บทที่ 73
“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย”
บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 13 ข้อที่ 31-38; ยอห์น 14-17
ในขณะที่พระคริสต์ทอดพระเนตรสาวกของพระองค์ด้วยความรักแบบพระเจ้าและด้วยพระเมตตาสงสารอันอ่อนโยนที่สุด พระองค์ตรัสว่า "เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์" ยูดาสออกไปจากห้องชั้นบนแล้วและพระคริสต์ทรงอยู่กับสาวกสิบเอ็ดคนตามลำพัง พระองค์จะตรัสถึงเรื่องของการที่พระองค์จะไปจากพวกเขา แต่ก่อนที่จะจากไปพระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงเป้าหมายยิ่งใหญ่ของพันธกิจของพระองค์ เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงเก็บไว้อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์เสมอ เป็นความสุขของพระองค์ที่ความอัปยศอดสูและความทุกข์ทรมานทั้งหมดของพระองค์จะถวายเกียรติแด่พระนามของพระบิดา พระองค์จึงทรงหันเหความคิดของสาวกของพระองค์ไปยงเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก {DA 662.1}
ดังนั้นพระองค์ทรงทักทายพวกเขาด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยนแห่งความรักว่า "ลูกทั้งหลายเอ๋ย” พระองค์ตรัส “เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือ ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้" {DA 662.2}
เมื่อสาวกได้ยินเช่นนี้ พวกเขาชื่นชมยินดีไม่ได้ ความกลัวครอบงำพวกเขาไว้ พวกเขาขยับเบียดชิดเข้าไปใกล้พระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายและเป็นพระเจ้าของพวกเขา เป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาและเป็นพระสหายของพวกเขานั้นทรงเป็นที่รักยิ่งมากกว่าชีวิตของพวกเขา พวกเขาเข้าหาพระองค์เพื่อขอความช่วยเหลือในทุกๆ ความเดือดร้อนของพวกเขา เพื่อขอคำปลอบประโลมในความทุกข์และในความผิดหวังของพวกเขา พวกเขาซึ่งเป็นกลุ่มคนที่โดดเดี่ยวต้องการที่พึ่งพิงและบัดนี้พระองค์กำลังจะจากพวกเขาไปแล้ว ความรู้สึกมืดมนราวกับจะมีเหตุร้ายเต็มล้นอยู่ในอกของพวกเขา {DA 662.3}
แต่พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานให้แก่พวกเขานั้นเต็มไปด้วยความหวัง พระองค์ทรงทราบว่าศัตรูจะจู่โจมพวกเขา และเล่ห์กลของซาตานจะประสบผลมากที่สุดในการต่อสู้กับผู้ที่รู้สึกหดหู่ใจเพราะความยากลำบาก ดังนั้นพระองค์จึงทรงหันพวกเขาออกจาก "สิ่งที่มองเห็น" ไปยัง "สิ่งที่มองไม่เห็น" 2 โครินธ์ 4 ข้อที่ 18 พระองค์จึงทรงหันเหความคิดของพวกเขาให้ออกจากโลกที่ถูกเนรเทศนี้ไปยังบ้านบนสวรรค์ {DA 662.4}
“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย” พระองค์ตรัส “พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น" เพื่อเห็นแก่พวกท่าน เราได้เข้ามาในโลก เราทำงานเพื่อท่านทั้งหลาย เมื่อเราไปแล้ว เรายังคงทำงานอย่างจริงจังเพื่อท่านทั้งหลายต่อไป เราเข้ามาในโลกเพื่อเปิดเผยตัวเราเองให้แก่พวกท่านเพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ เราไปหาพระบิดาเพื่อร่วมมือกับพระองค์เพื่อเห็นแก่พวกท่าน เป้าหมายในการจากไปของพระคริสต์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกสาวกหวาดกลัว การจากไปไม่ได้หมายถึงการจากกันไปตลอดกาล พระองค์กำลังจะไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับพวกเขาเพื่อพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง และรับพวกเขาไปอยู่กับพระองค์ ในขณะที่พระองค์กำลังสร้างปราสาทให้แก่พวกเขาอยู่นั้น พวกเขาต้องสร้างลักษณะอุปนิสัยให้คล้ายคลึงกับพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า {DA 663.1}
สาวกก็ยังคงงุนงง โธมัสที่เป็นทุกข์กับความสงสัยเสมอทูลพระองค์ว่า "‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?’ พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์’" {DA 663.2}
เส้นทางมุ่งหน้าไปสวรรค์ไม่ได้มีอยู่หลายเส้นทาง แต่ละคนเลือกเส้นทางของตัวเองไม่ได้ พระคริสต์ตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น. . . .ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" นับตั้งแต่คำเทศนาเรื่องข่าวประเสริฐครั้งแรกคือครั้งที่อยู่ในสวนเอเดน เมื่อพระเจ้าทรงประกาศว่าเชื้อสายของหญิงจะทำให้หัวของงูฟกช้ำ พระคริสต์ได้รับการเทิดทูนขึ้นให้เป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต พระองค์ทรงเป็นทางนั้นเมื่ออาดัมยังมีชีวิตอยู่และเมื่ออาเบลนำเลือดของลูกแกะที่ถูกฆ่าไปถวายแด่พระเจ้าเพื่อเป็นตัวแทนพระโลหิตของพระผู้ไถ่ พระคริสต์ทรงเป็นทางนั้นที่ให้บรรพชนและผู้เผยพระวจนะได้รับความรอด พระองค์ทรงเป็นทางนั้นทางเดียวที่เราเข้าถึงพระเจ้าได้ {DA 663.3}
"ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว" พระคริสต์ตรัส "ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์" แต่สาวกยังไม่เข้าใจ "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น" ฟีลิปอุทาน "ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว" {DA 663.4}
ด้วยความประหลาดใจกับปัญญาที่ทึบเช่นนี้ พระคริสต์ทรงถามด้วยความเจ็บปวดว่า "ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ?” เป็นไปได้หรือที่ท่านไม่เห็นพระบิดาในพระราชกิจที่พระองค์ทรงประกอบกิจผ่านเรา? ท่านไม่เชื่อหรือว่าเรามาเพื่อเป็นพยานของพระบิดา? “ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?’” “คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” พระคริสต์ไม่ได้ทรงยุติการเป็นพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าพระองค์จะทรงถ่อมตัวลงมาเป็นมนุษย์ แต่ความเป็นพระเจ้ายังคงเป็นของพระองค์เอง พระคริสต์เพียงผู้เดียวที่ทรงเป็นตัวแทนของพระบิดาต่อมนุษยชาติได้ และการเป็นตัวแทนของพระองค์เช่นนี้ พวกสาวกได้รับสิทธิพิเศษให้เฝ้ามองมานานเกินสามปี {DA 663.5}
"จงเชื่อเราว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้น" ความเชื่อของพวกเขาน่าจะต้องวางไว้ได้อย่างปลอดภัยบนหลักฐานของพระราชกิจของพระคริสต์ เป็นพระราชกิจที่ไม่มีมนุษย์ใดทำได้ด้วยตัวเขาเองหรือเคยทำมาก่อนหรือจะทำในภายภาคหน้า พระราชกิจของพระคริสต์เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระบิดาทรงได้รับการเปิดเผยผ่านทางพระองค์ {DA 664.1}
หากสาวกเชื่อในความสัมพันธ์อันสำคัญต่อชีวิตระหว่างพระบิดาและพระบุตรแล้ว พวกเขาจะไม่สูญเสียความเชื่อไปเมื่อพวกเขาเห็นพระคริสต์ทรงทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยโลกที่กำลังพินาศ พระคริสต์ทรงหาทางที่จะนำพวกเขาออกจากสภาพความเชื่อน้อยไปสู่ประสบการณ์ที่พวกเขาน่าจะได้รับหากเพียงแต่พวกเขาจะตระหนักอย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงสภาพเช่นไร คือพระเจ้าในร่างกายมนุษย์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พวกเขาเห็นความเชื่อของพวกเขาขึ้นไปสู่พระเจ้าและให้ยึดมั่นอยู่ที่นั่น พระผู้ช่วยให้รอดของเราผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาทรงใส่พระทัยมากเพียงไรในการเตรียมบรรดาสาวกให้พร้อมรับพายุการทดลองที่กำลังจะโหมกระหน่ำลงมายังพวกเขาในอีกไม่ช้า พระองค์จะทรงให้พวกเขาหลบซ่อนในพระเจ้าร่วมกับพระองค์ {DA 664.2}
