บทที่ 59

อุบายของปุโรหิต

ยอห์น 11 ข้อที่ 47-58


หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มมากจนในไม่ช้าข่าวการทรงเรียกลาซารัสให้เป็นขึ้นจากความตายก็เข้าไปถึงตัวเมืองผ่านทางสายลับที่ร่วมเป็นพยานในการอัศจรรย์ พวกผู้ปกครองชาวยิวได้รับข้อเท็จจริงอย่างฉับไว  สภาซันเฮดรินเรียกประชุมทันทีเพื่อหารือว่าควรทำอย่างไรกับพระเยซู  บัดนี้พระคริสต์ทรงสำแดงอำนาจของพระองค์ในการควบคุมความตายและหลุมฝังศพแล้วอย่างเต็มที่  การอัศจรรย์ยิ่งใหญ่นั้นเป็นหลักฐานอันเลิศสุดที่พระเจ้าทรงนำเสนอให้แก่มนุษย์ว่าพระองค์ประทานพระบุตรของพระองค์ให้เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป  การอัศจรรย์นั้นยังแสดงออกถึงอำนาจของพระเจ้าอย่างเพียงพอที่จะโน้มน้าวจิตใจทุกคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเหตุผลและความรู้สึกผิดชอบที่กระจ่างแจ้งแล้ว  หลายคนที่ร่วมเป็นพยานในการเป็นขึ้นจากความตายของลาซารัสถูกชักนำให้เชื่อพระเยซู  แต่ความเกลียดชังของพวกปุโรหิตที่มีต่อพระองค์กลับทวีความรุนแรงขึ้น  พวกเขาปฏิเสธทุกหลักฐานขนาดเล็กที่รับรองความเป็นพระเจ้าของพระองค์มาโดยตลอดและพวกเขาได้แต่โกรธเกรี้ยวกับการอัศจรรย์ครั้งใหม่นี้  พระเยซูทรงปลุกตนตายให้เป็นขึ้นมาในเวลากลางวัน และต่อหน้าพยานขนาดใหญ่  ไม่มีคำอธิบายด้วยชั้นเชิงใดจะลบล้างหลักฐานเช่นนี้ได้  ด้วยเหตุนี้ความเป็นปฏิปักษ์ของปุโรหิตจึงทวีความรุนแรงมากขึ้น  พวกเขามุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิมที่จะหยุดยั้งพระราชกิจของพระคริสต์  {DA 537.1}                        

แม้พวกสะดูสีไม่นิยมชมชอบพระคริสต์ แต่ก็ไม่ได้มุ่งร้ายต่อพระองค์อย่างเต็มที่เหมือนพวกฟาริสี  พวกเขาไม่ได้เกลียดชังพระองค์อย่างรุนแรงมากนัก  แต่ในเวลานี้พวกเขาหวาดหวั่นอย่างเต็มที่  พวกเขาไม่เชื่อว่าคนตายแล้วจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ได้  ด้วยศาสตร์ที่พวกเขาแต่งขึ้นเอง พวกเขาโต้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ร่างของคนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง  แต่ด้วยพระดำรัสของพระคริสต์เพียงไม่กี่คำ ทฤษฎีของพวกเขาถูกล้มล้างไป  พวกเขาถูกเปิดโปงว่าเป็นคนไม่มีทั้งความรู้เรื่องพระคัมภีร์และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  พวกเขามองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะลบรอยประทับใจของประชาชนที่เกิดจากการอัศจรรย์  พวกเขาจะหันมนุษย์ออกไปจากพระองค์ผู้ทรงมีอำนาจฉกชิงคนตายไปจากหลุมฝังศพได้อย่างไร?  มีการเผยแพร่รายงานโกหกออกไป แต่การอัศจรรย์เป็นเรื่องที่จะปฏิเสธไม่ได้ และพวกเขาไม่ทราบว่าจะลบล้างผลเหล่านี้ได้อย่างไร  นับตั้งแต่แรกมาจวบจนถึงเวลานี้ พวกสะดูสียังไม่ได้สนับสนุนแผนการประหารพระคริสต์  แต่หลังจากลาซารัสกลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกเขาลงความเห็นว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เท่านั้นที่จะยุติการประณามพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัวได้  {DA 537.2}                      

