บทที่ 48
ผู้ใดใหญ่ที่สุด
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 17 ข้อที่ 22-27; 18 ข้อที่ 1-20;
มาระโก 9 ข้อที่ 30-50; ลูกา 9 ข้อที่ 46-48
มาระโก 9 ข้อที่ 30-50; ลูกา 9 ข้อที่ 46-48
เมื่อพระเยซูเสด็จกลับไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว พระองค์ไม่ทรงหลบเข้าไปพักยังสถานที่อันมีชื่อที่เคยสั่งสอนประชาชน แต่เสด็จไปกับสาวกอย่างเงียบๆ เพื่อเข้าไปยังบ้านชั่วคราวของพระองค์ ในช่วงเวลาที่เหลือ พระองค์ประทับอยู่ในแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงมีเป้าหมายสอนสาวกมากกว่าการทรงงานกับมหาชน {DA 432.1}
ในการเดินทางผ่านแคว้นกาลิลี พระคริสต์ทรงพยายามเตรียมจิตใจของสาวกของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์ พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะต้องเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพบกับความมรณาและจะกลับเป็นขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง และพระองค์ทรงประกาศเพิ่มเติมอย่างแปลกประหลาดและเคร่งขรึมว่าพระองค์จะต้องถูกทรยศไปอยู่ในมือศัตรูของพระองค์ ในเวลานี้ พวกสาวกไม่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์ด้วยซ้ำ แม้ว่าเงาของความเศร้าโศกจะตกลงมายังพวกเขาก็ตาม แต่วิญญาณแห่งการแย่งชิงความเป็นใหญ่ยังมีอยู่ในใจของพวกเขา พวกเขาถกเถียงระหว่างกันเองว่าใครยิ่งใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักร ความขัดแย้งนี้พวกเขาคิดที่จะปกปิดจากพระเยซูและพวกเขาไม่ได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดอย่างสนิทสนิทสนมกับพระองค์เหมือนเคย แต่เดินเถลไถลอยู่ด้านหลังเพื่อให้พระองค์เสด็จดำเนินไปข้างหน้าในขณะที่เดินทางเข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พระเยซูทรงอ่านความคิดของพวกเขาออก และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะประทานคำปรึกษาและสั่งสอนพวกเขา แต่สำหรับเรื่องนี้พระองค์ทรงรอเวลาที่เงียบสงบก่อนเมื่อหัวใจของพวกเขาพร้อมที่จะเปิดกว้างเพื่อรับพระวจนะของพระองค์ {DA 432.2}
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาไปถึงเมือง มีคนเก็บรายได้ของพระวิหารได้เข้ามาหาเปโตรและถามว่า "อาจารย์ของท่านไม่เสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ?” ค่าบำรุงพระวิหารนี้ไม่ใช่ภาษีพลเรือน แต่เป็นเงินช่วยเหลือทางศาสนาซึ่งชาวยิวทุกคนต้องชำระเป็นประจำทุกปีเพื่อสนับสนุนพระวิหาร การปฏิเสธที่จะจ่ายค่าบำรุงพระวิหารจะถือว่าเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อพระวิหาร ในการประเมินของพวกธรรมาจารย์แล้วเป็นบาปหนึ่งที่เลวร้ายที่สุด ทัศนคติของพระผู้ช่วยให้รอดที่มีต่อกฎระเบียบของพวกธรรมาจารย์และการตักเตือนอย่างชัดเจนที่ให้กับผู้พิทักษ์ธรรมเนียมประเพณีถือเป็นข้ออ้างกับการกล่าวหาที่ว่าพระองค์ทรงพยายามล้มล้างพิธีต่างๆ ของพระวิหาร บัดนี้ศัตรูของพระองค์เห็นโอกาสที่จะสร้างความเสื่อมเสียให้กับพระองค์ พวกเขาได้คนเก็บค่าบำรุงพระวิหารเป็นพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ทันที {DA 432.3}
เปโตรมองเห็นว่าในคำพูดของคนเก็บค่าบำรุงมีการพูดเป็นนัยที่เกี่ยวข้องกับความภักดีของพระคริสต์ที่มีต่อพระวิหาร ด้วยการแสดงออกอย่างออกหน้าเพื่อเกียรติของพระอาจารย์ของเขา เขาตอบอย่างฉับพลันว่าพระเยซูชำระค่าบำรุงโดยไม่ได้ปรึกษาพระองค์ {DA 433.1}
เปโตรเข้าใจจุดประสงค์ของผู้ถามได้แต่เพียงบางส่วน มีคนอยู่บางกลุ่มได้รับการยกเว้นจากการชำระค่าบำรุง ในสมัยของโมเสส เมื่อคนเลวีได้ถูกแยกออกเพื่อปฏิบัติรับใช้ในพระวิหาร พวกเขาไม่ได้รับมรดกในท่ามกลางประชาชน พระยาห์เวห์ตรัสว่า "คนเลวีจึงไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับพวกพี่น้องของตน พระยาห์เวห์เองทรงเป็นมรดกของเขา" เฉลยธรรมบัญญัติ 10 ข้อที่ 9 ในสมัยของพระคริสต์ ยังถือว่าพวกปุโรหิตและพวกเลวีได้รับการอุทิศไว้เป็นพิเศษเพื่อรับใช้ในพระวิหารและไม่ต้องชำระค่าบำรุงพระวิหารประจำปี ด้วยการกำหนดให้พระเยซูชำระค่าบำรุงนี้ พวกธรรมาจารย์กำลังปัดทิ้งสิทธิความเป็นผู้เผยพระวจนะหรือความเป็นครูของพระเยซูและปฏิบัติกับพระองค์เหมือนปฏิบัติต่อคนสามัญชนทั่วไป การปฏิเสธที่จะชำระค่าบำรุงแสดงว่าพระองค์ไม่เคารพพระวิหาร แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีการชำระค่าบำรุงพระวิหาร จะถือว่าพวกเขาแสดงออกถึงการปฏิเสธพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ {DA 433.2}
ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย เปโตรยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่บัดนี้เขาพลาดโอกาสของการนำเสนอพระลักษณะนิสัยของพระอาจารย์ของเขา ด้วยคำตอบที่ให้กับผู้เก็บค่าบำรุงว่าพระเยซูจะชำระส่วย เขารับรองกระแสแนวคิดที่ผิดในเรื่องของพระเยซูที่พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ลงแรงประกาศไปทั่ว {DA 433.3}
เมื่อเปโตรเดินเข้ามาในบ้านแล้ว พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงอ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตรัสถามว่า "ซีโมนเอ๋ย ท่านคิดอย่างไร? กษัตริย์ของโลกเก็บภาษีและส่วยจากใคร? จากโอรสหรือจากคนอื่น?” เปโตรทูลตอบว่า “เก็บจากคนอื่น” และพระเยซูตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นโอรสก็ไม่ต้องเสีย" ในขณะที่ประชาชนในประเทศเสียภาษีเพื่อทะนุบำรุงพระราชาของพวกเขา โอรสทั้งหลายของพระองค์ได้รับการยกเว้น ดังนั้น ชนชาติอิสราเองซึ่งเป็นคนของพระเจ้าก็มีหน้าที่ทะนุบำรุงพระราชกิจของพระองค์ แต่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าไม่ได้ตกไปอยู่ภายใต้ข้อบังคับนี้ หากพวกปุโรหิตและคนเลวีได้รับการยกเว้นเนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับพระวิหาร พระองค์ผู้ทรงมีพระวิหารเป็นพระนิเวศน์ของพระบิดาของพระองค์นั้นจะต้องรับสิทธิพิเศษได้มากยิ่งกว่านี้เพียงใด {DA 433.4}
หากพระเยซูทรงชำระค่าบำรุงโดยไม่ทักท้วง พระองค์ก็คงจะยอมรับคำอ้างของพวกเขาไปโดยปริยายว่าถูกต้อง และด้วยการทำเช่นนี้เป็นการปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่ในขณะที่พระองค์ทรงตระหนักถึงข้อดีของการทำตามคำร้องขอ พระองค์ทรงปฏิเสธฐานของคำกล่าวอ้างนั้น ด้วยการจัดเตรียมเงินค่าบำรุง พระองค์ประทานหลักฐานพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าของพระองค์ เป็นการสำแดงออกให้เห็นว่าพระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าและดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของการต้องชำระค่าบำรุงเพื่อแสดงความเป็นประชากรของอาณาจักร {DA 434.1}
"ท่านจงไป" พระองค์ทรงแนะเปโตร "ตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วท่านจะพบเหรียญอันหนึ่ง จงเอาไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเรากับท่านเถิด" {DA 434.2}
แม้ว่าพระองค์จะทรงเอาความเป็นมนุษย์มาสวมทับความเป็นพระเจ้า การอัศจรรย์นี้เปิดเผยพระสิริของพระองค์ เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงข้อความที่กษัตริย์ดาวิดเปิดเผยไว้ว่า "เพราะสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด เรารู้จักนกแห่งขุนเขาทุกตัว และสัตว์ในท้องทุ่งเป็นของเรา ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า เพราะพิภพและสารพัดที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา” สดุดี 50 ข้อที่ 10-12 {DA 434.3}
ในขณะที่พระเยซูอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับของการชำระค่าบำรุงพระวิหาร พระองค์ก็ไม่ได้เข้าไปแสดงความขัดแย้งกับพวกยิวในเรื่องนี้ เพราะพวกเขาคงจะแปลความหมายพระดำรัสของพระองค์ผิดไปและหันเข้าต่อต้านพระองค์ เกลือกว่าพระองค์จะทรงสร้างความบาดหมางด้วยการไม่ชำระค่าบำรุง พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่กำหนดให้ทำอย่างไม่ยุติธรรม บทเรียนนี้มีค่ายิ่งสำหรับสาวกของพระองค์ การเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขากับพิธีกรรมในพระวิหารในเวลาอีกไม่นานต่อมา และพระคริสต์ทรงสอนพวกเขาไม่ให้วางตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเพื่อสร้างระเบียบ เท่าที่พอจะทำได้พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการให้โอกาสการตีความหมายความเชื่อของพวกเขาไปในทางที่ผิด ในขณะที่คริสเตียนจะต้องไม่ยอมสละทิ้งหลักการแห่งความจริงก็ตามที พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเท่าที่จะทำได้ {DA 434.4}
