บทที่ 71

พระผู้รับใช้ของคนรับใช้ทั้งปวง

บทนี้อ้างอิงจาก ลูกา 22 ข้อที่ 7-18, 24; ยอห์น 13 ข้อที่ 1-17


ในห้องชั้นบนของบ้านพักหลังหนึ่งที่กรุงเยรูซาเล็ม พระคริสต์ประทับอยู่ที่โต๊ะร่วมกับสาวกของพระองค์  พวกเขามารวมตัวกันเพื่อถือเทศกาลปัสกา  พระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาที่จะถือเทศกาลกับสาวกสิบสองคนโดยลำพัง  พระองค์ทรงทราบดีว่าเวลาของพระองค์มาถึงแล้ว พระองค์เองทรงเป็นพระเมษโปดกองค์เที่ยงแท้ของเทศกาลปัสกา และในวันที่จะรับประทานลูกแกะปัสกาพระองค์จะทรงถูกนำขึ้นถวายเป็นเครื่องบูชา  จวนจะได้เวลาที่พระองค์จะทรงดื่มจอกแห่งพระพิโรธแล้ว อีกไม่นานพระองค์จะรับบัพติศมาสุดท้ายของความทุกข์  แต่สำหรับพระองค์เวลาสงบมีเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง และพระองค์ทรงใช้เวลานี้เพื่อให้ประโยชน์แก่สาวกที่พระองค์ทรงรัก  {DA 642.1}               

ตลอดทั้งชีวิต พระคริสต์ทรงดำเนินชีวิตแห่งการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตของพระองค์ที่ “ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น” (มัทธิว 20 ข้อที่ 28) นี่เป็นบทเรียนของทุกการกระทำของพระองค์   แต่สาวกยังไม่ได้รับบทเรียนนี้เลย  ในอาหารมื้อเย็นปัสกาครั้งสุดท้ายนี้ พระเยซูทรงย้ำคำสอนของพระองค์ด้วยการใช้แบบอย่างที่จะประทับลงในใจของพวกเขาไปตลอดกาล  {DA 642.2}              

การสนทนาระหว่างพระเยซูและสาวกของพระองค์มักเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สงบซึ่งพวกเขาทุกคนต่างเก็บถนอมไว้อย่างมีคุณค่ามากยิ่ง  อาหารมื้อเย็นปัสกาเป็นฉากที่น่าสนใจเป็นพิเศษเสมอ แต่ในค่ำคืนนี้พระเยซูทรงเป็นทุกข์  พระหทัยของพระองค์ทรงแบกภาระที่หนัก และมีเงาหนึ่งทอดมาอยู่บนพระพักตร์ของพระองค์  ขณะที่พระองค์ทรงพบกับพวกสาวกในห้องชั้นบนนั้น พวกเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้พระหทัยของพระองค์เป็นทุกข์ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบสาเหตุก็ตาม พวกเขาก็ร่วมเห็นใจในความเศร้าโศกกับพระองค์ด้วย  {DA 642.3}  

ในขณะที่พวกเขามาล้อมอยู่รอบโต๊ะ  พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเศร้าอย่างจับใจว่า  “'เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับประทานปัสกานี้กับท่านก่อนที่เราจะต้องทนทุกข์  เราบอกท่านทั้งหลายว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกานั้นในแผ่นดินของพระเจ้า'  พระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้วตรัสว่า 'จงรับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่ม  เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นอีกต่อไปจนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมา' ”  ลูกา 22 ข้อที่ 15-18  [CCh301.3]  {DA 643.1}               

พระคริสต์ทรงทราบว่าได้เวลาแล้วที่พระองค์จะไปจากโลกนี้ และเสด็จไปยังพระบิดาของพระองค์  และพระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด  บัดนี้พระองค์ทรงอยู่ใต้เงามืดของกางเขน และความเจ็บปวดกำลังทรมานพระหทัยของพระองค์  พระองค์ทรงทราบว่าจะถูกทอดทิ้งในห่วงเวลาที่พระองค์จะถูกทรยศ  พระองค์ทรงทราบว่าพระองค์จะถูกประหารด้วยวิธีอัปยศที่สุดที่ใช้กับอาชญากร  พระองค์ทรงทราบถึงความอกตัญญูและความโหดเหี้ยมของผู้ที่พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยให้รอด  พระองค์ทรงทราบว่าการเสียสละพระองค์นั้นยิ่งใหญ่เพียงไร และสำหรับคนจำนวนมากสักเพียงไรที่การเสียสละนี้สูญเปล่า  ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ เป็นเรื่องปกติที่พระองค์น่าจะหมดกำลังพ่ายแพ้ไปเมื่อคิดคำนึงถึงความอัปยศอดสูและความทุกข์ทรมานของพระองค์เอง  แต่พระองค์ทอดพระเนตรสาวกสิบสองคนที่อยู่กับพระองค์ในฐานะคนของพระองค์เอง และหลังจากพระองค์ถูกปฏิบัติอย่างน่าอับอายและเศร้าสลดและทุกข์ระทมอย่างเจ็บปวดแล้ว พวกเขาจะถูกปล่อยให้ดิ้นรนอยู่ในโลก  พระดำริของพระองค์ในเรื่องที่พระองค์จะต้องทุกข์ทรมานนั้นเชื่อมโยงกับสาวกของพระองค์เสมอ  พระองค์ไม่ได้คิดถึงตัวพระองค์เอง  ความห่วงใยที่ทรงมีต่อพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในพระหทัยของพระองค์  {DA 643.2}                                