พวกฟาริสีเชื่อเรื่องของการเป็นขึ้นจากความตายและพวกเขามองไม่เห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากว่าการอัศจรรย์นี้เป็นหลักฐานแสดงให้ประจักษ์แจ้งว่าพระเมสสิยาห์เสด็จมาอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว  แต่พวกเขาต่อต้านพระราชกิจของพระคริสต์มาตลอด  ตั้งแต่แรกพวกเขาเกลียดชังพระองค์เพราะพระองค์ทรงเปิดโปงความหน้าซื่อใจคดอย่างเสแสร้งของพวกเขา  พระองค์ทรงฉีกเสื้อคลุมของพิธีกรรมที่เข้มงวดซึ่งซ่อนความผิดทางศีลธรรมของพวกเขาไว้  ศาสนาบริสุทธิ์ที่พระองค์ทรงสอนได้ประณามการแสดงออกถึงความเคร่งศาสนาที่กลวงของพวกเขา  พวกเขากระหายอยากที่จะแก้แค้นพระองค์ผู้ทรงตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรง  พวกเขาลงแรงยั่วยุปลุกปั่นให้พระองค์โกรธเพื่อให้ตรัสหรือประกอบกิจบางอย่างเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขากำหนดโทษประหารพระองค์  หลายครั้ง พวกเขาพยายามเอาก้อนหินขว้างพระองค์ แต่พระองค์ทรงถอยออกไปอย่างเงียบๆ และพวกเขาไม่พบพระองค์อีกเลย  {DA 538.1}                       

การอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำในวันสะบาโตล้วนเพื่อบรรเทาความทุกข์ของคนเจ็บป่วย   แต่พวกฟาริสีหาทางประณามว่าพระองค์ทรงล่วงละเมิดวันสะบาโต  พวกเขาพยายามปลุกปั่นพรรคพวกของเฮโรดให้ต่อต้านพระองค์  พวกเขาฟ้องว่าพระองค์ทรงหาทางจัดตั้งอาณาจักรคู่แข่ง และปรึกษาคนเหล่านั้นว่าจะทำลายพระองค์อย่างไร  พวกเขาปลุกระดมชาวโรมันให้ต่อต้านพระองค์โดยฟ้องว่าพระองค์พยายามล้มล้างอำนาจของพวกเขา  พวกเขาพยายามหาทุกข้ออ้างเพื่อตัดพระองค์จากการมีอิทธิพลเหนือประชาชน  แต่จนถึงบัดนี้ ความพยายามของพวกก็ยังล้มเหลว  ฝูงชนที่เป็นพยานเห็นถึงพระเมตตาคุณของพระองค์ และฟังคำสอนอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ทราบดีว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผลงานของผู้ที่ล่วงละเมิดวันสะบาโตหรือผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า  แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่พวกฟาริสีส่งมาก็ได้รับอิทธิพลจากพระดำรัสของพระองค์มากจนพวกเขาลงมือจับพระองค์ไม่ได้  ในที่สุดด้วยความสิ้นหวัง ชาวยิวจึงออกคำสั่งว่าคนใดที่อ้างว่าเชื่อในพระเยซูควรจะต้องถูกขับออกไปจากธรรมศาลา  {DA 538.2}                     