เมื่อพระคริสต์และสาวกอยู่ตามลำพังในบ้านในขณะที่เปโตรเดินไปยังทะเล พระเยซูบัญชาเรียกสาวกอื่นๆ ให้เข้ามาหาพระองค์และตรัสถามว่า "ระหว่างทางพวกท่านโต้แย้งกันเรื่องอะไร? " เมื่อพระเยซูทรงอยู่ต่อหน้าพวกเขา และด้วยคำถามของพระองค์ ทำให้เรื่องทั้งหมดที่พวกเขาขัดแย้งกันในระหว่างทางก็ปรากฏให้พวกเขามองเห็นปัญหาด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไปจากความขัดแย้ง ความอับอายและการตำหนิตัวเองทำให้พวกเขาเงียบ พระเยซูตรัสบอกพวกเขาแล้วว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อเห็นแก่พวกเขาและความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัวของพวกเขาช่างตรงกันข้ามอย่างเจ็บปวดกับความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ {DA 434.5}
เมื่อพระเยซูตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะต้องถูกประหารและแล้วจะกลับเป็นขึ้นมาจากความตายอีก พระองค์ทรงพยายามชักชวนให้พวกเขาร่วมสนทนาในเรื่องการทดสอบความเชื่อครั้งใหญ่ของพวกเขา หากพวกเขาพร้อมที่จะรับสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแจ้งให้พวกเขาทราบ พวกเขาจะต้องรอดจากความปวดร้าวและความสิ้นหวังอันขมขื่น พระดำรัสของพระองค์จะนำมาซึ่งการปลอบใจในชั่วโมงแห่งการสูญเสียและความผิดหวัง แต่ถึงแม้พระองค์จะตรัสอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่รอคอยพระองค์อยู่ แต่การกล่าวถึงความจริงที่ว่าในไม่ช้าพระองค์จะเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งนั้นทำให้พวกเขามีความหวังว่าราชอาณาจักรกำลังจะจัดตั้งขึ้น สิ่งนี้นำไปสู่การตั้งคำถามว่าใครควรได้ไปนั่งในตำแหน่งสูงที่สุด เมื่อเปโตรกลับมาจากทะเลแล้ว พวกสาวกได้เอาคำถามของพระผู้ช่วยให้รอดมาเล่าให้เปโตรฟังและในที่สุดก็มีคนหนึ่งเสี่ยงถามพระเยซูว่า "ใครเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสวรรค์?" {DA 435.1}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงรวบรวมสาวกทั้งหลายให้มาล้อมอยู่รอบพระองค์และตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าใครต้องการจะเป็นคนแรก ก็ให้คนนั้นเป็นคนสุดท้าย และเป็นคนปรนนิบัติคนทั้งหลาย" ในพระดำรัสที่พระองค์ตรัสนี้มีน้ำเสียงของความเคร่งขรึมและซาบซึ้งน่าประทับใจซึ่งพวกเขาฟังแล้วไม่เข้าใจ สิ่งที่พระคริสต์ทรงเข้าพระทัยพวกเขามองไม่เห็น พวกเขาไม่เข้าใจธรรมชาติของอาณาจักรของพระคริสต์และความไม่รู้นี้เป็นสาเหตุของการแย่งชิงความเป็นใหญ่อย่างที่ปรากฏ แต่สาเหตุที่แท้จริงมีความลึกซึ้งมากกว่านั้น ด้วยการอธิบายลักษณะของอาณาจักร พระคริสต์ทรงระงับความขัดแย้งของพวกเขาได้ไปสักระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจเข้าถึงสาเหตุที่แท้จริง แม้กระทั่งเมื่อพวกเขาได้รับรู้อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ขั้นตอนของการดำเนินงานอาจจุดประกายปัญหาขึ้นมาใหม่ได้ ด้วยประการฉะนี้ จะเป็นการนำหายนะเข้ามายังคริสตจักรเมื่อพระคริสต์ทรงจากไปแล้ว การแย่งชิงตำแหน่งสูงสุดเป็นผลงานเดียวกันกับวิญญาณที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่สมัยการพิพาทยิ่งใหญ่ในโลกเบื้องบน และซึ่งนำพระคริสต์ลงมาจากสวรรค์ให้มาสิ้นพระชนม์ นิมิตหนึ่งเกี่ยวกับลูซิเฟอร์ได้ปรากฏขึ้นมาอยู่เบื้องพระพักตร์นั่นคือเมื่อ "โอรสแห่งรุ่งอรุณ" ด้วยรัศมีภาพที่เหนือกว่าทูตสวรรค์ทั้งหมดที่ล้อมรอบพระบัลลังก์และสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับพระบุตรของพระเจ้า ลูซิเฟอร์เคยพูดไว้ว่า "ข้าจะทำให้ตัวของข้าเองเหมือนองค์ผู้สูงสุด" อิสยาห์ 14 ข้อที่ 12, 14 และความปรารถนาเพื่อยกตนขึ้นให้สูงนำความขัดแย้งมาสู่ราชสำนักในสวรรค์และเนรเทศกองกำลังมหาศาลของพระเจ้าไป หากลูซิเฟอร์ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนพระเจ้าองค์สูงสุดอย่างจริงใจแล้ว เขาก็คงจะไม่ละทิ้งตำแหน่งของเขาในสวรรค์ เพราะวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงสูงเด่นนั้นสำแดงออกด้วยการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัว ลูซิเฟอร์ปรารถนาอำนาจของพระเจ้า แต่ไม่ประสงค์พระลักษณะนิสัยของพระองค์ เขาแสวงหาตำแหน่งสูงสุดสำหรับตัวเองและทุกคนที่หนุนด้วยวิญญาณของเขาจะทำเช่นเดียวกันนี้ ด้วยประการฉะนี้ การเหินห่าง ความขัดแย้งและการต่อสู้กันจะปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน การครอบครองเป็นรางวัลของฝ่ายที่มีกำลังมากที่สุด อาณาจักรของซาตานเป็นอาณาจักรของการบังคับ ทุกคนถือว่าคนอื่นๆ เป็นอุปสรรคที่จะขวางกั้นความก้าวหน้าของตนเองหรือเป็นก้อนหินเพื่อวางให้ตนเหยียบเพื่อให้สูงขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น {DA 435.2}
