บทที่ 53

การเดินทางครั้งสุดท้ายจากแคว้นกาลิลี

บทนี้อ้างอิงจาก ลูกา 9 ข้อที่ 51-56; ลูกา 10 ข้อที่ 1-24


เมื่อมาถึงช่วงปิดท้ายพันธกิจของพระคริสต์  ลักษณะการปฏิบัติกิจของพระองค์เปลี่ยนไป  ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงความตื่นเต้นและการเปิดเผยตัวในที่สาธรณะ  พระองค์ทรงปฏิเสธการแสดงความเคารพจงรักภักดีของประชาชน และเสด็จดำเนินผ่านสถานที่ต่างๆ ไปโดยเร็วเมื่อเกิดความกระตือรือร้นของผู้คนที่มีต่อพระองค์ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้  ครั้งแล้วครั้งเล่าพระองค์ทรงบัญชาว่าอย่าให้ผู้ใดประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์  {DA 485.1}

ในช่วงเวลาเทศกาลอยู่เพิง พระองค์เสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มอย่างรวดเร็วและอย่างลับๆ  เมื่อพวกพี่ๆ และน้องๆ ของพระองค์เร่งเร้าให้พระองค์ทรงเปิดเผยตัวเองว่าเป็นพระเมสสิยาห์นั้น คำตอบของพระองค์คือ "ยังไม่ถึงเวลาของเรา" ยอห์น 7 ข้อที่ 6  พระองค์เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มโดยไม่มีใครเห็นและเสด็จเข้าไปในเมืองโดยไม่ประกาศอย่างเปิดเผย และไม่ทรงรับเกียรติแต่อย่างไร  แต่การเดินทางครั้งสุดท้ายจะไม่เป็นเช่นนั้น  พระองค์เสด็จออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มระยะหนึ่งแล้วเนื่องจากพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์มุ่งร้ายต่อพระองค์  แต่บัดนี้พระองค์ทรงออกเดินทางกลับ โดยทรงเดินทางอย่างเปิดเผยที่สุดโดยเส้นทางอ้อม และมีการประกาศนำหน้าการเสด็จมาของพระองค์อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน  พระองค์กำลังเสด็จมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุเพื่อการถวายเครื่องบูชาสำคัญยิ่งใหญ่ของพระองค์และเหตุการณ์นี้คือจุดที่ประชาชนจะต้องให้ความสนใจ  {DA 485.2}          

โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น”  ยอห์น 3 ข้อที่ 14  ในขณะที่สายตาของชนชาติอิสราเอลทั้งหมดหันไปมองงูที่ถูกยกขึ้น อันเป็นสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้เพื่อการรักษาพวกเขาให้หาย ดังนั้น สายตาของคนทั้งหมดจะต้องหันไปหาพระคริสต์ ซึ่งเป็นการถวายบูชาเพื่อนำความรอดมาให้กับโลกที่พินาศ  {DA 485.3}          

ความเข้าใจพระราชกิจของพระเมสสิยาห์ที่ผิดไปและการขาดความเชื่อในพระลักษณะนิสัยความเป็นพระเจ้าของพระเยซูทำให้พวกพี่ๆ และน้องๆ ของพระองค์เร่งเร้าให้พระองค์ทรงเปิดเผยตนเองต่อหน้าประชาชนในเทศกาลอยู่เพิง  บัดนี้ ด้วยเจตนามุ่งมั่นที่คล้ายคลึงกันนี้ สาวกของพระองค์ก็น่าจะขัดขวางการเดินทางของพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  พวกเขาจำพระดำรัสของพระองค์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดกับพระองค์ที่นั่นได้ พวกเขาทราบดีถึงความเกลียดชังของผู้นำทางศาสนาที่มุ่งร้ายต่อพระองค์ และพวกเขาน่าจะเต็มใจที่จะหน่วงเหนี่ยวพระอาจารย์ไว้เพื่อไม่ให้พระองค์เสด็จไปที่นั่น  {DA 485.4}                  

