บทที่ 76
ยูดาส
ประวัติชีวิตของยูดาสนำเสนอให้เห็นจุดจบอันน่าเศร้าสลดของชีวิตที่ควรจะได้รับเกียรติจากพระเจ้า หากยูดาสตายก่อนการเดินทางครั้งสุดท้ายไปกรุงเยรูซาเล็มแล้ว เขาก็คงจะได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่คู่ควรกับตำแหน่งในบรรดาสาวกสิบสองคน และทุกคนก็คงจะคิดถึงเขาอย่างสุดซึ้ง ความสยดสยองที่ติดตามเขาอีกหลายศตวรรษก็น่าจะไม่ปรากฏหากแต่ไม่ใช่เพราะการเปิดเผยลักษณะอุปนิสัยในช่วงท้ายประวัติชีวิตของเขา แต่เพื่อเป้าหมายบางอย่างลักษณะอุปนิสัยของเขาจึงถูกเผยออกให้โลกเห็น เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจทุกคนที่จะเป็นเช่นเดียวกับเขาด้วยการทรยศความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ {DA 716.1}
ก่อนเทศกาลปัสกาเล็กน้อย ยูดาสได้ต่อสัญญาใหม่กับปุโรหิตเพื่อมอบพระเยซูให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา และตกลงว่าจะต้องจับพระเยซูจากที่พักแห่งหนึ่งที่ทรงใช้เพื่อใคร่ครวญและการอธิษฐาน นับตั้งแต่งานเลี้ยงที่บ้านของซีโมน ยูดาสมีโอกาสที่จะไตร่ตรองถึงการกระทำที่เขาตกลงให้สัญญาไว้ว่าจะทำแต่เจตนาของเขาก็ไม่เปลี่ยน เขาขายองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริให้แก่ความอัปยศและความตายด้วยเงินสามสิบแผ่นซึ่งเท่ากับราคาซื้อขายทาส {DA 716.2}
ยูดาสมีธรรมชาติของการรักเงินอย่างแรงกล้า แต่เขาก็ไม่เลวพอที่จะลงมือกระทำการใดในลักษณะนี้ เขาเก็บถนอมวิญญาณชั่วร้ายของความโลภไว้จนกลายเป็นแรงจูงใจหลักที่ควบคุมชีวิตของเขา ความรักเงินของเขาเอาชนะความรักที่เขามีต่อพระคริสต์ ด้วยการยอมเป็นทาสของความชั่ว เขาจึงมอบตัวเองให้ซาตานและถูกผลักดันลึกเข้าไปในบาป {DA 716.3}
ยูดาสเข้าร่วมกับพวกสาวกเมื่อมหาชนกำลังติดตามพระคริสต์ คำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดขับเคลื่อนหัวใจของพวกเขาในขณะที่พวกเขาฟังพระวจนะของพระองค์ด้วยความจับใจเมื่อพระคริสต์ตรัสในธรรมศาลา ที่ริมฝั่งทะเลและบนภูเขา ยูดาสเห็นคนป่วย คนง่อย คนตาบอดจากเมืองเล็กเมืองใหญ่แห่กันมาหาพระเยซู เขาเห็นคนที่กำลังจะตายถูกนำมาวางไว้แทบพระบาทของพระองค์ เขาเห็นเป็นประจักษ์พยานถึงพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระผู้ช่วยให้รอดในการรักษาคนป่วย ขับไล่ผีและทำให้คนตายกลับเป็นขึ้นมา ตัวเขาเองสัมผัสได้ถึงหลักฐานที่แสดงถึงอำนาจของพระคริสต์ เขายอมรับว่าคำสอนของพระคริสต์เหนือกว่าคำสอนอื่นใดที่เขาเคยได้ยิน เขารักพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่และปรารถนาที่จะอยู่กับพระองค์ เขารู้สึกถึงความปรารถนาที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงลักษณะอุปนิสัยและชีวิต และเขาหวังที่จะได้รับประสบการณ์นี้ผ่านทางการเชื่อมสัมพันธ์ตัวเองเข้ากับพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ผลักไสยูดาส พระองค์ทรงรับเขาเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน พระองค์ทรงวางพระทัยให้เขาทำงานในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐ พระองค์ประทานอำนาจในการรักษาคนป่วยและขับไล่ผีให้แก่เขา แต่ยูดาสไม่ได้มาถึงจุดของการยอมจำนนตนเองต่อพระคริสต์อย่างหมดสิ้น เขาไม่ยอมทิ้งความทะเยอทะยานทางฝ่ายโลกหรือการรักเงินทอง ขณะที่เขารับตำแหน่งผู้ปฏิบัติศาสนกิจของพระคริสต์ เขาไม่ได้นำตัวเองไปอยู่ภายใต้การปั้นแต่งของพระเจ้า เขารู้สึกว่าเขาสามารถเก็บการตัดสินใจและความคิดเห็นของตนเองเอาไว้ได้ และเขายังเพาะบ่มนิสัยการวิพากษ์วิจารณ์และการกล่าวโทษไว้อีกด้วย {DA 716.4}