ดังนั้น เมื่อพวกปุโรหิต พวกผู้ปกครองและพวกผู้อาวุโสรวมตัวปรึกษาหารือกันนั้น พวกเขามุ่งมั่นปิดปากพระองค์ผู้ทรงประกอบกิจอันอัศจรรย์ที่ทำให้คนทั้งหมดฉงนใจ  พวกฟาริสีและพวกสะดูสีแทบจะรวมตัวก้นเป็นหนึ่งเดียวกันกว่าอดีตที่ผ่านมา  ซึ่งในอดีตพวกเขาไม่ลงรอยกัน บัดนี้พวกเขารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวต่อต้านพระคริสต์  ในการประชุมสภาครั้งก่อนๆ นิโคเดมัสและโยเซฟขัดขวางบทกำหนดโทษพระเยซูและด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รับเชิญให้เข้าประชุมสภาอีก  ในสภายังมีบุคคลที่มีอิทธิพลที่เชื่อในพระเยซู แต่อิทธิพลของพวกเขาไม่อาจเอาชนะความร้ายกาจของพวกฟาริสีได้  {DA 538.3}                          

ถึงกระนั้น สมาชิกของสภาทั้งหมดยังไม่ได้เห็นพ้องด้วยกัน  ในเวลานี้ สภาซันเฮดรินไม่ได้เป็นสภาที่ชอบด้วยกฎหมาย  สภาอยู่ได้ด้วยการยอมทนรับความคิดเห็นของคนอื่นเท่านั้น  พวกเขาบางคนตั้งแง่ส่งสัยความคิดเรื่องของการประหารพระคริสต์  พวกเขากลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นเหตุก่อจลาจลท่ามกลางประชาชนจนทำให้โรมถอนความโปรดปรานไปจากพวกปุโรหิตและยึดอำนาจที่ยังคงมีอยู่ไปเสีย  พวกสาดูสีเข้าร่วมกันเป็นหนึ่งในการเกลียดชังพระคริสต์ แต่กระนั้นพวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าโรมจะปลดพวกเขาออกจากสถานะสูงส่งไป  {DA 539.1}

ในสภานี้ ซึ่งรวมตัวกันวางแผนประหารพระคริสต์ พระเจ้าพระผู้ทรงเป็นพยานอยู่ที่นั่น พระองค์ทรงเคยสดับคำพูดโอ้อวดของเนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ทรงเป็นเป็นพยานในงานเลี้ยงบูชารูปเคารพของเบลชัสซาร์ พระองค์ทรงปรากฏตัวในเมืองนาซาเร็ธชณทพระคริสต์ทรงประกาศว่าพระองค์เองเป็นผู้ได้รับการทรงเจิม  ในเวลานี้พระเจ้าพระผู้ทรงเป็นพยานทรงกำลังดลใจบรรดาผู้ปกครองด้วยงานที่พวกเขากำลังทำอยู่  เหตุการณ์ในชีวิตของพระคริสต์ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเขาด้วยความชัดเจนที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนก  พวกเขาจำภาพในพระวิหารได้เมื่อพระเยซูในเวลานั้นเป็นเด็กอายุสิบสองขวบ ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คงแก่เรียนทางด้านกฎหมายและตั้งคำถามที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจ  การอัศจรรย์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่าพระเยซูไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระบุตรของพระเจ้า  พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมที่เกี่ยวข้องกับพระคริสต์แวบขึ้นมาในสมองของพวกเขาตามความหมายที่แท้จริงของพระคำเหล่านั้น  ด้วยความงงงวยและเป็นทุกข์ พวกผู้ปกครองถามว่า "เราทำอย่างไรดี?"  เกิดความแตกแยกขึ้นในสภา  ภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองไม่อาจระงับความเชื่อมั่นว่าพวกเขากำลังต่อสู้พระเจ้า  {DA 539.2}                