ขณะที่พระคริสต์กำลังตรัสถ้อยคำเหล่านี้อยู่นั้น พระสิริของพระเจ้าก็เปล่งประกายออกมาจากพระพักตร์ของพระองค์และทุกคนที่นั่นรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามขณะที่ใจจดจ่อฟังพระดำรัสของพระองค์ด้วยความตั้งใจ หัวใจของพวกเขาถูกดึงดูดเข้าหาพระองค์ด้วยความแน่วแน่มากขึ้น และในขณะที่พวกเขาถูกดึงดูดเข้าหาพระคริสต์ด้วยความรักที่มากขึ้นนั้น พวกเขาก็ถูกดึงดูดให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย พวกเขารู้สึกว่าสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อมและพระวจนะที่พวกเขาได้ยินนั้นเป็นข่าวสารจากพระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ของพวกเขา {DA 664.3}
“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า” พระคริสต์ตรัส “คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย” พระผู้ช่วยให้รอดทรงร้อนรนพระทัยอย่างสุดซึ้งด้วยทรงมุ่งหวังให้สาวกของพระองค์เข้าใจว่าความเป็นพระเจ้าของพระองค์ต้องถูกประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นมนุษย์ พระองค์เสด็จมายังโลกเพื่อสำแดงพระสิริของพระเจ้าเพื่อมนุษย์จะได้รับการยกระดับด้วยอำนาจแห่งการฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นในพระเยซูเพื่อมนุษย์เองจะแสดงออกให้เห็นถึงพระเยซู พระเยซูไม่ทรงเปิดเผยคุณสมบัติใดและไม่ทรงใช้อำนาจใดที่มนุษย์จะไม่สามารถมีได้ผ่านทางความเชื่อในพระองค์ ความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมของพระองค์คือคุณสมบัติที่ผู้ติดตามทุกคนของพระองค์จะมีได้หากพวกเขายอมอยู่ใต้บังคับของพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงยอมมาแล้ว {DA 664.4}
"เขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา" โดยพระดำรัสนี้พระคริสต์ไม่ได้หมายความว่างานของสาวกจะมีลักษณะที่เหนือกว่าของพระองค์ แต่คือจะมีขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น พระองค์ไม่ได้ทรงหมายถึงแค่การทำการอัศจรรย์เท่านั้น แต่รวมถึงผลงานทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นภายใต้การประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ {DA 664.5}
หลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จขึ้นไปสวรรค์แล้ว พวกสาวกจึงคิดได้ว่าพระสัญญาของพระองค์เป็นจริงแล้ว ภาพของการตรึงกางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์เป็นเหตุการณ์ชีวิตจริงที่เกิดขึ้นสำหรับพวกเขา พวกเขาได้เห็นแล้วว่าคำพยากรณ์เกิดขึ้นจริงตามที่บันทึกไว้ พวกเขาค้นหาพระคัมภีร์และยอมรับคำสอนของพระวจนะด้วยความเชื่อและด้วยความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน พวกเขารู้ว่าพระอาจารย์ทรงเป็นจริงในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงอ้างมาทั้งหมด ขณะที่พวกเขาเล่าประสบการณ์ของพวกเขาและเทิดทูนความรักของพระเจ้านั้น หัวใจของคนทั้งหลายก็หลอมละลายและยอมจำนน และคนจำนวนมากก็เชื่อในพระเยซู {DA 667.1}
พระสัญญาของพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานให้แก่สาวกของพระองค์นั้นเป็นพระสัญญาที่ประทานให้คริสตจักรของพระองค์จนถึงสิ้นยุคด้วย พระเจ้าไม่ได้ทรงออกแบบเพียงแค่ให้แผนการอันประเสริฐของพระองค์ในการไถ่มนุษย์จะบรรลุผลอย่างเด่นชัดเท่านั้น ทุกคนที่ออกไปทำงานโดยไม่วางใจในสิ่งที่ตัวเองทำได้แต่วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงประกอบกิจเพื่อพวกเขาและผ่านตัวพวกเขาจะได้เห็นพระสัญญาของพระองค์เกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน "เขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก" พระองค์ทรงเปิดเผย "เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา" {DA 667.2}
เนื่องจากสาวกยังไม่รู้จักแหล่งทรัพยากรและอำนาจอันไม่จำกัดของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม" ยอห์น 16 ข้อที่ 24 พระองค์ทรงอธิบายว่าเคล็ดลับความสำเร็จของพวกเขาคือการขอกำลังและพระคุณในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระบิดาเพื่อทูลขอเผื่อพวกเขา พระองค์ทรงทูลเสนอคำอธิษฐานของผู้ที่ถ่อมตนราวกับคำอธิษฐานนั้นเป็นความปรารถนาของพระองค์เองในนามของจิตวิญญาณดวงนั้น ทุกคำอธิษฐานที่จริงใจจะได้ยินในสวรรค์ อาจเป็นคำอธิษฐานที่ไม่ได้กล่าวด้วยความคล่องแคล่ว แต่หากกล่าวด้วยใจแล้วคำอธิษฐานนั้นจะขึ้นไปยังพระนิเวศที่ซึ่งพระเยซูทรงปรนนิบัติอยู่ และพระองค์จะทรงทูลเสนอพระบิดาโดยใช้พระดำรัสที่ไม่ติดขัดแต่งดงามและเคล้าด้วยกลิ่นหอมของเครื่องหอมแห่งความสมบูรณ์แบบของตัวพระองค์เอง {DA 667.3}
เส้นทางแห่งความจริงใจและความซื่อสัตย์ไม่ใช่เส้นทางที่ปลอดสิ่งกีดขวาง แต่ในทุกความยากลำบากเราจะเห็นถึงการร้องเรียกให้อธิษฐาน ไม่มีผู้ที่มีชีวิตคนใดมีอำนาจที่เขาไม่ได้รับจากพระเจ้า และแหล่งที่มาของอำนาจนั้นจะเปิดออกให้แก่มนุษย์ที่อ่อนแอที่สุด "สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา” พระเยซูตรัส "เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น" {DA 667.4}
พระคริสต์ทรงเชิญชวนให้สาวกของพระองค์อธิษฐาน “ในนามของเรา” ในพระนามของพระคริสต์ผู้ติดตามพระองค์จึงยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าได้ ด้วยมูลค่าของการเสียสละเพื่อพวกเขา พวกเขาจึงมีค่าในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากความชอบธรรมของพระคริสต์ที่สวมให้แก่เขา พวกเขาจึงถูกนับว่ามีค่า เพื่อเห็นแก่พระคริสต์พระเจ้าจึงทรงให้อภัยแก่ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมองเห็นความชั่วของคนบาปที่อยู่ในตัวพวกเขา พระองค์ทรงมองเห็นพระฉายาของพระบุตรของพระองค์ในตัวคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระบุตร {DA 667.5}
พระเจ้าทรงผิดหวังเมื่อประชากรของพระองค์ประเมินตนเองต่ำ พระองค์ทรงปรารถนาให้มรดกที่พระองค์ทรงคัดสรรไว้แล้วประเมินคุณค่าของตัวเองตามราคาที่พระองค์ทรงตั้งไว้ให้แก่พวกเขา พระเจ้าทรงต้องการพวกเขา มิฉะนั้นแล้วพระองค์คงจะไม่ส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาประกอบกิจธุระที่มีค่าสูงมากเช่นนี้เพื่อไถ่พวกเขา พระองค์ทรงมีประโยชน์ให้แก่พวกเขาและพระองค์ทรงพอพระทัยอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาทูลเรียกร้องอย่างสูงสุดจากพระองค์เพื่อที่พวกเขาจะถวายพระสิริแด่พระนามของพระองค์ พวกเขาอาจคาดหวังสิ่งยิ่งใหญ่ได้หากพวกเขามีความเชื่อในพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์ {DA 668.1}
แต่การอธิษฐานในพระนามของพระคริสต์มีความหมายมากยิ่ง เรื่องนี้หมายความว่าเราต้องยอมรับพระลักษณะนิสัยของพระองค์ แสดงออกซึ่งจิตวิญญาณของพระองค์และรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอบพระสัญญาพร้อมด้วยเงื่อนไข "ถ้าพวกท่านรักเรา" พระองค์ตรัส "ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่ใช่ช่วยให้อยู่ในบาป แต่ทรงช่วยพวกเขาให้ออกจากบาป และผู้ที่รักพระองค์จะแสดงความรักของพวกเขาออกมาให้เห็นด้วยการเชื่อฟัง {DA 668.2}