สำหรับพระหทัยของพระคริสต์แล้ว เป็นภาระอันขมขื่นที่จะดำเนินมุ่งหน้าเข้าไปหาความกลัว ความผิดหวังและความไม่เชื่อของสาวกอันเป็นที่รักของพระองค์  เป็นการยากที่จะนำพวกเขาก้าวไปข้างหน้า ไปยังความเจ็บปวดรวดร้าวและความสิ้นหวังที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม  และซาตานคอยโหมกระหน่ำการทดลองใส่บุตรมนุษย์อยู่  พระองค์จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานี้เพื่อไปรับความตายที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนทำไม?  รอบตัวพระองค์มีจิตวิญญาณที่หิวกระหายอาหารแห่งชีวิต  ทุกแห่งหนมีแต่คนตกทุกข์ได้ยากที่รอคอยพระวจนะแห่งการรักษาของพระองค์  พระราชกิจที่กระทำโดยพระคุณของพระองค์เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น  และพระองค์ทรงเต็มล้นด้วยพลังแห่งความหนุ่มแน่นของชายฉกรรจ์  ทำไมจึงไม่เสด็จไปยังทุ่งกว้างของโลกพร้อมด้วยถ้อยคำแห่งพระคุณของพระองค์และด้วยการสัมผัสพลังแห่งการรักษาของพระองค์เล่า?   ทำไมจึงไม่เก็บความสุขให้แก่ตนเองจากการประทานความสว่างและความยินดีแก่คนนับล้านที่ยังตกอยู่ในความมืดมนและเศร้าโศกอยู่เล่า?  เหตุใดจึงปล่อยให้สาวกของพระองค์ที่ยังอ่อนแอในความเชื่อ มีสมองดื้อด้าน เชื่องช้าในการทำงานเป็นผู้ลงมือเก็บเกี่ยวเล่า?  ทำไมต้องเผชิญกับความตายในตอนนี้และทิ้งงานที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น?  บัดนี้ศัตรูในถิ่นทุรกันดารที่เผชิญหน้ากับพระคริสต์ โหมกระหน่ำการทดลองที่ร้ายแรงและเฉียบแหลมเข้าใส่พระองค์  และหากพระเยซูยอมจำนนแม้เพียงวินาทีเดียว  และหากพระองค์ทรงใช้วิถีทางอื่นเพื่อช่วยพระองค์เองแล้ว กองกำลังของซาตานก็จะชนะและโลกก็จะพินาศ  {DA 486.1}             

แต่พระเยซูทรง "ตั้งพระทัยที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม"  กฎเดียวในชีวิตพระองค์คือพระประสงค์ของพระบิดา  การเยี่ยมพระวิหารในวัยเด็ก พระองค์ตรัสกับมารีย์ว่า "พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?  ลูกา 2 ข้อที่ 49  ที่หมู่บ้านคานา เมื่อมารีย์ประสงค์ให้พระองค์เปิดเผยอำนาจอัศจรรย์ของพระองค์ คำตอบของพระองค์คือ "เวลาของเรายังมาไม่ถึง" ยอห์น 2 ข้อที่  4  ด้วยพระดำรัสเดียวกัน พระองค์ทรงตอบน้องชายของพระองค์เมื่อพวกเขาเร่งเร้าให้พระองค์ไปงานเทศกาล  แต่ในแผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เวลาที่จะถวายพระองค์เองเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ได้ถูกกำหนดไว้แล้วและโมงนั้นก็จะมาถึงในอีกไม่นานนัก พระองค์จะไม่ทรงล้มเหลวหรือลังเล  พระองค์ทรงหันย่างก้าวไปทางกรุงเยรูซาเล็มที่ซึ่งศัตรูของพระองค์วางแผนเอาชีวิตของพระองค์มาเนิ่นนานแล้ว  บัดนี้พระองค์จะทรงสละชีวิตของพระองค์ ทรงตั้งพระพักตร์อย่างแน่วแน่เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การข่มเหง การปฏิเสธ การถูกทอดทิ้ง การประณามและความตาย  {DA 486.2}                    

"และพระองค์ทรงใช้ผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อไปจัดเตรียมให้พระองค์"  แต่ประชาชนปฏิเสธที่จะรับพระองค์เพราะพระองค์กำลังเสด็จมุ่งหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม  การกระทำนี้พวกเขาแปลความหมายว่าพระคริสต์ทรงลำเอียงชื่นชอบพวกยิวที่พวกเขาเกลียดชังอย่างรุนแรง  หากพระองค์เสด็จมาเพื่อบูรณะพระวิหารและการนมัสการบนภูเขาเกริซิมแล้ว พวกเขาคงจะต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี แต่เพระพระองค์กำลังเสด็จมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพวกเขาจะไม่ได้ต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี  พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังปิดประตูให้กับของขวัญที่ดีที่สุดของสวรรค์  พระเยซูทรงเชิญมนุษย์ให้รับพระองค์ พระองค์ทรงขอความโปรดปรานจากมือของพวกเขาเพื่อพระองค์จะเข้ามาใกล้พวกเขา เพื่อประทานพระพรอันมีค่าที่สุดให้แก่พวกเขา  สำหรับทุกความโปรดปรานที่แสดงออกต่อพระองค์ พระองค์ทรงตอบแทนด้วยพระคุณอันล้ำค่ากว่า  แต่ชาวสะมาเรียสูญเสียทั้งหมดไปเพราะอคติและความดื้อรั้นของพวกเขาเอง  {DA 486.3}        

ยากอบและยอห์นผู้นำข่าวของพระคริสต์ขุ่นเคืองใจอย่างยิ่งกับการสบประมาทที่แสดงต่อนายของพวกเขา  พวกเขาโกรธเพราะชาวสะมาเรียปฏิบัติอย่างหยาบคายต่อพระองค์ทั้งๆ ที่พระองค์ประทานเกียรติด้วยการประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา  เมื่อไม่นานมานี้เองเขาทั้งสองได้อยู่พร้อมกับพระองค์บนภูเขาขณะที่ทรงจำแลงพระกายและได้เห็นพระเจ้าประทานเกียรติให้พระองค์และโมเสสและเอลียาห์มาร่วมถวายเกียรติพระองค์  พวกเขาคิดว่าจะต้องไม่ปล่อยให้การแสดงออกอย่างไม่ถวายเกียรติพระองค์เช่นนี้ผ่านไปโดยไม่ลงโทษอย่างจริงจัง  {DA 487.1} 

