บทที่ 14
“เราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว”
อ้างอิงจาก ยอห์น 1 ข้อที่ 19-51
บัดนี้ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเทศนาและให้บัพติศมาที่หมู่บ้านเบธานีไกลออกไปอีกฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน ไม่ไกลจากตรงจุดนี้พระเจ้าทรงให้แม่น้ำหยุดไหลจนกระทั่งชนชาติอิสราเอลเดินผ่านไปได้หมด ห่างจากจุดนี้ไปเล็กน้อย ป้อมปราการที่แข็งแกร่งของเมืองเยรีโคถูกกองทัพแห่งฟ้าสวรรค์พังทลายไป ในเวลานี้ ความทรงจำของเรื่องเหล่านี้ถูกรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้งจนสร้างความตื่นเต้นต่อข่าวสารของผู้ให้บัพติศมา พระองค์ผู้ทรงปฏิบัติกิจอันมหัศจรรย์ในอดีตจะไม่ทรงสำแดงอำนาจของพระองค์เพื่อช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลอีกหรือ? ความคิดเช่นนี้ก่อความตื่นเต้นขึ้นในใจของประชาชนที่เข้ามาล้อมอยู่ ณ สองฝั่งของแม่น้ำจอร์แดนทุกวัน {DA 132.1}
คำเทศนาของยอห์นตราตรึงประชาชนระดับประเทศไว้จนเป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจทางศาสนาต้องเข้ามาจับตามอง ภัยของการจลาจลเป็นเหตุให้ชาวโรมันถือว่าการชุมนุมทุกครั้งทำให้ชาวโรมันต้องจับตามองด้วยความสงสัย และเรื่องใดก็ตามที่ส่อให้เห็นว่าเป็นการปลุกระดมประชาชนจะทำให้ผู้ปกครองชาวยิวตกอยู่ในความหวาดกลัว ยอห์นไม่ได้ให้ความสำคัญต่ออำนาจของสภาซันเฮดรินด้วยการขออนุมัติการทำงานของเขาและเขาตำหนิพวกผู้ปกครองและประชาชน รวมทั้งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีด้วยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น ประชาชนคอยติดตามเขาด้วยใจจดใจจ่อ ดูเสมือนว่าความสนใจในการทำงานของยอห์นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ายอห์นไม่ได้คล้อยตามสภาซันเฮดริน แต่พวกสภายังถือว่าเนื่องจากยอห์นเป็นอาจารย์สอนประชาชนในที่สาธารณะ ยอห์นต้องอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของพวกเขา {DA 132.2}
สภาซันเฮดรินประกอบด้วยสมาชิกที่เลือกมาจากปุโรหิตและหัวหน้านักการปกครองและครูของบ้านเมือง มหาปุโรหิตมักเป็นประธาน สมาชิกสภาทุกคนเป็นผู้มีวัยวุฒิสูง แม้จะไม่ถึงขั้นชราภาพ เป็นผู้มีความรู้สูง ซึ่งไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในเรื่องศาสนาและประวัติศาสตร์ของชาวยิวแล้ว พวกเขายังรู้เรื่องทั่วไปด้วย พวกเขาต้องไม่พิการทางกายและต้องเป็นชายที่แต่งงานแล้วและเป็นพ่อเพื่อที่จะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจและมีความเมตตาได้ดีกว่าผู้อื่น พวกเขาประชุมกันในห้องหนึ่งที่ติดกับพระวิหารของกรุงเยรูซาเล็ม ในสมัยที่ชาวยิวมีอิสรภาพ สภาซันเฮดรินเป็นศาลสูงของประเทศ มีอำนาจฝ่ายการปกครองรวมทั้งอำนาจทางฝ่ายศาสนาด้วย ถึงแม้บัดนี้สภาจะอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันแล้วก็ตาม แต่สภานี้ก็ยังคงมีอำนาจของอิทธิพลอย่างสูงในทางการปกครองรวมทั้งในเรื่องทางศาสนาด้วย {DA 133.1}
สภาซันเฮดรินรอช้าต่อไปอีกไม่ได้ที่จะสอบสวนเรื่องของการทำงานของยอห์น ยังมีคนจำการทรงเปิดเผยที่ประทานให้กับเศคาริยาห์ในวิหารและคำพยากรณ์ของผู้เป็นพ่อที่เน้นว่าบุตรชายของเขาจะเป็นผู้ประกาศเรื่องของพระเมสสิยาห์ จากความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลาสามสิบปีที่ผ่านไป พวกเขาแทบจะลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว บัดนี้พวกเขากลับหวนคิดถึงพันธกิจการรับใช้ของยอห์นขึ้นมาอีกครั้ง {DA 133.2}
เนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่สมัยที่ชนชาติอิสราเอลมีผู้เผยพระวจนะ เนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่สมัยที่มีการปฏิรูปเหมือนเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ดูเสมือนว่าการเรียกร้องให้สารภาพบาปเป็นเรื่องใหม่และน่าตื่นตระหนกตกใจกลัว มีคนจำนวนมากในกลุ่มผู้นำไม่ยอมออกไปฟังคำเรียกร้องและการตำหนิบาปของยอห์นด้วยกลัวว่าความลับในชีวิตจะถูกเปิดเผย แต่กระนั้น ยอห์นเทศนาประกาศถึงเรื่องพระเมสสิยาห์โดยตรง เป็นที่ทราบกันว่าคำพยากรณ์เรื่องเจ็ดสิบสัปดาห์ของดาเนียลซึ่งครอบคลุมเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์นั้นกำลังจะสำเร็จและทุกคนกระตือรือร้นหวังที่จะมีส่วนร่วมในยุคแห่งความยิ่งใหญ่ของประชาชาติที่คาดว่ากำลังจะมาถึง ความตื่นเต้นของประชาชนเช่นนี้ที่สภาซันเฮดรินจะต้องยอมรับหรือปฏิเสธงานของยอห์น บัดนี้อำนาจของสภาซันเฮดรินที่มีเหนือประชาชนกำลังเสื่อมถอยลง กลายเป็นปัญหาสาหัสว่าพวกเขาจะคงรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้อย่างไร ด้วยความหวังที่จะได้ข้อสรุปบางอย่าง พวกเขาจึงจัดส่งตัวแทนของปุโรหิตและคนเลวีไปยังชายฝั่งแม่น้ำจอร์แดนเพื่อหารือกับครูคนใหม่ท่านนี้ {DA 133.3}
เมื่อกลุ่มผู้แทนเดินทางมาถึง มีฝูงชนกลุ่มใหญ๋รวมตัวกันฟังยอห์นอยู่ พวกธรรมาจารย์โอหังมาถึงด้วยท่าทางที่เปี่ยมด้วยอำนาจเพื่อให้ประชาชนประทับใจและให้ผู้เผยพระวจนะยำเกรง เมื่อฝูงชนเห็นพวกเขามาจึงหลีกทางด้วยความเคารพแทบจะระคนกับความกลัว ให้พวกเขาเดินผ่านไป บุคคลผู้มีอำนาจที่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงและด้วยความผยองในตำแหน่งและอำนาจของตนได้มายืนอยู่ต่อหน้าผู้เผยพระวจนะในถิ่นทุรกันดาร {DA 133.4}
“ท่านคือใคร?” พวกเขาทวงถาม {DA 134.1}
ยอห์นทราบดีว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” {DA 134.2}
“ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?”
“ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์”
“ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะนั้นหรือ?” {DA 134.5}
“ไม่ใช่” {DA 134.6}
“แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมา จะได้ไปบอกคนที่ใช้เรามา ท่านจะตอบเรื่องตัวท่านว่าอย่างไร?” {DA 134.7}
“เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า‘จงทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้” {DA 134.8}
ข้อพระคัมภีร์ที่ยอห์นอ้างถึงนั้นเป็นคำพยากรณ์อันงดงามของอิสยาห์ “จงชูใจ จงชูใจประชากรของเรา จงพูดกับเยรูซาเล็มอย่างเห็นใจและจงบอกเมืองนั้นว่า‘ความลำบากของเธอสิ้นสุดลงแล้วและบาปของเธอได้รับการอภัยแล้ว’. . . .เสียงหนึ่งร้องว่า ‘จงเตรียมมรรคาของพระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดาร จงทำทางหลวงในที่ราบแห้งแล้งให้ตรงสำหรับพระเจ้าของเรา หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมสูงขึ้น ภูเขาและเนินเขาทุกลูกจะปรับให้ต่ำลง ที่ลุ่มๆ ดอนๆ จะทำให้เสมอ และที่สูงๆ ต่ำๆ จะให้ราบเรียบ และพระสิริของพระยาห์เวห์จะปรากฏ แล้วมนุษย์ทุกคนจะมองเห็นด้วยกันเพราะพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว’” อิสยาห์ 40 ข้อที่ 1-5 {DA 134.9}
ในสมัยโบราณ เมื่อกษัตริย์เดินทางผ่านอาณาบริเวณในส่วนของอาณาจักรที่ไม่ได้ไปบ่อยนัก จะส่งคนกลุ่มหนึ่งให้เดินทางนำหน้ารถม้าหลวงเพื่อปรับทางสูงชันให้ราบและถมหลุมบ่อให้เต็ม เพื่อให้กษัตริย์เดินทางด้วยความปลอดภัยและปราศจากอุปสรรค ผู้เผยพระวจนะใช้กิจวัตรนี้อธิบายเรื่องพระราชกิจของกิตติคุณข่าวประเสริฐ “หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมสูงขึ้น ภูเขาและเนินเขาทุกลูกจะปรับให้ต่ำลง” เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสัมผัสจิตวิญญาณด้วยอำนาจมหัศจรรย์แห่งการปลุกให้ตื่น ความหยิ่งยโสของมนุษย์ก็จะถูกลดทอนลง ความสุข ตำแหน่งและอำนาจทางโลกล้วนมองว่าไร้ค่า “และความเย่อหยิ่งทุกรูปแบบที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า" จะถูกทำลายไป “และจะยึดกุมความคิดทุกประการให้มาเชื่อฟังพระคริสต์” 2 โครินธ์ 10 ข้อที่ 5 และแล้วความถ่อมตนและความรักที่เสียสละฝ่ายตนซึ่งมีค่าน้อยมากท่ามกลางมนุษย์นั้นจะได้รับการยกชูว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเพียงอย่างเดียว นี่คือผลงานของพระกิตติคุณซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสารของยอห์น {DA 135.1}