ในค่ำคืนสุดท้ายที่พระเยซูทรงอยู่กับสาวก พระองค์ทรงมีเรื่องมากมายที่จะบอกพวกเขา  หากพวกเขาเตรียมพร้อมรับสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาจะประทาน พวกเขาจะรอดจากความปวดร้าวใจ จากความผิดหวังและจากความไม่เชื่อ  แต่พระเยซูทรงตระหนักดีว่าพวกเขาทนรับสิ่งที่พระองค์ตรัสไม่ได้  ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรใบหน้าของพวกเขา ถ้อยคำเตือนและการปลอบโยนก็ยังคงค้างอยู่บนริมฝีพระโอษฐ์ของพระองค์  เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ดูประหนึ่งว่าพระเยซูยังคงจะรออยู่  สาวกกระสับกระส่ายอึกอัดใจ  ดูเหมือนว่าความเห็นอกเห็นใจและความอ่อนโยนที่ถูกปลุกขึ้นด้วยความเศร้าโศกใจของพระคริสต์จะผ่านพ้นไปแล้ว  พระดำรัสอันเศร้าสลดของพระองค์ซึ่งชี้ถึงความทุกข์ทรมานของพระองค์เองสร้างความประทับใจได้เพียงน้อยนิด  สายตาที่พวกเขาชำเลืองมองกันและกันบ่งบอกถึงความอิจฉาและการชิงดีชิงเด่นกัน  {DA 643.3}

"มีการโต้เถียงกันในพวกสาวกว่าใครในพวกเขาที่นับว่าเป็นใหญ่"  การชิงดีชิงเด่นที่เกิดขึ้นต่อหน้าเบื้องพระพักตร์พระคริสต์ทำให้พระองค์ทรงเศร้าพระทัยและทำให้พระองค์เจ็บปวด  พวกสาวกยังคงยึดติดกับความคิดที่พวกเขาชื่นชอบว่าพระคริสต์จะอ้างสิทธิอำนาจและขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด  และในใจของแต่ละคนยังคงโหยหาตำแหน่งสูงที่สุดในราชอาณาจักร  พวกเขาประเมินคุณค่าให้กับตัวเองและให้แก่กัน และแทนที่จะถือว่าพี่น้องของพวกเขามีคุณค่ามากกว่าตน พวกเขากลับนำตัวเองวางขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง  คำทูลขอตำแหน่งของยากอบและยอห์นเพื่อได้ที่นั่งขวาและซ้ายของบัลลังก์ของพระคริสต์ทำให้สาวกอื่นๆ ขุ่นเคือง  การที่สองพี่น้องทึกทักขอตำแหน่งที่นั่งสูงสุดปลุกปั่นสาวกสิบคนจนทำให้เสี่ยงต่อการแตกแยก  พวกเขารู้สึกว่าตนเองถูกตัดสินอย่างผิดๆ และความภักดีและความสามารถของพวกเขาไม่เป็นที่ยอมรับ  ยูดาสเคืองยากอบและยอห์นอย่างรุนแรงที่สุด  {DA 643.4}               

เมื่อสาวกเดินเข้าห้องรับประทานอาหาร ใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง   ยูดาสนั่งแนบชิดอยู่ด้านซ้ายของพระเยซู ยอห์นอยู่ด้านขวา หากมีตำแหน่งสูงที่สุดใดแล้ว  ยูดาสตั้งใจที่จะคว้ามาให้ได้และเขาเชื่อว่าที่นั่นควรจะอยู่ข้างพระคริสต์  และยูดาสเป็นคนทรยศ  [CCh 299.1]  {DA 644.1}       

มีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของความขุ่นเคือง  โดยปกติในงานเลี้ยงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติหนึ่งที่มีคนรับใช้เข้ามาล้างเท้าของแขกและในงานนี้มีการเตรียมเหยือกน้ำ อ่างและผ้าเพื่อใช้ล้างเท้าไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่ไม่มีคนรับใช้อยู่ที่นั่น  และพวกสาวกควรที่จะต้องทำหน้าที่นี้  ทว่าสาวกแต่ละคนต่างยอมจำนนต่อการสูญเสียศักดิ์ศรีของตนเอง   ตั้งใจไม่ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ ทุกคนแสดงออกอย่างแน่วแน่ถึงความไม่ใส่ใจ ทำราวกับไม่ตระหนักว่ามีบางสิ่งที่พวกเขาต้องทำ ด้วยความเงียบนี้  พวกเขาปฏิเสธที่จะถ่อมใจตนเองลง  [CCh 299.2]  {DA 644.2}

พระคริสต์จะทรงนำจิตวิญญาณที่น่าสงสารเหล่านี้อย่างไรเพื่อไม่ให้ซาตานมีชัยชนะเหนือพวกเขาอย่างเด็ดขาดได้เล่า?  พระองค์จะทรงสำแดงให้เห็นได้อย่างไรว่าการเพียงแต่แสดงตนว่าเป็นสาวกไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นสาวกหรือรับรองว่าพวกเขาจะมีส่วนอยู่ในอาณาจักรของพระองค์?  พระองค์จะทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นได้อย่างไรว่าการรับใช้ด้วยความรัก ความถ่อมตนอย่างจริงใจเป็นส่วนประกอบของความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง?  พระองค์จะทรงจุดประกายความรักในหัวใจของพวกเขาได้อย่างไร และช่วยทำให้พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะบอกพวกเขา?  {DA 644.3}

สาวกไม่ยอมขยับเพื่อที่จะลุกไปบริการซึ่งกันและกัน  พระเยซูทรงคอยอยู่สักครู่เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไร และแล้วพระองค์ผู้ทรงเป็นพระอาจารย์ทรงลุกจากโต๊ะ  ถอดเสื้อนอกวางไว้เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว พระองค์ทรงเอาผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาคาดเอวไว้  สาวกทั้งหลายต่างมองดูด้วยความสนใจแกมประหลาดใจและในความเงียบคอยดูว่าจะมีอะไรตามมา  “แล้วทรงเทน้ำลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก  และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น” ยอห์น 13 ข้อที่ 5  การกระทำนี้เปิดตาของพวกสาวก ความอับอายอย่างขมขื่นและความอดสูผุดขึ้นในใจของพวกเขา พวกเขาเข้าใจแล้วถึงคำตำหนิที่ไม่ได้แปล่งออกมาเป็นวาจาและมองเห็นตัวเองด้วยความกระจ่างใหม่  [CCh 299.3]  {DA 644.4}              

ด้วยประการฉะนี้  พระคริสต์ทรงสำแดงความรักของพระองค์ต่อสาวกของพระองค์   วิญญาณที่เห็นแก่ตัวของเขาทั้งหลายทำให้พระองค์ทรงทุกข์ แต่พระองค์ไม่ได้เข้าไปร่วมขัดแย้งกับพวกเขาในเรื่องความกระด้างของพวกเขา   พระองค์กลับประทานแบบอย่างให้พวกเขาที่จะไม่มีวันลืม ความรักของพระองค์ที่มีให้พวกเขาจะไม่ถูกรบกวนหรือดับไปง่ายๆ   พระองค์ทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์และพระองค์เสด็จมาจากพระเจ้าและจะเสด็จกลับไปยังพระเจ้า  พระองค์ทรงตระหนักเป็นอย่างดีถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่พระองค์ทรงวางมงกุฎของพระราชาและเสื้อคลุมของกษัตริย์และยอมรับสภาพของคนรับใช้  หนึ่งในบรรดาพระราชกิจสุดท้ายในชีวิตของพระองค์บนโลกนี้คือคาดเอวของพระองค์เองในฐานะคนรับใช้และทรงลงมือทำงานในหน้าที่ของคนรับใช้  [CCh 299.4]  {DA 644.5}               