ทุกการเชื่อฟังที่จริงใจล้วนออกมาจากใจ เป็นการทำงานด้วยหัวใจร่วมกับพระคริสต์ และถ้าเรายินยอม พระองค์จะทรงเปิดตัวยอมรับความคิดและจุดมุ่งหมายของเรา ด้วยเหตุนี้จึงทรงผสานหัวใจและความคิดของเราให้สอดคล้องเข้ากับพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อว่าในขณะที่เรากำลังเชื่อฟังพระองค์นั้นเราก็เพียงแค่ทำตามแรงกระตุ้นของเราเอง ความตั้งใจที่ได้รับการขัดเกลาและชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะพบความชื่นชมยินดีอย่างสูงสุดเมื่อได้ทำงานรับใช้พระองค์ เมื่อเรารู้จักพระเจ้าเพราะเป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้รู้จักพระองค์แล้ว ชีวิตของเราจะเป็นชีวิตแห่งการเชื่อฟังอย่างต่อเนื่อง โดยความซาบซึ้งในพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์และโดยการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้า บาปจะกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อเรา {DA 668.3}
เนื่องจากพระคริสต์ทรงดำเนินชีวิตในสภาพมนุษย์ภายใต้กฎบัญญัติ เราจึงยึดพระเจ้าผู้ทรงเป็นพละกำลังมาเป็นความแข็งแกร่งของเราได้ด้วย แต่เราต้องไม่เอาหน้าที่ในความรับผิดชอบของเราไปวางบนผู้อื่นและรอให้พวกเขามาคอยบอกเราถึงสิ่งที่จะต้องทำ เราพึ่งมนุษย์เพื่อขอคำปรึกษาไม่ได้ พระเจ้าจะทรงสอนหน้าที่ของเราด้วยความเต็มพระทัยเช่นเดียวกับที่ทรงสอนคนอื่น หากเราเข้ามาเฝ้าพระองค์ด้วยความเชื่อ พระองค์จะตรัสบอกความล้ำลึกของพระองค์ให้แก่เราเป็นการส่วนตัว หัวใจของเรามักจะรุ่มร้อนอยู่ภายในเมื่อพระเจ้าทรงเข้ามาใกล้เพื่อสนทนาปราศรัยกับเราเหมือนที่พระองค์ทรงสนทนาปราศรัยกับเอโนค ผู้ที่ตัดสินใจว่าในทุกสายงานจะไม่ทำสิ่งใดที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยนั้น เมื่อเขาได้นำเสนอปัญหาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์แล้ว เขาก็จะรู้ได้ว่าจะดำเนินไปทางไหน พวกเขาไม่เพียงแต่ได้รับสติปัญญาแต่จะได้พละกำลังด้วย พลังอำนาจเพื่อการเชื่อฟังและเพื่อการรับใช้จะทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขาตามที่พระคริสต์ทรงสัญญาไว้ สิ่งใดก็ตามที่ประทานให้พระคริสต์ -- "สิ่งทั้งปวง" เพื่อเติมเต็มความต้องการของมนุษย์ที่ล้มลงในบาป – ได้ทรงโปรดมอบให้กับพระองค์ในฐานะหัวหน้าและตัวแทนของมนุษยชาติ "และเมื่อเราขอสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์" 1 ยอห์น 3 ข้อที่ 22 {DA 668.4}
ก่อนที่พระองค์จะถวายตัวเองเป็นเหยื่อสำหรับการถวายบูชานั้น พระคริสต์ทรงค้นหาของขวัญที่จำเป็นและสมบูรณ์ที่สุดเพื่อประทานให้แก่ผู้ติดตามพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญที่จะนำพวกเขาให้เข้าถึงทรัพยากรแห่งพระคุณอันไม่มีที่สิ้นสุด "เราจะทูลขอพระบิดา" พระองค์ตรัส "และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน" ยอห์น 14 ข้อที่ 16-18 {DA 668.5}
ก่อนหน้านี้พระวิญญาณทรงร่วมสถิตอยู่ในโลกแล้ว พระองค์ทรงขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของมนุษย์นับตั้งแต่พระราชกิจแห่งการไถ่บาปได้เริ่มต้นขึ้น แต่ในขณะที่พระคริสต์ทรงดำรงชีวิตอยู่บนโลกนั้น สาวกไม่ต้องการผู้ช่วยคนใด ไม่จนกระทั่งพระองค์ไม่ได้สถิตอยู่ด้วยแล้วพวกเขาจึงรู้สึกว่าต้องการพระวิญญาณ และจากนั้นพระองค์จึงเสด็จมา {DA 669.1}
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นตัวแทนของพระคริสต์แต่ทรงปราศจากบุคลิกลักษณะของความเป็นมนุษย์และเนื่องด้วยสาเหตุนี้จึงทรงสภาพอิสระ ด้วยสภาพของความเป็นมนุษย์ที่กีดขวางอยู่ พระคริสต์จึงไม่อาจปรากฏกายทุกที่ด้วยพระองค์เองได้ ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของพวกเขาพระองค์จึงต้องเสด็จไปหาพระบิดาและประทานพระวิญญาณมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อไปในโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่มีใครคนใดจะได้เปรียบเพราะตำแหน่งของเขาหรือความใกล้ชิดกับพระคริสต์ โดยทางพระวิญญาณ ทุกคนจะเข้าถึงพระผู้ช่วยให้รอดได้ โดยนัยนี้พระองค์ทรงอยู่ใกล้พวกเขามากกว่าเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ได้เสด็จขึ้นสู่เบื้องบน {DA 669.2}
"คนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา" พระเยซูทรงอ่านอนาคตของสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงเห็นคนหนึ่งถูกนำไปแขวนบนตะแลงแกง คนหนึ่งถูกตรึงบนกางเขน คนหนึ่งถูกเนรเทศอย่างโดดเดี่ยวไปอยู่ท่ามกลางโขดหินกลางทะเล คนอื่นถูกกดขี่ข่มเหงและตาย พระองค์ทรงหนุนใจพวกเขาด้วยพระสัญญาว่าในทุกความทุกข์ทรมาน พระองค์จะสถิตอยู่ด้วย พลังแห่งพระสัญญายังไม่เคยจืดจางไป องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักผู้รับใช้ทุกคนของพระองค์เป็นอย่างดี เพื่อเห็นแก่พระองค์พวกเขาจึงต้องนอนอยู่ในเรือนจำหรือถูกเนรเทศไปอยู่เกาะโดดเดี่ยว พระองค์ทรงปลอบประโลมพวกเขาด้วยการสถิตอยู่กับพวกเขาด้วยตัวพระองค์เอง เมื่อผู้เชื่อต้องไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ศาลที่ไม่ชอบธรรมเพื่อเห็นแก่ความจริง พระคริสต์ประทับอยู่เคียงข้างเขา คำตำหนิทั้งหมดที่กระหน่ำใส่เขานั้นตกอยู่บนพระคริสต์ พระคริสต์ถูกตัดสินกำหนดโทษอีกครั้งในตัวสาวกของพระองค์ เมื่อคนหนึ่งถูกจองจำอยู่ภายในกำแพงของเรือนจำนั้น พระคริสต์จะทรงโหมกระหน่ำความรักของพระองค์ใส่หัวใจของเขา เมื่อคนหนึ่งต้องทนทุกข์จนตายเพราะเห็นแก่พระองค์ พระคริสต์ตรัสว่า เรา "เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่นี่แน่ะ เรายังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และเราถือลูกกุญแจทั้งหลายแห่งความตายและแห่งแดนคนตาย " วิวรณ์ 1 ข้อที่ 18 ชีวิตที่เสียสละเพื่อเราจะถูกเก็บถนอมรักษาไว้สำหรับพระสิริอันคงอยู่นิรันดร์ {DA 669.3}
ในทุกเวลาและในทุกสถานที่ ในทุกความเศร้าโศกและในความระทมทุกข์ทั้งหมด เมื่อดูเหมือนว่ากาลภาคหน้ามืดมนอนาคตสับสน และเรารู้สึกหมดหนทางและโดดเดี่ยว พระเจ้าทรงส่งองค์ผู้ช่วยมาเป็นคำตอบของคำอธิษฐานแห่งความเชื่อ สถานการณ์อาจแยกเราออกจากเพื่อนร่วมโลกทุกคน แต่ไม่มีสถานการณ์ใดและไม่มีระยะทางใดจะแยกเราไปจากองค์พระผู้ช่วยแห่งฟ้าสวรรค์ได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าเราจะไปที่ใด พระองค์ประทับเคียงข้างทางด้านขวามือของเราอยู่เสมอเพื่อหนุน ยกชูและเป็นกำลังใจ {DA 669.4}
พวกสาวกยังคงไม่เข้าใจพระดำรัสของพระคริสต์ในแง่ฝ่ายจิตวิญญาณ และพระองค์จึงทรงอธิบายความหมายของพระองค์อีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า โดยพระวิญญาณ พระองค์จะทรงสำแดงตัวพระองค์เองให้แก่พวกเขา "แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง" ท่านจะไม่พูดอีกต่อไปว่าฉันไม่เข้าใจ ท่านจะไม่ต้องดูผ่านกระจกแบบมืดๆ อีกต่อไป ท่านจะ "เข้าใจร่วมกับธรรมิกชนทั้งหมดถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้" เอเฟซัส 3 ข้อที่ 18, 19 {DA 670.1}
พวกสาวกต้องเป็นพยานถึงชีวิตและพระราชกิจของพระคริสต์ พระองค์ตรัสกับคนทั้งหมดบนพื้นโลกผ่านทางคำพูดของพวกเขา แต่พวกเขาจะต้องประสบกับการทดลองและความผิดหวังครั้งใหญ่ในการทนทุกข์และความมรณาของพระคริสต์ เพื่อว่าหลังจากประสบการณ์นี้แล้ว คำพูดของพวกเขาจะแม่นยำถูกต้อง พระเยซูทรงสัญญาว่า องค์ผู้ช่วย "จะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” {DA 670.2}