ยูดาสได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงส่งจากพวกสาวกและมีอิทธิพลต่อพวกเขาอย่างมาก ตัวเขาเองถือว่าตนมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนอื่น และมองว่าพี่น้องของเขามีวิจารณญาณและความสามารถด้อยกว่าตัวเขามาก เขาคิดว่าพวกเขามองไม่เห็นโอกาสของพวกเขาและใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ คริสตจักรจะไม่มีวันเจริญรุ่งเรืองถ้ามีคนสายตาสั้นเช่นนี้เป็นผู้นำ เปโตรหุนหันพลันแล่น เขาจะก้าวไปโดยปราศจากการพินิจพิจารณา ยอห์นผู้ซึ่งเก็บสะสมความจริงจากริมพระโอษฐ์ของพระคริสต์ ถูกยูดาสตราว่าเป็นนักการเงินที่ย่ำแย่ มัทธิวที่ถูกฝึกมาให้มีความแม่นยำในทุกเรื่องจะละเอียดถี่ถ้วนกับความสุจริตและใคร่ครวญพระวจนะของพระคริสต์อยู่ตลอดเวลา และดื่มด่ำในพระวจนะของพระองค์จนทำให้ยูดาสคิดว่าไม่อาจมอบความไว้วางใจให้เขาทำธุรกิจที่ต้องมองการณ์ไกลอย่างเฉียบแหลมได้ ยูดาสประเมินลักษณะของสาวกทั้งหมดในลักษณะเช่นนี้ และยกย่องตนเองว่าคริสตจักรคงจะตกเข้าไปสู่ความสับสนและความอับอายถ้าไม่มีความสามารถของเขาในการจัดการ ยูดาสถือว่าตัวเองมีความสามารถและไม่มีใครจะทำเกินเขาได้ เขาประเมินตนเองว่าเป็นคนมีเกียรติในพระราชกิจ และเขามักจะนำเสนอตนเองในลักษณะเช่นนี้เสมอ {DA 717.1}
ยูดาสตาบอดต่อความอ่อนแอของตนเองและพระคริสต์ทรงวางเขาไว้ในจุดที่เขามีโอกาสเห็นและแก้ไขสิ่งนี้ ในฐานะเหรัญญิกของเหล่าสาวก เขาได้รับการทรงเรียกให้จัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ นี้ และบรรเทาความขัดสนของคนยากจน เมื่ออยู่ในห้องเลี้ยงปัสกา พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ" ยอห์น 13 ข้อที่ 27 พวกสาวกคิดว่าพระองค์ทรงบอกให้เขาไปซื้อสิ่งของจำเป็นสำหรับงานเลี้ยงนี้หรือให้เอาของไปช่วยคนยากจน การปรนนิบัติคนอื่นน่าจะทำให้ยูดาสได้พัฒนาจิตวิญญาณที่ไม่เห็นแก่ตัว แต่ทั้งๆ ที่ฟังบทเรียนของพระคริสต์ทุกวันและเป็นพยานเห็นชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ ยูดาสกลับปล่อยใจให้เป็นไปตามความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตนเอง เงินก้อนเล็กๆ ที่เข้ามาในมือของเขากลายเป็นสิ่งล่อใจอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งเมื่อเขารับใช้พระคริสต์เพียงเล็กน้อยหรืออุทิศเวลาให้แก่เรื่องทางศาสนา เขาก็จะใช้เงินจากกองทุนที่มีน้อยนิดอยู่แล้วมาจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ตนเอง ในสายตาของเขาเองนั้น ข้ออ้างเหล่านี้ใช้เพื่อแก้ตัวให้กับการกระทำของเขา แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเขาเป็นขโมย {DA 717.2}