ก่อนเทศกาลปัสกา ยูดาสได้ไปพบพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ครั้งที่สอง และตกลงทำสัญญามอบพระเยซูไว้ในมือของพวกเขา  หลังจากนั้นเขาก็คลุกคลีอยู่กับพวกสาวกเสมือนหนึ่งว่าเป็นคนบริสุทธิ์ไร้ความผิด และสนใจเตรียมงานเลี้ยงปัสกา  พวกสาวกไม่ทราบจุดมุ่งหมายของยูดาส  พระเยซูเพียงผู้เดียวอ่านความลับของเขาได้  กระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้เปิดโปงเขา  พระเยซูทรงห่วงใยจิตวิญญาณของเขาเหมือนที่ทรงห่วงใยกรุงเยรูซาเล็มเมื่อทรงคร่ำครวญให้กับเมืองที่ถูกกำหนดชะตาแล้ว  พระหทัยของพระองค์กำลังร่ำไห้อยู่  เราจะยอมปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?  ยูดาสสัมผัสถึงอำนาจแห่งรักที่เหนี่ยวรั้งนั้นได้  เมื่อพระหัตถ์ของพระผู้ช่วยให้รอดทรงล้างเท้าสกปรกและเอาผ้าเช็ดอยู่นั้น หัวใจของยูดาสสั่นไหวไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าในเวลานั้นและตรงนั้นเพื่อให้เขาสารภาพบาป  แต่เขาไม่ยอมถ่อมตัวเองลง  เขาทำให้หัวใจแข็งกระด้างต่อต้านการกลับใจ และกระแสกระตุ้นเดิมที่ถูกวางทิ้งไว้ชั่วคราวก็กลับมาควบคุมเขาอีกครั้ง  บัดนี้ยูดาสขุ่นเคืองกับการกระทำของพระเยซูที่ไปล้างเท้าของพวกสาวก  เขาคิดว่าหากพระเยซูทรงถ่อมตัวลงได้ถึงขนาดนี้ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอลไม่ได้  ความหวังทั้งหมดของการมีเกียรติทางโลกในอาณาจักรของทางฝ่ายโลกถูกทำลายไป  ยูดาสมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีทางได้อะไรจากการติดตามพระคริสต์  หลังจากที่ได้เห็นพระองค์ทำตัวเองอย่างตกต่ำ ในความคิดของเขาแล้ว เขาก็ได้รับการยืนยันในเรื่องเป้าหมายของเขาที่จะอำลาพระองค์ และยอมรับว่าตนเองถูกหลอก  ปีศาจเข้าสิงเขาแล้ว และเขามุ่งมั่นที่จะทำงานที่ได้ตกลงไว้แล้วให้สำเร็จด้วยการทรยศพระเป็นเจ้าของเขา  {DA 645.1}             

ในการเลือกตำแหน่งที่นั่งโต๊ะอาหาร ยูดาสพยายามเอาตัวเองมาเป็นหนึ่ง และพระคริสต์ในฐานะผู้รับใช้จะบริการเขาเป็นคนแรก  ยอห์นที่ยูดาสเคียดแค้นยิ่งนัก จะถูกปล่อยไว้ให้เป็นคนสุดท้าย  แต่ยอห์นไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นการตำหนิหรือการดูแคลน  ขณะที่สาวกทั้งหลายเฝ้ามองการกระทำของพระคริสต์ พวกเขาสะเทือนใจมากยิ่งนัก  เมื่อการล้างเท้ามาถึงเปโตร เขาอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ?"  การถ่อมตัวลงมาของพระคริสต์ทำให้หัวใจของเขาแตกสลาย  เขาอับอายมากเมื่อคิดว่าสาวกคนหนึ่งไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นี้  "สิ่งที่เราทำในขณะนี้" พระคริสต์ตรัส "ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ"  เปโตรทนไม่ได้กับการเฝ้ามองพระอาจารย์ของเขาที่เขาเชื่อว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้คนหนึ่ง  จิตวิญญาณทั้งหมดของเขาลุกขึ้นต่อสู้กับความอัปยศอดสูนี้  เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าเพราะสาเหตุนี้ที่พระคริสต์องค์นี้เสด็จเข้ามาในโลก  เขาอุทานขึ้นมาอย่างรุนแรงว่า "พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด"  {DA 645.2}

พระคริสต์ตรัสกับเปโตรอย่างเคร่งขรึมว่า "ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้"  พิธีนี้ที่เปโตรปฏิเสธเป็นต้นแบบของการชำระระดับสูง  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อชำระล้างหัวใจจากรอยเปื้อนของบาป  ด้วยการปฏิเสธที่จะให้พระคริสต์ล้างเท้าของเขา เปโตรจึงปฏิเสธการชำระล้างระดับสูงซึ่งรวมการชำระในระดับที่ต่ำไว้ด้วย  แท้จริงแล้วเขากำลังปฏิเสธพระเจ้าของเขา ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายสำหรับพระอาจารย์ที่ยอมให้พระองค์ประกอบกิจแห่งการชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่แท้จริงที่สุดคือการน้อมรับด้วยใจขอบพระคุณสำหรับการทรงจัดเตรียมใดๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของเราและรับใช้พระคริสต์ด้วยความตั้งใจจริง  {DA 646.1}