“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน” พระองค์ตรัสต่อไปว่า "แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน" พระเยซูทรงเปิดหลักฐานความจริงอันยิ่งใหญ่ไพศาลไว้ต่อหน้าสาวก แต่เป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะเก็บรักษาบทเรียนของพระองค์ให้แยกออกอย่างชัดเจนจากประเพณีและคำสอนของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกเขาถูกฝึกให้ยอมรับคำสอนของพวกธรรมาจารย์ว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าและคำสอนนี้ยังคงมีอำนาจอยู่เหนือความนึกคิดของพวกเขาและเป็นสิ่งที่ปั้นแต่งคุณค่าทัศนคติชีวิตของพวกเขา แนวคิดทางโลกและสิ่งของทางฝ่ายโลกยังคงครอบครองความคิดส่วนใหญ่ของพวกเขาไว้ พวกเขาไม่เข้าใจธรรมชาติฝ่ายจิตวิญญาณของอาณาจักรพระคริสต์ถึงแม้พระองค์ได้ทรงอธิบายให้พวกเขาฟังอยู่บ่อยครั้งก็ตาม ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความสับสน พวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าของพระคัมภีร์ที่พระคริสต์นำเสนอ ดูเหมือนว่าบทเรียนมากมายของพระองค์สูญหายไปกับพวกเขา พระเยซูทรงตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้ยึดความหมายที่แท้จริงของพระดำรัสของพระองค์ไว้ พระองค์ทรงสัญญาอย่างเห็นอกเห็นใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้พวกเขารำลึกถึงพระดำรัสเหล่านี้ และพระองค์ยังไม่ได้ตรัสอีกหลายอย่างที่พวกสาวกเข้าใจไม่ได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้พระวิญญาณจะทรงเปิดเผยให้พวกสาวกทราบด้วย พระวิญญาณจะทรงปลุกความเข้าใจของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะซาบซึ้งในสิ่งต่างๆ ที่เป็นของสวรรค์ “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว” พระเยซูตรัส “พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” {DA 670.3}
องค์ผู้ช่วยทรงมีพระนามว่า "พระวิญญาณแห่งความจริง" พระราชกิจของพระองค์คืออธิบายและรักษาความจริง พระองค์ทรงเริ่มด้วยการสถิตอยู่ในใจในฐานะพระวิญญาณแห่งความจริงก่อนแล้วจึงทรงเป็นองค์ผู้ช่วย ความจริงมีการปลอบประโลมใจและสันติสุข แต่ในความเท็จจะไม่มีการประโลมใจและสันติสุขที่แท้จริง ทฤษฎีและประเพณีจอมปลอมทำให้ซาตานได้อำนาจเหนือจิตใจ ซาตานทำให้อุปนิสัยผิดลักษณะไปด้วยการหันเหมนุษย์ให้เข้าหามาตรฐานเทียมเท็จ พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับจิตใจและประทับความจริงลงไปในหัวใจผ่านทางพระคัมภีร์ ด้วยประการฉะนี้พระองค์จึงทรงเปิดโปงความผิดและขับไล่ความผิดออกไปจากวิญญาณจิต พระคริสต์ทรงนำประชากรที่ทรงเลือกสรรแล้วให้เข้ามาหาพระองค์เองผ่านทางพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงประกอบกิจผ่านพระวจนะของพระเจ้า {DA 671.1}
ในการพรรณนาถึงพระราชกิจในหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่สาวกของพระองค์นั้น พระเยซูทรงหาช่องทางที่จะประทานแรงบันดาลใจแห่งความสุขและความหวังซึ่งเคยสร้างแรงบันดาลใจให้แด่พระทัยของพระองค์เองมาแล้ว พระองค์ทรงชื่นชมยินดีเพราะได้ทรงจัดเตรียมการช่วยเหลืออย่างล้นเหลือให้แก่คริสตจักรของพระองค์ไว้แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นของประทานสูงที่สุดที่พระองค์ทรงทูลขอจากพระบิดาเพื่อยกระดับประชากรของพระองค์ พระเจ้าประทานพระวิญญาณให้แก่พวกเขาเพื่อเป็นสื่อกลางของการบังเกิดใหม่และถ้าปราศจากพระวิญญาณแล้วการเสียสละของพระคริสต์ก็จะไม่บังเกิดผล ในหลายศตวรรษมานี้อำนาจของความชั่วแข็งแกร่งมากขึ้นและเป็นเรื่องน่าประหลาดที่มนุษย์ยอมไปเป็นเชลยของซาตาม บาปจะถูกต้านและเอาชนะได้ก็โดยทางตัวแทนยิ่งใหญ่เท่านั้นซึ่งคือพระภาคองค์ที่สามของพระเจ้าผู้จะเสด็จมาด้วยพลังอำนาจที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่ด้วยพลังอำนาจของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ พระวิญญาณจะทรงเป็นผู้ประกอบกิจให้สำเร็จในสิ่งที่พระผู้ไถ่ของโลกได้ทรงประกอบกิจไว้แล้ว โดยทางพระวิญญาณหัวใจจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ โดยทางพระวิญญาณผู้เชื่อจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า พระคริสต์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้เป็นอำนาจของพระเจ้าเพื่อเอาชนะแนวโน้มที่จะทำบาปทั้งหมดทั้งที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือดและที่พัฒนาขึ้นมาภายหลัง และเพื่อประทับพระลักษณะนิสัยของพระองค์เองลงไปบนคริสตจักรของพระองค์ {DA 671.2}
พระเยซูตรัสถึงพระวิญญาณไว้ว่า "พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ" พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาเพื่อถวายพระสิริแด่พระบิดาโดยการสำแดงความรักของพระองค์ ดังนั้นพระวิญญาณจึงถวายพระสิริแด่พระคริสต์โดยการเปิดเผยพระคุณของพระองค์ต่อโลก พระฉายาของพระเจ้าเองจะต้องได้รับการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในมนุษยชาติ พระเกียรติของพระเจ้าและพระเกียรติของพระคริสต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับลักษณะอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบของประชากรของพระองค์ {DA 671.3}
“เมื่อพระองค์ [พระวิญญาณแห่งความจริง] เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา” การเทศนาพระวจนะจะไม่เกิดผลอันใดหากปราศจากการสถิตอยู่ด้วยอย่างต่อเนื่องและการทรงช่วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือผู้สอนความจริงของพระเจ้าเพียงผู้เดียวที่มีประสิทธิผล เมื่อความจริงพร้อมกับพระวิญญาณเข้าสู่หัวใจเท่านั้นที่จะเร่งเร้าจิตสำนึกหรือเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ คนหนึ่งอาจนำเสนอพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดตามตัวอักษรและเขาอาจคุ้นเคยกับพระบัญชาและพระสัญญาทั้งหมด แต่ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงจัดวางความจริงให้เข้าไปอยู่ในใจแล้ว จะไม่มีจิตวิญญาณดวงใดล้มลงบนพระศิลาและแตกหักลงได้ การศึกษามากมายและข้อได้เปรียบต่างๆ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่อาจทำให้คนคนหนึ่งเป็นท่อแห่งแสงสว่างได้หากปราศจากการร่วมมือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า การหว่านเมล็ดแห่งข่าวประเสริฐจะไม่ประสบความสำเร็จเว้นเสียแต่เมล็ดนั้นจะได้รับการปลุกให้มีชีวิตด้วยน้ำค้างจากสวรรค์ ภายหลังจากที่พระคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ก่อนที่พระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่หนึ่งเล่มจะถูกเขียนขึ้นมาและก่อนที่ข่าวประเสริฐจะเริ่มเทศน์ออกไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จมาเหนืออัครสาวกที่กำลังอธิษฐานกันอยู่ และแล้วพวกศัตรูได้เป็นพยานว่า "พวกเจ้าทำให้คำสอนของพวกเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม" กิจการ 5 ข้อที่ 28 {DA 671.4}