พวกธรรมาจารยืถามยอห์นต่อไปว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์หรือเอลียาห์ หรือผู้เผยพระวจนะคนนั้นแล้ว ทำไมท่านถึงให้บัพติศมา” คำว่า “ผู้เผยพระวจนะคนนั้น” หมายถึงโมเสส ชาวยิวมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าโมเสสจะเป็นขึ้นจากความตายและรับไปสวรรค์ แต่พวกเขาไม่ทราบว่าโมเสสเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เมื่อผู้ให้บัพติศมาเริ่มประกาศ หลายคนคิดว่าเขาน่าจะเป็นโมเสสผู้เผยพระวจนะที่เป็นขึ้นจากความตายเพราะดูเสมือนหนึ่งว่าเขามีความรู้เรื่องคำพยากรณ์และประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลอย่างถ่องแท้ {DA 135.2}
พวกเขาก็เชื่อด้วยเช่นกันว่าก่อนพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา เอลียาห์เองจะมาปรากฏ ยอห์นตอบปฏิเสธความคาดหวังนี้ แต่คำตอบของเขามีความหมายที่ลึกซึ้งกว่า ต่อมาภายหลังพระเยซูตรัสถึงยอห์นว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับยอห์นผู้นี้แหละ คือเอลียาห์ที่จะมานั้น” มัทธิว 11 ข้อที่ 14 ยอห์นมาด้วยวิญญาณและอำนาจของเอลียาห์ เพื่อทำงานเหมือนเช่นที่เอลียาห์เคยทำมาแล้ว หากชาวยิวต้อนรับยอห์น ผลงานของยอห์นก็จะมีผลต่อชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ยอมรับข่าวสารของยอห์น ยอห์นไม่ใช่เอลียาห์สำหรับพวกเขา ยอห์นไม่อาจกระทำให้ภาระที่เขาได้รับมาเกิดผลสำเร็จให้กับชาวยิว {DA 135.3}
ในบรรดาคนที่มาชุมนุมกันริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนครั้งนั้น มีหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อพระเยซูรับบัพติศมา แต่หมายสำคัญที่ทรงโปรดเปิดเผยนั้นมีคนเห็นเพียงไม่กี่คน ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้คนมากมายปฏิเสธที่จะสนองต่อคำเรียกร้องของผู้ให้บัพติศมาให้กลับใจ ด้วยเหตุนี้หัวใจของพวกเขาจึงแข็งกระด้างและการหยั่งรู้จึงมืดมนไป เมื่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเป็นพยานถึงพระเยซูเมื่อพระองค์รับบัพติศมา พวกเขาจึงไม่เข้าใจ สายตาที่ไม่เคยหันด้วยความเชื่อไปยังพระองค์ที่ตาเปล่ามองไม่เห็นนั้นจะมองไม่เห็นการเปิดเผยพระสิริของพระเจ้า หูที่ไม่เคยเปิดเพื่อรับฟังพระสุรเสียงของพระองค์จะไม่ได้ยินเสียงของคำพยาน ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน บ่อยครั้งพระคริสต์และทูตสวรรค์ผู้ปรนนิบัติรับใช้ร่วมสถิตอยู่กับประชากรในที่ชุมนุมชนของประชาชน และกระนั้นยังมีคนอีกมากมายที่ไม่เข้าใจ พวกเขามองไม่เห็นถึงความผิดปกติอันใด แต่สำหรับบางคนได้รับการทรงเปิดเผยถึงการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระผู้ช่วยให้รอด สันติสุขและความสุขดลบันดาลใจของพวกเขา พวกเขาได้รับความปลอบประโลมใจ การหนุนใจและรับพระพร {DA 136.1}
ตัวแทนจากรุงเยรูซาเล็มถามยอห์นต่อว่า “ทำไมท่านถึงให้บัพติศมา?” และพวกเขารอฟังคำตอบอยู่ ในทันใดนั้นยอห์นชำเลืองมองไปยังฝูงชน ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ใบหน้าของเขาสว่างเจิดจ้าขึ้น ทั้งตัวของเขาถูกปลุกด้วยอารมณ์ที่สุดซาบซึ้ง เขาชูแขนและพูดด้วยเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่านที่ท่านไม่รู้จัก ท่านผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้’” ยอห์น 1 ข้อที่ 26, 27 {DA 136.2}
ข่าวสารนี้ชัดเจนและเฉียบขาด เป็นข่าวที่ผู้แทนเหล่านี้จะนำกลับไปรายงานต่อสภาซันเฮดรินได้ คำพูดของยอห์นหมายถึงผู้อื่นใดไม่ได้นอกจากพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เนิ่นนานมาแล้ว พระเมสสิยาห์ประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว! ด้วยความพิศวงประหลาดใจ พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองต่างเหลียวมองรอบตัวเองเพื่อหวังที่จะพบพระองค์ที่ยอห์นกล่าวถึง แต่พวกเขาแยกแยะพระองค์ออกมาจากท่ามกลางฝูงชนไม่ได้ {DA 136.3}