ขณะที่สภาตกอยู่ในความงงงวยสับสนอย่างมากนั้น คายาฟาสมหาปุโรหิตก็ลุกขึ้น  คายาฟาสเป็นคนที่หยิ่งยโสและโหดเหี้ยม เผด็จการและถือทิฐิไม่อดกลั้น  ท่ามกลางสายใยสัมพันธ์ครอบครัวของเขามีพวกสะดูสีหยิ่งทะนงตน อาจหาญ บ้าบิ่น เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยมซึ่งพวกเขาซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมของความชอบธรรมอันเสแสร้งร่วมอยู่ด้วย  คายาฟาสศึกษาคำพยากรณ์แล้วและแม้ว่าจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริง เขาก็พูดด้วยอำนาจและความเชื่อมั่นอย่างใหญ่ยิ่งว่า ข้อที่  "พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย  ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ”  มหาปุโรหิตคนนี้โน้มน้าวว่า แม้พระเยซูจะทรงบริสุทธิ์ เราจะต้องกำจัดพระองค์ทิ้งไป  พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อกวน พระองค์ทรงดึงประชาชนเข้าหาพระองค์เอง และลดอำนาจของผู้ปกครองทั้งหลาย  พระองค์ทรงอยู่พระองค์เดียว การให้พระองค์ตายจะดีกว่าปล่อยให้อำนาจของผู้ปกครองอ่อนกำลังลง  หากประชาชนจะสูญเสียความเชื่อมั่นในผู้ปกครองของตน อำนาจของชาติก็จะถูกทำลายไปด้วย  คายาฟาสโน้มน้าวว่าหลังจากการอัศจรรย์นี้ ผู้ติดตามของพระเยซูน่าจะลุกขึ้นก่อการจลาจล  เขากล่าวว่า ชาวโรมันก็จะเข้ามา และปิดวิหารของเราและยกเลิกกฎหมายของเรา ทำลายเราในระดับประเทศ  ชีวิตของชาวกาลิลีคนนี้มีค่าอะไรเมื่อเทียบกับชีวิตของคนในชาติเล่า?  หากพระองค์ทรงขวางกั้นความเป็นอยู่อย่างผาสุกของชนชาติอิสราเอลแล้ว การกำจัดพระองค์ทิ้งไปไม่ใช่ทำงานรับใช้พระเจ้าหรือ?  เป็นการดีที่จะให้คนคนเดียวพินาศไปดีกว่าให้คนทั้งชาติจะต้องถูกทำลาย  {DA 539.3}      

การประกาศว่าให้คนหนึ่งตายเพื่อชาติเช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าคายาฟาสมีความรู้เรื่องคำพยากรณ์อยู่บ้าง แม้ค่อนข้างจะจำกัดก็ตาม  แต่ในการที่ยอห์นบันทึกเรื่องราวของภาพนี้ได้ยกคำพยากรณ์ขึ้นมาและอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญอย่างลึกซึ้ง  เขากล่าวว่า "และไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว  นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์"  คายาฟาสผู้จองหองยอมรับพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างตาบอดเพียงไร!  {DA 540.1}                          

จากริมฝีปากของคายาฟาสความจริงอันล้ำค่าที่สุดนี้กลายเป็นเรื่องโกหกไป  นโยบายที่เขาสนับสนุนตั้งอยู่บนหลักการที่ยืมมาจากลัทธินอกศาสนา  ท่ามกลางคนต่างชาติ ความสำนึกอันเลือนรางที่ว่าจะต้องมีคนหนึ่งตายเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์นำไปสู่การเอามนุษย์มาเป็นเครื่องถวายบูชา  ดังนั้นคายาฟาสจึงเสนอว่าด้วยการนำพระเยซูขึ้นเป็นเครื่องถวายบูชาจะช่วยชาติที่มีความผิดให้หลุดพ้น ไม่ใช่ออกจากการล่วงละเมิด แต่ช่วยในการล่วงละเมิดเพื่อให้ทำบาปต่อไป  และด้วยเหตุผลของเขา เขาคิดว่าจะสามารถปิดปากผู้ที่กล้าประท้วงเห็นต่างว่าพวกเขายังไม่พบสิ่งใดในพระเยซูที่ทำให้สมควรตาย  {DA 540.2}            

