บทที่ 74

สวนเกทเสมนี

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 26 ข้อที่ 36-56; มาระโก 14 ข้อที่ 32-50; ลูกา 22 ข้อที่ 39-53; ยอห์น 18 ข้อที่ 1-12


พระผู้ช่วยให้รอดทรงดำเนินอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังสวนเกทเสมนีพร้อมสาวกของพระองค์   ดวงจันทร์ยามค่ำคืนของเทศกาลปัสกาสว่างและเต็มดวงส่องมาจากท้องฟ้าไร้เมฆ  เมืองเต็นท์ของผู้แสวงบุญนิ่งอยู่ในความเงียบสงบ  {DA 685.1}                            

       พระเยซูทรงสนทนาและสั่งสอนพวกสาวกด้วยความจริงใจ แต่ในขณะที่เสด็จเข้าไปใกล้สวนเกทเสมนี พระองค์ทรงเงียบไปอย่างน่าประหลาด  ในอดีตพระองค์เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้อยู่เสมอเพื่อใคร่ครวญพระวจนะและอธิษฐาน แต่ไม่เคยมีเวลาใดที่พระหทัยของพระองค์ทรงทุกข์โศกเท่ายามค่ำคืนสุดท้ายอันแสนระทมทุกข์ของพระองค์  ตลอดชีวิตในโลก พระองค์ทรงดำเนินอยู่ภายใต้ความสว่างเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อครั้นพระเยซูมีความขัดแย้งกับมนุษย์ที่ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิญญาณของซาตานเองนั้น พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ”  ยอห์น 8 ข้อที่ 29  แต่บัดนี้ ดูเสมือนว่าพระองค์ทรงถูกตัดขาดจากแสงของพระเจ้าที่ทรงเคยค้ำชูอยู่ตลอด  บัดนี้พระองค์ถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มของผู้ล่วงละเมิด  พระองค์จะต้องแบกรับความผิดของมนุษย์ที่ล้มลงในบาปนั้นไว้  ความผิดของเราทั้งหมดจะต้องเอาไปวางไว้บนพระองค์ผู้ทรงปราศจาคบาป  สำหรับพระองค์แล้วบาปเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเพียงไร  ภาระหนักของความผิดที่พระองค์จะต้องแบกนั้นหนักมากเพียงไรจนพระองค์ถูกทดลองให้หวาดหวั่นว่าพระองค์จะถูกกีดกันออกไปจากความรักของพระบิดาตลอดกาล  พระองค์ทรงรู้สึกได้ถึงพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อการล่วงละเมิดว่าน่ากลัวมากเพียงไรจนเปล่งพระสุรเสียงออกมาดังๆ ว่า “ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย"  {DA 685.2}                                   

ในขณะที่พวกเขาเดินเข้าใกล้สวน สาวกสังเกตว่าพระอาจารย์ของเขาทั้งหลายเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัด  พวกเขาไม่เคยเห็นพระองค์โศกเศร้าและเงียบเช่นนี้มาก่อน  ในขณะที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินต่อไป  ความเศร้าสลดประหลาดนี้เพิ่มมากขึ้น แต่ถึงกระนั้น พวกเขาต่างไม่กล้าทูลถามพระองค์ถึงสาเหตุของความทุกข์โศกเช่นนี้  พระวรกายของพระองค์โอนเอนไปมาราวกับว่าจะล้ม  เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงสวน สาวกตั้งหน้าตั้งตามองหาที่พักประจำของพระอาจารย์เพื่อพระองค์จะได้พัก  บัดนี้พระองค์จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากกับทุกย่างก้าว  พระองค์โอดครวญด้วยเสียงที่ดัง เสมือนหนึ่งตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานของภาระที่น่ากลัว  มิตรสหายของพระองค์จะต้องคอยพยุงพระองค์ถึงสองครั้ง ไม่เช่นนั้นแล้วพระองค์คงล้มพับไปกับพื้น  {DA 685.3}                                

พระเยซูทรงละสาวกทุกคนยกเว้นสามคนไว้ตรงใกล้บริเวณทางเข้าสวน โดยทรงกำชับให้พวกเขาอธิษฐานเผื่อตัวเองและเผื่อพระองค์  พระองค์เสด็จดำเนินเข้าไปยังส่วนชั้นในของสวนที่เงียบสงบพร้อมเปโตร ยากอบและยอห์น  สาวกสามคนนี้เป็นมิตรสหายสนิทที่สุดของพระองค์  พวกเขาเห็นพระรัศมีของพระองค์บนภูเขาเมื่อพระองค์ทรงจำแลงพระกาย  พวกเขาเห็นโมเสสและเอลียาห์สนทนาด้วยกันกับพระองค์  พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์  บัดนี้ ในขณะที่จะต้องดิ้นรนต่อสู้ยิ่งใหญ่ พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขาอยู่ใกล้พระองค์  พวกเขาเคยค้างคืนกับพระองค์ในสถานที่สงบแห่งนี้เสมอ  ในช่วงเวลาเหล่านี้ เมื่อได้เฝ้าระวังและอธิษฐานแล้ว  พวกเขามักจะหลับห่างจากพระอาจารย์แต่เพียงเล็กน้อยโดยจะไม่ถูกรบกวนอีก จนกระทั่งพระองค์ทรงปลุกพวกเขาในเวลาเช้าเพื่อออกไปทำงานในวันใหม่อีกครั้ง  แต่บัดนี้พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พวกเขาใช้เวลาอธิษฐานร่วมกับพระองค์  แต่ถึงกระนั้นพระองค์ทรงทนไม่ได้ที่จะให้พวกเขามองเห็นความระทมทุกข์ที่พระองค์จะต้องทนแบกรับไว้  {DA 686.1}                                          