ในขณะที่พระเยซูรับบัพติศมานั้น ยอห์นได้ชี้ไปยังพระองค์ว่าทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า เป็นแสงใหม่หนึ่งที่ส่องมายังพระราชกิจของพระเมสสิยาห์ ความคิดของผู้เผยพระวจนะได้มุ่งหันตรงไปยังถ้อยคำของพระธรรมอิสยาห์ที่ว่า “เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า” อิสยาห์ 53 ข้อที่ 7 ในเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา ยอห์นศึกษาคำพยากรณ์และคำสอนเรื่องพิธีกรรมของการถวายบูชาด้วยความสนใจใหม่ เขาแยกพระราชกิจสองส่วนของพระคริสต์ออกอย่างชัดแจ้งไม่ได้ นั่นคือ เครื่องถวายบูชาที่ทุกข์ระทมและพระราชาผู้ทรงขึ้นครอง แต่เขามองเห็นว่าการเสด็จมาของพระองค์นั้นมีความสำคัญที่ลึกซึ้งกว่าที่พวกปุโรหิตหรือประชาชนเข้าใจมาแล้ว เมื่อเขาเห็นพระเยซูประทับอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับจากถิ่นทุรกันดารแล้ว เขาได้มองไปยังพระองค์ด้วยความมั่นใจเพื่อหาหมายสำคัญบางอย่างในพระลักษณะนิสัยที่แท้จริงของพระองค์เพื่อนำมาให้แก่ประชาชน ด้วยความร้อนใจเขาคอยให้พระผู้ช่วยให้รอดเปิดเผยพันธกิจของพระองค์ แต่ไม่มีพระดำรัสหรือหมายสำคัญใดที่พระองค์ทรงเปิดเผย พระเยซูไม่ได้ตอบสนองคำประกาศของผู้ให้บัพติศมา แต่ยังคงประทับอยู่ท่ามกลางสาวกทั้งหลายของยอห์น โดยไม่ทรงสำแดงหลักฐานใดเกี่ยวกับพระราชกิจพิเศษของพระองค์และไม่ทรงกระทำการใดๆ เพื่อยกชูพระองค์เองขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง {DA 136.4}
ในวันต่อมา เมื่อยอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมา พระรัศมีภาพของพระเจ้าสวมทับอยู่บนพระองค์ ผู้เผยพระวจนะชูมือขึ้นประกาศว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จมา. . . .ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่อิสราเอล ข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ. . . .ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบ และสถิตกับพระองค์ ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า’” ยอห์น 1 ข้อที่ 29-34 {DA 137.1}
ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์หรือ? ด้วยความเกรงขามและอัศจรรย์ใจ ฝูงชนต่างมองไปยังพระองค์ท่านนั้นที่เมื่อสักครู่นี้ได้รับการประกาศว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า คำพูดของยอห์นทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง ยอห์นพูดกับพวกเขาในพระนามของพระเจ้า วันแล้ววันเล่าในขณะที่พวกเขาฟังยอห์นตำหนิบาปของพวกเขาและก็มั่นใจเพิ่มขึ้นทุกวันว่าพระเจ้าแห่งสวรรค์ส่งเขามา แต่พระผู้ทรงเป็นใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาท่านนี้เป็นผู้ใดเล่า? ไม่มีส่วนใดของอาภรณ์และการวางท่าทางของพระองค์ที่จะแสดงว่าทรงฐานันดรสูงศักดิ์ ดูจากสภาพภายนอกแล้วพระองค์ทรงเป็นเพียงบุคคลธรรมดา สวมใส่เสื้อผ้าอันต่ำต้อยของคนยากจนเหมือนพวกเขา {DA 137.2}
เมื่อพระคริสต์รับบัพติศมา มีบางคนในท่ามกลางฝูงชนเห็นพระสิริและได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ แต่ทว่าตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาพระลักษณะของพระผู้ช่วยเปลี่ยนไปมาก ในขณะที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา พวกเขาเห็นพระพักตร์ของพระองค์เปล่งประกายด้วยรัศมีภาพของสวรรค์ บัดนี้ ซีดเซียว อิดโรย และซูบผอม มีเพียงผู้เผยพระวจนะยอห์นเท่านั้นที่ยังคงจำพระองค์ได้ {DA 137.3}
แต่ขณะที่ประชาชนเฝ้ามองพระองค์ พวกเขามองเห็นพระพักตร์ที่ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาของพระเจ้าประสานเข้ากับอำนาจอันทรงพลังของจิตใจ ทุกการชำเลืองมอง ทุกลักษณะของสีพระพักตร์ของพระองค์สำแดงออกถึงความถ่อมตนและเผยให้เห็นถึงความรักที่เอ่ยออกมาเป็นวาจาไม่ได้ ดูประหนึ่งว่าพระองค์ทรงถูกล้อมด้วยบรรยากาศของการทรงดลบันดาลใจของพระวิญญาณ ในขณะที่อากัปกิริยาของพระองค์อ่อนสุภาพและทรงถ่อมอย่างไม่อวดดี พระองค์ทรงดลใจมนุษย์ด้วยความรู้สึกของพลังอำนาจที่ซ่อนไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปกปิดได้ทั้งหมด นี่หรือพระเป็นเจ้าที่ชนชาติอิสราเอลรอคอยมาเนิ่นนานแล้ว? {DA 137.4}