เมื่อกลับมายังพระคริสต์แล้ว พวกเขานำคำพูดของประชาชนถวายรายงานพระองค์ทูลว่าพวกเขาปฏิเสธแม้จะให้ที่พำนักสักคืนแก่พระองค์  พวกเขาคิดว่าเป็นการทำผิดอย่างมหันต์ และเมื่อมองไปยังภูเขาคารเมลที่อยู่ไกลโพ้น ที่ซึ่งเอลียาห์ได้ฆ่าพวกผู้ทำนายเทียมเท็จ พวกเขาพูดว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์ เผาผลาญเขาเสียอย่างเอลียาห์ได้กระทำนั้นหรือ"  TKJV  พวกเขาประหลาดใจที่เห็นว่าพระเยซูทรงเจ็บปวดกับคำพูดของพวกเขาและยังประหลาดใจมากขึ้นเมื่อคำตำหนิของพระองค์ดังขึ้นที่หูของพวกเขา "ท่านไม่รู้ว่าท่านมีจิตใจทำนองใด  เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด" TKJV แล้วพระองค์ก็เลยไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง {DA 487.2}              

ในพันธกิจของพระคริสต์ไม่มีการบังคับมนุษย์ให้ยอมรับพระองค์  แต่เป็นซาตานและมนุษย์ที่ถูกกระตุ้นด้วยวิญญาณของมันต่างหากที่บังคับจิตใต้สำนึกอันรู้ผิดรู้ชอบ  ภายใต้การเสแสร้งอย่างกระตือรือร้นเพื่อความชอบธรรม มนุษย์ที่เป็นพันธมิตรกับทูตสวรรค์ชั่วได้นำความทุกข์ลำบากมายังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อที่จะเปลี่ยนให้รับแนวคิดศาสนาของพวกเขา แต่พระคริสต์สำแดงความเมตตาอยู่เสมอและทรงคอยหาช่องทางที่จะนำพวกเขากลับมาด้วยความรักของพระองค์อยู่ตลอดเวลา  พระองค์ไม่ทรงยอมรับคู่แข่งใดในจิตวิญญาณหรือยอมรับการรับใช้เพียงบางส่วน แต่พระองค์ทรงปรารถนาการรับใช้ด้วยความสมัครใจเท่านั้น ซึ่งเป็นการยอมจำนนด้วยความเต็มใจภายใต้การกำกับของความรัก ไม่มีหลักฐานใดที่จะใช้สรุปว่าเรามีวิญญาณของซาตานได้ดีไปกว่านิสัยอารมณ์ที่ต้องการทำร้ายและทำลายผู้ที่ไม่ชื่นชมกับงานของเรา หรือผู้ที่ปฏิบัติตรงกันข้ามกับแนวคิดของเรา  {DA 487.3}                   

มนุษย์ทุกคนเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้าทั้งกาย ใจและจิตวิญญาณ  พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่มนุษย์ทั้งปวงแล้ว  ไม่มีสิ่งใดจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับพระเจ้าได้มากไปกว่าการที่มนุษย์ใช้ความคลั่งไคล้ทางศาสนานำความทุกข์ไปสู่ผู้ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงไถ่ด้วยพระโลหิตแล้ว  {DA 488.1}            

"พระเยซูทรงลุกขึ้นเสด็จออกจากที่นั่นไปยังเขตแดนแคว้นยูเดีย และเลยไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และฝูงชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนพวกเขาตามที่พระองค์ทรงทำอยู่เสมอ"  มาระโก 10 ข้อที่ 1  {DA 488.2}            

ในช่วงหลายเดือนของการปิดท้ายพระราชกิจพระคริสต์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เมืองเปอเรีย ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ "อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน" และอยู่ห่างไกลออกไปจากแคว้นยูเดีย  ณ ที่นี่ฝูงชนได้เข้ามาล้อมพระองค์เช่นเดียวกับพันธกิจช่วงแรกของพระองค์ในแคว้นกาลิลีและพระองค์ทรงเอาคำสอนส่วนใหญ่ของพระองค์ที่สอนในอดีตขึ้นมาสอนซ้ำอีกครั้ง  {DA 488.3}           

พระองค์ทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไปแล้วอย่างไร พระองค์ก็ "ทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น" ลูกา 10 ข้อที่ 1 TKJV  สาวกเหล่านี้ฝึกงานอยู่กับพระองค์มาระยะหนึ่งแล้ว  เมื่อพระเยซูทรงบัญชาสาวกสิบสองคนนั้นออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในครั้งแรกนั้น สาวกคนอื่นๆ ได้ร่วมเดินทางไปกับพระองค์ตลอดทั่วแคว้นกาลิลี  ด้วยประการฉะนี้พวกเขาจึงมีสิทธิพิเศษที่ได้อยู่ร่วมกับพระองค์อย่างใกล้ชิดและได้รับคำสั่งสอนโดยตรงจากพระองค์  บัดนี้คนจำนวนมากจึงได้รับคำบัญชาให้แยกตัวกันออกไปปฏิบัติพันธกิจ  {DA 488.4}                    

