้พระเยซู “ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ” ฮีบรู 4 ข้อที่ 15 พระองค์ทรงทนต่อการทดลองทุกอย่างที่เข้ามาหาเรา และพระองค์ไม่ทรงใช้อำนาจใดเพื่อตัวพระองค์เองที่ไม่ได้ประทานแก่เราอย่างเต็มที่ในฐานะมนุษย์ พระองค์ทรงเผชิญกับการทดลองและเอาชนะด้วยพระกำลังที่พระเจ้าประทานแด่พระองค์ พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์” สดุดี 40 ข้อที่ 8 ขณะที่พระองค์ทรงประกอบกิจแห่งการดีและทรงรักษาทุกคนที่รับความทุกข์จากซาตาน พระองค์ทรงสำแดงให้คนทั้งหลายเห็นอย่างชัดแจ้งถึงลักษณะของกฎบัญญัติของพระเจ้า และธรรมชาติของพระราชกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ ชีวิตของพระองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานว่า การเชื่อและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้เช่นกัน {DA 24.2}
ด้วยความเป็นมนุษย์องค์ พระคริสต์ทรงสัมผัสมวลมนุษยชาติ และด้วยความเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงยึดพระบัลลังก์ของพระเจ้าไว้ ในฐานะบุตรของมนุษย์ พระองค์ประทานแบบอย่างแห่งการเชื่อฟัง และในฐานะบุตรของพระเจ้า พระองค์ประทานอำนาจในการเชื่อฟัง พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ตรัสจากพุ่มไม้บนภูเขาโฮเรบว่า “‘เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น’. . . .‘ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า. . . . เราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’” อพยพ 3 ข้อที่ 14 นี่คือคำมั่นสัญญาแห่งการช่วยกู้ชนชาติอิสราเอล ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์เสด็จมา “พระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์” พระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์เองทรงเป็นพระผู้ซึ่งเราเป็น ทารกพระองค์น้อยแห่งเมืองเบธเลเฮมซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงสุภาพและมีใจอ่อนน้อมคือ “พระเจ้าทรงปรากฏในเนื้อหนัง ” 1 ทิโมธี 3 ข้อที่ 16 KJV พระองค์ตรัสกับพวกเราว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี” “เราเป็นอาหารดำรงชีวิต” “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” ยอห์น 10 ข้อที่ 11; 6 ข้อที่ 51; 14 ข้อที่ 6; มัทธิว 28 ข้อที่ 18 เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น ทรงรับประกันทุกคำมั่นสัญญาของพระเจ้า เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น [ตรัสบอกว่า] อย่ากลัวเลย “พระเจ้าสถิตกับเรา” เป็นเครื่องประกันการทรงช่วยกู้เราออกจากบาปและเป็นความมั่นใจให้เรามีอำนาจที่จะเชื่อปฏิบัติตามกฎบัญญัติของสวรรค์ {DA 24.3}
ด้วยการถ่อมลงของพระคริสต์เพื่อรับสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นถึงพระลักษณะนิสัยที่ตรงกันข้ามกับอุปนิสัยของซาตาน แต่พระองค์ทรงก้าวต่ำลงมากกว่านั้น ทรงก้าวสู่เส้นทางแห่งความอัปยศอดสู “พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน” ฟีลิปปี 2 ข้อที่ 8 ดั่งมหาปุโรหิตถอดเสื้อยศอันสง่างามของเขาและปฏิบัติหน้าที่ในชุดผ้าป่านสีขาวของปุโรหิตธรรมดาฉันใด พระคริสต์ก็ทรงรับหน้าที่คนรับใช้และถวายเครื่องเผาบูชาเช่นกันฉันนั้น โดยพระองค์เองทรงเป็นปุโรหิตและพระองค์เองทรงเป็นเหยื่อ “ท่านบาดเจ็บเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ” อิสยาห์ 53 ข้อที่ 5 {DA 25.1}
พระคริสต์ทรงรับการปฏิบัติในสิ่งที่เราสมควรรับ เพื่อว่าเราจะได้รับการปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงสมควรรับ พระองค์ทรงรับโทษเพื่อบาปของเรา ซึ่งพระองค์ไม่สมควรมีส่วน เพื่อว่าเราจะได้รับการชำระให้สะอาดปราศจากบาปโดยความชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งเราไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย พระองค์ทรงรับทุกข์จนถึงมรณาซึ่งควรเป็นของเรา เพื่อเราจะได้รับชีวิตที่เป็นของพระองค์ ด้วยการที่ “ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา” อิสยาห์ 53 ข้อที่ 5 {DA 25.2} โดยชีวิตและความมรณาของพระองค์ พระคริสต์ทรงปฏิบัติกิจสำเร็จลุล่วงมากยิ่งไปกว่าการบูรณะความเสียหายที่เกิดจากบาปให้กลับคืนมา เป็นเป้าหมายของซาตานที่จะแยกพระเจ้ากับมนุษย์ไปตลอดชั่วนิรันดร์ แต่ในพระคริสต์เราติดสนิทกับพระเจ้าได้มากยิ่งกว่าก่อนที่เราจะล้มลงในบาปเสียอีก ในการรับสภาพธรรมชาติมนุษย์ของเรานั้น พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชื่อมสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยสายสัมพันธ์ที่จะไม่มีวันขาดตลอดไป พระองค์ทรงเชื่อมโยงกับเราตลอดยุคนิรันดร์กาล “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” ยอห์น 3 ข้อที่ 16 พระเจ้าประทานพระองค์ไม่เพียงเพื่อแบกรับบาปของเราและสิ้นพระชนม์ด้วยการเป็นเครื่องถวายบูชาไถ่บาปของเราเท่านั้น แต่พระเจ้าประทานพระองค์แก่มวลมนุษยชาติที่ล้มลงในบาปด้วย เพื่อให้เรามั่นใจในการเป็นที่ปรึกษาแห่งสันติสุขอันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของพระองค์ พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์แก่ครอบครัวของมนุษยชาติและคงรักษาสภาพธรรมชาติมนุษย์ของพระองค์ไว้ตลอดไป นี่คือพระสัญญาที่พระเจ้าจะทรงปฏิบัติกิจให้สำเร็จ “ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน” อิสยาห์ 9 ข้อที่ 6 พระเจ้าทรงรับธรรมชาติมนุษย์เอาไว้จากในความเป็นบุคคลของพระบุตรของพระองค์และทรงนำธรรมชาติมนุษย์นี้ขึ้นไปยังสถานที่สูงสุดของสวรรค์ บัดนี้ “บุตรมนุษย์” ทรงร่วมประทับอยู่บนบัลลังก์ของจักรวาล “บุตรมนุษย์” พระองค์นี้ที่ทรงพระนามว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช” อิสยาห์ 9 ข้อที่ 6 เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น พระองค์นี้คือผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างพระเจ้ากับมนุษยชาติ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงวางอยู่บนทั้งสองด้าน พระองค์ผู้ทรง “บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งหลาย” ไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียกเราเป็นพี่น้อง ฮีบรู 7 ข้อที่ 26; 2 ข้อที่ 11 ในพระคริสต์ ครอบครัวของโลกและครอบครัวของสวรรค์ผูกพันเข้าด้วยกัน พระคริสต์ผู้ทรงรับพระสิริแล้วทรงเป็นพี่ชายของเรา พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงได้รับการประดิษฐานขึ้นในท่ามกลางมวลมนุษย์ และมนุษยชาติถูกโอบกอดไว้ในพระอุระของพระเจ้าแห่งรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด {DA 25.3}
พระเจ้าตรัสถึงประชากรของพระองค์ว่า “เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนกับเพชรพลอยที่อยู่ในมงกุฎ คือถูกยกขึ้นเหมือนธงในแผ่นดินของพระองค์ ด้วยว่าความดีของพระองค์มากมายเพียงใด และความงดงามของพระองค์ยิ่งใหญ่แค่ไหน!” เศคาริยาห์ 9 ข้อที่ 16, 17 TKJV ความปีติยินดีของผู้ที่ได้รอดจะเป็นประจักษ์พยานถึงความเมตตาของพระเจ้าตลอดนิรันดร์กาล “เพื่อว่าในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์” “ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครองและศักดิเทพในสวรรคสถานรู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามพระประสงค์นิรันดร์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” เอเฟซัส 2 ข้อที่ 7; 3 ข้อที่ 10, 11 {DA 26.1}
พระราชกิจแห่งการทรงไถ่ของพระคริสต์ทำให้การปกครองของพระเจ้าผ่านการพิสูจน์แล้วว่าชอบธรรม พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดทรงเป็นที่รู้จักในฐานะพระเจ้าแห่งความรัก คำกล่าวหาของซาตานถูกหักล้างไปและธาตุแท้ของมันถูกเปิดโปง การทรยศจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก บาปจะไม่มีทางเข้ามายังจักรวาลนี้ได้อีก ตลอดชั่วนิรันดร์กาล คนทั้งหลายจะปลอดภัยจากการละทิ้งพระเจ้า ความรักที่ยอมเสียสละตนทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกและสวรรค์ได้เข้าร่วมสัมพันธ์กับพระผู้ทรงสร้างของพวกเขาด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย {DA 26.2}
พระราชกิจแห่งการทรงช่วยให้รอดจะสำเร็จสมบูรณ์ ที่ไหนมีบาปปรากฏมาก ที่นั่นจะมีพระคุณไพบูลย์ยิ่งขึ้นมากกว่านั้น โรม 5 ข้อที่ 20 โลกใบนี้ที่ซาตานอ้างว่าเป็นของเขาจะไม่เพียงแค่ได้รับการไถ่กลับคืนมาเท่านั้น แต่ยังจะได้รับการยกชูให้สูงขึ้น โลกใบเล็กๆ ของเราซึ่งอยู่ภายใต้การสาปแช่งของบาปและเป็นเพียงจุดดำหนึ่งจุดในบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอย่างสง่างามนั้นจะได้รับเกียรติเหนือโลกอื่นๆ ในจักรวาลของพระเจ้า ณ ที่นี่ ที่ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าทรงมาอาศัยในท่มนุษยชาติ ที่ซึ่งกษัตริย์แห่งรัศมีภาพทรงดำรงชีวิต ทรงทนทุกข์และวายพระชนม์ ณ ที่นี่ เมื่อพระองค์จะทรงทำสรรพสิ่งให้ใหม่แล้ว พระนิเวศของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่ท่ามกลางมนุษย์ “พระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา] ” และขณะเมื่อผู้ที่ได้รับความรอดเดินภายใต้แสงสว่างของพระเจ้าตลอดทุกยุคทุกสมัยอย่างไม่รู้สิ้นสุดนั้น พวกเขาจะสรรเสริญพระองค์สำหรับของประทานที่ไม่อาจพรรณนาไดของพระองค์ว่า
อิมมานูเอล “พระเจ้าสถิตกับเรา” {DA 26.3}
************