ในขณะที่ลูซิเฟอร์ถือว่าการทำตัวเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ควรแย่งชิงเอามาให้ได้ พระคริสต์องค์ผู้ทรงสูงเด่น "ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน" ฟิลิปปี 2 ข้อที่ 7, 8 ในเวลานี้ไม้กางเขนอยู่เบื้องหน้าพระองค์แล้ว และสาวกของพระองค์เองก็เต็มล้นไปด้วยการไขว่คว้าเพื่อตนเอง ซึ่งเป็นหลักการที่แท้จริงของอาณาจักรของซาตานจนทำให้พวกเขาเข้าร่วมความเห็นใจกับพระเป็นเจ้าของพวกเขาไม่ได้ หรือแม้แต่จะเข้าใจพระองค์ในขณะที่พระองค์ตรัสถึงความอัปยศอดสูเพื่อพวกเขา {DA 436.1}
ด้วยความอ่อนโยนอย่างมากยิ่ง แต่กระนั้นด้วยการเน้นอย่างเคร่งขรึมพระเยซูทรงเอาใจใส่แก้ไขความชั่ว พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าหลักการใดที่ส่งอิทธิพลในอาณาจักรแห่งสวรรค์และความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงประกอบด้วยอะไรบ้าง ตามการประเมินด้วยมาตรฐานของบัลลังก์พิพากษาเบื้องบน ผู้ที่ถูกกระตุ้นด้วยความทะนงตนและชื่นชอบพอใจกับความโดดเด่นนั้นกำลังคิดถึงแต่ตัวเองและรางวัลผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับมากกว่าการถวายของขวัญที่พวกเขาได้รับกลับคืนพระเจ้า อาณาจักรแห่งแผ่นดินสวรรค์จะไม่มีที่สำหรับพวกเขาเพราะพวกเขาถูกจัดให้ไปอยู่เป็นแนวร่วมกับซาตาน {DA 436.2}
ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะต้องมาก่อนที่จะได้เกียรติยศ เพื่อจะได้อยู่ตรงตำแหน่งในที่สูงส่งต่อหน้ามนุษย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเลือกคนทำงานรับใช้ที่รับหน้าที่อันต่ำต้อยต่อเบื้องพระเจ้าอย่างเช่นยอห์นผู้ให้บัพติศมา สาวกที่มีลักษณะเหมือนเด็กเล็กมากที่สุดจะเป็นผู้ร่วมทำงานเพื่อพระเจ้าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ชาวสวรรค์ร่วมมือกับคนที่แสวงหาทางเพื่อช่วยจิตวิญญาณให้รอดแต่ไม่ใช่เพื่อยกตนเองขึ้นให้สูง ผู้ที่ตระหนักได้ถึงความต้องการอย่างลึกซึ้งใจของการทรงช่วยของพระเจ้าจะทูลขอในสิ่งนี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานให้เขาเหลือบมองเห็นพระเยซูผู้ทรงจะเสริมกำลังและยกระดับจิตวิญญาณของเขาให้สูงส่งขึ้น จากการสื่อสัมพันธ์ร่วมกับพระคริสต์เขาจะออกไปทำงานเพื่อคนที่กำลังพินาศเพราะบาปของพวกเขา เขาได้รับการเจิมสำหรับพันธกิจของเขา และเขาประสบความสำเร็จในขณะคนมากมายที่มีความรู้และมีปัญญาจะล้มเหลว {DA 436.3}
แต่เมื่อมนุษย์ยกตนขึ้นด้วยความคิดว่าตนจำเป็นต่อความสำเร็จในแผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงกันเขาออกไปก่อน มีหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งในตัวของพวกเขา พระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้หยุดนิ่งเนื่องจากพวกเขาถอนตัวเองออกไปจากพระราชกิจแต่กลับรุกไปข้างหน้าด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า {DA 436.4}
สำหรับสาวกของพระเยซูแล้ว การสอนพวกเขาถึงลักษณะอาณาจักรของพระองค์นั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือหัวใจที่เปลี่ยนใหม่เพื่อนำพวกเขาเข้าประสานร่วมเป็นหนึ่งกับหลักการของอาณาจักรของพระองค์ พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้เข้ามาหาพระองค์และทรงอุ้มเขามาวางไว้ท่ามกลางพวกเขา เมื่อทรงกอดเจ้าตัวน้อยไว้ในอ้อมพระกรแล้ว พระองค์ตรัสด้วยความอ่อนโยนว่า "ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย" ความเรียบง่าย การลืมตนเอง และความรักอย่างวางใจของเด็กน้อยเป็นคุณลักษณะที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ให้คุณค่า นี่คือลักษณะของความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง {DA 437.1}
อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงอธิบายให้สาวกทั้งหลายฟังว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้มีเกียรติอย่างภูมิฐานสง่างามและการแสดงออกอย่างโอ้อวดตามอย่างชาวโลก ที่แทบพระบาทของพระเยซูเกียรติยศเหล่านี้จะไม่เป็นที่ต้องการ คนร่ำรวยและคนยากจน คนที่มีการศึกษาสูงและคนไม่มีการศึกษาพบกันอย่างไม่ต้องคำนึงถึงการแบ่งชนชั้นวรรณะหรือความได้เปรียบทางฝ่ายโลก ทุกคนมาพบกันในฐานะจิตวิญญาณที่ได้รับการไถ่ด้วยพระโลหิตเหมือนกันเพราะต้องพึ่งในพระเยซูพระผู้ทรงไถ่เพื่อนำพวกเขากลับคืนไปหาพระเจ้า {DA 437.2}