พระบัญชาที่ประทานไว้ให้กับคนเจ็ดสิบคนนั้นคล้ายกับที่ประทานไว้กับสาวกสิบสองคน แต่พระบัญชาที่ประทานกับสาวกสิบสองคนที่ไม่ให้เข้าไปในเมืองใดๆ ของคนต่างชาติหรือของชาวสะมาเรียไม่ได้ประทานไว้กับทั้งเจ็ดสิบคน  แม้ว่าชาวสะมาเรียจะขับไล่พระคริสต์ออกไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ความรักของพระองค์ที่มีต่อพวกเขานั้นยังไม่แปรเปลี่ยน  เมื่อเจ็ดสิบคนนั้นที่ออกไปในพระนามของพระองค์ พวกเขาเข้าไปเยี่ยมเมืองสะมาเรียเป็นอันดับแรก  {DA 488.5}

การที่พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จไปเยือนสะมาเรียด้วยพระผู้ช่วยให้รอดเอง และการยกย่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีในเวลาต่อมา รวมถึงคนโรคเรื้อนหนึ่งในสิบที่กลับมาขอบคุณพระคริสต์ด้วยความยินดีนั้นเป็นชาวสะมาเรีย เหตุการ์เหล่านี้มีความหมายอย่างมากต่อเหล่าสาวก  เป็นบทเรียนที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ในพระมหาบัญชาที่ประทานให้แก่พวกเขาก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์นั้น พระองค์ตรัสถึงสะมาเรียกับเยรูซาเล็มและยูเดียว่าเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะต้องไปประกาศพระกิตติคุณเป็นอันดับแรก  พระมหาบัญชานี้ไปพร้อมคำสอนของพระองค์ที่เตรียมพวกเขาไว้ให้พร้อมเพื่อทำงานให้สำเร็จ  เมื่อพวกเขาไปยังสะมาเรียในพระนามของพระอาจารย์ พวกเขาพบว่าประชาชนพร้อมต้อนรับพวกเขา  ชาวสะมาเรียเคยได้ยินคำชมเชยของพระคริสต์และพระราชกิจแห่งความเมตตาของพระองค์ที่สำแดงต่อคนในชาติของพวกเขา  พวกเขาเข้าใจแล้วว่าแม้พวกเขาจะปฏิบัติต่อพระองค์อย่างหยาบช้าเพียงไร แต่พระองค์ทรงมีเพียงความคิดแห่งรักให้แก่พวกเขาเท่านั้นและจึงทรงเอาเชนะหัวใจของพวกเขาได้  หลังจากการเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว พวกเขาต้อนรับผู้นำข่าวของพระผู้ช่วยให้รอดและสาวกได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอันล้ำค่าจากบรรดาผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา "ไม้อ้อช้ำแล้ว ท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงริบหรี่นั้น ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความซื่อสัตย์" "และบรรดาประชาชาติจะฝากความหวังไว้กับท่าน"  อิสยาห์ 42 ข้อที่ 3  มัทธิว 12 ข้อที่ 21  {DA 488.6}                        

เมื่อพระเยซูทรงบัญชาสาวกเจ็ดสิบคนออกไปนั้น พระองค์ทรงกำชับพวกเขาเหมือนที่กำชับสาวกสิบสองคน คืออย่าเร่งเร้าเอาตัวเองเข้าไปในที่ที่ไม่ต้อนรับพวกเขา "แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าไปในเมืองไหนและไม่มีใครต้อนรับท่าน" พระองค์ตรัส "จงออกไปที่กลางถนนของเมืองนั้นกล่าวว่า ‘แม้แต่ผงคลีดินในเมืองของพวกท่านที่ติดอยู่กับเท้าของเรา เราก็จะสะบัดออกเพื่อเป็นการประท้วงท่าน แต่พวกท่านจงเข้าใจข้อความนี้ คือแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว’"  พวกเขาต้องไม่ทำอย่างนี้จากเหตุจูงใจของความขุ่นเคืองหรือถูกหลู่เกียรติศักดิ์ศรี แต่ทำไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องสลดใจยิ่งนักเมื่อปฏิเสธข่าวสารของพระเจ้าหรือผู้ส่งสารของพระองค์  การปฏิเสธผู้รับใช้ของพระเจ้าคือการปฏิเสธพระคริสต์เอง  {DA 489.1}                  

เราบอกพวกท่านว่า” พระเยซูตรัสต่อไปว่า “โทษของเมืองโสโดมในวันนั้นจะยังเบากว่าโทษของเมืองนั้น”  จากนั้นพระองค์ก็ทรงหวนคิดกลับไปยังเมืองต่างๆ ของแคว้นกาลิลีซึ่งพระองค์ทรงใช้เวลาปฏิบัติพันธกิจมากมายของพระองค์  ด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งพระองค์ทรงอุทานขึ้นมาว่า "วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งทำท่ามกลางพวกเจ้าได้ทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองคงได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้เถ้า กลับใจใหม่นานแล้ว  แต่ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของพวกเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ? เปล่าเลย เจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก"  {DA 489.2}                          