พระคริสต์ทรงสัญญาที่จะประทานของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คริสตจักรของพระองค์ และพระสัญญานี้เป็นของเรามากเท่ากับที่เป็นของสาวกรุ่นแรก แต่เช่นเดียวกับพระสัญญาอื่นๆ พระสัญญานี้จะทรงโปรดประทานให้ภายใต้เงื่อนไข มีหลายคนที่เชื่อและแสดงตัวกล่าวอ้างพระสัญญาของพระเจ้า พวกเขาพูดถึงพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กระนั้นกลับไม่ได้รับประโยชน์อันใด พวกเขาไม่ยอมจำนนมอบจิตวิญญาณให้อยู่ภายใต้การชี้แนะและการควบคุมจากตัวแทนของพระเจ้า เราใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ พระวิญญาณทรงเป็นผู้ใช้เรา โดยทางพระวิญญาณ พระเจ้าทรงประกอบกิจในประชากรของพระองค์ให้ "มีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์" ฟีลิปปี 2 ข้อที่ 13 แต่หลายคนไม่ยอมจำนนต่อพระองค์ พวกเขาต้องการจัดการตนเองจึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่ได้รับของประทานจากสวรรค์ เฉพาะผู้ที่รอคอยพระเจ้าด้วยความถ่อมใจและเฝ้ารอการนำทางและพระคุณของพระองค์เท่านั้นที่จะทรงโปรดประทานพระวิญญาณให้แก่พวกเขา อำนาจของพระเจ้ารอคอยให้พวกเขาขอและรับ พระพรที่ทรงสัญญาให้นี้ เมื่อทูลขอด้วยความเชื่อจะนำพระพรอื่นๆ ทั้งหมดมาด้วยเป็นขบวน พระพรนี้โปรดประทานให้ตามความไพบูลย์ของพระคุณของพระคริสต์ พระองค์ทรงพร้อมที่จะจัดหาให้กับจิตวิญญาณทุกดวงตามขนาดที่จะรับได้ {DA 672.1}
ในการสนทนากับเหล่าสาวก พระเยซูไม่ได้พาดพิงถึงความทุกข์ทรมานและความตายของพระองค์เอง มรดกชิ้นสุดท้ายของพระองค์เป็นมรดกแห่งสันติภาพ พระองค์ตรัสว่า "เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย" {DA 672.2}
ก่อนออกจากห้องชั้นบนพระผู้ช่วยให้รอดทรงนำสาวกของพระองค์ร้องบทเพลงสรรเสริญ พระสุรเสียงของพระองค์ที่ดังขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเสียงคร่ำครวญโศกเศร้า แต่เป็นเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าสำหรับเทศกาลปัสกาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
"ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก
และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์
สรรเสริญพระยาห์เวห์" สดุดี 117 {DA 672.3}
หลังจากร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็ออกไป พวกเขาเดินผ่านถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ผ่านประตูเมืองไปยังภูเขามะกอกเทศ เดินกันไปอย่างช้าๆ แต่ละคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองขณะที่พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังภูเขา พระเยซูตรัสด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนเศร้าว่า "ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราจะประหารผู้เลี้ยงแกะและแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’" มัทธิว 26 ข้อที่ 31 สาวกฟังด้วยความเศร้าและประหลาดใจ พวกเขาจำเหตุการณ์ในธรรมศาลาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อพระคริสต์ตรัสถึงตัวพระองค์เองว่าเป็นอาหารแห่งชีวิต คนมากมายขุ่นเคืองและได้หันไปจากพระองค์ แต่สาวกทั้งสิบสองคนไม่ได้แสดงตัวว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เปโตรพูดแทนพี่น้องของตนประกาศถึงความภักดีของเขาที่มีต่อพระคริสต์ แล้วพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า "เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย" ยอห์น 6 ข้อที่ 70 ในห้องชั้นบนพระเยซูตรัสว่าหนึ่งในสิบสองคนจะทรยศพระองค์และเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ แต่ในเวลานี้พระดำรัสของพระองค์ได้หมายรวมพวกเขาทั้งหมด {DA 673.1}
เมื่อถึงตอนนี้เสียงของเปโตรประท้วงดังขึ้นอย่างดุเดือดรุนแรงว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย” ในห้องชั้นบนเขาได้เปิดเผยว่า "ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูทรงเตือนเขาว่า ในคืนนั้นเองเขาจะปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดของเขา บัดนี้พระคริสต์ตรัสย้ำคำเตือนนั้นอีกครั้ง "’เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันนี้ คือคืนนี้เอง ก่อนไก่จะขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง’ แต่เปโตรทูลแข็งแรงทีเดียวว่า ‘ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย’ เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน” มาระโก 14 ข้อที่ 29, 30, 31 TKJV ด้วยความมั่นใจในตนเองพวกเขาปฏิเสธพระดำรัสของผู้ทรงหยั่งรู้ที่ตรัสกับพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาไม่พร้อมรับมือกับการทดสอบ เมื่อการทดลองจะโหมกระหน่ำใส่พวกเขาแล้ว พวกเขาจึงจะเข้าใจถึงความอ่อนแอของตนเอง {DA 673.2}
เมื่อเปโตรทูลว่าเขาจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาไปยังเรือนจำและความตายนั้น เขายืนยันคำพูดของเขาทุกคน แต่เขาไม่เข้าใจตัวเขาเอง ในใจของเขามีองค์ประกอบของความชั่วซ่อนอยู่ซึ่งสถานการณ์รอบด้านจะพัดกระตุ้นให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะนำให้เขาไปสู่หายนะนิรันดร์ได้เว้นเสียแต่เขาจะมีจิตสำนึกได้ถึงภัยอันตราย พระผู้ช่วยให้รอดทรงมองเห็นในตัวของเปโตรว่าความรักตนเองและความมั่นใจจะมีชัยชนะแม้กระทั่งจะมีชัยเหนือความรักของเขาที่มีต่อพระคริสต์ ในประสบการณ์ชีวิตของเขาได้เปิดเผยให้เห็นถึงความบกพร่อง บาปที่ไม่ถูกปราบ วิญญาณจิตที่สะเพร่า อารมณ์ที่ยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และความเลินเล่อที่พุ่งชนเข้าหาการทดลอง พระคริสต์ทรงเตือนอย่างจริงจังให้ตรวจสอบหัวใจ เปโตรจะต้องไม่วางใจในตนเองและต้องมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในพระคริสต์ หากเขายอมรับคำเตือนด้วยความถ่อมตนแล้ว เขาคงจะได้อ้อนวอนพระเมษบาลของฝูงแกะให้ปกป้องลูกแกะของพระองค์ เมื่ออยู่บนทะเลสาบกาลิลีขณะที่เขาเกือบจมน้ำเขาร้องขึ้นมาว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย" มัทธิว 14 ข้อที่ 30 จากนั้นพระหัตถ์ของพระองค์ก็ทรงยื่นออกไปเพื่อคว้ามือของเขาไว้ เช่นเดียวกันหากในเวลานี้เขาร้องหาพระเยซูให้ทรงช่วยเขาจากตัวของเขาเองแล้วเขาก็น่าจะรอด แต่เปโตรกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความไว้วางใจและเขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่โหดร้าย เขารู้สึกขุ่นเคืองและเขาก็มุ่งมั่นที่จะมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น {DA 673.3}
พระเยซูทอดพระเนตรสาวกทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานไม่ได้ แต่พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาไม่ได้รับการปลอบประโลม พระองค์ประทานความมั่นใจให้แก่พวกเขาว่าจะทรงหักโซ่ตรวนของหลุมฝังศพ และพระองค์จะไม่ล้มเลิกที่จะประทานความรักให้แก่พวกเขา "แต่หลังจากพระเจ้าทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาแล้ว” พระองค์ตรัส “เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน” มัทธิว 26 ข้อที่ 32 ก่อนที่พวกเขาจะปฏิเสธพระองค์ พวกเขาได้รับความมั่นใจว่าจะได้รับการอภัย หลังจากการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าได้รับการอภัยแล้วและเป็นสุดที่รักของพระคริสต์ {DA 674.1}
พระเยซูและเหล่าสาวกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสวนเกทเสมนีที่เชิงเขามะกอกเทศ อันเป็นที่พักสงบที่พวกเขามักไปเสมอเพื่อการใคร่ครวญและอธิษฐาน ตลอดเวลาพระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิบายให้สาวกฟังเรื่องพันธกิจของพระองค์ที่มีต่อโลก และความสัมพันธ์ทางด้านจิตวิญญาณกับพระองค์ที่พวกเขาจะต้องประคับประคองเอาไว้ต่อไป ในเวลานี้พระองค์ทรงสอนบทเรียนให้แก่พวกเขาโดยทรงอธิบายเป็นภาพ ดวงจันทร์สว่างสดใส และเผยให้เห็นเถาองุ่นที่งอกขึ้นมาอย่างสวยงาม พระองค์ทรงหันความสนใจของพวกสาวกมายังเถาองุ่นนี้ และทรงยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ {DA 674.2}
