บทที่ 13
ชัยชนะ
อ้างอิงจาก มัทธิว 4 ข้อที่ 5-11, มาระโก 1 ข้อที่ 12,13; ลูกา 4 ข้อที่ 5-13
“แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า ‘ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์
และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้
ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” {DA 124.1}
บัดนี้ซาตานเข้าหาพระเยซูบนจุดยืนของพระองค์ ศัตรูจอมเจ้าเล่ห์นี้นำเสนอด้วยพระดำรัสที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า มันยังคงปรากฏตัวเป็นทูตแห่งความสว่างและแสดงตนว่ามันคุ้นเคยกับพระคัมภีร์และเข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งที่จารึกไว้ในนั้น ดั่งคราวก่อนเมื่อพระเยซูทรงใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อสนับสนุนความเชื่อของพระองค์ บัดนี้ผู้ล่อลวงใช้พระวจนะเพื่อสนับสนุนการหลอกลวงของมัน มันอ้างว่ามันเพียงทดลองความภักดีของพระเยซูและบัดนี้มันชื่นชมกับความมั่นคงของพระองค์ในขณะที่พระผู้ช่วยแสดงออกถึงความวางในใจพระเจ้า ซาตานเรียกร้องให้พระองค์แสดงหลักฐานอีกประการหนึ่งเพื่อแสดงถึงความเชื่อของพระองค์ {DA 124.2}
แต่อีกครั้งที่การทดลองเปิดฉากด้วยอารัมภบทที่สื่อความหมายถึงการไม่วางใจ “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” พระคริสต์ถูกล่อลวงให้ตอบคำว่า “ถ้า” แต่พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงแม้แต่การยอมรับข้อสงสัยเพียงน้อยนิด พระองค์ไม่ทรงยอมปล่อยให้ชีวิตได้รับภัยอันตรายด้วยการให้หลักฐานใดแก่ซาตาน {DA 124.3}
ผู้ล่อลวงคิดที่จะฉวยโอกาสในขณะที่พระเยซูทรงสภาพเป็นมนุษย์และเร่งเร้าให้พระองค์เชื่อในสิ่งที่มันอ้าง ในขณะที่ซาตานชักชวนให้ทำบาปได้ แต่มันบังคับให้ทำบาปไม่ได้ มันพูดกับพระเยซูว่า “จงกระโดดลงไป” โดยที่มันรู้ดีแก่ใจว่ามันผลักพระองค์ลงไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าจะทรงเข้าขัดขวางช่วยพระองค์ ซาตานก็บังคับพระเยซูให้กระโจนลงไปไม่ได้เช่นกัน นอกเสียจากว่าพระคริสต์จะทรงยอมต่อการทดลอง มันก็เอาชนะพระองค์ไม่ได้ ไม่มีอำนาจใดๆ ในโลกหรือในนรกจะบังคับพระองค์ให้เหินห่างจากพระทัยของพระบิดาของพระองค์ออกไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย {DA 125.1}
ผู้ล่อลวงไม่มีทางบังคับให้พวกเราทำชั่ว มันบังคับจิตใจของเราไม่ได้นอกจากเรายอมให้มันมาควบคุมเรา ก่อนที่ซาตานจะครอบงำเหนือเราได้ ความตั้งใจของเราจะต้องยินยอม เราต้องปล่อยความเชื่อในพระคริสต์ให้หลุดมือไป แต่ทุกความปรารถนาชั่วที่เราหวงแหนไว้จะเป็นฐานที่มั่นให้กับมัน ทุกจุดที่เราพลาดที่จะก้าวไปให้ถึงมาตรฐานของพระเจ้าเป็นประตูเปิดให้มันเข้ามาล่อลวงและทำลายพวกเรา และทุกความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ในส่วนของเราเปิดโอกาสให้มันตำหนิพระคริสต์ {DA 125.2}
เมื่อซาตานอ้างพระสัญญา “พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์” นั้นมันละประโยคที่ว่า “ให้ระแวดระวังท่านในทุกๆ ทางของท่าน” ซึ่งหมายถึงวิถีทางทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเลือก พระเยซูปฏิเสธที่จะออกนอกเส้นทางแห่งความเชื่อฟัง ในขณะที่พระองค์ทรงสำแดงถึงความไว้วางใจในพระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบ พระองค์จะไม่ทรงวางพระองค์เองในต่ำแหน่งที่ทำให้พระบิดาต้องเข้าแทรกแซงเพื่อช่วยพระองค์ให้รอดจากความตาย พระองค์ไม่ทรงประสงค์บังคับพระเจ้าให้เสด็จมาช่วยกู้พระองค์และด้วยเหตุฉะนี้ จะทำให้พลาดที่จะประทานแบบอย่างแห่งความไว้วางใจและการยอมจำนนแก่มนุษย์ {DA 125.3}