พระองค์ตรัสว่า  “จงอยู่ที่นี่และเฝ้าระวังกับเรา"  {DA 686.2}                      

พระองค์เสด็จดำเนินห่างออกไปจากพวกเขาสักระยะหนี่งที่ไม่ไกลเท่าไรนัก  แต่พอจะมองเห็นพระองค์และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์  และพระองค์ทรงล้มลงไปกับพื้น  พระองค์ทรงรู้สึกว่าเพราะบาปพระองค์ทรงถูกแยกออกไปจากพระบิดาของพระองค์  ช่องแคบนั้นกว้าง มืดและลึกมากเพียงไรจนทำให้วิญญาณจิตของพระองค์สั่นสะท้านด้วยความขยะแขยงอยู่หน้าช่องแคบนั้น  พระองค์จะไม่ใช้อำนาจความเป็นพระเจ้าหนีความเจ็บปวดนี้ให้พ้น  ในฐานะมนุษย์พระองค์จะต้องแบกรับความทุกข์ทรมานอันเกิดจากผลของบาปของมนุษย์  ในฐานะมนุษย์พระองค์จะต้องยอมทนกับพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อการล่วงละเมิด  {DA 686.3}

บัดนี้พระคริสต์ประทับอยู่ในตำแหน่งการวางตัวที่ไม่เหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยดำรงมาก่อน  คำของผู้เผยพระวจนะบรรยายความทุกข์ทรมานของพระองค์ไว้ได้อย่างดีเลิศว่า  “จงตื่นขึ้นต่อสู้ผู้เลี้ยงแกะของเรา จงต่อสู้ผู้ที่สนิทกับเรา จงตีผู้เลี้ยง และฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป  เราจะพลิกมือของเรามาต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย”  เศคาริยาห์ 13 ข้อที่ 7  ในฐานะที่พระคริสต์ทรงเป็นตัวแทนและทรงเป็นผู้รับประกันพันธสัญญาของมนุษย์ที่บาปผิด  พระองค์ทรงกำลังรับความทุกข์ทรมานที่อยู่ภายใต้ความยุติธรรมของพระเจ้า  พระองค์ทรงเข้าใจว่าความยุติธรรมมีความหมายว่าอย่างไร  ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้แก่คนอื่นๆ  แต่ในเวลานี้พระองค์ทรงปรารถนาผู้ไกล่เกลี่ยให้แก่ตัวพระองค์เอง  {DA 686.4}          

ในขณะที่พระคริสต์ตระหนักว่าความเป็นหนึ่งระหว่างพระองค์กับพระบิดานั้นขาดสะบั้นไปแล้ว  พระองค์ทรงหวั่นวิตกว่าในสภาพธรรมชาติของความเป็นมนุษย์นั้นจะทนต่อความขัดแย้งกับอำนาจของความมืดที่กำลังจะมาถึงไม่ได้  ที่ป่ากันดารแห่งการทดลอง ชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยตกอยู่เป็นเดิมพัน  ในเวลานั้นพระคริสต์ทรงเป็นผู้ได้รับชัยชนะ  บัดนี้ผู้ล่อลวงมาเพื่อการปล้ำสู้ที่น่ากลัวครั้งสุดท้าย  ในช่วงเวลาสามปีแห่งพันธกิจของพระองค์มารตระเตรียมเพื่อการนี้มาตลอด  สำหรับมารแล้วทุกอย่างตกอยู่ในความเสี่ยง  หากมารพ่ายแพ้ตรงจุดนี้  ความหวังที่จะเป็นผู้ครอบครองจะสูญสิ้นไป  อาณาจักรของโลกจะตกไปเป็นของพระคริสต์  มารเองจะแพ้และถูกขับออกไป  แต่หากมันชนะพระคริสต์ได้ โลกนี้จะเป็นอาณาจักรของซาตาน และมนุษยชาติจะอยู่ใต้อำนาจของมันไปตลอดกาล  ด้วยประเด็นความขัดแย้งที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระคริสต์  จิตวิญญาณของพระองค์กลัวอย่างเต็มที่ว่าพระองค์กับพระเจ้าจะถูกแยกออกจากกัน  ซาตานบอกพระองค์ว่าหากพระองค์ทรงเป็นผู้รับประกันให้โลกที่บาปนี้แล้ว  การแยกทางนี้ก็จะถาวรไปตลอดนิจนิรันดร์กาล  พระองค์จะถูกจัดให้มาเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของซาตานและไม่ร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าอีกต่อไป  {DA 686.5}    

แล้วจะได้อะไรจากการสละชีพในครั้งนี้เล่า?  ความผิดและความไม่ซาบซึ้งในพระคุณของมนุษย์นั้นสิ้นหวังอย่างมากเพียงไร!  ซาตานเอาคุณลักษณะอันโหดร้ายที่สุดกระหน่ำใส่พระผู้ช่วยให้รอดด้วยการพูดกับพระองค์ว่า  พวกคนที่อ้างว่าตนได้เปรียบในด้านทรัพย์สมบัติและด้านจิตวิญญาณกว่าผู้อื่นต่างพากันปฏิเสธเจ้าแล้ว  พวกเขาคอยหาทางที่จะทำลายเจ้าผู้เป็นรากฐาน เป็นจุดศูนย์รวมและเป็นตราประทับของพระสัญญาที่ทำให้เขาทั้งหลายเป็นประชากรพิเศษ  สาวกคนหนึ่งของเจ้าเองที่คอยฟังคำแนะนำของเจ้าและอยู่ในแนวหน้าของการเข้าร่วมกิจกรรมของคริสตจักรจะทรยศเจ้า  ผู้ติดตามอย่างกระตือรือร้นที่สุดคนหนึ่งจะปฏิเสธเจ้า  ทุกคนจะละทิ้งเจ้า  ตัวของพระคริสต์เองก็ทรงเกลียดชังความคิดนี้  คนที่พระองค์ทรงลงแรงเพื่อช่วยให้รอด คนที่พระองค์ทรงรักมากเช่นนี้ เข้าไปร่วมในอุบายของซาตาน เรื่องเช่นนี้ทิ่มแทงจิตวิญญาณของพระองค์  ความขัดแย้งนี้ร้ายแรงน่ากลัวนัก ปริมาณของความขัดแย้งได้แก่ความผิดของประชาชาติ  ของผู้ที่กล่าวหาและของผู้ทรยศพระองค์  เป็นความผิดของโลกที่ตกอยู่ในความชั่วช้า  บาปของมนุษย์ทับถมลงใส่พระคริสต์อย่างหนักและความรู้สึกได้ถึงพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปนั้นกำลังบดขยี้ชีวิตของพระองค์อยู่  {DA 687.1} 