พระดำรัสที่พระคริสต์ทรงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ทำให้ยูดาสขุ่นเคือง เขาขีดเส้นไว้เพื่อหวังให้พระคริสต์ทรงทำงานตามนั้น เขาวางแผนไว้ว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาควรได้รับการช่วยให้ออกจากคุก แต่ดูเถิดยอห์นถูกทิ้งให้ถูกตัดศีรษะ และแทนที่พระเยซูจะทรงยืนยันสิทธิ์ในราชวงศ์ของพระองค์และแก้แค้นให้กับการตายของยอห์น พระองค์กลับเสด็จไปยังชนบทพร้อมกับสาวกของพระองค์ ยูดาสปรารถนาการรุกรานที่ดุดันกว่านี้ เขาคิดว่าหากพระเยซูไม่ทรงขวางพวกสาวกจากการดำเนินแผนการของพวกเขาแล้ว งานที่ทำน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ เขาคอยสังเกตติดตามความเป็นปฏิปักษ์ของผู้นำชาวยิวที่เพิ่มมากขึ้นและเห็นถึงความท้าทายของพวกเขาที่ไม่ได้รับการตอบสนองเมื่อเรียกร้องให้พระคริสต์สำแดงหมายสำคัญจากสวรรค์ ใจของเขาเปิดกว้างให้กับความไม่เชื่อและศัตรูก็คอยป้อนความคิดสงสัยและการต่อต้านเข้าไปในสมอง เหตุใดพระเยซูจึงเข้าไปยุ่งมากนักเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้หัวใจท้อแท้เล่า? ทำไมพระองค์จึงทรงทำนายถึงเรื่องของการทดลองและการข่มเหงของพระองค์เองและสาวกของพระองค์เล่า? ความหวังที่จะได้ตำแหน่งสูงในราชอาณาจักรใหม่ทำให้ยูดาสยอมเข้าร่วมอยู่ในพระราชกิจของพระคริสต์ ความหวังของเขาจะสลายไปหรือไม่? ยูดาสยังไม่ตัดสินว่าพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า แต่เขาตั้งแง่สงสัยและลงแรงเพื่อหาคำอธิบายพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ {DA 718.1}
แม้จะมีคำสอนที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสด้วยพระองค์เอง แต่กระนั้นยูดาสก็ยังคงเร่งเร้าแนวคิดที่ว่าพระคริสต์จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในกรุงเยรูซาเล็ม เขาพยายามทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงห้าพันคน ในโอกาสนี้ ยูดาสช่วยแจกจ่ายอาหารให้กับฝูงชนที่หิวโหย เขามีโอกาสเห็นผลประโยชน์ซึ่งอยู่ในอำนาจของเขาที่จะมอบให้กับผู้อื่น เขารู้สึกได้ถึงความพึงพอใจที่มักจะมาถึงเมื่อได้รับใช้พระเจ้า เขาช่วยนำคนป่วยและคนที่ทุกข์ทรมานท่ามกลางฝูงชนเข้ามาหาพระคริสต์ เขาเห็นความโล่งใจ ความสุข ความปีติยินดีที่มาถึงจิตใจมนุษย์ผ่านอำนาจแห่งการรักษาของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นฟู เขาน่าจะเข้าใจวิธีการของพระคริสต์ แต่ตาของเขามืดบอดไปเพราะความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตนเอง ยูดาสเป็นคนแรกที่ใช้ประโยชน์จากความกระตือรือร้นตื่นเต้นจากการอัศจรรย์เรื่องขนมปัง เขาเองลงมือวางแผนในโครงการที่จะใช้กำลังบังคับพระคริสต์และแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ความหวังของเขานั้นสูงลิบลิ่ว ความผิดหวังของเขานั้นขมขื่น {DA 718.2}
คำปราศรัยของพระคริสต์ในธรรมศาลาเรื่องอาหารแห่งชีวิตเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของยูดาส เขาได้ยินคำว่า "ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน" ยอห์น 6 ข้อที่ 53 เขาเห็นว่าพระคริสต์กำลังมอบของประทานฝ่ายวิญญาณไม่ใช่สิ่งของทางฝ่ายโลก เขาถือว่าตัวเองเป็นคนที่มองการณ์ไกลและคิดว่าเขามองเห็นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ไร้เกียรติและพระองค์ไม่อาจประทานตำแหน่งที่สูงศักดิ์ใดๆ ให้กับผู้ติดตามของพระองค์ได้ เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปชิดใกล้กับพระคริสต์มากนักแต่พอที่จะตีตัวจากไปได้ เขาจะคอยดู และเขาก็ได้แต่เฝ้าดู {DA 719.1}