พระองค์ทรงยืนยันกับซาตานว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” พระดำรัสเหล่านี้โมเสสพูดกับชนชาติอิสราเอลเมื่อพวกเขากระหายน้ำในถิ่นทุรกันดารและยื่นคำขาดให้โมเสสหาน้ำให้พวกเขา โดยร้องเสียงดังว่า “พระยาห์เวห์สถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ?” อพยพ 17 ข้อที่ 7 พระเจ้าทรงประกอบพระราชกิจอัศจรรย์เพื่อพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาตกอยู่ในความทุกข์ พวกเขาสงสัยพระองค์และเรียกร้องให้พระเจ้าประทานหลักฐานเพื่อแสดงว่าพระเจ้าทรงร่วมสถิตอยู่กับพวกเขา ในความไม่เชื่อ พวกเขาหาทางทดสอบพระองค์ และซาตานเร่งเร้าให้พระคริสต์กระทำการเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน พระเจ้าประทานคำยืนยันแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระองค์และบัดนี้การขอหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าก็เป็นการทดสอบพระคำของพระเจ้าคือทดลองพระองค์นั่นเอง และการขอสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงสัญญานั้นก็เป็นการกระทำในทำนองเดียวกัน เป็นการแสดงออกถึงการไม่ไว้วางใจและเป็นการพิสูจน์หรือทดลองพระองค์ เราต้องไม่ทูลขอวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จตามพระคำหรือไม่ แต่เพราะพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงรักเรา แต่เพราะพระองค์ทรงรักเราแล้ว “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ฮีบรู 11 ข้อที่ 6 {DA 125.4}
แต่ความเชื่อไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับการทึกทักเอาเอง ผู้ที่มีความเชื่อแท้จริงเท่านั้นจะปลอดภัยจากการทึกทักเอาเอง เพราะการทึกทักเอาเองเป็นความเชื่อเทียมเท็จของซาตาน ความเชื่อยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าและผลิตผลแห่งการเชื่อฟัง การทึกทักเอาเองอ้างพระสัญญาของพระเจ้าเช่นกันแต่ใช้พระสัญญาตามแบบฉบับของซาตานคือเพื่อแก้ตัวให้กับการทำผิด ความเชื่อน่าจะนำบรรพบุรุษคู่แรกของเราวางใจในความรักของพระเจ้าและเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ การทึกทักคิดเอาเองนำมาซึ่งการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าโดยเชื่อเอาเองว่าความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจะช่วยพวกเขาจากผลของบาป การอ้างความเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์โดยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งความเมตตาไม่ใช่ความเชื่อ ความเชื่อแท้ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งพระสัญญาและการทรงนำของพระคัมภีร์ {DA 126.1}
บ่อยครั้งเมื่อซาตานล้มเหลวที่จะปลุกระดมให้ไม่ไว้วางใจ มันประสบความสำเร็จในการนำเราไปสู่การทึกทักเอาเอง หากมันนำเราไปสู่เส้นทางแห่งการทดลองที่ไม่จำเป็นได้แล้วมันก็มั่นใจว่าชัยชนะเป็นของมันแล้ว พระเจ้าทรงพิทักษ์รักษาทุกคนที่ดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งการเชื่อฟัง แต่การเดินออกไปจากเส้นทางนี้คือการเสี่ยงผจญภัยเข้าไปสู่อาณาบริเวณของซาตาน ที่นั่นเราจะหกล้มอย่างแน่นอน พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชื้อเชิญพวกเราว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ต้องถูกการทดลอง” มาระโก 14 ข้อที่ 38 การใคร่ครวญพระวจนะและอธิษฐานจะปกป้องเราไม่ให้วิ่งเข้าสู่เส้นทางแห่งภัยอันตรายโดยไม่มีการควบคุม และด้วยวิธีนี้เราจะหลุดพ้นจากความพ่ายแพ้มากมาย {DA 126.2}