จงมองไปยังพระองค์ผู้ทรงใคร่ควรญพินิจถึงราคาที่จะต้องชำระให้กับจิตวิญญาณของมนุษย์  ในความระทมทุกข์ พระองค์ทรงยึดพื้นดินเยือกเย็นไว้แน่น ราวกับว่าจะป้องกันพระองค์จากการถูกดึงให้ห่างออกไปจากพระเจ้าได้  น้ำค้างหนาวเหน็บของยามค่ำคืนตกใส่พระวรกายที่หมอบราบอยู่กับพื้น  แต่พระองค์หาได้ใส่พระทัยไม่  จากริมฝีพระโอษฐ์ที่ซีด  มีเสียงร้องขมขื่นดังขึ้นมาว่า  “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่จวบจนบัดนี้  พระองค์ยังตรัสเพิ่มอีกว่า  “แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  {DA 687.2}              

หัวใจมนุษย์ร้องหาความเห็นใจในขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน  พระคริสต์ทรงรู้สึกได้ถึงความปรารถนานี้จนถึงก้นบึ้งธรรมชาติของพระองค์  ด้วยจิตวิญญาณเศร้าระทมที่สุด  พระองค์เสด็จมายังสาวกของพระองค์ พร้อมด้วยความปรารถนาที่จะได้ยินคำพูดที่ปลอบประโลมใจจากผู้ที่พระองค์ทรงเคยอวยพระพรและปลอบประโลมอยู่เสมอ และปกป้องไว้จากความเศร้าโศกและความลำบากใจ  พระองค์ผู้ทรงบ่อยครั้งมีคำปลอบประโลมใจที่จะประทานให้เขานั้นบัดนี้กำลังตกอยู่ในความทุกข์ที่เหนือธรรมชาติของมนุษย์ และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะทราบว่าพวกเขากำลังอธิษฐานเผื่อพระองค์และเผื่อตัวพวกเขาเอง  ความร้ายกาจของบาปนั้นมืดมนมากเพียงไร!  การทดลองอย่างรุนแรงให้ปล่อยมนุษยชาติแบกรับผลของความผิดของตนเอง ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างผู้บริสุทธิ์ปราศจากความผิด  หากเพียงแต่พระองค์จะทรงทราบว่าสาวกของพระองค์เข้าใจและซาบซึ้งในเรื่องนี้แล้ว  พระองค์ก็จะมีกำลังเข้มแข็งขึ้น  {DA 687.3}                           

ด้วยความเจ็บปวด พระองค์ทรงพยายามลุกขึ้น  เสด็จดำเนินอย่างโซเซไปยังที่ที่พระองค์ได้ทรงละพระสหายของพระองค์ไว้  แต่พระองค์ “ทอดพระเนตรเห็นเขาทั้งหลายนอนหลับอยู่”  หากพระองค์ไปพบว่าพวกเขากำลังอธิษฐานอยู่ พระองค์ก็คงจะทรงโล่งพระทัย  หากพวกเขาได้เข้าไปหาที่ลี้ภัยในพระเจ้าแล้ว  ตัวแทนของซาตานจะไม่มีทางเอาชนะเหนือพวกเขาได้  พระองค์คงจะได้รับความเล้าโลมพระทัยด้วยความเชื่อที่มั่นคงของพวกเขา  แต่พวกเขาไม่ได้เอาใจใส่กับคำเตือนที่มาถึงครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน”  ในช่วงแรก  พวกเขาเป็นทุกข์ที่เห็นพระอาจารย์ที่โดยปกติสงบนิ่งและสง่าผ่าเผย  ปล้ำสู้กับความทุกข์ที่เกินความเข้าใจของพวกเขา  พวกเขาอธิษฐานขณะที่ได้ยินเสียงร้องหนักแน่นของผู้ที่เป็นทุกข์  พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะละทิ้งพระอาจารย์ไป แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาชาไปทั้งตัวด้วยความมึนงง ซึ่งสามารถสะบัดทิ้งไปได้หากพวกเขายังคงวิงวอนทูลขอพระเจ้าต่อไป  พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเฝ้าระวังและอธิษฐานด้วยความจริงใจเพื่อที่จะทนต่อการทดลองได้  {DA 688.1}                                      

ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จหันกลับย่างพระบาทมุ่งตรงไปยังสวนเพียงเล็กน้อย  พระองค์ตรัสกับสาวกว่า “ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา”  พวกเขาให้ความมั่นใจรับรองอย่างขันแข็งหนักแน่นว่าจะยอมเข้าคุกและยอมตายกับพระองค์  และเปโตรที่น่าสงสารและมั่นใจในตนเองยังพูดเสริมอีกว่า  “แม้ว่าทุกคนจะทิ้งพระองค์ แต่ข้าพระองค์จะไม่ทิ้งพระองค์”  มาระโก 14 ข้อที่ 27, 29  แต่พวกสาวกวางใจในตัวเอง  พวกเขาไม่ได้มองไปยังพระเจ้าพระผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่ตามที่พระคริสต์ทรงแนะให้พวกเขาทำ  ด้วยเหตุนี้ในเวลาที่พระผู้ช่วยให้รอดต้องการความเห็นใจและคำอธิษฐานของพวกเขามากที่สุด  ก็พบว่าพวกเขาหลับไป  แม้เปโตรก็ยังหลับเช่นกัน  {DA 688.2}                              

