บทที่ 62

งานเลี้ยงที่บ้านของซีโมน


บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 26 ข้อที่ 6-13;
มาระโก 14 ข้อที่ 3-11; ลูกา 7 ข้อที่ 36-50; ยอห์น 1155-57; 12 ข้อที่ 1-11


ซีโมนแห่งหมู่บ้านเบธานีนับว่าเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซู  เขาเป็นหนึ่งในพวกฟาริสีไม่กี่คนที่เข้าร่วมเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์อย่างเปิดเผย  เขายอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่ง และหวังว่าพระองค์จะทรงเป็นพระเมสสิยาห์องค์นั้น แต่เขายังไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขายังไม่ได้ปฏิรูปลักษณะอุปนิสัยของเขา หลักการของเขายังไม่เปลี่ยน  {DA 557.1}                  

ซีโมนได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อนแล้ว และเพราะเหตุนี้เองที่เขาถูกชักนำให้เข้ามาหาพระเยซู  เขาปรารถนาที่จะตอบสนองพระคุณของพระองค์และในการเสด็จไปเยี่ยมหมู่บ้านเบธานีครั้งสุดท้ายนี้ เขาจัดงานเลี้ยงถวายพระผู้ช่วยให้รอดและพวกสาวกของพระองค์  เป็นงานเลี้ยงที่รวมชาวยิวจำนวนมาก  ในเวลานี้มีความตื่นเต้นเกิดขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม  พระคริสต์และพันธกิจของพระองค์ดึงดูดความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม  ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงคอยติดตามการเคลื่อนไหวของพระองค์อย่างใกล้ชิด และบางคนติดตามด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร  {DA 557.2}                

พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีเพียงหกวันก่อนเทศกาลปัสกา เป็นกิจวัตรของพระองค์ที่จะทรงเข้าพักที่บ้านของลาซารัส  กลุ่มคนที่เดินทางผ่านมาทางนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกระจายข่าวว่าพระองค์กำลังเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพระองค์จะทรงพักผ่อนในวันสะบาโตที่หมู่บ้านเบธานี  เกิดความกระตือรือร้นขึ้นอย่างมากในหมู่ฝูงชน  คนมากมายแห่กันไปที่หมู่บ้านเบธานี บางคนทำเพราะเห็นใจพระเยซู ส่วนคนอื่นๆ ทำเพราะความอยากรู้อยากเห็นคนที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  {DA 557.3}                   

มีคนจำนวนมากคาดหวังที่จะฟังลาซารัสเล่าเหตุการณ์ที่เขาได้ไปเห็นหลังความตาย  พวกเขาแปลกใจที่เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลย  เขาไม่มีเรื่องใดในทำนองนี้ที่จะเล่า  พระเจ้าแห่งการทรงดลใจประกาศไว้แล้วว่า "คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย. . . . ความรักของพวกเขาและความชัง พร้อมกับความอิจฉาของพวกเขาได้สูญไปนานแล้ว"  ท่านผู้ประกาศ 9 ข้อที่ 5, 6  แต่ลาซารัสมีคำพยานอันประเสริฐยิ่งที่จะเล่าซึ่งเป็นเรื่องพระราชกิจของพระคริสต์  เขาถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายเพื่อจุดประสงค์นี้  เขาประกาศด้วยความเชื่อมั่นและด้วยอำนาจว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  {DA 557.4}                            