จิตวิญญาณที่จริงใจบริสุทธิ์และสำนึกผิดมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงตีตราประทับของพระองค์บนมนุษย์ไม่ใช่โดยยศฐาบันดาศักดิ์ ไม่ใช่ด้วยความมั่งคั่ง ไม่ใช่ด้วยความยิ่งใหญ่ทางปัญญาของพวกเขา แต่โดยความเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับพระคริสต์ พระเจ้าแห่งรัศมีภาพทรงพอพระทัยคนทั้งหลายที่สุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า“พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์. . . .[และ]การถ่อมพระองค์” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของลักษณะอุปนิสัยของมนุษย์ “ก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น” สดุดี 18 ข้อที่ 35 {DA 437.3}
"ใครก็ตามที่ยอมรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา " พระเยซูตรัส "คนนั้นยอมรับเรา และใครก็ตามที่ยอมรับเรา คนนั้นก็ไม่เพียงแต่ยอมรับเราเท่านั้น แต่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย" "พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘สวรรค์เป็นพระที่นั่งของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา. . . .แต่นี่ต่างหากที่เราจะมองคือผู้ถ่อมใจและสำนึกผิดในวิญญาณจิตและตัวสั่นเพราะถ้อยคำของเรา’" อิสยาห์ 66 ข้อที่ 1, 2 {DA 437.4}
พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดปลุกให้สาวกรู้สึกไม่ไว้วางใจในตนเอง คำตอบนี้ไม่ได้เน้นเจาะจงถึงใครคนใดโดยเฉพาะ แต่ยอห์นถูกกระตุ้นให้ถามถึงการกระทำของเขาเรื่องหนึ่งว่าถูกต้องหรือไม่ ด้วยเจตนาอย่างเด็กเล็กเขาทูลเรื่องนั้นต่อพระเยซู "พระอาจารย์" เขากล่าว "พวกข้าพระองค์เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ และพวกข้าพระองค์ห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้ตามพวกเรามา" {DA 437.5}
ยากอบและยอห์นคิดว่าในการห้ามชายคนนี้พวกเขาได้ทำเพื่อเกียรติยศของพระเจ้าของพวกตน พวกเขาเริ่มที่จะมองเห็นว่าพวกเขาหวงแหนเพื่อตนเอง พวกเขายอมรับความผิดพลาดและยอมรับคำตำหนิของพระเยซู "อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่มีใครทำการอัศจรรย์ในนามของเราแล้วเพียงชั่วครู่ก็จะสามารถพูดให้ร้ายเรา" ไม่มีผู้ใดที่แสดงว่าตนเป็นมิตรกับพระคริสต์จะต้องถูกขับออกไป มีคนมากมายที่ประทับใจในพระลักษณะนิสัยและพระราชกิจของพระคริสต์และเปิดหัวใจต้อนรับพระองค์ด้วยความเชื่อและสาวกที่อ่านความตั้งใจของพวกเขาไม่ได้จะต้องระมัดระวังไม่ไปทำให้จิตวิญญาณเหล่านี้ท้อถอย เมื่อพระเยซูไม่ได้ประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขาเป็นการส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว และงานต่างๆ ก็ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา พวกเขาจะต้องไม่หลงระเริงไปกับใจคับแคบและผูกขาด แต่ให้แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจที่กว้างไกลเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยเห็นในพระอาจารย์ของพวกเขา {DA 437.6}
ความจริงแล้วเมื่อมีใครสักคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและทัศนะส่วนตัวของเราทั้งหมด เราต้องไม่ใช้เป็นข้ออ้างอันชอบธรรมที่จะไปห้ามเขาทำงานรับใช้พระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นพระอาจารย์องค์ยิ่งใหญ่ เราต้องไม่ประณามหรือสั่งการ แต่ด้วยความถ่อมตนต่างคนจะต้องมานั่งแทบพระบาทของพระเยซูและเรียนจากพระองค์ จิตวิญญาณทุกดวงที่พระเจ้าทรงโปรดทำให้ยอมเป็นช่องทางที่พระคริสต์จะเปิดเผยความรักแห่งการให้อภัยของพระองค์ได้ เราควรระมัดระวังอย่างมากยิ่งเพียงใดเกลือกว่าเราจะทำให้ผู้ถือความสว่างของพระเจ้าคนหนึ่งหมดกำลังใจไปและด้วยการทำฉะนี้ขวางกั้นลำแสงที่จะส่องไปยังโลก! {DA 438.1}
ความเกรี้ยวกราดหรือความเย็นชาที่สาวกแสดงต่อผู้ที่พระคริสต์ทรงเชิญชวน เหมือนดั่งการกระทำของยอห์นที่ห้ามคนทำอัศจรรย์ในนามของพระคริสต์ อาจส่งผลให้เท้าของเขาหันสู่เส้นทางของศัตรูและทำให้สูญเสียจิตวิญญาณไป พระเยซูตรัสว่าแทนที่จะทำเช่นนี้ควร "เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอคนนั้นแล้วถ่วงเขาเสียที่ทะเลลึกก็จะดีกว่า" และพระองค์ตรัสเสริมว่า "ถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีทั้งสองมือแต่ต้องลงไปสู่นรกในไฟที่ไม่มีวันดับ ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก" มาระโก 9 ข้อที่ 43-45 {DA 438.2}