นับจากเวลานั้นเป็นต้นมา เขาแสดงออกด้วยการพูดถึงความสงสัยที่ทำให้สาวกทั้งหลายรู้สึกสับสน เขานำเสนอทัศนคติที่ขัดแย้งและชี้นำไปในทางที่ผิดด้วยการกล่าวซ้ำถึงข้อโต้แย้งของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีที่ต่อต้านข้อเรียกร้องของพระคริสต์ บรรดาความทุกข์ยากและกางเขนน้อยและใหญ่ทั้งหมดรวมทั้งความยากลำบากต่างๆ และอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าของข่าวประเสริฐที่มองเห็นอย่างชัดเจนนั้น ยูดาสตีความว่าสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานที่คัดค้านความจริง เขามักแนะนำข้อพระคัมภีร์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงที่พระคริสต์ทรงกำลังนำเสนออยู่ เมื่อแยกข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ออกไปจากเนื้อความของมันก็ทำให้สาวกงงงวย และเพิ่มความท้อแท้ใจที่ทับถมใส่พวกเขาอยู่ตลอดเวลา แต่กระนั้น ทั้งหมดที่ยูดาสทำนี้ก็เพื่อให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนมีมโนธรรมที่รู้ผิดชอบ และในขณะที่เหล่าสาวกค้นหาหลักฐานเพื่อยืนยันพระดำรัสของพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ยูดาสกลับนำพวกเขาออกไปอีกเส้นทางหนึ่งโดยแทบจะไม่ทันรู้ตัว ด้วยลักษณะที่เคร่งครัดศาสนาและการแสดงออกให้เห็นว่าฉลาดเช่นนี้ เขากำลังนำเสนอเรื่องราวด้วยแสงสว่างที่แตกต่างออกไปจากที่พระเยซูได้ประทานมาแล้วให้แก่พวกเขา และเอาความหมายที่พระองค์ไม่ได้สื่อไปเชื่อมโยงกับพระดำรัสของพระองค์ ข้อเสนอแนะของเขากระตุ้นให้เกิดความปรารถนาทะเยอทะยานอยากจะเลื่อนตำแหน่งทางโลก และด้วยเหตุนี้จึงหันเหบรรดาสาวกทั้งหลายออกไปจากสิ่งสำคัญที่พวกเขาควรจะคิดคำนึงถึง การไม่ลงรอยกันว่าใครควรจะเป็นใหญ่ที่สุดนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการปลุกระดมของยูดาส {DA 719.2}
เมื่อพระเยซูทรงนำเสนอเงื่อนไขของการเป็นสาวกให้แก่ขุนนางหนุ่มผู้ร่ำรวยนั้น ยูดาสรู้สึกไม่พอใจ เขาคิดว่าน่าจะมีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น หากคนในลักษณะที่เป็นขุนนางเช่นนี้จะได้เข้าร่วมกับผู้เชื่อแล้ว พวกเขาก็จะช่วยสนับสนุนพระราชกิจของพระคริสต์ได้ หากยูดาสถูกคัดเลือกให้เป็นที่ปรึกษาแล้ว เขาคิดว่าเขาน่าจะเสนอแผนการมากมายเพื่อประโยชน์ของคริสตจักรเล็กๆ นี้ได้ หลักการและวิธีการของเขาจะแตกต่างไปจากของพระคริสต์อยู่บ้าง แต่ในสิ่งเหล่านี้เขาคิดว่าตนเองฉลาดกว่าพระคริสต์ {DA 719.3}
ในทุกสิ่งที่พระคริสต์ตรัสกับสาวกของพระองค์ มีบางเรื่องที่ยูดาสไม่เห็นด้วยในใจ ภายใต้อิทธิพลของเขา เชื้อแห่งความบาดหมางกำลังทำงานอย่างรวดเร็ว พวกสาวกไม่เห็นตัวแทนที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมดนี้ แต่พระเยซูทรงเห็นว่าซาตานกำลังสื่อสารลักษณะอุปนิสัยของมันให้กับยูดาส และด้วยการทำเช่นนี้ จึงเปิดช่องเพื่อให้ส่งอิทธิพลต่อไปยังสาวกคนอื่นๆ หนึ่งปีก่อนการทรยศ พระคริสต์ทรงประกาศถึงเรื่องนี้ไว้แล้วว่า "เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ?" พระองค์ตรัส "แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย" ยอห์น 6 ข้อที่ 70 {DA 720.1}