สำหรับเมืองอันคึกคักที่อยู่รอบทะเลสาบกาลิลี พระพรอันอุดมไพบูลย์ได้ทรงโปรดประทานให้อย่างท่วมท้น  วันแล้ววันเล่าเจ้าชายแห่งชีวิตเสด็จเข้าและออกท่ามกลางพวกเขา  พระสิริของพระเจ้าซึ่งผู้เผยพระวจนะและกษัตริย์ทั้งหลายปรารถนาจะเห็นนั้น ได้ส่องไปยังฝูงชนที่มาล้อมอยู่รอบย่างก้าวของพระผู้ช่วยให้รอด  แต่ถึงกระนั้น พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงเป็นของขวัญจากสวรรค์  {DA 489.3}                   

ด้วยการแสดงออกอย่างรอบคอบพวกธรรมาจารย์เตือนประชาชนว่าอย่าไปรับคำสอนใหม่ตามที่อาจารย์ใหม่คนนี้สอนอยู่ เพราะทฤษฎีและการปฏิบัติของพระองค์ขัดกับคำสอนของบรรพบุรุษ  ประชาชนไว้วางใจในสิ่งที่ปุโรหิตและฟาริสีสอนแทนที่จะใส่ใจพยายามศึกษาให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง  พวกเขาให้เกียรติปุโรหิตและพวกผู้ปกครองแทนที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า และปฏิเสธความจริงเพื่อพวกเขาจะถือรักษาประเพณีของตนเองได้  หลายคนประทับใจและเกือบจะถูกโน้มน้าว แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามความเชื่อมั่นของตนเองและไม่ได้เข้าไปอยู่ฝ่ายของพระคริสต์  ซาตานนำเสนอการล่อลวงของมัน จนกระทั่งความสว่างกลับเป็นความมืด  ด้วยเหตุนี้คนมากมายปฏิเสธความจริงซึ่งควรจะปรากฏให้พวกเขาเห็นว่าเป็นทางช่วยจิตวิญญาณให้รอด  {DA 489.4}                                

พระเจ้าผู้ทรงเป็นพยานองค์เที่ยงแท้ตรัสว่า "นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู" วิวรณ์ 3 ข้อที่ 20  ทุกคำเตือน คำตำหนิว่ากล่าวและคำวิงวอนในพระวจนะของพระเจ้าหรือโดยผ่านผู้สื่อข่าวของพระองค์คือเสียงเคาะประตูหัวใจ  เป็นพระสุรเสียงของพระเยซูเพื่อขอทางเข้า  ทุกการเคาะที่ไม่ได้รับการตอบสนอง แนวโน้มที่จะเปิดประตูก็จะลดลง  หากเพิกเฉยการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ แรงดลใจจะอ่อนลงในวันพรุ่งนี้  หัวใจที่รู้สึกซาบซึ้งจะลดลง และค่อยๆ ตกลงไปสู่ภาวะอันตรายของการไม่มีสติที่จะรู้สำนึกถึงชีวิตอันแสนสั้น และนิจนิรันดร์ยิ่งใหญ่อันอยู๋ใกล  โทษของเราในวันพิพากษาไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของเรา แต่เกิดจากการละเลยของเราที่มีต่อโอกาสที่สวรรค์ประทานมาเพื่อให้เราเรียนรู้ว่าความจริงคืออะไร  {DA 489.5}  

สาวกเจ็ดสิบคนนี้ได้รับของประทานเหนือธรรมชาติเป็นดังตราประจำประทับรับรองพันธกิจของพวกเขาเช่นเดียวกับอัครสาวก  เมื่อภาระของพวกเขาเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขากลับมาด้วยความยินดีและพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่พวกผีก็อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์"  พระเยซูตรัสตอบว่า "เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ"  {DA 490.1}                   

ภาพเหตุการณ์ในอดีตและของอนาคตถูกแสดงขึ้นในความคิดของพระเยซูแล้ว  พระองค์ทอดพระเนตรลูซิเฟอร์เมื่อถูกขับออกจากสวรรค์ตั้งแต่แรก  พระองค์ทอดพระเนตรไปยังภาพแห่งความทุกข์ทรมานของพระองค์เอง เมื่อจะต้องกระชากลักษณะอุปนิสัยของผู้หลอกลวงออกมาให้เห็นต่อหน้าโลกทั้งปวง  พระองค์ทรงได้ยินเสียงร้องที่ว่า "สำเร็จแล้ว" ยอห์น 19 ข้อที่ 30 เป็นการประกาศว่าการไถ่เผ่าพันธุ์ที่หลงหายไปนั้นจะสำเร็จอย่างแน่นอนตลอดไป และประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์ได้รับการคุ้มครองไปตลอดนิรันดร์จากคำกล่าวหาและการหลอกลวงรวมถึงการอวดอ้างที่ซาตานปลุกปั่นขึ้นมา  {DA 490.2}                   