ทำไมจึงใช้ภาษาอันขึงขังเช่นนี้ที่ว่าไม่มีใครใหญ่กว่าคนอื่น? "เพราะว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด" สาวกของพระองค์จะแสดงความเอาใจใส่ต่อจิตวิญญาณของเพื่อนมนุษย์น้อยกว่าที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงสำแดงไว้แล้วหรือ? จิตวิญญาณทุกดวงมีมูลค่าเหลือคณานับและเป็นบาปของการหันเหจิตวิญญาณดวงหนึ่งไปจากพระคริสต์นั้นน่ากลังเพียงใดและสำหรับเขาแล้ว ความรักและการถ่อมตนและความระทมทุกข์ของพระผู้ช่วยให้รอดไม่เกิดผลในตัวเขา {DA 438.3}
"วิบัติแก่โลกนี้ที่ทำให้มีการหลงผิด การหลงผิดย่อมจะต้องมี" มัทธิว 18 ข้อที่ 7 โลกที่ถูกซาตานปลุกปั่นจะต่อต้านผู้ติดตามของพระคริสต์ และพยายามทำลายความเชื่อของพวกเขา แต่วิบัติแก่คนนั้นที่ได้รับพระนามของพระคริสต์แล้วและกระนั้นยังลงแรงทำงานนี้อยู่ คนที่อ้างว่ารับใช้พระเจ้า แต่แสดงตนเป็นตัวแทนพระลักษณนิสัยของพระองค์ไปในทางที่ผิด และประชาชนจำนวนมากถูกหลอกและนำไปในทางที่ผิดจะทำให้พระองค์ของเราอับอาย {DA 438.4}
จะเป็นการดีที่เราจะกำจัดนิสัยหรือกิจวัตรใดที่นำไปสู่บาปและทำให้พระคริสต์เสื่อมพระเกียรติทิ้งไปแม้จะต้องเสียสละมากเพียงไรก็ตาม สิ่งที่หลู่พระเกียรติพระเจ้าจะไม่เอื้อประโยชน์ใดให้แก่จิตวิญญาณ พระพรของสวรรค์จะหลั่งลงมายังมนุษย์ที่ละเมิดหลักการอันถูกต้องนิรันดร์ไม่ได้ และบาปหนึ่งที่ถนอมเก็บไว้ก็เพียงพอที่จะนำความเสื่อมเสียมาให้กับลักษณะอุปนิสัยและนำคนอื่นไปในทางที่ผิดได้ หากจะต้องตัดเท้าหรือมือไป หรือแม้จะต้องควักตาทิ้งไปเพื่อช่วยร่างกายจากความตายแล้ว เราจะต้องเอาจริงเอาจังอย่างมากเพียงไรเพื่อกำจัดบาปที่นำความตายมายังจิตวิญญาณ! {DA 439.1}
ในพิธีกรรมของการถวายเครื่องเผาบูชาทุกครั้งจะมีการเติมเกลือลงในเครื่องเผาบูชา การทำเช่นนี้ เหมือนเช่นการถวายเครื่องหอม เป็นการแสดงให้เห็นว่าความชอบธรรมของพระคริสต์เท่านั้นที่จะทำให้การถวายบูชาเป็นที่พระเจ้าทรงยอมรับ เมื่อพระเยซูทรงกล่าวถึงกิจวัตรที่ปฏิบัติอยู่นี้ พระองค์ตรัสว่า "เพราะว่าทุกคนจะต้องถูกคลุกเคล้าด้วยไฟอย่างกับคลุกด้วยเกลือ" "ท่านทั้งหลายจงมีเกลือในตัวและจงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข” ทุกคนที่จะถวายตัวเป็น "เครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิตและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" โรม 12 ข้อที่ 1 จะต้องได้รับเกลือแห่งการช่วยให้รอดซึ่งก็คือความชอบธรรมของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา จากนั้นพวกเขาจะมาเป็น "เกลือแห่งโลก" ยับยั้งความชั่วร้ายในท่ามกลางมนุษย์ดั่งเกลือปกป้องจากความเปื่อยเน่า มัทธิว 5 ข้อที่ 13. แต่หากเกลือหมดรสเค็ม หากมีการอ้างว่ายำเกรงพระเจ้าแต่เพียงในนามโดยไม่มีความรักของพระคริสต์ ก็จะไม่มีพลังที่จะประกอบการดี ชีวิตจะไม่มีอิทธิพลเพื่อการช่วยโลกให้รอด พลังงานและประสิทธิภาพในการเสริมสร้างอาณาจักรของพระเยซูนั้นขึ้นกับการรับพระวิญญาณของพระองค์ เจ้าจะต้องเป็นผู้ร่วมรับพระคุณเพื่อที่จะได้กลิ่นแห่งชีวิตที่นำไปสู่ชีวิต และแล้ว จะไม่มีการแย่งชิงกัน ไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์ฝ่ายตน ไม่มีความปรารถนาเพื่อตำแหน่งสูงที่สุด คุณจะมีความรักที่จะไม่แสวงหาเพื่อตนเองแต่เพื่อความร่ำรวยมั่นคั่งของผู้อื่น {DA 439.2}
จงให้คนบาปที่กลับใจแล้วจ้องมองไปยัง "พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป" ยอห์น 1 ข้อที่ 29 และด้วยการเฝ้ามอง เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ความกลัวเปลี่ยนเป็นความสุข ความสงสัยเป็นความหวัง ความซาบซึ้งในพระคุณปรากฏออกมา หัวใจหินแตกสลายไป กระแสแห่งความรักไหลบ่าเข้าสู่จิตวิญญาณ พระคริสต์ในตัวของเขากลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวของเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเห็นพระเยซูทรงเป็นบุรุษผู้แบกรับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยากประกอบพระราชกิจเพื่อช่วยคนที่สูญหายถูกดูถูก เหยียดหยาม