พระเยซูเสด็จมาในสภาพยากจนและถ่อมตนเพื่อทรงเป็นทั้งแบบอย่างและพระผู้ไถ่ของเรา หากพระองค์ทรงปรากฏตัวในสภาพความหรูหราอย่างพระราชา พระอง์จะทรงสอนเรื่องของการถ่อมตนได้อย่างไร? พระองค์ทรงนำเสนอความจริงอันเฉียบแหลมดั่งคำเทศนาบนภูเขาได้อย่างไร? หากพระเยซูเสด็จมาและอยู่อย่างพระราชาท่ามกลางมนุษย์ความหวังของคนที่มีชีวิตอันต่ำต้อยจะอยู่ที่ไหน? {DA 138.1}
แต่สำหรับฝูงชนแล้ว ดูเสมือนหนึ่งว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์ผู้ที่ยอห์นชี้ไปนั้นจะตรงตามความคาดหวังอันสูงส่งของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ หลายคนผิดหวังและงุนงงสับสนมากยิ่งขึ้น {DA 138.2}
คำพูดที่พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์หวังอยากได้ยินในเวลานี้ที่ว่าพระเยซูจะมานำอาณาจักรของชนชาติอิสราเอลกลับคืนมานั้นพวกเขายังไม่ได้ยินพระเยซูตรัสเลย พวกเขารอและเฝ้าคอยกษัตริย์ที่ทรงมีพระลักษณะเช่นนี้ กษัตริย์ลักษณะนี้ที่พวกเขาพร้อมจะต้อนรับ แต่พระองค์ผู้ทรงแสวงหาทางที่จะจัดตั้งอาณาจักรแห่งความชอบธรรมและสันติสุขในดวงใจของพวกเขานั้น พวกเขาไม่ต้อนรับ {DA 138.3}
วันต่อมาในขณะที่มีสาวกสองคนยืนอยู่เคียงข้างยอห์นนั้น ยอห์นเห็นพระเยซูท่ามกลางฝูงชน อีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าของผู้เผยพระวจนะเจิดจ้าขึ้นด้วยรัศมีภาพของพระเจ้าที่ดวงตามนุษย์มองไม่เห็น และเมื่อยอห์นร้องขึ้นว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” คำพูดนี้ทำให้ใจของสาวกตื่นเต้นด้วยความยินดี พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด พระนาม พระเมษโปดกของพระเจ้า เป็นพระนามที่ยอห์นใช้เรียกพระองค์นั้นหมายความว่าอะไร ยอห์นเองไม่ได้อธิบาย {DA 138.4}
พวกเขาจึงเดินจากยอห์นมุ่งหน้าไปหาพระเยซู หนึ่งในสองคนนั้นคืออันดรูว์ น้องชายของซีโมน และอีกคนหนึ่งคือยอห์นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ทั้งสองนี้เป็นสาวกสองคนแรกของพระเยซู เขาทั้งสองได้รับการทรงดลบันดาลใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงติดตามพระเยซู ใจจดจ่อของพวกเขาร้อนรนที่จะทูลพระองค์ แต่กระนั้นกลัวเกรงและนิ่งเงียบไป พวกเขามัวแต่ครุ่นคิดถึงประเด็นยิ่งใหญ่อันสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อที่ว่า “ท่านผู้นี้คือพระเมสสิยาห์หรือ?” {DA 138.5}
พระเยซูทรงทราบว่าสาวกทั้งสองกำลังติดตามพระองค์อยู่ พวกเขาเป็นผลแรกของพันธกิจของพระองค์ และในพระหทัยของพระอาจารย์ทรงมีความสุขขณะที่จิตวิญญาณเหล่านี้ตอบสนองพระคุณของพระองค์ แต่เมื่อทรงหันหลังมาเพียงถามว่า “ท่านหาอะไร?” พระองค์ทรงให้พวกเขาเลือกได้อย่างอิสระว่าจะหันกลับไปหรือทูลความต้องการภายในใจออกมา {DA 138.6}
พวกเขาตระหนักได้แต่ความมุ่งหวังเดียว มีพระเยซูเท่านั้นที่อยู่ในความคิด พวกเขาอุทานขึ้นมาว่า “รับบี. . . .ท่านพักอยู่ที่ไหน?” การสนทนาสั้นๆ ริมทาง ให้สิ่งที่พวกเขาปรารถนาทั้งหมดไม่ได้ พวกเขาต้องการอยู่กับพระเยซูตามลำพัง มีความประสงค์นั่งแทบพระบาทและฟังพระดำรัสของพระองค์ {DA 138.7}
“‘มาดูเถิด’ เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับและวันนั้นก็พักอยู่กับพระองค์” {DA 139.1}
หากยอห์นและอันดรูว์มีใจที่ไม่เชื่อเหมือนพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองแล้ว พวกเขาก็คงไม่ได้เป็นนักเรียนนั่งอยู่แทบพระบาทของพระเยซู พวกเขาคงเข้าเฝ้าพระเยซูในฐานะนักวิจารณ์ ประณามพระดำรัสของพระองค์ คนมากมายปิดประตูให้กับโอกาสอันประเสริฐที่สุด แต่สาวกชุดแรกไม่ได้ทำเช่นนี้ พวกเขาสนองตอบการทรงเรียกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในคำเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา บัดนี้พวกเขายอมรับพระสุรเสียงของพระอาจารย์แห่งฟ้าสวรรค์ สำหรับพวกเขาแล้วพระสุรเสียงของพระเยซูอุดมด้วยความสดใหม่และความจริงและความงดงาม แสงของพระเจ้าส่องสว่างลงมายังคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ความจริงและข้อคิดในทุกแง่มุมโดดเด่นขึ้นในแสงใหม่นี้ {DA 139.2}