พระดำรัสที่ว่า "ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้"  ทำให้เปโตรยอมสละความภาคภูมิใจและความเอาแต่ใจของตน  เขาทนไม่ได้กับความคิดที่จะต้องแยกออกไปจากพระคริสต์ นั่นคงเป็นความตายสำหรับเขา "’ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย’  พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว’”  {DA 646.2}                             

พระดำรัสเหล่านี้มีความหมายมากกว่าเรื่องของความสะอาดทางกาย  พระคริสต์ยังคงตรัสถึงการชำระในระดับสูงโดยการใช้ภาพของอวัยวะที่อยู่ส่วนล่างของร่างกาย  คนที่อาบน้ำแล้วก็จะสะอาด  แต่ในไม่ช้าเท้าที่สวมรองเท้าแตะจะเปื้อนฝุ่น และจะต้องล้างใหม่อีกครั้ง  ดังนั้นเปโตรและพี่น้องของเขาได้ผ่านการชำระในน้ำพุใหญ่ที่เปิดไว้ให้บาปและความไม่สะอาดแล้ว  พระคริสต์ทรงยอมรับว่าพวกเขาเป็นของพระองค์  แต่การล่อลวงนำพวกเขาเข้าไปสู่ความชั่ว และพวกเขาต้องการพระคุณแห่งการชำระของพระองค์  เมื่อพระเยซูทรงเอาผ้ามาคาดเอวเพื่อล้างฝุ่นออกจากเท้าของพวกเขา พระองค์ทรงประสงค์ให้การกระทำนี้ล้างความเหินห่าง ความอิจฉาริษยา และความทะนงตนออกไปจากหัวใจของพวกเขา  ผลที่ตามมานี้ยิ่งใหญ่กว่าการล้างเท้าเปื้อนฝุ่น  ด้วยจิตวิญญาณที่พวกเขามีอยู่ในเวลานั้น ไม่มีสักคนในพวกเขาพร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับพระคริสต์  พวกเขาไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารปัสกามื้อค่ำหรือมีส่วนร่วมในพิธีรำลึกซึ่งพระคริสต์กำลังจะทรงสถาปนาจนกว่าพวกเขาจะถูกนำเข้าสู่สภาวะแห่งความนอบน้อมถ่อมตนและความรักเสียก่อน  จิตใจของพวกเขาจะต้องได้รับการชำระ  ความทะนงตนและการแสวงหาเพื่อตัวเองสร้างความขัดแย้งและความเกลียดชัง แต่ทั้งหมดนี้พระเยซูทรงล้างทิ้งไปด้วยการล้างเท้าของพวกเขา  การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกจะเกิดขึ้น  เมื่อทรงมองพวกเขา พระเยซูตรัสว่า "พวกท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว"  บัดนี้หัวใจของพวกเขารวมเข้าด้วยกัน มีความรักต่อกัน  พวกเขาเปลี่ยนเป็นคนที่ถ่อมแล้วและสอนได้  แต่ละคนยกเว้นยูดาสพร้อมที่จะหลีกทางให้อีกคนขึ้นไปยังตำแหน่งสูงที่สุด  บัดนี้ ด้วยหัวใจที่ยอมจำนนและสำนึกในพระคุณ พวกเขารับพระวจนะของพระคริสต์ได้  {DA 646.3}              

พวกเราผ่านการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระคริสต์แล้วเหมือนเช่นเปโตรและพี่น้องของเขา  แต่ถึงกระนั้นบ่อยครั้งเราสัมผัสกับความชั่ว ความบริสุทธิ์ของหัวใจก็เปรอะเปื้อนไป  เราจะต้องเข้ามาเฝ้าพระคริสต์เพื่อขอพระคุณแห่งการชำระของพระองค์อีกครั้ง  เปโตรไม่ยอมให้พระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าและพระอาจารย์สัมผัสเท้าสกปรกของเขา แต่บ่อยครั้งเพียงไรที่เรานำหัวใจบาปหนาและมลทินเข้ามาสัมผัสกับพระหทัยของพระคริสต์!  พระองค์ทรงเศร้าพระทัยกับอารมณ์ชั่วของเรา ความโอหังของเราและความหยิ่งยโสของเราเพียงไร!  แต่กระนั้น เราต้องนำความอ่อนแอและความโสโครกทั้งหมดของเรามายังพระองค์  พระองค์เท่านั้นผู้ทรงชำระเราให้สะอาดได้  เราจะไม่พร้อมเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์นอกจากว่าเราได้ผ่านการชำระด้วยวิธีที่ได้ผลของพระองค์แล้ว  {DA 646.4}                         

พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า "พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน"  พระองค์ทรงล้างเท้าของยูดาสแล้ว แต่หัวใจของเขายังไม่ยอมจำนนต่อพระองค์  หัวใจของเขายังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  ยูดาสไม่ยอมจำนนตนเองให้พระคริสต์  {DA 649.1}                  