พระเยซูทรงมองไกลผ่านกางเขนคาลวารีอันเจ็บปวดรวดร้าวและอัปยศอดสู ไปถึงวันสุดท้ายยิ่งใหญ่เมื่อเจ้าชายแห่งอำนาจในอากาศจะพบจุดจบในความพินาศของโลกซึ่งมันทำให้เปรอะเปื้อนจากการกบฏของมันมาเนิ่นนาน  พระเยซูทรงมองเห็นผลงานแห่งความชั่วสิ้นสุดไปตลอดกาลและสันติสุขของพระเจ้าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและแผ่นดินโลก  {DA 490.3}                    

ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ผู้ติดตามของพระคริสต์ต้องมองว่าซาตานเป็นศัตรูที่ถูกปราบแล้ว  จากกางเขนพระเยซูทรงคว้าชัยชนะมาให้พวกเขา  เป็นชัยชนะที่พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขารับมาไว้เป็นของพวกเขาเอง "นี่แน่ะ " พระองค์ตรัส " เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย"  {DA 490.4}          

ฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นโล่ปกป้องจิตวิญญาณทุกดวงที่สำนึกผิด  ไม่มีใครสักคนที่เชื่อและสำนึกผิดซึ่งอ้างถึงพระสัญญาแห่งการปกป้องของพระคริสต์จะถูกปล่อยให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของศัตรู  พระผู้ช่วยให้รอดจะสถิตเคียงข้างคนที่ถูกทดลองและถูกทดสอบ  เมื่อเราอยู่กับพระองค์แล้ว จะไม่มีคำว่าล้มเหลว การสูญเสีย ความเป็นไปไม่ได้ หรือความพ่ายแพ้  เราเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังพวกเรา  เมื่อการทดลองและการทดสอบมาถึง อย่ารอช้าที่จะปรับตัวให้เข้ากับความยากลำบากทั้งหมดนั้น แต่จงมองไปยังพระเยซูพระผู้ช่วยของคุณ  {DA 490.5}                

มีคริสเตียนที่คิดและพูดถึงอำนาจของซาตานมากเกินไป  พวกเขาคำนึงถึงศัตรูของพวกเขา พวกเขาอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องของมัน และพวกเขาพูดถึงมันและมันก็ค่อยๆ ปรากฏตัวใหญ่ขึ้นในจินตนาการของพวกเขา  จริงอยู่ที่ซาตานมีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ขอบคุณพระเจ้า เรามีพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์ทรงขับไล่มารชั่วออกจากสวรรค์  ซาตานพอใจเมื่อเราขยายอำนาจของมัน  ทำไมเราจึงไม่พูดถึงพระเยซูเล่า?  ทำไมไม่ขยายอำนาจและความรักของพระองค์เล่า?  {DA 493.1}                

สายรุ้งแห่งคำมั่นสัญญาที่ล้อมอยู่รอบพระบัลลังก์เบื้องบนเป็นประจักษ์พยานนิรันดร์ว่า "พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"  ยอห์น 3 ข้อที่ 16  สายรุ้งแห่งคำมั่นสัญญานี้เป็นประจักษ์พยานต่อจักรวาลว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งประชาชนของพระองค์ในการต่อสู้กับความชั่ว  สายรุ้งแห่งคำมั่นสัญญาเป็นหลักประกันแห่งพละกำลังและการปกป้องนานตราบเท่าการดำรงอยู่ของพระราชบัลลังก์  {DA 493.2}                  

พระเยซูตรัสต่อไปว่า "แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์"  อย่าชื่นชมยินดีที่คุณครองอำนาจได้ เกลือกว่าคุณจะมองไม่เห็นถึงความสำคัญของการต้องพึ่งพระเจ้า  จงระวังเกลือกว่าคุณพึ่งพาตนเองได้และรับใช้ด้วยกำลังของตัวคุณเอง แทนที่จะรับใช้ด้วยการพึ่งพระวิญญาณและอำนาจของพระเจ้าพระอาจารย์ของคุณ  อัตตาพร้อมเสมอที่จะเข้าชิงคำเยินยอเมื่อการงานทุกระดับประสบความสำเร็จ  คุณจะยกยอและเชิดชูอัตตาและทำให้จิตใจของคนอื่นไม่ซาบซึ้งพระเจ้าว่าทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง และทรงอยู่ในทุกสิ่ง  อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น" 2 โครินธ์ 12 ข้อที่ 10  เมื่อเราตระหนักถึงความอ่อนแอของตนเอง เราก็เรียนรู้ที่จะพึ่งในฤทธิ์อำนาจที่ไม่ได้มาแต่กำเนิด  ไม่มีสิ่งใดที่ยึดครองหัวใจได้มากเท่ากับความรู้สึกรับผิดชอบของเราที่มีต่อพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดเข้าถึงส่วนลึกที่สุดของแรงจูงใจในการประพฤติได้อย่างเต็มที่เท่ากับการตระหนักถึงความรักที่เต็มด้วยการอภัยของพระคริสต์  เราต้องเข้าให้ถึงพระเจ้าแล้วเราจะชุ่มโชกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งจะทำให้เราเข้าถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้  หลังจากนั้นจงชื่นชมยินดีว่าโดยทางพระคริสต์ คุณเชื่อมสัมพันธ์กับพระเจ้าได้  แล้วได้มาเป็นสมาชิกของครอบครัวสวรรค์  ในขณะที่คุณมองสูงขึ้นไปเหนือตัวคุณเอง คุณจะมีความรู้สึกอย่างต่อเนื่องถึงความอ่อนแอของมนุษยชาติ  ยิ่งคุณยึดมั่นในอัตตาน้อยลงเท่าใด คุณก็จะเข้าใจถึงความสูงส่งของพระผู้ช่วยในรอดได้อย่างชัดเจนและอย่างเต็มที่มากขึ้นเท่านั้น  เมื่อคุณเอาตัวเองไปติดสนิทกับแหล่งกำเนิดของแสงสว่างและอำนาจมากยิ่งขึ้น แสงสว่างยิ่งใหญ่จะส่องมายังคุณและพลังอำนาจยิ่งใหญ่ขึ้นจะเป็นของคุณเพื่อทำงานรับใช้พระเจ้า  จงชื่นชมยินดีที่คุณร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้ากับพระคริสต์และกับครอบครัวของสวรรค์  {DA 493.3}        