กระนั้นยูดาสไม่ได้คัดค้านอย่างเปิดเผยหรือแม้ที่จะตั้งแง่สงสัยบทเรียนของพระผู้ช่วยให้รอด เขาไม่บ่นออกมาอย่างออกหน้าจนกระทั่งที่งานเลี้ยงในบ้านของซีโมน เมื่อมารีย์เจิมพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอด ยูดาสแสดงออกถึงนิสัยใจคอของความโลภ เมื่อพระเยซูทรงตำหนิเขา ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนไปเป็นน้ำดีขม ความภาคภูมิใจที่ถูกทำลายและความปรารถนาที่จะแก้แค้นได้ทำลายอุปสรรคขวางกั้นต่างๆ และความโลภที่เขาปล่อยตัวหลงระเริงมานานได้เข้าควบคุมเขาไว้ นี่จะเป็นประสบการณ์ของทุกคนที่ยังดื้อรั้นยุ่งอยู่กับบาป องค์ประกอบของความเลวทรามชั่วช้าที่ไม่ถูกต่อต้านและเอาชนะ จะตอบสนองต่อการล่อลวงของซาตาน และจิตวิญญาณจะถูกจับไปเป็นเชลยตามความประสงค์ของมัน {DA 720.2}
แต่ยูดาสก็ยังไม่ตายด้านไปอย่างเต็มที่ แม้หลังจากที่เขาปฏิญาณตนถึงสองครั้งว่าจะทรยศพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ยังมีโอกาสกลับใจ ในมื้ออาหารค่ำปัสกาพระเยซูทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยเปิดเผยจุดประสงค์ของผู้ทรยศ ด้วยความอ่อนโยนพระองค์ทรงรวมเอายูดาสเข้ามาไว้ในพันธกิจแห่งการรับใช้กับพวกสาวก แต่คำอ้อนวอนแห่งรักครั้งสุดท้ายไม่ได้รับการตอบสนอง และแล้วคดีของยูดาสก็ถูกตัดสินและเท้าที่พระเยซูได้ล้างเดินก้าวออกไปเพื่อลงมือทำงานของผู้ทรยศ {DA 720.3}
ยูดาสให้เหตุผลว่าหากพระเยซูต้องถูกตรึงบนกางเขนแล้ว เหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การกระทำของเขาเองในการทรยศพระผู้ช่วยให้รอดจะไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ หากพระเยซูจะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ การกระทำนี้ก็จะเป็นเพียงการบังคับให้พระองค์ช่วยตัวเองให้รอดเท่านั้น ในทุกกรณียูดาสจะได้รับผลประโยชน์บางส่วนจากการทรยศหักหลังของเขา เขาถือว่าในการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขานั้น เขาได้ทำการต่อรองอย่างเฉียบแหลมแล้ว {DA 720.4}
อย่างไรก็ตามยูดาสไม่เชื่อว่าพระคริสต์จะทรงปล่อยให้ตัวเองถูกจับ ในการทรยศพระองค์นั้น เขามีจุดประสงค์ที่จะสอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่พระองค์ เขาตั้งใจจะมีส่วนทำให้พระผู้ช่วยให้รอดระมัดระวังว่าต่อจากนี้ไปควรจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ แต่ยูดาสไม่รู้เลยว่าเขากำลังส่งพระคริสต์ไปสู่ความมรณา บ่อยครั้งเพียงไรที่บรรดาธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเคลิบเคลิ้มไปกับการสอนด้วยภาพประกอบที่น่าตื่นตาตื่นใจในขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนด้วยอุปมา! บ่อยครั้งเพียงไรที่พวกเขาประกาศคำตัดสินพิพากษาให้แก่ตนเอง! บ่อยครั้งที่เมื่อความจริงได้เข้าไปในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้สึกโกรธและได้หยิบก้อนหินเพื่อขว้างใส่พระองค์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ก็หลบไปได้ ยูดาสคิดว่าเนื่องจากพระองค์ทรงรอดพ้นจากกับดักมามากมายแล้ว ครั้งนี้พระองค์คงจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับไปอย่างแน่นอน {DA 720.5}