ถึงกระนั้นเมื่อการทดลองโหมกระหน่ำลงมาเราต้องไม่สูญเสียกำลังใจ บ่อยครั้งเมื่อตกอยู่ในสภาวะความยากลำบาก เราจะสงสัยว่าพระวิญญาณของพระเจ้ายังทรงนำเราอยู่หรือไม่ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้นำพระเยซูเข้าไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อให้ซาตานทดลอง เมื่อพระเจ้าทรงนำเราเข้าไปสู่การทดสอบ พระองค์ทรงมีพระประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อเรา พระเยซูไม่ได้ทรงอวดอ้างพระสัญญาของพระเจ้าด้วยการเข้าหาการทดลองด้วยตัวเองหรือเป็นทุกข์โศกหมดหวังเมื่อตกอยู่ในการทดลอง เราก็ไม่ควรท้อถอยเช่นกัน “พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้” พระองค์ตรัสว่า “จงถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณแด่พระเจ้าและแก้บนของเจ้าต่อองค์ผู้สูงสุด และจงร้องทูลเราในวันยากลำบากเราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายเกียรติแก่เรา” 1 โครินธ์ 10 ข้อที่ 13; สดุดี 50 ข้อที่ 14, 15 {DA 126.3}
ในการทดลองครั้งที่สองพระเยซูทรงเป็นฝ่ายชนะ และบัดนี้ซาตานเปิดเผยให้เห็นธาตุแท้ของมัน แต่มันไม่ได้แสดงตนเป็นสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจที่มีเท้าแยกกีบและปีกของค้างคาว มันเป็นทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่แม้จะล้มลงแล้วก็ตามที มันยังอวดอ้างว่าตนเองเป็นหัวหน้าของกองกบฏและเป็นจ้าวแห่งโลกนี้ {DA 129.1}
ซาตานนำพระเยซูไปบนภูเขาสูง มันทำให้อาณาจักรของโลกพร้อมด้วยรัศมีเจิดจ้าของทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ทั้งหมดแล่นผ่านต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังเมืองแห่งวิหาร พระราชวังหินอ่อน พื้นนาอันอุดมและไร่องุ่นที่ออกผลอย่างหนาแน่น ร่องรอยของความชั่วถูกปิดซ่อนไว้ พระเนตรของพระเยซูเผชิญกับความเศร้าหมองและความหายนะเมื่อไม่นานมานี้เองนั้น บัดนี้ทรงเพ่งมองทิวทัศน์อันงดงามและความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรที่เกินคำบรรยาย และแล้วเสียงของผู้ล่อลวงดังขึ้นว่า “อำนาจและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่าเราได้รับมอบสิทธิ์นี้ไว้แล้ว และเราปรารถนาจะให้ใครก็ได้ตามใจเรา ถ้าท่านกราบนมัสการเรา ทุกๆ สิ่งจะเป็นของท่าน” {DA 129.2}
พระราชกิจของพระเยซูสำเร็จได้โดยทางแห่งความทุกข์ยากเท่านั้น เบื้องหน้าของพระองค์เป็นชีวิตแห่งความเศร้าโศก ความยากลำบากและความขัดแย้ง และความตายอันน่าอับอายอัปยศอดสู พระองค์ทรงต้องแบกบาปของทั้งโลก พระองค์ทรงต้องทนต่อการแยกออกจากความรักของพระบิดาของพระองค์ บัดนี้ผู้ล่อลวงเสนอที่จะปล่อยวางอำนาจที่เขาฉกชิงมา พระคริสต์อาจช่วยตัวเองออกจากอนาคตอันน่าหวาดกลัวได้โดยยอมรับอำนาจสูงสุดของซาตาน แต่การทำเช่นนี้ก็คือยอมแพ้ต่อชัยชนะในสงครามยิ่งใหญ่ ซาตานทำบาปในสวรรค์ก็ด้วยความพยายามยกตนเองขึ้นเหนือพระบุตรของพระเจ้า บัดนี้ หากมันชนะ ก็จะเป็นชัยชนะของการกบฏ {DA 129.3}