เย้ยหยัน ถูกขับไล่จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองจนกว่าพระราชกิจของพระองค์จะสำเร็จ เมื่อเราเฝ้ามองพระองค์ในสวนเกทเสมนี เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลออกมาและบนไม้กางเขนทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อเราเห็นสิ่งนี้ ตัวตนของเราจะไม่ใฝ่หาความเห็นชอบอีกต่อไป เมื่อเรามองไปยังพระเยซู เราจะอับอายต่อความเย็นชาของเรา ความเฉื่อยชาของเรา การแสวงหาฝ่ายตนของเรา เราจะยินดีพร้อมที่จะเป็นทุกสิ่งหรือไม่เป็นที่รู้จักเลย เพื่อเราจะรับใช้ด้วยใจเพื่อพระอาจารย์ เราจะชื่นชยินดีที่จะแบกรับกางเขนเดินตามพระเยซู เพื่อทนสู้กับการทดลอง ความอับอายหรือการกดขี่เพื่อเห็นแก่พระองค์ {DA 439.3}
“พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อข้อบกพร่องของคนที่อ่อนแอ ไม่ควรทำอะไรตามความพอใจของตัวเอง” โรม 15 ข้อที่ 1. ไม่ควรปฏิบัติอย่างไม่เอาใจใส่จิตวิญญาณที่เชื่อในพระคริสต์แม้ว่าความเชื่อของเขาอาจอ่อนแอและการก้าวเดินของเขาที่โอนเอนเหมือนเด็กเล็ก โดยความได้เปรียบที่เราได้เหนือกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและการขัดเกลาให้สุภาพยิ่งขึ้น ความสูงศักดิ์ของลักษณะอุปนิสัย การฝึกฝนในทางของคริสเตียน ประสบการณ์ด้านศาสนา เราเป็นหนี้ของคนที่ได้รับสิทธิพิเศษที่น้อยกว่า เท่าที่อยู่ในอำนาจที่เราจะทำได้เราต้องคอยรับใช้พวกเขา หากเราเข้มแข็งเราจะต้องยกแขนของคนที่อ่อนแอ ทูตสวรรค์แห่งพระสิริที่คอยเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์มีความสุขคอยรับใช้ลูกตัวน้อยๆ ของพระองค์ จิตวิญญาณที่อ่อนกำลัง ที่มีลักษณะอุปนิสัยอันเป็นที่น่ารังเกียจมากมายจะต้องได้รับการดูแลพิเศษอยู่ภายใต้พวกเขา ทูตสวรรค์จะอยู่ในที่ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดเสมอ อยู่กับผู้ที่ต้องต่อสู้อย่างหนักที่สุดกับตัวของเขาเองและอยู่ในสภาพแวดล้อมอันสิ้นหวังที่สุด และในพันธกิจนี้ผู้ติดตามที่สัตย์ซื่อของพระคริสต์จะร่วมมือประสานกัน {DA 440.1}
หากเด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่งพ่ายแพ้และทำผิดต่อคุณ เป็นหน้าที่ของคุณที่จะหาทางบูรณะให้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม อย่าคอยให้เขาเป็นคนเริ่มคืนดีกับคุณ “พวกท่านคิดอย่างไร?” พระเยซูตรัส “ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาตัวที่หลงไปนั้นหรือ? เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นพบมัน เขาจะมีความเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย" {DA 440.2}
ด้วยจิตวิญญาณที่อ่อนโยน "โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกทดลองด้วย " กาลาเทีย 6 ข้อที่ 1 ให้ไปหาคนที่ทำผิด "และชี้ความผิดต่อเขาสองต่อสองเท่านั้น" อย่าทำให้เขาอับอายด้วยการเปิดเผยความผิดของเขาต่อผู้อื่นหรือนำความเสื่อมเสียมาสู่พระคริสต์โดยเปิดเผยบาปหรือความผิดพลาดของผู้ที่ได้รับพระนามของพระองค์ต่อสาธารณชน บ่อยครั้งให้พูดความจริงอย่างชัดเจนกับผู้ที่ทำผิด ชักนำให้เขาเห็นข้อผิดพลาดของเขาเพื่อเขาจะปฏิรูปได้ แต่คุณจะต้องไม่ตัดสินหรือประณาม อย่าพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง ขอให้ใช้ความพยายามทั้งหมดของคุณนำเขากลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม ในการรักษาบาดแผลของจิตวิญญาณมีความจำเป็นต้องมีการสัมผัสที่ละเอียดอ่อนที่สุด ความรู้สึกไวที่สุด มีเพียงความรักที่ไหลออกมาจากพระเจ้าองค์ผู้ทรงทนทุกข์บนกางเขนคาลวารีที่ทรงจัดการได้ ด้วยความอ่อนโยนสงสาร ให้พี่น้องจัดการกับพี่น้อง โดยรู้ดีแก่ใจว่าเมื่อคุณทำสำเร็จคุณ "ได้ช่วยชีวิตหนึ่งให้รอดพ้นจากความตาย และได้ปกปิดการบาปเป็นอันมากไว้" ยากอบ 5 ข้อที่ 20 TKJV {DA 440.3}
แต่แม้ความพยายามนี้อาจไม่ประสบผลตามที่ต้องการ พระเยซูตรัสต่อไปว่า แล้วก็ให้ "พาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย” อิทธิพลจากการทำงานร่วมมือกันอาจได้ผลในขณะที่การทำงานครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากการที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา พวกเขาน่าจะทำตัวเป็นกลางและความจริงในการนี้จะทำให้คำปรึกษามีน้ำหนักที่มากขึ้นต่อผู้ที่ทำผิด {DA 441.1}