"เราเป็นเถาองุ่นแท้" พระองค์ตรัส แทนที่จะเลือกต้นปาล์มที่งามสง่า ต้นสนสีดาร์ที่สูงตระหง่าน หรือต้นโอ๊คที่แข็งแกร่ง พระองค์ทรงใช้เถาองุ่นที่มีกิ่งก้านเกาะติดมากมายเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์เอง ต้นปาล์ม ต้นสนสีดาร์และต้นโอ๊คตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้นไม้เหล่านี้ไม่ต้องการสิ่งใดมาพยุงพวกมันไว้ แต่เถาองุ่นต้องพันรอบโครงไม้ระแนงจึงจะไต่ขึ้นสูงเทียมฟ้าได้ เช่นเดียวกับพระคริสต์ในขณะที่ทรงเป็นมนุษย์ทรงต้องพึ่งอำนาจของพระเจ้า “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” พระองค์ทรงเปิดเผยไว้ ยอห์น 5 ข้อที่ 30 {DA 674.3}
“เราเป็นเถาองุ่นแท้” ชาวยิวถือว่าเถาองุ่นเป็นต้นพืชงามสง่าที่สุด และเป็นต้นแบบของทุกสิ่งที่มีอำนาจ ที่ดีเลิศและที่เกิดผลอย่างอุดมสมบูรณ์ ชนชาติอิสราเอลถูกนำมาเปรียบเป็นเถาองุ่นที่พระเจ้าทรงปลูกไว้ในดินแดนแห่งพระสัญญา ชาวยิวตั้งความหวังที่จะได้รับความรอดโดยอาศัยการเชื่อมโยงกับชนชาติอิสราเอล แต่พระเยซูตรัสว่าเราเป็นเถาองุ่นแท้ อย่าคิดว่าการเชื่อมโยงกับชนชาติอิสราเอลจะทำให้พวกเจ้าได้มีส่วนร่วมรับชีวิตของพระเจ้าและเป็นผู้รับมรดกแห่งพระสัญญาของพระองค์ โดยผ่านทางเราเท่านั้นที่จะได้มาซึ่งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ {DA 675.1}
"เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา" พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงปลูกเถาองุ่นอันสวยงามนี้ไว้บนเนินเขาของแผ่นดินปาเลสไตน์และพระองค์เองทรงเป็นผู้ดูแลรักษาสวน มีคนมากมายถูกดึงดูดเนื่องจากความงดงามของเถาองุ่นพระองค์นี้ และเปิดเผยถึงแหล่งกำเนิดของเถาองุ่นว่ามาจากสวรรค์ แต่สำหรับผู้นำของชนชาติอิสราเอล เถานี้มีลักษณะเป็นรากที่ออกมาจากพื้นดินแห้ง พวกเขาเอาต้นนี้มาและทำให้ฟกช้ำและเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าที่ไม่บริสุทธิ์ของพวกเขา พวกเขาคิดที่จะทำลายต้นนี้ไปตลอดกาล แต่ผู้ดูแลรักษาสวนจากสวรรค์ไม่เคยละต้นพืชของพระองค์ไปจากสายตา หลังจากที่มนุษย์คิดว่าได้ฆ่าต้นนี้แล้ว พระองค์ทรงรับมันมาและนำไปปลูกไว้อีกฟากหนึ่งของกำแพง โคนต้นองุ่นไม่มีเหลือให้เห็นอีกต่อไป มันถูกซ่อนไว้จากการทำร้ายที่หยาบคายของมนุษย์ แต่กิ่งต่างๆ ของเถาองุ่นห้อยข้ามมาจากอีกฟากของกำแพง กิ่งเหล่านี้จะต้องเป็นตัวแทนของเถาองุ่น กิ่งตอนที่มาทาบเข้ากับกิ่งเหล่านี้จะเชื่อมต่อกับเถาองุ่นได้ผ่านทางพวกมัน จากกิ่งเหล่านี้จะเกิดผลให้ผู้ที่สัญจรไปมาเก็บได้ {DA 675.2}
พระคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง” (TKJV) แม้ว่าพระองค์กำลังจะถูกนำตัวไปจากพวกเขา แต่ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณของพวกเขากับพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน พระองค์ตรัสว่ากิ่งที่ติดกับเถาองุ่นเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ที่พวกเขาจะได้รับการค้ำจุนจากพระองค์ กิ่งตอนถูกทาบเข้าไปยังเถาองุ่นที่มีชีวิต และเส้นใยเชื่อมติดเข้ากับเส้นใย ลายเนื้อไม้ต่อเข้ากับลายเนื้อไม้ กิ่งนั้นเติบใหญ่กลายเป็นส่วนหนึ่งของตอเถาองุ่น ชีวิตของเถาองุ่นกลายเป็นชีวิตของกิ่ง เช่นเดียวกันจิตวิญญาณที่ตายโดยการละเมิดและการบาปจะได้รับชีวิตผ่านทางการเชื่อมต่อเข้ากับพระคริสต์ การเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวทำให้เกิดการเชื่อมสัมพันธ์ขึ้น คนบาปเอาความอ่อนแอของตนไปรวมเข้ากับพละกำลังของพระคริสต์ ความว่างเปล่ารวมเข้ากับความไพบูลย์ของพระคริสต์ ความอ่อนแอรวมเข้ากับพละกำลังที่มั่นคงของพระคริสต์ แล้วเขาก็มีพระทัยของพระคริสต์ ความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์สัมผัสความเป็นมนุษย์ของเราและความเป็นมนุษย์ของเราสัมผัสกับความเป็นพระเจ้า ด้วยประการฉะนี้มนุษย์จึงมีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงรัก {DA 675.3}
การเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะต้องเก็บถนอมรักษาไว้ พระคริสต์ตรัสว่า "จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายจะเกิดผลไม่ได้นอกจากท่านจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น” TKJV นี่ไม่ใช่การสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ใช่เชื่อมต่อแล้วถอนออกไป กิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของเถาองุ่นที่มีชีวิต การสื่อสารแห่งชีวิตรวมถึงกำลังและการเกิดผลที่หลั่งไหลจากรากขึ้นไปยังกิ่งจะไหลขึ้นไปโดยไม่ถูกขัดขวางและจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ถ้ากิ่งแยกออกไปจากเถาองุ่นแล้ว กิ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ พระเยซูตรัสว่าพวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้เมื่อแยกตัวออกไปจากเรา ชีวิตที่พวกท่านรับจากเราจะดำรงรักษาไว้ได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมติดอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ถ้าปราศจากเราแล้ว ท่านจะเอาชนะบาปเดียวก็ไม่ได้หรือต้านทานการทดลองแม้เพียงอันเดียวก็ไม่ได้ {DA 676.1}
"จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน" TKJV การเข้าสนิทกับพระคริสต์หมายถึงการได้รับพระวิญญาณของพระองค์อย่างต่อเนื่อง เป็นชีวิตของการยอมจำนนต่อการรับใช้ของพระองค์อย่างไม่สงวนตัว ช่องทางการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าของเขาต้องเปิดออกอย่างต่อเนื่อง กิ่งองุ่นดูดน้ำหล่อเลี้ยงขึ้นมาตลอดเวลาจากเถาองุ่นที่มีชีวิตอยู่ฉันใด เราก็ต้องยึดพระเยซูและรับกำลังและพระลักษณะนิสัยอันสมบูรณ์แบบของพระองค์จากพระองค์ด้วยความเชื่อเช่นกันฉันนั้น {DA 676.2}
รากส่งอาหารหล่อเลี้ยงผ่านทางกิ่งไปยังกิ่งก้านตรงปลายฉันใด พระคริสต์ก็ทรงส่งต่อกระแสพลังแห่งจิตวิญญาณไปยังผู้เชื่อทุกคนฉันนั้น ตราบใดที่จิตวิญญาณดวงนั้นติดสนิทกับพระคริสต์จะไม่ตกสู่ภัยอันตรายของการเหี่ยวแห้งหรือเปื่อยเน่า {DA 676.3}
ชีวิตของเถาองุ่นจะปรากฏให้เห็นในผลที่ส่งกลิ่นหอมบนกิ่ง "ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา" พระเยซูตรัส "และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" TKJV เมื่อเราดำเนินชีวิตโดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผลของพระวิญญาณจะปรากฏให้เห็นในชีวิตของเรา จะไม่มีแม้แต่ผลเดียวที่ขาดหายไป {DA 676.4}
"พระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา กิ่งทุกกิ่งในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย" ถึงแม้เมื่อมองจากภายนอก กิ่งตอนดูเชื่อมติดกับเถาองุ่น แต่กิ่งตอนนั้นอาจจะไม่มีการต่อเชื่อมอย่างมีชีวิตก็ได้จึงไม่มีการเจริญเติบโตหรือเกิดผล เช่นเดียวกัน อาจจะดูมีการเชื่อมต่อกับพระคริสต์เมื่อมองจากภายนอกแต่ปราศจากการติดสนิทกับพระองค์อย่างแท้จริงด้วยความเชื่อก็ได้ การประกาศตนว่ามีศาสนาอาจจะนำคนหนึ่งเข้าไปอยู่ในคริสตจักร แต่ลักษณะอุปนิสัยและการกระทำจะเป็นสิ่งที่แสดงออกให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์กับพระคริสต์หรือไม่ หากพวกเขาไม่เกิดผล พวกเขาก็เป็นกิ่งเทียม การแยกตัวของพวกเขาออกจากพระคริสต์นำไปสู่หายนะอย่างสมบูรณ์เหมือนดังกิ่งที่ตายไปแล้ว "ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา" พระคริสต์ตรัส "ผู้นั้นก็ต้องถูกทิ้งเสียเหมือนกิ่ง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และเขารวบรวมไว้ทิ้งในไฟเผาเสีย" TKJV {DA 676.5}