ที่สภาแห่งนี้ศัตรูของพระคริสต์ถูกโน้มน้าวให้เชื่ออย่างสุดใจว่าพวกเขาได้ทำผิด  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจของพวกเขา  แต่ซาตานลงแรงเข้าควบคุมพวกเขาไว้  ซาตานกระตุ้นให้พวกเขาเอาใจใส่กับความเจ็บใจที่พวกเขาต้องรับอันเนื่องจากพระคริสต์เป็นเหตุ  ให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงให้เกียรติความชอบธรรมของพวกเขาแต่เพียงน้อยนิด  พระองค์ทรงนำเสนอความชอบธรรมที่ดีเลิศกว่าซึ่งทุกคนที่จะเป็นบุตรของพระเจ้าต้องเป็นเจ้าของ  โดยไม่ทรงใส่ใจในรูปแบบและพิธีการของพวกเขา พระองค์ทรงหนุนใจให้คนบาปไปเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยตรงในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและทูลพระองค์ให้ทราบถึงความต้องการ  ด้วยประการฉะนี้ ในความเห็นของพวกเขา พระองค์ทรงยกเลิกระบบปุโรหิต  พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะรับศาสนศาสตร์ของโรงเรียนธรรมาจารย์  พระองค์ทรงเปิดโปงการปฏิบัติอันชั่วช้าของปุโรหิต และได้ทำร้ายอิทธิพลของพวกเขาอย่างไม่อาจแก้ไขได้  พระองค์ทรงทำร้ายผลของคำสอนและประเพณีของพวกเขา โดยประกาศว่าแม้ว่าพวกเขาจะบังคับใช้กฎหมายพิธีกรรมอย่างเคร่งครัด แต่ก็ทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นโมฆะ  บัดนี้ ซาตานนำเสนอทั้งหมดนี้เข้ามาในความคิดของพวกเขา  {DA 540.3}                  

ซาตานบอกพวกเขาว่าเพื่อรักษาสิทธิอำนาจของตนเอง พวกเขาต้องประหารพระเยซู  พวกเขาปฏิบัติตามคำแนะนำนี้  พวกเขาคิดว่าความจริงที่พวกเขาอาจสูญเสียอำนาจที่ครอบครองอยู่ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วสำหรับการตัดสินใจบางอย่าง  ทั้งสภาซันเฮดรินยอมรับถ้อยคำที่คายาฟาสพูดว่าเป็นพระดำรัสของพระเจ้ายกเว้นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่กล้าพูดความในใจ  ความโล่งอกแผไปทั่วท่ามกลางสภา ความไม่ลงรอยกันยุติไป  พวกเขาลงมติประหารพระคริสต์ในโอกาสแรกที่เหมาะสม  ด้วยการปฏิเสธหลักฐานที่พิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเช่นนี้พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเหล่านี้กักขังตัวเองไว้ในความมืดที่เจาะทะลุไม่ได้  พวกเขาตกไปอยู่ภายใต้การครอบงำของซาตานอย่างเต็มที่และจะถูกเร่งเข้าหาหน้าผาแห่งความพินาศชั่วนิรันดร์  กระนั้นนั่นก็เป็นการหลอกลวงของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาพึงพอใจในตัวเอง  พวกเขาถือว่าตัวเองเป็นผู้รักชาติ  ที่จัดการความรอดให้แก่ประชาชาติ  {DA 541.1}                    