ถ้าเขาไม่ฟังพวกเขาจนถึงเวลานั้นให้นำเรื่องไปยังกลุ่มผู้เชื่อทั้งหมด ให้สมาชิกของคริสตจักรในฐานะตัวแทนของพระคริสต์สามัคคีรวมใจกันอธิษฐานและวิงวอนขอร้องด้วยความรักเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะตรัสผ่านผู้รับใช้ของพระองค์วิงวอนให้คนพเนจรกลับไปหาพระเจ้า อักรสาวกเปาโลพูดด้วยการดลใจว่า "โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายผ่านทางเรา เราจึงวิงวอนท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า" 2 โครินธ์ 5 ข้อที่ 20 ผู้ที่ปฏิเสธการทาบทามให้เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ได้ทำลายสายสัมพันธ์ที่ผูกมัดเขากับพระคริสต์และด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดตัวเองขาดจากการสามัคคีธรรมของคริสตจักร พระเยซูตรัสว่าต่อจากนี้ไป "ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี" แต่อย่าถือว่าเขาถูกตัดขาดจากพระเมตตาคุณของพระเจ้า อย่าให้อดีตพี่น้องของเขาดูหมิ่นหรือทอดทิ้งเขา แต่จงปฏิบัติต่อเขาด้วยความอ่อนโยนและความเมตตาเหมือนแกะหลงทางตัวหนึ่งซึ่งพระคริสต์ยังคงแวงหาที่จะนำมาสู่คอกของพระองค์ {DA 441.2}
คำสั่งสอนของพระคริสต์เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้ทำผิดนั้น เป็นการสอนซ้ำคำสอนของโมเสสที่ให้ไว้กับชนชาติอิสราเอลให้เจาะจงมากยิ่งขึ้นว่า "ห้ามเกลียดชังพี่น้องของเจ้าอยู่ในใจ แต่เจ้าจงตักเตือนเพื่อนบ้านของเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องรับโทษเพราะเขา” เลวีนิติ 19 ข้อที่ 17 นั่นคือ ถ้าคนใดละเลยหน้าที่ที่พระคริสต์ทรงบัญชาให้พยายามฟื้นฟูคนที่หลงผิดและทำบาปกลับคืนมาสู่สภาพดีดังเดิมแล้ว เชาได้กลายเป็นผู้ร่วมในบาปนั้นด้วย สำหรับความชั่วที่เราน่าจะขัดขวาง เราจะต้องมีความรับผิดชอบเสมือนหนึ่งว่าเราลงมือทำเอง {DA 441.3}
แต่เราต้องนำเสนอความผิดให้คนทำผิดเอง เราต้องไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของการวิจารณ์และตำหนิท่ามกลางพวกเรากันเอง หรือแม้หลังจากที่ประกาศในคริสตจักรแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิเล่าต่อให้คนอื่นฟัง การรู้เรื่องความผิดของคริสเตียนจะเป็นเพียงแต่หินสะดุดให้แก่คนในโลกที่ยังไม่ได้เชื่อ และด้วยการจมอยู่กับเรื่องเหล่านี้ เราเองจะได้รับแต่อันตราย เพราะโดยการเพ่งมองที่เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราลงแรงแก้ความผิดพลาดของพี่น้อง พระวิญญาณของพระคริสต์จะนำเราให้ปกป้องเขาเท่าที่จะทำได้ ป้องกันจากคำติเตียนแม้จากพี่น้องของเขาเอง และปกป้องจากโลกที่ไม่เชื่อได้มากยิ่งกว่านี้ พวกเราเองเป็นคนทำผิดและต้องการความเมตตาสงสารและการอภัยของพระคริสต์ และตามที่เราประสงค์ให้พระองค์ปฏิบัติต่อเราอย่างไร พระองค์ทรงประสงค์ให้เราปฏิบัติต่อกันและกันอย่างนั้น {DA 441.4}
"สิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์" คุณกำลังทำหน้าที่เป็นทูตของสวรรค์และเป้าหมายการทำงานของคุณคือนิจนิรันดร์ {DA 442.1}
แต่เราจะไม่ต้องแบกความรับผิดชอบยิ่งใหญ่นี้เพียงลำพัง ไม่ว่าที่ใดก็ตามเมื่อมีคนเชื่อปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ที่นั่นพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่การร่วมชุมนุมกันในคริสตจักรเท่านั้น แต่ที่ใดที่สาวกมีแค่เพียงน้อยคนประชุมในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น และพระองค์ตรัสว่า "ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้" {DA 442.2}
พระเยซูตรัสว่า "พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์” เพื่อเป็นการช่วยเตือนความจำของสาวกว่าด้วยการทรงดำรงในความเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงติดต่อสัมพันธ์กับพวกเขาแล้ว ทรงมีส่วนร่วมกับพวกเขาในการทดลองและทรงมีความเห็นอกเห็นใจกับพวกเขาในความทุกข์ยากด้วย โดยความเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเชื่อมต่อกับบัลลังก์ของพรเจ้าที่ไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นพระสัญญาแห่งความมั่นใจอันประเสริฐยิ่งเพียงไร! ชาวสวรรค์ที่มีปัญญารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ด้วยความเห็นอกเห็นใจและทำงานเพื่อช่วยผู้ที่หลงหายให้ได้รับความรอด และพลังอำนาจทั้งหมดของสวรรค์เข้าประสานกันกับความสามารถของมนุษย์เพื่อชักนำจิตวิญญาณเข้าหาพระคริสต์ {DA 442.3}
**********