หลังจากพระคริสต์ทรงล้างเท้าของสาวกและทรงสวมเสื้อนอกของพระองค์และประทับอีกครั้งแล้ว  พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่?  พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย  เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย  เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้"  {DA 649.2}                              

พระคริสต์ทรงมีพระประสงค์เพื่อให้สาวกทั้งหลายเข้าใจว่าแม้พระองค์ทรงล้างเท้าของพวกเขาแล้วก็ตาม   การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้พระเกียรติของพระองค์ลดลงไปแม้แต่น้อย  “พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า  ท่านเรียกถูกแล้ว  เพราะเราเป็นอย่างนั้น”   ยอห์น 13 ข้อที่ 13   และการที่พระองค์ทรงความยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดนั้น  พระองค์จึงทรงให้ความสง่างามและความสำคัญแก่พิธีนี้   ไม่มีผู้ใดมีฐานะสูงส่งเท่าพระคริสต์แต่กระนั้นพระองค์ทรงยอมก้มลงให้กับหน้าที่อันถ่อมตนนี้   พระคริสต์เองทรงวางแบบอย่างของการถ่อมตนเพื่อคนของพระองค์จะไม่ถูกความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในใจตามธรรมชาติและที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการตามใจตนเองชักนำให้หลงไป   พระองค์จะไม่ทรงปล่อยเรื่องยิ่งใหญ่นี้ให้อยู่ในการดูแลของมนุษย์   พระองค์ทรงถือว่าผลลัพธ์ที่ตามมานั้นยิ่งใหญ่จนพระองค์เองผู้เทียบเท่ากับพระเจ้าต้องทำตัวราวกับเป็นคนรับใช้ของบรรดาสาวกของพระองค์  ในขณะที่พวกเขากำลังแย่งชิงตำแหน่งสูงสุดนั้น  พระองค์ผู้ที่ทุกเข่าจะก้มลงกราบไหว้  ผู้ที่ทูตสวรรค์แห่งรัศมีถือว่าเป็นเกียรติที่ได้รับใช้ทรงก้มลงล้างเท้าของคนที่เรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงล้างเท้าของผู้ที่ทรยศพระองค์   {CCh 299.5}  {DA 649.3}                        

ในชีวิตและบทเรียนต่างๆ ของพระองค์นั้นพระคริสต์ได้ประทานแบบอย่างอันสมบูรณ์แบบของพันธกิจที่ไม่เห็นแก่ตัวซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงดำรงชีวิตเพื่อพระองค์เอง  ด้วยการสร้างโลกและโดยการทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นอยู่เสมอ  "พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม" มัทธิว 5 ข้อที่ 45  พันธกิจในอุดมคตินี้พระเจ้าทรงโปรดมอบหมายไว้ให้พระบุตรของพระองค์แล้ว  พระเยซูทรงได้รับมอบหมายให้ประทับอยู่ตรงตำแหน่งหัวหน้าของมนุษยชาติ เพื่อว่าโดยแบบอย่างของพระองค์  พระองค์จะทรงสอนว่าการปรนนิบัติรับใช้มีความหมายว่าอย่างไร  ชีวิตทั้งหมดของพระองค์อยู่ภายใต้กฎแห่งการรับใช้  พระองค์ทรงรับใช้ทุกคนและทรงปรนนิบัติทุกคน  ด้วยประการฉะนี้ พระองค์ทรงดำเนินชีวิตตามกฎของพระเจ้าและโดยแบบอย่างของพระองค์ได้ทรงสำแดงให้เห็นว่าเราจะลงมือปฏิบัติตามกฎเหล่านั้นได้อย่างไร  {DA 649.4}                                 

ครั้งแล้วครั้งเล่า พระเยซูทรงพยายามวางหลักการนี้ไว้ในท่ามกลางสาวกของพระองค์  เมื่อยากอบและยอห์นทูลขอตำแหน่งสูงเด่น พระองค์ตรัสว่า "ถ้ามีใครต้องการเป็นใหญ่ในพวกท่าน คนนั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติของท่าน" มัทธิว 20 ข้อที่ 26  ในอาณาจักรของพระองค์ไม่มีช่องว่างสำหรับการให้สิทธิพิเศษและความเป็นใหญ่  ความยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียวคือความยิ่งใหญ่แห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน  ความเป็นเลิศพบได้จากการอุทิศเพื่อรับใช้ผู้อื่นเท่านั้น  {DA 650.1}         