เมื่อซาตานประกาศกับพระคริสต์ว่าอำนาจและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้ได้มอบสิทธิ์ไว้กับเราแล้ว และเราปรารถนาจะให้ใครก็ได้ตามใจเรานั้น เป็นคำพูดที่จริงแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น และมันประกาศเช่นนี้เพื่อเป้าหมายของการหลอกลวง ซาตานฉกชิงอำนาจการปกครองจากอาดัม แต่อาดัมเป็นผู้รักษาการแทนพระเจ้าพระผู้สร้าง ไม่ใช่เป็นนักปกครองอิสระ โลกเป็นของพระเจ้า และพระองค์ทรงมอบทุกสิ่งไว้ให้พระบุตรของพระองค์ อาดัมจะต้องครอบครองภายใต้พระคริสต์ เมื่ออาดัมทรยศต่ออำนาจของตนและยกอำนาจให้ซาตาน พระคริสต์ยังทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ด้วยประการฉะนี้พระยาห์เวห์ทรงเคยตรัสกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “พระองค์ผู้สูงสุดทรงปกครองบรรดาราชอาณาจักรของมนุษย์ และประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย และทรงตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุดให้ปกครอง” ดาเนียล 4 ข้อที่ 17 ซาตานแสดงอำนาจแห่งการแย่งชิงได้ตามที่พระเจ้าทรงอนุญาตเท่านั้น {DA 129.4}
เมื่อผู้ล่อลวงบอกว่าจะมอบอาณาจักรและศักดิ์ศรีของโลกให้แก่พระคริสต์ เขากำลังเสนอว่าให้พระคริสต์ยกตำแหน่งเจ้าของโลกที่แท้จริงและให้การปกครองอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ชาวยิวตั้งความหวังบนการปกครองเดียวกันนี้ พวกเขาหวังที่จะได้อาณาจักรของโลก หากพระคริสต์ยินยอมประทานอาณาจักรเช่นนี้แก่พวกเขา พวกเขาคงยินดีที่จะต้อนรับพระองค์ แต่การสาปแช่งของบาปพร้อมด้วยความระทมวิบัติทั้งหมดวางอยู่บนโลกนี้ พระคริสต์ตรัสบัญชาผู้ล่อลวงว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” {DA 130.1}
ผู้ที่ก่อการจลาจลในสวรรค์นำเสนอแผ่นดินโลกให้พระคริสต์เพื่อเป็นการซื้อความจงรักภักดีต่อหลักการของความชั่ว แต่พระองค์ไม่อาจซื้อกันได้ พระองค์เสด็จมาเพื่อจัดตั้งอาณาจักรแห่งความชอบธรรมและพระองค์ไม่ทรงละทิ้งเป้าหมายนี้ ซาตานใช้วิธีล่อลวงอันเดียวกันนี้เข้าจู่โจมมนุษย์และมันได้รับความสำเร็จในมนุษย์ได้ดีกว่าในพระคริสต์ มันเสนออาณาจักรของโลกนี้แก่มนุษย์ด้วยเงื่อนไขของการยอมรับความยิ่งใหญ่ของมัน มันกำหนดให้พวกเขาละทิ้งความซื่อตรง ละทิ้งความสำนึกผิดชอบ ฝักใฝ่อยู่กับการปล่อยตัวตามใจตนเองอย่างเห็นแก่ตัว พระคริสต์ทรงเรียกร้องให้พวกเขาแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมก่อน แต่ซาตานเดินอยู่เคียงข้างพวกเขาและบอกว่า อะไรก็ตามที่เป็นจริงอันเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ เพื่อที่จะได้มาซึ่งความสำเร็จในโลกนี้ เจ้าจะต้องปรนนิบัติเรา เรากำความเป็นอยู่ของเจ้าไว้ในมือของเรา เราให้ความร่ำรวย ความสนุกสนาน เกียรติยศและความสุขแก่เจ้าได้ จงฟังข้อเสนอแนะของเรา อย่าปล่อยตัวเคลิบเคลิ้มอยู่กับความคิดตามอำเภอใจของความซื่อสัตย์หรือการเสียสละ เราจะจัดเตรียมทางไว้อยู่ต่อหน้าเจ้า ด้วยวิธีนี้คนจำนวนมากถูกหลอก พวกเขายินยอมที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ปรนเปรอตนเองและซาตานก็พอใจ ในขณะที่มันล่อพวกเขาด้วยความหวังของการครอบครองฝ่ายโลก มันก็เข้าควบคุมจิตวิญญาณ แต่มันเสนอให้พวกเขาในสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของมันที่จะให้ได้และอีกไม่นานจะถูกฉกชิงไปจากมัน ในทางกลับกันมันหลอกล่อตบตาพวกเขาด้วยตำแหน่งเพื่อรับมรดกของการเป็นบุตรของพระเจ้า {DA 130.2}