และยอห์น สาวกที่พระองค์ทรงรัก ผู้ที่เอนกายบนพระอุระของพระเยซูก็ยังหลับไปด้วย   แน่นอนทีเดียว  ความรักของยอห์นที่ถวายพระอาจารย์ของเขานั้น น่าจะทำให้เขายังคงตื่นอยู่ได้  ในช่วงเวลาอันแสนเศร้าอย่างที่สุดของพระองค์นี้ คำอธิษฐานอันจริงใจของยอห์หน่าจะระคนกับคำอธิษฐานของพระผู้ช่วยให้รอดที่เขารัก  พระผู้ไถ่ใช้เวลาตลอดคืนอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ เพื่อความเชื่อของพวกเขาจะไม่ล้มเหลว  หากในเวลานี้  พระเยซูจะทรงถามยากอบและยอห์นด้วยคำถามที่เคยตรัสถามมาแล้วครั้งหนึ่งว่า  “ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ?”  พวกเขาคงจะไม่อาจหาญที่จะทูลตอบว่า “พวกข้าพระองค์ทำได้”  มัทธิว 20 ข้อที่ 22 TKJV  {DA 689.1}                      

สาวกตื่นเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูแต่พวกเขาแทบจำพระองค์ไม่ได้  ความปวดร้าวเปลี่ยนพระพักตร์ของพระองค์ไปมาก  พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า  “ซีโมนเอ๋ย ท่านยังนอนหลับหรือ? จะเฝ้าอยู่สักชั่วโมงเดียวไม่ได้หรือ?  ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อจะไม่ถูกการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง”  ความอ่อนแอของสาวกปลุกความเห็นใจของพระเยซู  พระองค์ทรงหวาดกลัวว่าพวกเขาจะทนกับการทดสอบซึ่งจะตกลงมายังพวกเขาในการทรยศและความตายของพระองค์ไม่ได้  พระองค์ไม่ทรงตำหนิพวกเขา แต่ตรัสว่า  “ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อจะไม่ถูกการทดลอง ”  แม้ขณะอยู่ในความทุกข์ระทมอย่างสาหัส  พระองค์ยังทรงหาข้อแก้ตัวให้กับความอ่อนเอของพวกเขา  พระองค์ตรัสว่า  “จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง”  {DA 689.2}    

อีกครั้งหนึ่ง ความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสเหนือธรรมชาติมนุษย์ครอบงำพระบุตรของพระเจ้าไว้ และด้วยสภาพที่อ่อนเปลี้ยและเพลียแรง  พระองค์เสด็จดำเนินอย่างโซซัดโซเซกลับไปยังสถานที่เดิมที่ปล้ำสู้มาก่อน  ความทุกข์ทรมานของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าเดิม  ขณะที่ความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณมาถึงพระองค์  “เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน”  ต้นไซปรัสและต้นปาล์มเป็นพยานอยู่อย่างเงียบๆ ถึงความปวดร้าวของพระองค์  หยดน้ำค้างขนาดใหญ่หยอดจากกิ่งที่มีใบไม้แน่นหนาลงมายังพระวรกายอันปวดร้าวของพระองค์  เสมือนหนึ่งว่าธรรมชาติร่ำไห้ให้กับพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดสิ่งทั้งปวงทรงกำลังปล้ำต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกับอำนาจของความมืด  {DA 689.3}                  

ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย  พระเยซูประทับอยู่อย่างงามสง่าราวกับต้นสนสีดายิ่งใหญ่ ต้านได้แม้พายุของการขัดขวางที่โหมกระหน่ำพัดใส่พระองค์  ความคิดดื้อด้าน  หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเล่ห์เหลี่ยมจู่โจมพระองค์มาแล้วและเอาชนะพระองค์ไม่ได้  พระองค์ประทับอย่างงามสง่าในฐานะพระบุตรของพระเจ้า  บัดนี้พระองค์ทรงเป็นเหมือนต้นอ้อถูกพายุร้ายกระหน่ำและหักงอไป  พระองค์เสด็จมาถึงห้วงสุดท้ายพระราชกิจของพระองค์อย่างผู้มีชัย โดยได้ชัยชนะในทุกย่างก้าวเหนืออำนาจความมืด  ในฐานะผู้ที่ได้ทรงรับเกียรติสิริ  พระองค์ทรงประกาศว่าทรงเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า  ด้วยสำเนียงตรัสอย่างไม่อิดโรย พระองค์ทรงเปล่งเสียงเพลงถวายสรรเสริญพระเจ้า  พระองค์ตรัสกับสาวกด้วยพระดำรัสที่หนุนใจและอ่อนโยนมาแล้ว  บัดนี้เวลาของอำนาจแห่งความมืดมาถึงแล้ว  บัดนี้พระสุรเสียงของพระองค์ดังขึ้นในยามค่ำคืนที่เงียบ  ไม่ใช่เป็นสำเนียงของชัยชนะ  แต่เป็นพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความทุกข์ของมนุษย์  พระดำรัสของพระองค์มาถึงหูของสาวกที่ง่วงเหงา  “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  {DA 689.4}                      