ยูดาสตัดสินใจลงมือทดสอบเรื่องนี้ หากพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์องค์เที่ยงแท้ ผู้คนที่พระองค์ทรงประกอบกิจไว้มากมายจะยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ และจะประกาศตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ เรื่องนี้จะทำให้ใจของคนมากมายที่บัดนี้ยังไม่มั่นใจได้สงบไปตลอดกาล ยูดาสจะได้รับเกียรติว่าเป็นผู้สถาปนาพระราชาขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด และการกระทำนี้จะทำให้เขาได้รับตำแหน่งสำคัญที่สุดรองจากพระคริสต์ในอาณาจักรใหม่ {DA 721.1}
สาวกจอมปลอมทำในส่วนของเขาด้วยการทรยศพระเยซู ในสวนเมื่อเขาพูดกับผู้นำของฝูงชนว่า "เราจูบคำนับใครก็คือคนนั้นแหละ จงจับเขาไว้" มัทธิว 26 ข้อที่ 48 เขาเชื่อมั่นว่าพระคริสต์จะหนีพ้นเงื้อมมือของพวกเขา ถ้าพวกเขาจะตำหนิเขา เขาก็จะพูดว่า "เราไม่ได้บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าให้พวกเจ้าจับเขาไว้ให้ดี? {DA 721.2}
ยูดาสเห็นพวกที่จับพระคริสต์ทำตามคำพูดของเขา พวกเขามัดพระองค์ไว้อย่างแน่นหนา ด้วยความประหลาดใจเขาเห็นว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงยอมให้พระองค์ถูกนำพาไป ด้วยความวิตกกังวลเขาตามพระองค์ออกจากสวนไปยังการพิจารณาคดีต่อหน้าผู้ปกครองชาวยิว ในทุกการเคลื่อนไหวเขามองไปยังพระองค์เพื่อให้พระองค์ทำให้ศัตรูของพระองค์ประหลาดใจโดยการปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาในฐานะพระบุตรของพระเจ้าและทำให้แผนการรวมถึงอำนาจของพวกเขาสิ้นซากไป แต่เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า พระเยซูทรงยอมจำนนให้กับการล่วงละเมิดทั้งหมดที่กองอยู่บนพระองค์ ความกลัวอย่างรุนแรงตกลงมายังคนทรยศที่เขาได้ขายพระอาจารย์ให้แก่ความมรณาของพระองค์ {DA 721.3}
เมื่อการพิจารณาคดีใกล้ปิดฉากลง ยูดาสทนรับการทรมานที่เกิดจากความรู้สึกผิดของจิตใต้สำนึกของเขาไม่ได้อีกต่อไป ทันใดนั้นมีเสียงห้าวดังขึ้นทั่วห้องโถงซึ่งนำความหวาดผวาไปยังทุกขั้วของหัวใจว่า พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ ปล่อยพระองค์ไปเถิด โอ คายาฟาสเอ๋ย! {DA 721.4}
บัดนี้จะมองเห็นร่างสูงใหญ่ของยูดาสกำลังพยายามเบียดแทรกฝ่าฝูงชนที่ตกตะลึง สีหน้าของเขาซีดและเหี่ยวซูบผอมและหยดเหงื่อขนาดใหญ่อยู่บนหน้าผากของเขา เขาเร่งไปที่บัลลังก์พิพากษา เอาแผ่นเงินที่เป็นราคาของการทรยศขายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาโยนลงต่อหน้ามหาปุโรหิต ด้วยความร้อนใจ เขายึดเสื้อคลุมของคายาฟาสไว้ เขาร้องขอให้ปล่อยพระเยซูโดยประกาศว่าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรตาย คายาฟาสสะบัดเขาออกไปด้วยความโกรธ แต่ก็รู้สึกสับสน และไม่รู้จะพูดอย่างไร ความสับปลับของเหล่าปุโรหิตถูกเปิดเผย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาได้ติดสินบนสาวกเพื่อให้เขาทรยศต่อพระอาจารย์ของเขา {DA 721.5}