ซาตานเคยตั้งข้อสงสัยว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือไม่ ในบทสรุปของการถูกขับออกไป มันมีหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ ความเป็นพระเจ้าฉายออกมาผ่านทางความทุกข์ทรมานของมนุษยชาติ ซาตานไม่มีอำนาจต่อต้านพระบัญชา ด้วยความละอายและความโกรธแค้น มันถูกบังคับให้ถอยไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ช่วยของโลก พระคริสต์ทรงได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกับที่อาดัมล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า {DA 130.3}
เช่นนี้แหละเราต้านการทดลองและบังคับซาตานให้ถอยไปจากเราได้ ชัยชนะของพระเยซูได้มาโดยการทรงยอมจำนนและมีความเชื่อในพระเจ้า และพระองค์ตรัสกับพวกเราผ่านทางอัครทูตว่า “จงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป พวกท่านจงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จเข้ามาใกล้ท่าน” ยากอบ 4 ข้อที่ 7, 8 เราช่วยตัวเองให้รอดจากอำนาจของผู้ล่อลวงไม่ได้ มันครอบงำมนุษยชาติมาแล้ว และเมื่อเราพยายามยืนขึ้นด้วยกำลังของเรา เราจะติดกับดักของมัน แต่ “พระนามของพระยาห์เวห์เป็นหอรบแข็งแกร่ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย” สุภาษิต 18 ข้อที่ 10 ซาตานจะสั่นสะท้านและหนีไปจากจิตวิญญาณอ่อนแอที่สุดที่เข้าลี้ภัยในพระนามยิ่งใหญ่ของพระเจ้า {DA 130.4}
หลังจากศัตรูจากไปแล้ว พระเยซูทรงล้มลงกับพื้นหมดเรี่ยวแรงไป พระพักตร์ซีดเผือดดั่งความตาย ทูตสวรรค์ที่คอยติดตามความขัดแย้งนั้นเฝ้ามองพระผู้บัญชาการสุดที่รักของพวกเขาตกอยู่ในความทุกข์ลำบากที่เกินคำบรรยายใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อเปิดทางแห่งความรอดให้แก่พวกเรา พระองค์ทรงทนต่อการทดสอบที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าการทดสอบใดๆ ที่พวกเราจะต้องทน บัดนี้ทูตสวรรค์เข้ามาปรนนิบัติพระบุตรของพระเจ้า ขณะที่พระองค์ทรงเอนพระวรกายลงอย่างผู้ที่ตายแล้ว พระองค์รับกำลังเพิ่มขึ้นจากอาหาร รับคำปลอบประโลมจากข่าวแห่งความรักของพระบิดาและรับคำมั่นว่าทั้งสวรรค์ชื่นชมกับชัยชนะของพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พระหทัยยิ่งใหญ่ของพระองค์วอนหามนุษย์ด้วยพระเมตตา และพระองค์ทรงก้าวออกไปเพื่อปฏิบัติพระราชกิจที่ทรงเริ่มต้นมานั้นให้สำเร็จ โดยไม่ทรงหยุดพักจนกว่าจะกำจัดศัตรูให้ราบคาบและกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ล้มลงในบาปให้ได้รับความรอด {DA 131.1}
เราจะไม่มีทางสำนึกรู้คุณถึงต้นทุนของการไถ่มนุษย์จนกว่าจะถึงวันนั้นเมื่อผู้ที่ได้รับการไถ่ให้รอดจะมายืนอยู่ร่วมกับพระผู้ไถ่อยู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้า จากนั้นเมื่อรัศมีภาพเจิดจ้าของบ้านอันนิรันดร์จะกระทบสู่สติสัมปชัญญะของเราแล้ว เราจึงจะคิดขึ้นมาได้ว่าพระเยซูทรงละทั้งหมดนี้ก็เพื่อเรา และพระองค์ไม่เพียงแต่ทรงถูกเนรเทศออกไปจากพระที่นั่งของสวรรค์แต่ยังเสี่ยงที่จะล้มเหลวและสูญเสียพระที่นั่งไปตลอดนิรันดร์ และแล้วเราจะถอดมงกุฎของเราออกวางลงแทบพระบาทของพระองค์และร้องขึ้นด้วยเสียงเพลงว่า “พระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์แล้วนั้นทรงสมควรได้รับฤทธานุภาพ ทรัพย์สมบัติ พระปัญญา พระกำลัง พระเกียรติ พระสิริ และคำสดุดี” วิวรณ์ 5 ข้อที่ 12 {DA 131.2}
***********