ในขณะที่สาวกเจ็ดสิบคนฟังพระวจนะของพระคริสต์อยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลบันดาลใจของพวกเขาให้เข้าใจถึงความเป็นจริงอันมีชีวิตและทรงจารึกความจริงที่จารึกลงบนแผ่นศิลาของจิตวิญญาณ  ถึงแม้ว่าประชาชนจำนวนมากจะอยู่ล้อมรอบพวกเขา ดูประหนึ่งว่าพวกเขาถูกปิดล้อมให้อยู่ร่วมกับพระเจ้า  {DA 494.1}          

เมื่อทรงทราบว่าพวกเขาได้รับการทรงดลบันดาลใจในเวลานั้น "พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรัสว่า ‘ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก ถูกแล้ว ข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้’”  {DA 494.2}                  

คนมีเกียรติของโลก ที่เรียกว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่และนักปราชญ์ซึ่งพร้อมสรรพด้วยปัญญาทั้งปวงที่โอ้อวดได้ จะเข้าใจพระลักษณะของพระคริสต์ไม่ได้  พวกเขาตัดสินพระองค์จากรูปลักษณ์ภายนอก จากความอัปยศอดสูที่มาถึงพระองค์ในฐานะมนุษย์  แต่สำหรับชาวประมงและคนเก็บภาษีแล้วพวกเขามองเห็นพระเจ้าที่ตาเปล่ามองไม่เห็น  แม้กระทั่งสาวกก็ยังไม่เข้าใจทุกเรื่องที่พระเยซูทรงประสงค์เปิดเผยให้แก่พวกเขา แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่พวกเขายอมจำนนตนเองต่ออำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จิตใจของพวกเขาจะเข้าใจในความกระจ่าง  พวกเขาตระหนักว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ผู้ทรงสวมด้วยเสื้อคลุมของมนุษยชาติประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา  พระเยซูทรงปีติยินดีที่แม้คนฉลาดและคนที่สุขุมรอบคอบก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้แต่ทรงเปิดเผยให้แก่ผู้ถ่อมตนเหล่านี้  บ่อยครั้งขณะที่พระองค์ทรงนำเสนอพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและทรงแสดงให้เห็นว่าข้อเหล่านั้นเมื่อประยุกต์แล้วมีความหมายถึงพระองค์เองและพระราชกิจของพระองค์ในการลบมลทินบาป พระวิญญาณของพระองค์ทรงปลุกพวกเขาให้ตื่น และทรงยกพวกเขาขึ้นสู่บรรยากาศแห่งสวรรค์  พวกเขาเข้าใจความจริงฝ่ายวิญญาณที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวถึงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มากยิ่งกว่าผู้ที่เขียนบันทึกไว้เอง  ต่อแต่นี้ไปพวกเขาจะอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ไม่ใช่ตามคำสอนของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ไม่ใช่ตามคำพูดของนักปราชญ์ที่ตายไปแล้ว แต่ตามการเปิดเผยใหม่ที่มาจากพระเจ้า  พวกเขามองเห็นพระองค์ "ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน" ยอห์น 14 ข้อที่ 17  {DA 494.3}                      

การรักษาจิตใจให้อ่อนโยนและให้ยอมจำนนต่อพระวิญญาณของพระคริสต์เป็นทางเดียวที่เราจะได้มาซึ่งความจริงที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  จิตวิญญาณจะต้องได้รับการชำระให้สะอาดจากความทะนงตนและความหยิ่งผยอง และกวาดทิ้งทุกสิ่งที่ยึดครอบครองอยู่และเชิดชูพระคริสต์ขึ้นบนบัลลังก์ภายในใจ  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์มีขีดจำกัดเกินไปที่จะเข้าใจการลบบาป  แผนการช่วยให้รอดนั้นมีผลกระทบอย่างกว้างไกลที่ปรัชญาอธิบายไม่ได้  เป็นแผนการไถ่ที่จะเป็นปริศนาซึ่งเหตุผลอันลึกซึ้งที่สุดไม่สามารถเข้าใจ  ศาสตร์แห่งความรอดบาปไม่สามารถอธิบายได้ แต่เข้าใจได้ด้วยประสบการณ์  มีเพียงผู้ที่มองเห็นบาปหนาของตนเองเท่านั้นที่จะมองเห็นความล้ำค่าของพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 494.4}                    