อย่างไรก็ตาม สภาซันเฮดรินกลัวที่จะใช้มาตรการรุนแรงต่อพระเยซู เพราะเกรงว่าประชาชนจะเดือดดาลและความรุนแรงที่มุ่งหมายไปถึงพระองค์จะกลับมาตกใส่ตัวพวกเขาเอง  ด้วยเรื่องนี้เอง สภาจึงหน่วงเหนี่ยวการดำเนินตามการตัดสินที่ประกาศไว้  พระผู้ช่วยให้รอดทรงเข้าพระทัยการวางแผนของพวกปุโรหิต  พระองค์ทรงทราบดีว่าพวกเขาต้องการกำจัดพระองค์  และเป้าประสงค์ของพวกเขาจะสำเร็จในไม่ช้า  แต่ไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์ที่จะเร่งวิกฤตและพระองค์ทรงถอยออกไปจากบริเวณนั้น พร้อมพาพวกสาวกไปกับพระองค์  ด้วยการทำเช่นนี้ พระเยซูทรงนำคำสอนที่เคยประทานให้สาวกมาลงมือปฏิบัติอีกครั้งเพื่อเป็นแบบอย่างให้พวกเขาปฏิบัติตาม "เมื่อพวกเขาข่มเหงท่านในเมืองหนึ่ง จงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง" มัทธิว 10 ข้อที่ 23  มีทุ่งกว้างใหญ่ที่จะทำงานเพื่อให้จิตวิญญาณรอดจากบาป  และผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องไม่เอาชีวิตของตนเข้าไปหาภัยอันตรายยกเว้นในกรณีที่ต้องแสดงความภักดีต่อพระองค์เท่านั้น  {DA 541.2}                  

จนถึงบัดนี้พระเยซูทรงใช้เวลาสามปีปรนนิบัติรับใช้โลกอย่างเปิดเผย  แบบอย่างของพระองค์ในการปฏิเสธตนเองและความเมตตากรุณาที่ไม่หวังประโยชน์ส่วนตนมีอยู่ต่อหน้าพวกเขา  ชีวิตบริสุทธิ์ ชีวิตที่ทุกข์ยากและอุทิศตนเป็นที่ประจักษ์ต่อคนทั้งปวง  แต่ถึงกระนั้นช่วงเวลาสั้นๆ สามปีนี้ก็ยาวนานตราบเท่าที่โลกจะทนรับเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ไถ่  {DA 541.3}                  

ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตของการถูกกดขี่ข่มเหงและถูกสบประมาท  กษัตริย์ขี้อิจฉาขับพระองค์ออกจากหมู่บ้านเบธเลเฮม คนของพระองค์เองที่เมืองนาซาเร็ธปฏิเสธพระองค์ ทรงถูกคำตัดสินประหารที่กรุงเยรูซาเล็มโดยปราศจากสาเหตุ  พระเยซูพร้อมกับสาวกที่ซื่อสัตย์เพียงไม่กี่คนได้ที่ลี้ภัยชั่วคราวในเมืองต่างถิ่น  พระองค์ผู้ทรงคุ้นเคยกับความทุกข์ระทมของมนุษย์ พระผู้ทรงรักษาคนป่วย พระผู้ทรงคืนการมองเห็นให้คนตาบอด การได้ยินให้แก่คนหูหนวกและการพูดให้แก่คนใบ้ ทรงเลี้ยงคนหิวโหยและปลอบโยนคนเศร้าโศก ทรงถูกขับออกไปจากคนที่พระองค์ทรงลงแรงเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด  พระองค์ผู้ที่เสด็จดำเนินไปบนคลื่นสูงใหญ่และด้วยพระดำรัสเดียวทรงห้ามเสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยว พระองค์ผู้ทรงขับผีร้ายไป และเมื่อมันจากไปยังยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  พระองค์ผู้ทรงหยุดยั้งเวลาการนอนหลับของคนตาย พระผู้ทรงทำให้คนนับพันตะลึงด้วยพระดำรัสแห่งปัญญาของพระองค์ แต่พระวจนะแห่งปัญญาเข้าไม่ถึงหัวใจของคนทั้งหลายที่มีดวงตามืดบอดด้วยอคติและความเกลียดชังและปฏิเสธความสว่างอย่างดื้อรั้น  {DA 541.4}                

**************