ความถ่อมตนและความเชื่อและความรักที่ทำให้จิตวิญญาณรับปัญญาจากสวรรค์ ความเชื่อที่ประกอบกิจด้วยความรักเป็นกุญแจไขเข้าสู่ความรู้ และทุกคนที่รักจะ “รู้จักพระเจ้า” 1 ยอห์น 4 ข้อที่ 7 {DA 139.3}
อัครสาวกยอห์นเป็นคนที่มีความรัก จริงใจและรักอย่างสุดซึ้ง กระตือรือร้น แต่ไคร่ครวญอย่างรอบคอบ เขาเริ่มเข้าใจพระสิริของพระคริสต์ได้ชัดเจนขึ้นคือไม่ใช่รัศมีภาพอย่างหรูหราและมีอำนาจทางฝ่ายโลกตามที่เขาได้รับการสั่งสอนให้ตั้งความหวังไว้ แต่ “พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” ยอห์น 1 ข้อที่ 14 เขาจดจ่ออยู่กับการใคร่ครวญถึงใจความสำคัญอันน่าอัศจรรย์ใจนี้ {DA 139.4}
อันดรูว์ต้องการแบ่งปันความสุขที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจของเขา เขาจึงไปหาซีโมนพี่ชายและพูดว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” ซีโมนไม่ต้องรอการเรียกซ้ำ เขาเองก็เคยได้ยินยอห์นผู้ให้บัพติศมาเทศนา เขาจึงเร่งรีบไปหาพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงทอดพระเนตรมาทางเขา ทรงอ่านอุปนิสัยและประวัติชีวิตของเขา ธรรมชาติหุนหันพลันแล่น หัวใจเปี่ยมล้นด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจ ความทะเยอทะยานและความมั่นใจในตนเอง ประวัติศาสตร์ของการล้มลง การกลับใจ การทำงานรับใช้และการยอมพลีชีพเพื่อพระองค์ ทั้งหมดนี้พระผู้ช่วยให้รอดทรงอ่านออกและพระองค์ตรัสว่า “‘ท่านคือซีโมนบุตรยอห์น คนจะเรียกท่านว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา)’” {DA 139.5}
“รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า ‘จงตามเรามา’” ฟีลิปปฏิบัติตามพระบัญชาและเข้าร่วมเป็นสาวกของพระคริสต์ทันที {DA 139.6}
ฟีลิปไปเรียกนาธานาเอล ผู้ซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนเมื่อผู้ให้บัพติศมาเน้นบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ในขณะที่นาธานาเอลเฝ้ามองพระเยซูอยู่นั้น เขาผิดหวัง บุคคลผู้นี้ที่มีลักษณะของการตรากตรำทำงานหนักและยากจนจะเป็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร? แต่ถึงกระนั้นนาธานาเอลก็ตัดสินใจละทิ้งพระเยซูไปไม่ได้ เพราะข่าวสารของยอห์นนำความมั่นใจมาให้แก่เขาแล้ว {DA 139.7}
ในขณะที่ฟีลิปไปเรียกนาธานาเอลนั้น นาธานาเอลหลบเข้าไปอยู่ในหมู่ไม้เงียบสงบเพื่อใคร่ครวญพิจารณาถึงคำประกาศของยอห์นและคำพยากรณ์เรื่องพระเมสสิยาห์ เขาอธิษฐานว่า หากผู้ที่ยอห์นประกาศถึงนั้นเป็นพระผู้ช่วยแล้ว ขอทรงเปิดเผยให้เขาทราบด้วยและพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสวมทับเขาด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าเสด็จมายังประชากรของพระองค์แล้วและทรงให้เขาสัตว์แห่งความรอดเกิดมาเพื่อเขาทั้งหลาย ฟีลิปทราบว่าเพื่อนของเขากำลังศึกษาค้นคว้าคำพยากรณ์อยู่และในขณะที่นาธานาเอลอธิษฐานอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ ฟีลิปมาพบที่หลบซ่อนของเขา พวกเขาอธิษฐานด้วยกันอยู่เสมอในที่เงียบสงบซ่อนอยู่ใต้ร่มไม้· {DA 140.1}
ข่าวสารที่ว่า “เราพบคนที่โมเสสกล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และคนที่พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวถึง” นั้นดูเสมือนหนึ่งว่าตรงตามคำอธิษฐานของนาธานาเอล แต่ฟีลิปยังมีความเชื่อที่สั่นคลอนอยู่ เขาเสริมด้วยความสงสัยว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” อีกครั้งอคติเกิดขึ้นในใจของนาธานาเอล เขาอุทานขึ้นมาว่า “สิ่งดีๆ จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ?” {DA 140.2}
ฟีลิปไม่ได้เข้าไปร่วมในความขัดแย้ง เขาพูดว่า “’มาดูเถอะ’” พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสเกี่ยวกับตัวเขาว่า ‘นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย’” ด้วยความประหลาดใจนาธานาเอลอุทานขึ้นว่า “’ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร?’” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ‘เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน’” {DA 140.3}