แรงจูงใจอันดับแรกของสาวกคือเข้าไปหาพระองค์  แต่พระองค์ทรงกำชับให้พวกเขาคอยอยู่ที่นั่น เพื่อคอยเฝ้าอธิษฐาน  เมื่อพระเยซูเสด็จมาหาพวกเขา พระองค์ยังคงพบสาวกหลับอยู่  อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้สาวกมาเป็นเพื่อน เพื่อจะรับคำปลอบประโลมที่จะนำความเล้าโลมใจมาถวาย และขจัดความมืดที่มาอยู่เหนือพระองค์  แต่ว่าพวกเขาลืมตาไม่ขึ้น  “พวกเขาไม่รู้ว่าจะทูลพระองค์อย่างไร”  การมาปรากฏตัวของพระองค์อยู่ตรงหน้า ทำให้พวกเขาลุกตื่นขึ้น  พวกเขามองเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีหยาดเหงื่อเลือดแห่งความทุกข์ระทม และพวกเขาท่วมท้นไปด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง  พวกเขาไม่เข้าใจความเจ็บปวดทางใจนั้น  “หน้าตาของท่านเสียโฉมมากเหลือที่จะเหมือนคน และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมเหลือที่จะเหมือนมนุษย์”  อิสยาห์ 52 ข้อที่ 14  {DA 690.1}                  

พระเยซูทรงหันกลับไปยังมุมสงบของพระองค์อีกครั้ง และล้มราบไปกับพื้น ความมืดยิ่งใหญ่น่ากลัวครอบอยู่เหนือพระองค์  ความเป็นมนุษย์ของพระบุตรของพระเจ้าสั่นสะท้านอยู่ในห้วงเวลาอันน่ากลัว  บัดนี้พระองค์ไม่ได้อธิษฐานเผื่อความเชื่อของพวกสาวกจะไม่ล้มเหลว  แต่เผื่อจิตวิญญาณทุกข์ระทมของพระองค์เองที่ถูกทดลอง  เวลาน่ากลัวมาถึงแล้ว นั่นคือเวลาที่จะกำหนดชะตากรรมของโลก  ชะตากรรมของมนุษยชาติสั่นสะท้านอยู่ในตราชั่ง  แม้จนกระทั่งถึงเวลานี้พระคริสต์ปฏิเสธที่จะดื่มจอกที่เป็นส่วนความผิดของมนุษย์ได้  ยังไม่สายเกินไป  พระองค์ยังน่าจะเช็ดเหงื่อที่เป็นเลือดออกไปจากพระนลาฏและทิ้งมนุษย์ให้พินาศในบาปไปก็ได้  พระองค์ยังน่าจะตรัสว่าจงให้ผู้ล่วงละเมิดรับโทษของบาปและเราจะกลับไปยังพระบิดาของเรา  พระบุตรของพระเจ้าจะดื่มจอกขมขื่นของความอัปยศและความระทมหรือ?  ผู้บริสุทธิ์จะรับความทุกข์อันเป็นผลของความสาปแช่งของบาปเพื่อช่วยคนที่ผิดหรือ?  พระดำรัสออกมาจากริมพระโอษฐ์อันซีดของพระเยซูว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  {DA 690.2}                         

พระองค์ทรงกล่าวคำอธิษฐานนี้ถึงสามครั้ง  สามครั้งสภาพของความเป็นมนุษย์หดถอยไปด้วยความกลัวถึงการเสียสละสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่  แต่บัดนี้ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแล่นผ่านเข้ามายังเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอดของโลก  พระองค์ทรงเล็งเห็นว่าหากปล่อยผู้ล่วงละเมิดพรบัญญัติไปตามลำพัง  พวกเขาจะต้องพินาศ  พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสิ้นหวังของมนุษย์ที่ช่วยตัวเองไม่ได้  พระองค์ทรงเล็งเห็นอำนาจของบาป  ความทุกข์และความโศกเศร้าของโลกที่กำหนดให้พินาศนั้นแล่นผ่านเบื้องพระพักตร์พระองค์  พระองค์ทรงมองเห็นชะตากรรมที่กำลังจะมาและพระองค์ทรงตัดสินพระทัยแล้ว  พระองค์จะทรงช่วยมนุษย์ไม่ว่าจะต้องชำระด้วยค่าใช้จ่ายมากเพียงไรแม้ด้วยตัวพระองค์เอง  พระองค์ทรงยอมรับบัพติศมาด้วยพระโลหิตของพระองค์  เพื่อโดยทางพระองค์คนนับล้านที่กำลังพินาศจะได้ชีวิตนิรันดร์  พระองค์เสด็จออกมาจากบัลลังก์แห่งสวรรค์แล้ว  เป็นบัลลังก์ที่มีแต่ความบริสุทธิ์  ความสุข และพระสิริ เพื่อช่วยลูกแกะเพียงตัวเดียวที่หลงหาย นั่นคือ โลกใบเดียวที่ล้มลงในการล่วงละเมิด  และพระองค์จะไม่หันออกไปจากพันธกิจนี้  พระองค์จะทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตั้งใจทำบาป  บัดนี้คำอธิษฐานของพระองค์ที่เปล่งออกมาจากลมพระโอษฐ์คือการยอมจำนน  “ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์“  {DA 690.3}                   

เมื่อพระองค์ทรงตัดสิ้นพระทัยเช่นนี้แล้ว  พระองค์ทรงล้มหมดแรงลงไปกับพื้นในขณะที่ยังลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มที่  บัดนี้พวกสาวกอยู่ที่ใหน  พวกเขาควรที่จะเอามืออันอ่อนโยนมารองรับพระเศียรของพระอาจารย์ที่กำลังเป็นลมและเช็ดพระนลาฏของพระองค์ที่เสียโฉมมากเกินกว่าบุตรมนุษย์ทั้งหลายมิใช่หรือ?  พระผู้ช่วยให้รอดจะต้องย่ำบ่อน้ำองุ่นอย่างเดียวดายและไม่มีสักคนเดียวมาอยู่กับพระองค์ที่นั่น  {DA 693.1}                            