"กิ่งทุกกิ่งที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น" TKJV จากสาวกสิบสองคนที่ทรงเลือกไว้ให้ติดตามพระเยซู มีอยู่คนหนึ่งเหมือนกิ่งไม้เหี่ยวเฉาที่กำลังจะถูกตัดทิ้งไป ส่วนสาวกที่เหลือต้องผ่านใบมีดลิดกิ่งของการทดลองอันขมขื่น ด้วยความอ่อนโยนอย่างเคร่งขรึม พระเยซูทรงอธิบายจุดประสงค์ของผู้ดูแลรักษาสวน การลิดกิ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่พระบิดาทรงเป็นผู้ลงมีด พระองค์ไม่ทรงประกอบกิจด้วยพระหัตถ์ที่มุ่งร้ายหรือทำอย่างไม่ใส่พระทัย มีหลายกิ่งที่กำลังเลื้อยอยู่บนพื้น ยอดไม้เลื้อยเหล่านี้จะต้องถูกตัดขาดจากการค้ำจุนที่ได้รับจากพื้นดินที่มันยึดติดแน่นอยู่ มันต้องชูกิ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าและแสวงหาการค้ำจุนจากพระเจ้า ใบหนาแน่นที่คอยแย่งดูดกระแสแห่งชีวิตไปจากผลจะต้องถูกลิดทิ้ง ส่วนที่โตเกินไปจะต้องถูกตัดออกเพื่อเว้นช่องให้แสงแห่งการรักษาจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมส่องเข้าไปได้ ผู้ดูแลรักษาสวนตัดแต่งลิดกิ่งที่ให้โทษทิ้งไปเพื่อจะได้ผลที่สมบูรณ์และอุดมมากยิ่งขึ้น {DA 676.6}
"พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้" พระเยซูตรัส "คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมาก" พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสำแดงพระลักษณะนิสัยแห่งความบริสุทธิ์ ความเมตตากรุณา ความเห็นอกเห็นใจของพระองค์ผ่านตัวคุณ แต่กระนั้นพระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ทรงบัญชาให้สาวกลงแรงทำงานเพื่อให้เกิดผล พระองค์ตรัสบัญชาพวกเขาให้ติดสนิทกับพระองค์ "ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา" พระองค์ตรัส "และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ท่านก็จะได้สิ่งนั้น" TKJV พระคริสต์ทรงเข้าสนิทอยู่กับผู้ติดตามของพระองค์ผ่านทางพระวจนะ การรวมตัวที่จำเป็นสำหรับชีวิตที่กล่าวถึงนี้เป็นอันเดียวกันกับที่อธิบายด้วยการกินเนื้อและดื่มพระโลหิตของพระองค์ พระวจนะของพระคริสต์เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต โดยการรับพระวจนะเอาไว้ คุณจึงได้รับชีวิตของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเถาองุ่น คุณดำรงชีวิต "ด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" มัทธิว 4 ข้อที่ 4 ชีวิตของพระคริสต์ในตัวคุณก่อให้เกิดผลเช่นเดียวกับในพระองค์ เมื่อดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ยึดมั่นในพระคริสต์ ได้รับการสนับสนุนจากพระคริสต์และรับการบำรุงเลี้ยงจากพระคริสต์แล้ว คุณก็จะเกิดผลตามอย่างพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ {DA 677.1}
ในการพบกับสาวกของพระองค์ครั้งสุดท้ายนี้ ความปรารถนายิ่งใหญ่ที่พระคริสต์ทรงแสดงต่อพวกเขาคือให้พวกเขารักซึ่งกันและกันเหมือนที่พระองค์ทรงรักพวกเขามาแล้ว พระองค์ตรัสถึงเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า "สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ" พระองค์ตรัสซ้ำ "จงรักกันและกัน" พระบัญชาแรกของพระองค์ในขณะที่อยู่ตามลำพังกับพวกเขาในห้องชั้นบนคือ "เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น" สำหรับสาวกแล้วนี่เป็นบัญญัติใหม่เพราะพวกเขาไม่ได้รักกันและกันเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักพวกเขา พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าแนวความคิดและแรงกระตุ้นใหม่จะต้องควบคุมพวกเขาและพวกเขาจะต้องถือปฏิบัติหลักการใหม่ โดยชีวิตและความมรณาของพระองค์ พวกเขาจะต้องได้รับแนวคิดใหม่ในเรื่องความรัก พระบัญชาให้รักกันและกันมีความหมายใหม่ภายใต้แสงสว่างในเรื่องการเสียสละตนของพระองค์ พระราชกิจทั้งหมดในเรื่องพระคุณคือการรับใช้อย่างต่อเนื่องด้วยความรัก ด้วยการละทิ้งตน และด้วยการเสียสละตน ตลอดช่วงเวลาทุกชั่วโมงของการดำเนินชีวิตของพระคริสต์ในโลกนี้ ความรักของพระเจ้าไหลออกจากพระองค์ดั่งสายธารที่ระงับไม่ได้ ทุกคนที่ชุ่มโชกด้วยพระวิญญาณของพระองค์จะรักเหมือนที่พระองค์ทรงรัก หลักธรรมที่กระตุ้นพระคริสต์นี้จะกระตุ้นพวกเขาในการปฏิบัติต่อกันและกัน {DA 677.2}
ความรักนี้เป็นหลักฐานของการเป็นสาวกของพวกเขา "ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา" พระเยซูตรัส "ถ้าท่านรักกันและกัน" เมื่อมนุษย์ผูกพันกันไม่ใช่ด้วยการบังคับหรือผลประโยชน์ส่วนตนแต่ด้วยความรัก พวกเขาจะแสดงออกให้เห็นถึงการทำงานของอิทธิพลที่อยู่เหนืออิทธิพลทั้งปวงของมนุษย์ สถานที่ใดที่ความเป็นหนึ่งเดียวนี้ปรากฏอยู่ นั่นจะเป็นหลักฐานว่าพระฉายาของพระเจ้าได้กลับฟื้นฟูขึ้นใหม่ในมนุษยชาติแล้วและหลักการแห่งชีวิตใหม่ได้ถูกปลูกฝังไว้แล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพระเจ้ามีอำนาจต้านทานตัวแทนของความชั่วที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติและว่าพระคุณของพระเจ้าปราบความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในหัวใจตามธรรมชาติได้ {DA 678.1}
ความรักเช่นนี้ที่ปรากฏในคริสตจักรจะกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของซาตานอย่างแน่นอน พระคริสต์ไม่ได้ทรงจัดเตรียมเส้นทางที่เรียบง่ายไว้ให้แก่สาวกของพระองค์ "ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน" พระองค์ตรัส "ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า ‘บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงใช้เรามา" ข่าวประเสริฐจะต้องรุดไปข้างหน้าด้วยยุทธการเชิงรุกท่ามกลางการต่อต้าน ภัยอันตราย การสูญเสีย และความทุกข์ทรมาน แต่ผู้ที่ทำงานนี้เพียงแต่กำลังก้าวตามรอยพระบาทของพระอาจารย์ของพวกเขาเท่านั้น {DA 678.2}
ในฐานะพระผู้ไถ่ของโลก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระคริสต์ทรงเผชิญหน้ากับความล้มเหลวอย่างไม่หยุดหย่อน ดูราวกับว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้สื่อข่าวแห่งความเมตตาให้แก่โลกทรงประกอบกิจที่ทรงตั้งพระทัยไว้ว่าจะยกระดับและช่วยมนุษย์ให้รอดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อิทธิพลของซาตานทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อต้านแนวทางของพระองค์ แต่พระองค์จะไม่ทรงท้อถอย พระองค์ทรงประกาศผ่านคำพยากรณ์ของอิสยาห์ว่า “ข้าพเจ้าได้ทำงานเปล่าดาย ข้าพเจ้าเปลืองแรงของข้าพเจ้าเปล่าๆ อนิจจัง แต่แน่ละ ความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าพเจ้าอยู่กับพระเยโฮวาห์ และงานของข้าพเจ้าอยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า. . . .ถึงแม้อิสราเอลจะไม่ถูกรวบรวมเข้ามา ข้าพเจ้าก็ยังได้รับเกียรติในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า” พระสัญญาทรงโปรดประทานให้แก่พระคริสต์ว่า "พระยาห์เวห์ พระผู้ไถ่และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล ตรัสกับผู้ถูกดูหมิ่นและถูกประชาชาติรังเกียจ. . . .พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า. . . .เราได้ดูแลเจ้า และมอบเจ้าไว้ให้เป็นพันธสัญญาของชนชาติ เพื่อฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อแบ่งที่ร้างเปล่าให้เป็นมรดก และเพื่อกล่าวกับพวกถูกจำจองว่า ‘จงออกมา’ กล่าวกับพวกที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงเผยตัว’. . . .เขาทั้งหลายจะไม่หิวหรือกระหาย ความร้อนแผดเผาหรือดวงอาทิตย์จะไม่ทำลายเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสารพวกเขาจะทรงนำพวกเขาและจะนำพาเขาไปยังน้ำพุ” อิสยาห์ 49 ข้อที่ 4, 5, TKJV 7-10 {DA 678.3}