แค่นี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงสำแดงตนเป็นพยานให้นาธานาเอลเห็นในขณะที่เขาอธิษฐานอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น บัดนี้ตรัสกับเขาผ่านพระดำรัสของพระเยซู ถึงแม้เขาจะสงสัยและมีอคติบ้างก็ตามที แต่นาธานาเอลก็เข้ามาเฝ้าพระคริสต์แล้วด้วยความปรารถนาจริงใจที่จะแสวงหาความจริง และบัดนี้เขาได้รับตามความปรารถนาแล้ว ความเชื่อของเขาไปไกลกว่าความเชื่อของผู้ที่พาเขามาเฝ้าพระเยซู เขาทูลพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” {DA 140.4}
หากนาธานาเอลไว้วางใจให้รับบีนำทางแล้ว เขาคงไม่มีทางพบพระเยซู เขามาเป็นสาวกคนหนึ่งด้วยการพินิจพิจารณาและตัดสินด้วยตัวเขาเอง ในปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ด้วยที่หลายคนถูกอคติครอบงำจนทำให้ไม่ได้รับสิ่งที่ดี หากพวกเขาเพียงยินยอมที่จะ “มาดูเถอะ” พวกเขาก็จะได้ผลที่แตกต่างมากกว่านี้เพียงไร {DA 140.5}
ไม่มีผู้ใดเข้าถึงความรู้แห่งความจริงของการช่วยให้รอดได้ในขณะที่วางใจในการชี้แนะของอำนาจทางฝ่ายโลก พวกเราจะต้องศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเราเอง และอธิษฐานเผื่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเช่นนาธานาเอล พระผู้ทรงทอดพระเนตรนาธานาเอลที่ใต้ต้นมะเดื่อจะทรงทอดพระเนตรเห็นพวกเราอธิษฐานในที่ลี้ลับ ทูตสวรรค์จากโลกแห่งความสว่าง จะเสด็จเข้ามาใกล้ผู้ที่แสวงหาการทรงนำของพระเจ้าด้วยความถ่อมตน {DA 141.1}
ด้วยการทรงเรียกยอห์นและอันดรูว์ และซีโมน ฟีลิปและนาธานาเอล รากฐานของคริสตจักรได้เริ่มก่อตั้งขึ้นแล้ว ยอห์นนำพาสาวกสองคนมาหาพระคริสต์ แล้วคนหนึ่งในนั้นคืออันดรูว์ไปหาพี่ชายและเชิญให้มาเข้าเฝ้าพระผู้ช่วยให้รอด ต่อมาฟีลิปก็ได้รับการทรงเรียกและเขาไปตามหานาธานาเอล แบบอย่างเหล่านี้ควรสอนให้เราในเรื่องความสำคัญของการลงแรงส่วนบุคคล เพื่อเชิญชวนญาติสนิท มิตรสหายและเพื่อนบ้าน ยังมีผู้ที่อ้างว่าตนเป็นผู้คุ้นเคยกับพระคริสต์มาตลอดชีวิตแต่ถึงกระนั้นไม่เคยลงแรงเป็นการส่วนตัวเพื่อนำพาจิตวิญญาณแม้สักดวงหนึ่งดวงใดให้มาหาพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาปล่อยภาระทั้งหมดนี้ไว้กับศาสนาจารย์ ศาสนาจารย์อาจมีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับงานนี้ แต่เขาไม่อาจทำงานที่พระเจ้าทรงจัดให้สมาชิกทำ {DA 141.2}
มีคนมากมายที่ต้องการการปรนนิบัติด้วยใจรักของคริสเตียน มีคนมากมายดิ่งลงสู่ความพินาศ พวกเขาน่าจะได้รับความรอดหากเพื่อนบ้านที่เป็นชายและหญิงธรรมดาทั่วไปเพียงแต่ลงแรงทำงานรับใช้พวกเขา หลายคนกำลังรอคอยให้คนมาหาเป็นการส่วนตัว ในครอบครัว ในละแวกเพื่อนบ้านและในเมืองที่เราอาศัยอยู่ มีงานคอยให้เราทำในฐานะผู้รับใช้ของพระคริสต์ หากเราเป็นคริสเตียน ภาระนี้จะเป็นงานที่เราชื่นชอบ ในทันทีที่ผู้หนึ่งกลับใจความปรารถนาที่จะประกาศให้ผู้อื่นทราบว่าเขาได้พบกับพระเยซูแล้วจะเกิดขึ้นในใจของเขา ความจริงแห่งการช่วยให้รอดและการชำระให้บริสุทธิ์จะถูกเก็บไว้ในใจของพวกเขาไม่ได้ {DA 141.3}
ทุกคนที่มอบถวายใจให้พระเจ้าแล้วจะเป็นชองทางแห่งความสว่าง พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นตัวแทนเพื่อส่งต่อความไพบูลย์แห่งพระคุณให้แกผู้อื่น พระสัญญาของพระองค์คือ ”เราจะทำให้พวกเขากับสถานที่รอบๆ เนินเขาของเราเป็นแหล่งพร เราจะส่งฝนลงมาตามฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพร” เอเสเคียล 34 ข้อที่ 26 {DA 141.4}
ฟีลิปพูดกับนาธานาเอลว่า “มาดูเถอะ” เขาไม่ได้ขอให้นาธานาเอลฟังคำพยานของผู้อื่น แต่ให้เขาไปเข้าเฝ้าพระคริสต์ด้วยตัวของเขาเอง บัดนี้พระเยซูเสด็จขึ้นไปสวรรค์แล้ว สาวกของพระองค์เป็นตัวแทนของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์และวิธีนำจิตวิญญาณกลับไปหาพระเจ้าที่เกิดผลที่สุดวิธีหนึ่งคือการให้พระเจ้าสำแดงพระลักษณะนิสัยของพระองค์ออกมาในชีวิตประจำวันของเรา อิทธิพลของเราที่มีต่อผู้อื่นขึ้นกับสิ่งที่เราพูดกับผู้อื่นไม่มากนัก มนุษย์อาจต่อต้านและโต้เหตุผลของเรา พวกเขาอาจต่อต้านขัดขวางคำอ้อนวอนของเรา แต่การดำรงชีวิตแห่งรักอย่างไม่เห็นแก่ได้นั้นจะโต้คำกล่าวหาได้หมด ชีวิตเสมอต้นเสมอปลายที่มีคุณลักษณะอ่อนน้อมในพระคริสต์เป็นพลังในโลก {DA 141.5}