บัดนี้ เมื่อพระเยซูทรงล้างเท้าของสาวกทั้งหลายแล้ว   พระองค์ตรัสว่า  “เราวางแบบอย่างแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย”   ยอห์น 13 ข้อที่ 15  ด้วยพระดำรัสเหล่านี้พระคริสต์ไม่เพียงแต่เชิญชวนให้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ดีเท่านั้น  การล้างเท้าของแขกมีความหมายมากกว่าเพื่อล้างฝุ่นที่ได้จากการเดินทางไป   ในที่นี้พระคริสต์ทรงสถาปนาพิธีกรรมทางศาสนา  การกระทำขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำให้พิธีถ่อมตนนี้ได้รับการสถาปนาให้เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์   สาวกจะต้องประกอบพิธีนี้เพื่อเก็บรักษาบทเรียนของพระองค์ในเรื่องการถ่อมตนและการรับใช้ให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป  {CCh 300.1}  {DA 650.2}                                

พระคริสต์ทรงสถาปนาพิธีล้างเท้าขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์   ในขณะที่หัวใจเก็บถนอมความหยิ่ง  ความไม่ลงรอยกันและการต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่เอไว้  หัวใจนั้นจะเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพระคริสต์ไม่ได้   เราไม่พร้อมที่จะรับการมีส่วนร่วมในพระกายและพระโลหิตของพระองค์   ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงทรงตั้งอนุสรณ์แห่งการถ่อมตนของพระองค์เพื่อให้พวกเขาถือปฏิบัติเสียก่อน  {CCh 300.2}{DA 650.3}                          

ในขณะที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าเข้าร่วมพิธีล้างเท้านี้ พวกเขาจะต้องหวนคิดถึงพระดำรัสของพระเจ้าแห่งชีวิตและพระสิริที่ว่า  “พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่  พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้วเพราะเราเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย   เพราะว่าเราวางแบบแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย  เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้  เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม  ท่านก็เป็นสุข” ยอห์น 13 ข้อที่ 12-17  {CCh 300.3}  มนุษย์เองมีนิสัยใจคอของการยกตนขึ้นเหนือพี่น้อง  ทำงานเพื่อตัวเอง  แสวงหาเพื่อได้ตำแหน่งสูงสุดและบ่อยครั้งผลลัพธ์ของการกระทำเหล่านั้นนำไปสู่การกล่าวร้ายและจิตวิญญาณที่ขมขื่น   พิธีที่ทำก่อนการเลี้ยงฉลองขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะชำระความเข้าใจผิดเหล่านี้ให้หมดไป เพื่อนำคนนั้นออกจากความเห็นแก่ตัว   เพื่อดึงเขาลงมาจากเสาสูงของการยกตนเองมุ่งไปยังความถ่อมของจิตใจซึ่งจะนำเขาไปสู่การรับใช้พี่น้องของเขา  {CCh 300.4}  {DA 650.4}       

พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ผู้ทอดพระเนตรจากสวรรค์ทรงเข้าร่วมในช่วงเวลานี้ด้วยเพื่อทำให้เป็นเวลาของการตรวจสอบหัวใจ   เพื่อการสำนึกในบาปและความมั่นใจอันให้เกิดสุขจากการที่พระเจ้าทรงอภัยบาปให้แล้ว   พระคริสต์พร้อมด้วยพระคุณอันเต็มบริบูรณ์ของพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพื่อเปลี่ยนกระแสความคิดที่ไหลวนอยู่ในท่อแห่งความเห็นแก่ตัว   พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปลุกความรู้สึกของผู้ที่ติดตามแบบอย่างของพระอาจารย์   ในขณะที่เราระลึกถึงการถ่อมตนของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา   ความนึกคิดจะเชื่อมต่อกับความนึกคิด   ความทรงจำอย่างต่อเนื่องจะหวนกลับคืนมาทั้งความทรงจำถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและการชื่นชอบรวมถึงความอ่อนโยนของมิตรสหายในโลก พระพรที่ลืมไป ความเมตตาที่ใช้ไปในทางที่ผิด ความกรุณาที่ถูกดูแคลนจะหวนกลับมายังความนึกคิด  รากแห่งความขมขื่นที่เบียดเสียดดันต้นพืชแห่งความรักออกไปจะปรากฏออกมาให้เห็น  ลักษณะอุปนิสัยที่บกพร่อง หน้าที่ที่ถูกละเลย การไม่สำนึกในพระคุณของพระเจ้า ความเย็นชาต่อพี่น้องของเรา ทั้งหมดนี้จะหวนกลับมาให้รำลึกถึง  แสงสว่างจะทำให้บาปปรากฎให้เห็นในลักษณะที่พระเจ้าทรงมองเห็น  ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดแห่งการพึงพอใจในตนเอง แต่จะเป็นการตำหนิและเป็นความอัปยศอดสูอย่างรุนแรง  จิตใจได้รับพลังที่จะทำลายทุกอุปสรรคที่ก่อให้เกิดความเหินห่าง  ความคิดชั่วร้ายและคำพูดชั่วร้ายจะถูกกำจัดไป  เราจะสารภาพบาปและบาปนั้นจะได้รับการอภัย  พระคุณของพระคริสต์ที่ทำให้เรายอมจำนนนอบน้อมจะเข้ามาในจิตวิญญาณและความรักของพระคริสต์จะชักนำหัวใจให้เข้าประสานเป็นหนึ่งเดียวอย่างมีความสุข  {DA 650.5}            