แต่พระเจ้าทรงร่วมทุกข์กับพระบุตร  ทูตสวรรค์เฝ้ามองความระทมทุกข์ของพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาเห็นกองกำลังอำนาจของซาตานปิดล้อมพระองค์ไว้  ธรรมชาติของพระองค์ถูกความน่ากลัวลึกลับอย่างขนลุกขนพองกดทับใว้  ในสวรรค์มีแต่ความเงียบ  ไม่มีผู้ใดเล่นพิณ  หากมนุษย์มตะมองเห็นชาวสวรรค์มองดูด้วยความตะลึงในความทุกข์โศกอย่างเงียบๆ เมื่อพระบิดาทรงจัดแยกลำแสงความสว่าง ความรักและพระรัศมีภาพออกไปจากพระบุตรที่พระองค์ทรงรักได้ พวกเขาจะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าบาปเป็นสิ่งที่น่าชังต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้ามากเพียงไร  {DA 693.2}                    

บรรดาชาวโลกที่ไม่ได้ล้มลงในบาปและเหล่าทูตสวรรค์มองดูด้วยความสนใจอย่างมากในขณะที่การต่อสู้กำลังจะปิดฉาก  ซาตานและบรรดาสมุนชั่วซึ่งเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ของผู้ละทิ้งความเชื่อเฝ้ามองด้วยใจจดใจจ่อวิกฤตครั้งยิ่งใหญ่นี้ ในพระราชกิจแห่งการไถ่ให้รอด  กองกำลังแห่งความดีและความชั่วคอยเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของพระคริสต์ที่ทรงกล่าวซ้ำถึงสามครั้งอย่างไร  ทูตสวรรค์คอยอยู่เพื่อนำการบรรเทามาถวายพระเจ้าผู้ทรงตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน  แต่พวกเขาทำอย่างนี้ไม่ได้  เส้นทางหลบหนีไม่มีไว้ให้กับพระบุตรของพระเจ้า  ในวิกฤตที่น่ากลัวเช่นนี้ ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่เป็นเดิมพันเมื่อจอกลึกลับสั่นอยู่ในพระหัตถ์ของผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ระทม  สวรรค์ได้เปิดออกแล้ว  แสงสว่างส่องออกมาจากท่ามกลางพายุมืดของห้วงเวลาวิกฤตและทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่องค์นั้นที่ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าและเป็นผู้ที่รับตำแหน่งที่ซาตานทิ้งไปเมื่อเขาล้มลงได้เข้ามาอยู่เคียงข้างพระคริสต์  ทูตสวรรค์ไม่ได้มาเพื่อนำจอกออกไปจากพระหัตถ์ของพระคริสต์  แต่มาถวายกำลังใจเพื่อให้พระองค์ดื่มจอกนั้น  พร้อมนำความมั่นใจในความรักของพระบิดามาถวาย  เขามาเพื่อถวายกำลังให้ผู้อ้อนวอนผู้ทรงเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า  เขาทูลให้พระองค์มองไปยังสวรรค์ที่เปิดอยู่  ทูลบอกพระองค์ถึงจิตวิญญาณที่จะได้รับความรอดอันเนื่องจากผลของความทุกข์ทรมานของพระองค์  เขาถวายความมั่นใจให้พระองค์ว่าพระบิดาของพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงอำนาจเหนือกว่าซาตาน  ความตายของพระองค์จะตีซาตานให้พ่ายแพ้ไปอย่างเด็ดขาด  และอาณาจักรของโลกนี้จะทรงโปรดประทานให้แก่เหล่าธรรมิกชนของพระผู้สูงสุด  เขาทูลบอกว่าพระองค์จะทรงมองเห็นจิตวิญญาณของพระองค์เองเจ็บปวดและได้รับความพอพระทัย  เพราะพระองค์จะได้เห็นมวลมนุษย์จำนวนมากได้รับความรอดตลอดนิรันดร์  {DA 693.3}

ความปวดร้าวทรมานใจของพระคริสต์ไม่ได้สิ้นสุดลงแต่ความห่อเหี่ยวและความท้อแท้พระทัยหายไปจากพระองค์  พายุยังคงไม่สงบ  แต่พระองค์ผู้ทรงเป็นเป้าหมายของการจู่โจมนั้นทรงได้รับการชูกำลังที่จะเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของพายุ  พระองค์หลุดออกมาด้วยอารมณ์ที่เยือกเย็นและจิตใจที่สงบนิ่ง  สันติสุขของสวรรค์อยู่บนพระพักตร์ที่อาบด้วยพระโลหิต  พระองค์ทรงแบกภาระซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดจะทนแบกได้  เพราะพระองค์ทรงลิ้มรสความทรมานแห่งความตายของมนุษย์ทุกคน  {DA 694.1}                          

แสงสว่างที่ล้อมอยู่รอบพระผู้ช่วยให้รอดปลุกสาวกที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้นในทันทีทันใด  พวกเขาเห็นทูตสวรรค์ก้มลงไปยังพระอาจารย์ที่นอนคว่ำอยู่กับพื้น  พวกเขาเห็นทูตสวรรค์ยกพระเศียรของพระผู้ช่วยให้รอดขึ้นมาแนบกับอกและชี้ขึ้นไปยังสวรรค์  พวกเขาได้ยินเสียงของเขาดั่งเสียงดนตรีอันไพเราะที่สุด พูดคำปลอบประโลมใจและคำแห่งความหวัง  สาวกจำภาพขณะอยู่บนภูเขาจำแลงกายได้  พวกเขาจำรัศมีภาพที่ล้อมพระเยซูไว้ขณะอยู่ในวิหาร และพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสออกมาจากเมฆ  บัดนี้รัศมีภาพเดียวกันนี้ปรากฎให้เห็นอีกครั้ง  และพวกเขาไม่กลัวสิ่งใดอีกที่จะเกิดกับพระอาจารย์ของพวกเขาอีกแล้ว  พระองค์ทรงอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้า ทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งได้รับบัญชาให้มาปกป้องพระองค์  อีกครั้งหนึ่งด้วยความอิดโรยสาวกแพ้ต่อความมึนงงที่ครอบงำพวกเขา  อีกครั้งหนึ่งพระเยซูก็ทรงพบพวกเขาหลับอยู่  {DA 694.2}                   