ความเชื่อมั่นจากภายในและประสบการณ์จะแสดงคำสอนของพระคริสต์ออกเป็นคำพูด และผู้ที่เรียนจากพระองค์จะเป็นครูตามแบบฉบับของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าที่พูดจากปากของคนหนึ่งที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระวจนะนั้นแล้ว จะให้ชีวิตที่มีพลังอำนาจดึงดูดผู้ฟังและทำให้เขาสำนึกว่าเป็นความจริงที่มีชีวิต เมื่อใครคนหนึ่งรับความจริงเนื่องจากรักความจริงนั้น กิริยาท่าทางและน้ำเสียงของคำพูดก็จะแสดงออกให้เห็นถึงความรัก เขาจะเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบถึงเรื่องที่เขาเองได้ยิน ได้เห็นและได้สัมผัสในพระวจนะแห่งชีวิต เพื่อผู้อื่นจะสามัคคีธรรมร่วมกับเขาโดยการเรียนรู้พระคริสต์ คำพยานซึ่งออกมาจากริมฝีปากที่รับการเจิมด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นจากแท่นเผาบูชาจะเป็นพระวจนะแห่งความจริงให้กับหัวใจที่เปิดรับและประกอบกิจแห่งการชำระลักษณะอุปนิสัยให้บริสุทธิ์ได้ {DA 142.1}
และผู้ที่แสวงหาเพื่อนำแสงสว่างให้ผู้อื่นจะได้รับพระพรเอง “เป็นห่าฝนแห่งพระพร” “คนที่ให้น้ำคนอื่นย่อมได้น้ำตอบแทน” สุภาษิต 11 ข้อที่ 25 พระเจ้าทรงช่วยคนบาปให้รอดตามพระประสงค์ของพระองค์โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเราเลย แต่เพื่อให้เราพัฒนาลักษณะอุปนิสัยเหมือนเช่นพระคริสต์ เราจะต้องมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์ เพื่อเข้าสู่ความชื่นชนยินดีของพระองค์ คือความยินดีที่ได้เห็นจิตวิญญาณได้รับการไถ่โดยการยอมเสียสละของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องเข้าร่วมในการทำงานรับใช้เพื่อการไถ่ให้รอดของพวกเขา {DA 142.2}
การแสดงออกครั้งแรกถึงความเชื่อของนาธานาเอลซึ่งหนักแน่น และจริงจังและจริงใจนั้นได้ไปถึงพระกรรณของพระเยซูดั่งเสียงดนตรีอันไพเราะ และ “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ‘เพราะเราบอกท่านว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อท่านจึงเชื่อหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก’” พระผู้ช่วยทรงมองด้วยความชื่นชมไปยังการประกาศข่าวดีแก่ผู้ถ่อมใจ รักษาผู้ที่ฟกช้ำและประกาศอิสราภาพแก่ผู้ที่ถูกซาตานจองจำ เมื่อพระองค์ทรงคิดถึงพระพรที่ทรงโปรดนำมาให้แก่มนุษย์แล้วจึงตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์” {DA 142.3}
แท้จริงแล้วพระคริสต์ตรัสว่า ณ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนท้องฟ้าเปิดออกแล้วและพระวิญญาณสัณฐานนกพิราบเสด็จลงมายังพระองค์แล้ว ภาพนั้นเพียงแต่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า หากคุณเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแล้ว ความเชื่อของคุณจะได้รับการรับรอง คุณจะได้เห็นสวรรค์เปิดออกและจะไม่มีวันปิดไป พระองค์ทรงเปิดไว้ให้คุณแล้ว ทูตสวรรค์ของพระเจ้านำคำอธิษฐานของผู้ขัดสนและทุกข์ยากขึ้นไปยังพระบิดาเบื้องบนและนำพระพรและความหวัง กำลังใจ การทรงช่วยและชีวิตลงมาให้แก่บรรดาบุตรของมนุษย์ {DA 142.4}
ทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงไปมาระหว่างโลกกับสวรรค์อยู่เนืองนิจ การอัศจรรย์ของพระคริสต์ทรงกระทำด้วยอำนาจของพระเจ้าโดยผ่านการรับใช้ของทูตสวรรค์เพื่อผู้เจ็บป่วยและผู้ที่มีความทุกข์ระทม ทุกพระพรของพระเจ้ามาถึงเราโดยทางพระคริสต์ผ่านการรับใช้ของผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรารับธรรมชาติของมนุษย์ไว้เพื่อรวมผลประโยชน์ของพระองค์เข้ากับผลประโยชน์ของบุตรชายหญิงของอาดัมที่ล้มลงในบาป โดยความเป็นพระเจ้าทรงคว้าพระบัลลังก์ของพระองค์ไว้ และด้วยเหตุฉะนี้ พระคริสต์ทรงเป็นสื่อกลางของการสื่อสารของมนุษย์กับพระเจ้าและของพระเจ้ากับมนุษย์ {DA 143.1}
***************