บทเรียนที่พระคริสต์ทรงสอนในขณะที่เสด็จอย่างช้าๆ จากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้นเข้มข้นด้วยคำสอน  ประชาชนฟังพระวจนะของพระองค์ด้วยความกระตือรือร้น  ประชาชนในเมืองเปอเรียและในแคว้นกาลิลีตกอยู่ภายใต้การควบคุมของการคลั่งศาสนาของชาวยิวเช่นเดียวกันแต่น้อยกว่าประชาชนในแคว้นยูเดีย และพวกเขามีใจตอบสนองรับคำสอนของพระองค์มากว่า  {DA 495.1}              

ในช่วงหลายเดือนสุดท้ายของการปฏิบัติพันธกิจของพระคริสต์ พระองค์ตรัสอุปมาไว้มากมาย  พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ไล่ล่าพระองค์อย่างดุเดือดมากขึ้นกว่าที่เคย และพระองค์ทรงใช้สัญลักษณ์ปกปิดคำเตือนของพระองค์  พวกเขาเข้าใจความหมายของพระองค์ได้ไม่ผิด แต่กระนั้นพวกเขากลับไม่พบข้อที่จะใช้กำหนดโทษพระองค์จากในพระดำรัสของพระองค์  ในอุปมาเรื่องฟาริสีและคนเก็บภาษี คำอธิษฐานแบบพึ่งพาตนเองที่ว่า "ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น" มีความโดดเด่นแตกตางอย่างชัดเจนกับคำวิงวอนของผู้สำนึกผิดที่ว่า "ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด”  ด้วยวิธีเช่นนี้ พระคริสต์ทรงตำหนิความหน้าซื่อใจคดของชาวยิว  และด้วยคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อที่ไม่เกิดผลและงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงประกาศชะตากรรมที่กำลังจะตกลงมายังประชาชาติที่ไม่ยอมกลับใจ  บรรดาผู้ที่ปฏิเสธอย่างเหยียดหยามต่อคำเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงข่าวประเสริฐต่างได้ยินคำเตือนของพระองค์ ข้อที่  "เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในพวกคนที่ได้รับเชิญนั้น จะไม่มีสักคนหนึ่งได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย"  ลูกา 14 ข้อที่ 24  {DA 495.2}                                

คำสั่งสอนที่ประทานให้แก่สาวกนั้นมีค่ามาก  อุปมาเรื่องหญิงม่ายที่รบเร้าผู้พิพมกษาและมิตรสหายขอขนมปังในยามเที่ยงคืนทำให้พระดำรัสของพระองค์มีพลังใหม่ "เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน"  ลูกา 11 ข้อที่ 9  และบ่อยครั้งความเชื่อที่สั่นคลอนของพวกเขาได้รับการเสริมสร้างจากความทรงจำที่พระคริสต์ทรงเคยตรัสไว้แล้วว่า "พระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ คือพวกที่ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ? พระองค์จะทรงอดทนได้หรือ?  เราบอกพวกท่านว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่พวกเขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านยังจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ?"  ลูกา 18 ข้อที่ 7, 8  {DA 495.3}                          

อุปมาอันงดงามเรื่องลูกแกะหลงหายนั้น พระคริสต์ทรงเล่าซ้ำ และทรงย้ำความสำคัญของบทเรียนต่อไปอีกด้วยการเล่าอุปมาเรื่องเหรียญเงินที่หายไปและบุตรน้อยผู้หลงหาย  ความสำคัญที่เน้นจากบทเรียนเหล่านี้สาวกเข้าใจไม่ได้อย่างเต็มที่ในเวลานั้น  แต่หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหลั่งลงมาแล้ว ในขณะที่พวกเขาเห็นการรวมตัวเข้ามาของคนต่างชาติและความโกรธและริษยาของชาวยิว พวกเขาเข้าใจบทเรียนของบุตรน้อยผู้หลงหายได้ดีขึ้น และร่วมรับความชื่นชมยินดีในพระวจนะของพระคริสต์ที่ว่า "แต่นี่เป็นเรื่องสมควรที่เราจะชื่นชมยินดีและรื่นเริง" "เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก" ลูกา 15 ข้อที่ 32, 24  และขณะที่พวกเขาออกไปในพระนามของพระอาจารย์และต้องเผชิญกับการตำหนิติเตียน ความยากจนและการกดขี่ข่มเหงนั้น พวกเขามักจะทำให้จิตใจเข้มแข็งด้วยการย้ำคำสั่งสอนของพระองค์ซึ่งตรัสในการเดินทางครั้งสุดท้ายที่ว่า "ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระบิดาของพวกท่านชอบพระทัยจะประทานแผ่นดินนั้นให้แก่ท่าน  จงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน จงทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้จักเก่า คือมีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้จักหมดสิ้น ที่ขโมยไม่ได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวแมลงไม่ได้ทำลาย  เพราะว่าทรัพย์สมบัติของพวกท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” ลูกา 12 ข้อที่ 32-34  {DA 495.4}                    

**********