พระเยซูทรงเพ่งมองพวกเขาด้วยความโศกเศร้าพระทัยตรัสว่า “พวกท่านยังจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือ? นี่แน่ะ เวลามาใกล้แล้ว บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป”  {DA 694.3}                           

แม้ขณะที่พระองค์ตรัสพระดำรัสเหล่านี้อยู่นั่น  พระองค์ทรงได้ยินเสียงฝีเท้าของฝูงชนที่ตามหาพระองค์และพระองค์ตรัสว่า “ลุกขึ้นไปกันเถิด คนที่ทรยศเรามาใกล้แล้ว”  {DA 694.4}

ไม่มีร่องรอยของความทุกข์ระทมปวดร้าวใจที่เพิ่งผ่านมาเหลือให้เห็นในขณะที่พระเยซูทรงก้าวพระบาทเข้าเผชิญหน้ากับผู้ทรยศ  พระองค์ประทับอยู่อย่างโดดเด่นหน้าสาวกตรัสถามว่า “พวกท่านมาหาใคร?”  พวกเขาตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นผู้นั้น”  ขณะที่พระองค์ตรัสพระดำรัสเหล่านี้อยู่นั้น  ทูตสวรรค์ที่คอยปรนนิบัติพระเยซูในช่วงเวลาที่ล่วงมาแล้วนั้นได้เข้าไปอยู่ระหว่างพระองค์และฝูงชน  แสงของพระเจ้าส่องสว่างบนพระพักตร์ของพระเยซูและมีสันฐานเหมือนนกพิราบมาปิดล้อมพระองค์ไว้  ขณะที่อยู่หน้ารัศมีภาพของพระเจ้านี้ ฝูงฆาตรกรไม่อาจยืนอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง  พวกเขาโซเซถอยออกไป  พวกปุโรหิต พวกผู้ปกครอง พวกทหาร และแม้กระทั่งยูดาสล้มไปกับพื้นราวกับคนตาย  {DA 694.5}

ทูตสวรรค์ถอยกลับไป และแสงสว่างเลือนหายไป  พระเยซูมีโอกาสหนี  แต่พระองค์ทรงยังคงอยู่ที่นั่น  นิ่งสงบและควบคุมตนได้  ในฐานะของผู้ที่ทรงได้รับเกียรติสิริแล้วพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีหัวใจแข็งกระด้างที่บัดนี้หมอบราบอยู่กับพื้นอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่เบื้องพระบาทของพระองค์  สาวกจ้องมองในความเงียบด้วยความฉงนและเกรงขามตกใจกลัว  {DA 694.6}                  

แต่ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  ฝูงม็อบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง  ทหารชาวโรมัน พวกปุโรหิตและยูดาสยืนล้อมพระคริสต์ไว้  ดูประหนึ่งว่าพวกเขาละอายใจกับความอ่อนแอของตนเองและหวาดกลัวว่าพระองค์จะหลบหนีไปจากพวกเขา  อีกครั้งหนึ่ง พระผู้ไถ่ตรัสถามว่า  “พวกท่านมาหาใคร”  พวกเขามีหลักฐานแสดงว่าพระองค์ผู้ประทับอยู่ต่อหน้าพวกเขาทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  แต่พวกเขาไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  อีกครั้งหนึ่งพวกเขาตอบคำถาม  “พวกท่านมาหาใคร” ว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ”  แล้วพระผู้ช่วยให้รอดตรัสตอบว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราเป็นผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด”  ในขณะที่พระองค์ทรงชี้ไปที่พวกสาวก  พระองค์ทรงทราบดีว่าความเชื่อของพวกเขานั้นอ่อนแอเพียงไร  และพระองค์ทรงประสงค์ที่จะปกป้องพวกเขาจากการทดลองและความทุกข์ลำบาก  เพื่อเขาเหล่านั้นพระองค์ทรงพร้อมที่จะถวายพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา  {DA 695.1}                          

ยูดาสผู้ทรยศนั้นไม่ได้ลืมบทที่เขาต้องแสดง  ในขณะที่ฝูงชนเข้ามายังสวน  ยูดาสเป็นผู้นำทาง  มหาปุโรหิตเดินตามาอย่างชิดใกล้  เขาให้อาณัติสัญญาณแก่ผู้ที่ตามล่าพระเยซูว่า  “เราจูบคำนับใครก็คือคนนั้นแหละ จงจับเขาไว้”  มัทธิว 26 ข้อที่ 48  บัดนี้เขาแสร้งทำตัวว่าไม่มีส่วนเข้าร่วมกับพวกเขา  เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซู  เขาจับพระหัตถ์ของพระองค์เสมือนจับมือของเพื่อนที่เขาคุ้นเคย  ด้วยคำพูดที่ว่า “สวัสดีพระอาจารย์”  เขาจูบคำนับพระองค์ซ้ำหลายครั้งและดูประหนึ่งว่าร่ำไห้  ทำตัวเสมือนว่าเห็นใจพระองค์ที่ตกอยู่ภายใต้ภัยอันตราย  {DA 695.2}

พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด”  พระสุรเสียงของพระองค์นั้นสั่นด้วยควาทุกข์ในขณะที่ตรัสต่อไปว่า “ยูดาส ท่านจะมอบบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ?”  คำเรียกร้องนี้น่าจะปลุกจิตใต้สำนึกของผู้ทรยศให้ตื่นขึ้นมาและสัมผัสหัวใจที่ดื้อด้านของเขา  แต่ความมีเกียรติ  ความจงรักภักดีและหัวใจที่อ่อนนุ่มไม่มีเหลืออยู่ในตัวของเขาอีกแล้ว  เขายืนอยู่อย่างอาจหาญและไม่เกรงกลัว  แสดงออกถึงท่าทีของความไม่กรุณา  เขายอมจำนนตัวให้กับซาตานแล้วและเขาไม่มีกำลังอำนาจที่จะต่อต้านมัน  พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธการจูบของผู้ทรยศ  {DA 696.1}                    

ฝูงชนกล้าขึ้นขณะที่เห็นยูดาสสัมผัสบุคคลผู้ที่เมื่อไม่นานมานี้ทรงได้รับเกียรติสิริต่อหน้าต่อตาพวกเขา  บัดนี้พวกเขาเข้าจับกุมพระเยซู และเร่งรีบผูกมัดพระหัตถ์อันแสนประเสริฐของพระองค์ที่ได้แต่ใช้เพื่อทำคุณความดีมาตลอด {DA 696.2}                  

พวกสาวกเคยคิดว่าพระอาจารย์คงจะไม่ยอมให้ใครจับพระองค์  เพราะอำนาจเดียวกันที่ทำให้ฝูงชนล้มลงไปราวกับคนตายจะทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ได้จนกว่าพระเยซูและสหายจะหนีไปได้  สาวกผิดหวังและเดือดดาลในขณะที่เห็นพวกเขาเอาเชือกผูกพระหัตถ์ของผู้ที่พวกเขาเคารพรัก  ในความโกรธเปโตรชักดาบออกมาอย่างรวดเร็วและพยายามปกป้องพระอาจารย์  แต่เขาตัดได้แค่ใบหูของทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตประจำการ  เมื่อพระเยซูทรงทอดพระเนตรสิ่งที่เกิดขึ้น  พระองค์ทรงปลดพระหัตถ์ออก  แม้ว่าทหารโรมันผูกไว้อย่างแน่นหนาแล้วก็ตามและตรัสว่า “พอเสียทีเถอะ”  พระองค์ทรงแตะใบหูที่บาดเจ็บและรักษาให้หายอย่างบริบูรณ์ในทันที  แล้วพระองค์ตรัสกับเปโตรว่า  “เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย เพราะว่าพวกที่ใช้ดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์ก็จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลในทันที”  หนึ่งกองมาแทนที่สาวกแต่ละคน  พวกสาวกคิด โอ้ ทำไมหนอพระองค์จึงไม่ช่วยตัวเองและพวกเราด้วย  พระองค์ตรัสต่อไปเพื่อตอบความคิดที่ไม่ได้เปล่งออกมาทางวาจาว่า  “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่า จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?”  “เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาของเราประทานแก่เราหรือ?”  ยอห์น 18 ข้อที่ 11 TKJV  {DA 696.3}                                

เจ้าหน้าที่ผู้ทรงเกียรติของผู้นำชาวยิวไม่ได้ขัดขวางผู้นำเหล่านี้ในการเข้าร่วมการไล่ล่าพระเยซู  การจับกุมพระองค์เป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่เกินที่จะมอบให้ไปอยู่ในมือของผู้น้อย  พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเจ้าเล่ห์เข้าร่วมกับนายทหารรักษาพระวิหารและพวกธรรมาจารย์ในการติดตามยูดาสไปยังสวนเกทเสมนี  เป็นกลุ่มคนอะไรเช่นนี้ที่ผู้ทรงเกียรติไปเข้าร่วมด้วย  เป็นการก่อม็อบที่ต้องการความตื่นเต้นและพกพาเครื่องมือหลากหลายมากมายทำราวกับว่ากำลังตามล่าสัตว์ป่าตัวหนึ่ง  {DA 696.4}

พระคริสต์ทรงหันพระพักตร์ไปทางพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองและทรงจ้องมองพวกเขาด้วยสายพระเนตรที่ตรวจสอบ  พระดำรัสที่พระองค์ตรัสนั้น พวกเขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต  เป็นพระดำรัสที่แหลมคมประดุจธนูของพระเจ้ายิ่งใหญ่  ด้วยความสง่าภูมิฐาน พระองค์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายออกมาจับเราด้วยดาบและตะบองเหมือนกับว่าจะจับขโมยหรือโจร  เรานั่งสอนอยู่ในบริเวณพระวิหารทุกวัน  ท่านมีทุกโอกาสที่จะวางมือจับกุมเราแต่ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย  เวลาของยามค่ำคืนเหมาะกับงานของท่าน  “นี่เป็นเวลาของพวกท่าน และเป็นอำนาจของความมืด”  {DA 697.1}                          

สาวกหวาดกลัวขณะที่เห็นพระเยซูปล่อยตัวให้พวกเขาจับและผูกมัดพระองค์  พวกเขาไม่พอใจที่พระองค์จะต้องยอมทนอยู่ในความอับอายที่ตกกับพระองค์เองและตกกับพวกเขา  พวกเขาไม่เข้าใจการกระทำของพระองค์ และพวกเขาโทษพระองค์ที่ยอมจำนนให้กับฝูงม็อบ  ด้วยความโกรธและความกลัว  เปโตรเสนอว่าพวกเขาจะต้องช่วยตัวเอง  ด้วยข้อเสนอนี้  “สาวกทั้งหมดก็ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป”  แต่พระคริสต์ทรงทำนายถึงการละทิ้งพระองค์ไว้แล้ว  พระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ วันนั้นจะมา และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว ที่พวกท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่อยู่ของท่านแต่ละคนและจะทิ้งเราไว้คนเดียว แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาสถิตอยู่กับเรา”  ยอห์น 16 ข้อที่ 32  {DA 697.2}                           

************