"ข้าพเจ้าทำบาป" ยูดาสร้องขึ้นอีกครั้ง "ที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย” แต่มหาปุโรหิตที่เมื่อตั้งสติได้แล้วกลับตอบด้วยความเหยียดหยามว่า "“มันเกี่ยวอะไรกับเรา? มันเป็นเรื่องของเจ้าเอง" มัทธิว 27 ข้อที่ 4 พวกปุโรหิตเต็มใจใช้ยูดาสเป็นเครื่องมือ แต่พวกเขาดูหมิ่นความเลวทรามของยูดาส เมื่อยูดาสหันไปหาพวกเขาด้วยคำสารภาพ พวกเขาก็ปฏิเสธยูดาส {DA 722.1}
บัดนี้ยูดาสทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระเยซู สารภาพว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และวิงวอนขอให้พระองค์ช่วยตัวเองให้รอด พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงตำหนิผู้ทรยศของพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่ายูดาสไม่ได้กลับใจ คำสารภาพของเขาถูกบังคับให้ออกมาจากจิตวิญญาณที่รู้สึกผิดของเขาซึ่งเกิดจากความรู้สึกสะพรึงกลัวของการจะถูกกำหนดโทษและการพิพากษาที่จะมาถึง แต่เขาไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นใจแตกสลายที่เขาได้ทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงไร้ตำหนิและปฏิเสธองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล แต่กระนั้นพระเยซูไม่ได้ตรัสคำตำหนิใด พระองค์ทรงทอดพระเนตรยูดาสด้วยความสงสารและตรัสว่า เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ {DA 722.2}
เสียงพึมพำด้วยความประหลาดใจแล่นผ่านที่ชุมนุมชนนั้น ด้วยความฉงนพวกเขามองเห็นความอดกลั้นของพระคริสต์ที่แสดงออกต่อผู้ทรยศของพระองค์ อีกครั้งหนึ่งความเชื่อมั่นแผ่ซ่านไปเหนือพวกเขาว่าชายผู้เป็นพระเจ้าองค์นี้ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์ทั่วไปที่ต้องตาย แต่พวกเขาก็ตั้งคำถามว่าหากพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแล้ว ทำไมพระองค์จึงไม่ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการและมีชัยเหนือผู้กล่าวหาของพระองค์เล่า? {DA 722.3}
เมื่อยูดาสเห็นว่าคำอ้อนวอนของเขาไม่เกิดผล เขาจึงวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้องโถงพร้อมทั้งร้องตะโกนว่า สายเกินไปเสียแล้ว! สายเกินไปเสียแล้ว! เขาตระหนักดีว่าเขาไม่อาจอยู่ต่อไปเพื่อเห็นพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนได้ และด้วยความสิ้นหวังเขาจึงออกไปแขวนคอตาย {DA 722.4}
ในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน บนถนนที่มาจากห้องโถงของปีลาตมุ่งหน้าไปยังกลโกธา มีสิ่งหนึ่งที่มาขัดจังหวะเสียงตะโกนและเสียงโห่ร้องเยาะเย้ยของกลุ่มคนชั่วที่กำลังนำพระเยซูไปยังสถานที่ที่ตรึงกางเขน ขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านบริเวณที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พวกเขาเห็นร่างของยูดาสตรงโคนเชิงต้นไม้ตายต้นหนึ่ง เป็นภาพที่น่ารังเกียจที่สุด น้ำหนักของเขาทำให้เชือกที่เขาใช้แขวนคอตัวเองกับต้นไม้ขาดไป ร่างของเขาที่ร่วงหล่นบนพื้นนั้นแตกแหลกสลาย และบัดนี้สุนัขต่างก็กำลังกินร่างนั้นอยู่ ซากศพที่เหลือยู่ของเขาถูกนำไปฝังให้พ้นสายตาทันที แต่เสียงถากถางเยาะเย้ยในฝูงชนก็ลดน้อยลง และบนใบหน้าซีดเซียวมากมายเผยให้เห็นถึงความคิดที่อยู่ภายในใจ ดูประหนึ่งว่าการแก้แค้นได้มาเยือนผู้ที่ทำผิดต่อพระโลหิตของพระเยซูแล้ว {DA 722.5}
**********