พระเยซูทรงยึดพระวจนะเหล่านี้ไว้และไม่ทรงเปิดโอกาสให้ซาตานได้เปรียบ เมื่อพระคริสต์ก้าวมาถึงขั้นสุดท้ายของการทรมานอย่างอัปยศอดสู เมื่อความเศร้าโศกที่ล้ำลึกที่สุดกำลังประชิดอยู่รอบจิตวิญญาณของพระองค์ พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า "ผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา" “เพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว” เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป ยอห์น 14 ข้อที่ 30; 16 ข้อที่ 11; 12 ข้อที่ 31 พระคริสต์ทรงใช้สายพระเนตรแห่งการพยากรณ์ติดตามฉากที่กำลังจะเกิดขึ้นในความขัดแย้งครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ทรงอุทานว่า "สำเร็จแล้ว" ทั่วทั้งสวรรค์จะโห่ร้องขึ้นด้วยความมีชัย พระกรรณของพระองค์ทรงสดับเสียงดนตรีและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่อยู่ไกลโพ้นในลานของสวรรค์ พระองค์ทรงทราบว่าเสียงระฆังมรณะของซาตานจะดังขึ้น และพระนามของพระคริสต์จะประกาศดังก้องจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่งตลอดทั่วทั้งจักรวาล {DA 679.1}
พระคริสต์ทรงปลื้มปิติเมื่อพระองค์ทรงประกอบกิจให้แก่ผู้ติดตามของพระองค์ได้มากยิ่งกว่าที่พวกเขาจะทูลขอหรือคิดได้ พระองค์ตรัสด้วยความเชื่อมั่นเพราะทรงทราบว่าพระบัญชายิ่งใหญ่ได้ถูกมอบให้ไว้แล้วก่อนที่โลกนี้จะถูกสร้างขึ้น พระองค์ทรงทราบว่าความจริงที่ได้รับการติดอาวุธด้วยอำนาจอันไม่สิ้นสุดของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะครองชัยชนะในการแข่งขันกับความชั่ว และธงเปื้อนพระโลหิตจะโบกสะบัดอย่างมีชัยอยู่เหนือผู้ติดตามพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าชีวิตของสาวกที่วางใจในพระองค์จะเป็นเหมือนพระองค์ คือจะได้ชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในโลกดูไม่เป็นเช่นนั้น แต่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นอย่างยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า {DA 679.2}
"เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน" พระองค์ตรัส "เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” พระคริสต์ไม่ทรงประสบกับความล้มเหลวและพระองค์ก็ไม่ทรงท้อถอยด้วย และผู้ติดตามของพระองค์ต้องแสดงออกถึงความเชื่อที่มีลักษณะความอดกลั้นแบบเดียวกัน พวกเขาจะต้องดำเนินชีวิตเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงดำเนินมาแล้ว และทำงานเหมือนที่พระองค์ทรงทำมาแล้วเพราะพวกเขาพึ่งหวังพระองค์ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงเป็นหัวหน้าคนงานผู้ยิ่งใหญ่ ความกล้าหาญ พละกำลังและความพากเพียรนั้นพวกเขาจะต้องมีไว้ในการครอบครอง ถึงแม้ความเป็นไปไม่ได้จะขวางทางของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่โดยพระคุณพวกเขาจะก้าวไปข้างหน้า แทนที่จะคร่ำครวญถึงความยากลำบาก พวกเขาได้รับบัญชาให้เอาชนะความยากลำบากเหล่านั้นให้ได้ พวกเขาต้องไม่สิ้นหวังต่อสิ่งใด และต้องหวังในทุกสิ่ง พระคริสต์ทรงผูกพันพวกเขาไว้กับบัลลังก์ของพระเจ้าด้วยสายโซ่ทองคำแห่งความรักที่ไม่มีรักอื่นใดเทียบได้ พระคริสต์ทรงประสงค์ให้อิทธิพลสูงสุดในจักรวาลซึ่งกระจายออกมาจากแหล่งกำเนิดของพลังอำนาจทั้งปวงจะตกเป็นของพวกเขา พวกเขาจะต้องได้พลังอำนาจในการต่อต้านความชั่ว เป็นพลังอำนาจที่แม้แต่โลกหรือความตายหรือนรกจะปราบปรามไม่ได้ เป็นพลังอำนาจที่จะทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะได้เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงชนะมาแล้ว {DA 679.3}
พระคริสต์ทรงออกแบบให้คริสตจักรของพระองค์ในแผ่นดินโลกเป็นตัวแทนแสดงออกถึงระเบียบของสวรรค์ แผนการแห่งการปกครองของสวรรค์และความสามัคคีปรองดองของสวรรค์ ด้วยวิธีนี้พระองค์จะได้รับพระเกียรติจากประชากรของพระองค์ ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะส่องด้วยรัศมีอันสว่างสุกใสไปยังโลกผ่านทางพวกเขา พระคริสต์ประทานสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างมากมายให้คริสตจักรของพระองค์เพื่อพระองค์จะทรงรับผลประโยชน์แห่งสง่าราศีอย่างมหาศาลจากผู้ที่พระองค์ทรงไถ่และซื้อคืนมาครอบครองไว้ พระองค์ประทานความสามารถต่างๆ และพระพรหลายอย่างให้แก่ประชากรของพระองค์เพื่อให้พวกเขาเป็นตัวแทนแสดงถึงความไพบูลย์ของตัวพระองค์ คริสตจักรที่ได้รับมอบความชอบธรรมของพระคริสต์จะเป็นที่รับฝากขุมทรัพย์แห่งพระเมตตาและพระคุณและความรักของพระองค์ พวกเขาจะปรากฏในฉากสุดท้ายซึ่งครบสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงมองหาความบริสุทธิ์และความดีรอบคอบในประชากรของพระองค์เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนการทนทุกข์อันอัปยศอดสูของพระองค์และเสริมพระสิริของพระองค์ นั่นคือพระคริสต์พระผู้ทรงเป็นศูนย์กลางยิ่งใหญ่ที่พระสิริทั้งหมดเปล่งประกายออกมา {DA 680.1}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงยุติคำสั่งสอนของพระองค์ด้วยพระดำรัสอันหนักแน่นและเต็มไปด้วยความหวัง จากนั้นพระองค์ทรงระบายภาระแห่งจิตวิญญาณของพระองค์ออกมาในคำอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นไปยังท้องฟ้า ตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ดังที่พระองค์โปรดให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” {DA 680.2}
พระคริสต์ทรงประกอบกิจที่ได้รับมอบหมายให้ทำเสร็จแล้ว พระองค์ทรงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าบนแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระนามของพระบิดาให้เป็นที่ประจักษ์ พระองค์ทรงรวบรวมผู้ที่จะสานต่อพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ตรัสว่า "ข้าพระองค์ได้รับเกียรติในตัวพวกเขา บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์” “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. . . .ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์" {DA 680.3}
ด้วยภาษาของผู้ที่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าดังที่กล่าวมา พระคริสต์ได้ทรงมอบคริสตจักรที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้อยู่ในอ้อมพระกรของพระบิดา ในฐานะมหาปุโรหิตผู้อุทิศตนพระองค์ได้ทรงอ้อนวอนเผื่อประชากรของพระองค์ ในฐานะพระผู้เลี้ยงแกะผู้ซื่อสัตย์พระองค์ได้ทรงรวบรวมฝูงแกะของพระองค์ให้มาอยู่ภายใต้ร่มเงาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ภายในป้อมปราการอันแข็งแรงและมั่นคง สงครามสู้รบกับซาตานครั้งสุดท้ายกำลังรอพระองค์อยู่ และพระองค์ทรงก้าวออกไปเพื่อเผชิญหน้ากับมัน {DA 680.4}
***********