เมื่อเราได้รับบทเรียนจากพิธีกรรมแห่งการตระเตรียมดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ความปรารถนาเพื่อแสวงหาชีวิตทางฝ่ายจิตวิญญาณที่สูงส่งขึ้นจะถูกจุดประกายขึ้น  พระเจ้าผู้ทรงเป็นพยานเฝ้ามองอยู่จะทรงตอบสนองต่อความปรารถนานั้น  จิตวิญญาณจะถูกยกระดับให้สูงขึ้น  เราจะเข้า    ร่วมพิธีมหาสนิทพร้อมกับความสำนึกว่าบาปทั้งหมดได้รับการอภัยแล้ว  แสงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมของพระคริสต์จะส่องเต็มความคิดและวิหารแห่งจิตวิญญาณ  เราจะเฝ้ามอง "พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป"  ยอห์น 1 ข้อที่ 29  {DA 651.1}                        

สำหรับผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ของพิธีมหาสนิทแล้วนั้น พิธีกรรมทางศาสนานี้ก็จะไม่เป็นเพียงแค่พิธีการอีกต่อไป  บทเรียนที่เกิดขึ้นอยู่เสมอคือ "รับใช้กันและกันด้วยความรัก" กาลาเทีย 5 ข้อที่ 13  จากการที่พระคริสต์ทรงล้างเท้าให้แก่สาวกนั้น พระองค์ประทานหลักฐานเพื่อแสดงว่าพระองค์จะทรงประกอบกิจแห่งการรับใช้ใดๆ ได้ไม่ว่าจะต่ำต้อยเพียงใดเพื่อจะทำให้พวกเขาเป็นทายาทรับทรัพย์สมบัตินิรันดร์ของสวรรค์ร่วมกับพระองค์  เมื่อสาวกของพระองค์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอันเดียวกันนี้ก็จะเป็นการปฏิญาณตนว่าจะรับใช้พี่น้องของพวกเขาด้วย  เวลาใดก็ตามเมื่อมีการประกอบพิธีนี้อย่างถูกต้อง เหล่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะได้ถูกชักนำให้เข้ามาสู่ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเป็นพระพรแก่กัน  พวกเขาทำพันธสัญญาผูกพันตกลงกันว่าจะถวายชีวิตเพื่อทำพันธกิจรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัว  และการกระทำนี้ ไม่ใช่มีไว้เฉพาะเพื่อปฏิบัติต่อกันและกันเท่านั้น  อาณาเขตการทำงานรับใช้ของพวกเขานั้นกว้างเท่าอาณาเขตการปรนนิบัติรับใช้ของพระอาจารย์ของเขาเอง  โลกเต็มไปด้วยคนที่ต้องการให้เรารับใช้  คนยากจน คนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คนขาดความรู้มีอยู่รอบตัวเรา  ผู้ที่สื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมกับพระคริสต์ในห้องชั้นบน จะก้าวออกไปรับใช้เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำมาแล้ว  {DA 651.2}                  

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ทุกคนจะต้องคอยเทิดทูน แต่พระองค์ยังเสด็จมาเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง และเนื่องจากพระองค์ทรงรับใช้ทุกคนแล้ว  เราทุกคนจึงควรเทิดพระเกียรติและถวายรับใช้พระองค์  และผู้ที่มีส่วนร่วมในคุณลักษณะแห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์และร่วมแบ่งปันความสุขกับพระองค์ที่ได้เห็นจิตวิญญาณได้รับการช่วยให้รอด  จะต้องปฏิบัติตามแบบอย่างการรับใช้ที่ไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ด้วย  {CCh 301.2} {DA 651.3}                          

เราจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ในพระดำรัสของพระเยซูที่ว่า "เราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย"  นี่คือจุดประสงค์ของพิธีกรรมทางศาสนาที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้น  และพระองค์ตรัสว่า "เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้ว" ซึ่งหมายความว่าหากท่านรู้จุดประสงค์บทเรียนของพระองค์แล้ว "และประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข" {DA 651.4}

***********