รายงานที่ผู้มาเยือนหมู่บ้านเบธานีนำส่งกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพิ่มความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น  คนทั้งหลายกระหายอยากที่จะเข้าเฝ้าและฟังพระเยซู  มีการถามกันอย่างแพร่หลายว่าลาซารัสจะตามพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็มหรือไม่ และผู้เผยพระวจนะพระองค์นี้จะได้รับการสถาปณาขึ้นเป็นพระราชาในช่วงเทศกาลปัสกาหรือไม่  พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองตระหนักว่าการครอบงำประชาชนของพวกเขากำลังอ่อนลงและความแค้นของพวกเขาต่อพระเยซูก็ยิ่งขมขื่นมากขึ้น  พวกเขาแทบจะรอโอกาสไม่ไหวที่จะกำจัดพระองค์ออกไปให้พ้นทางของพวกเขาตลอดกาล  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาเริ่มกลัวว่าในที่สุดพระองค์อาจจะไม่เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มเลยก็ได้  พวกเขาจำได้ว่าบ่อยครั้งเพียงไรที่พระองค์ทรงยับยั้งแผนฆาตกรรมของพวกเขาและพวกเขากลัวว่าในเวลานี้พระองค์ทรงอ่านจุดประสงค์ของพวกเขาที่ต่อต้านพระองค์ได้แล้ว และจะทรงปลีกตัวออกห่างไป  พวกเขาไม่สามารถปกปิดความวิตกกังวลของพวกเขาและถามกันเองว่า "คิดอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ?"  {DA 558.1}                            

มีการเรียกประชุมสภาของพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี  นับจากลาซารัสถูกเรียกให้เป็นขึ้นจากตาย ประชาชนก็เห็นใจเข้าข้างพระคริสต์อย่างเต็มที่ จึงเป็นเรื่องอันตรายที่จะลงมือจับพระองค์อย่างเปิดเผย  ดังนั้นผู้มีอำนาจลงความเห็นจะจับพระองค์อย่างลับๆ และดำเนินการพิจารณาคดีอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้  พวกเขาหวังว่าเมื่อการกำหนดโทษพระองค์เป็นที่รับรู้กันแล้ว กระแสอันแปรปรวนของสาธารณชนจะโอนเอียงเข้าข้างมาทางของพวกเขา  {DA 558.2}        

ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาเสนอที่จะสังหารพระเยซู  แต่ตราบใดที่ลาซารัสยังมีชีวิตอยู่ พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ก็รู้ดีว่าพวกเขาจะไม่ปลอดภัย  การมีชายคนหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขาทั้งๆ ที่เคยอยู่ในอุโมงค์ฝังศพมานานถึงสี่วันและกลับมามีชีวิตอยู่ต่อไปเนื่องจากพระดำรัสของพระเยซูนั้น ไม่ช้าก็เร็วจะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  ประชาชนจะต้องแก้แค้นผู้นำของพวกเขาที่สังหารพระองค์ผู้ทรงประกอบกิจอันอัศจรรย์นี้  ดังนั้นสภาซันเฮดรินจึงตัดสินว่าลาซารัสต้องตายด้วย  ความอิจฉาและอคตินำทาสของพวกมันมาไกลขนาดนี้  ความเกลียดชังและความไม่เชื่อของผู้นำชาวยิวเพิ่มขึ้นมากจนพวกเขาต้องการที่จะเอาชีวิตของคนคนหนึ่งที่อำนาจอันไร้ขอบเขตได้ช่วยกู้เขาคืนมาจากหลุมฝังศพ {DA 558.3}              

ขณะที่การวางอุบายนี้กำลังเกิดขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูและมิตรสหายของพระองค์ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงของซีโมน  ที่โต๊ะอาหาร ด้านหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอดมีซีโมนผู้ซึ่งพระองค์ทรงรักษาโรคที่น่ารังเกียจให้หายนั่งอยู่ ส่วนอีกด้านมีลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ทรงปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย  มาร์ธาคอยบริการจัดส่งอาหารอยู่ที่โต๊ะ  แต่มารีย์ฟังทุกพระดำรัสตรัสที่ออกมาจากริมพระโอษฐ์ของพระเยซูด้วยความเอาใจใส่  พระเยซูทรงยกโทษบาปของเธอด้วยความเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกน้องชายสุดที่รักของเธอออกมาจากอุโมงค์ฝังศพและหัวใจของมารีย์เต็มล้นไปด้วยความขอบคุณ  เธอเคยได้ยินพระเยซูตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่กำลังจะมาถึง และด้วยความรักและความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งเธอปรารถนาที่จะถวายเกียรติแด่พระองค์  ด้วยการเสียสละส่วนตัวอย่างยิ่งใหญ่เธอซื้อผอบ "น้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์. . . .ซึ่งมีราคาแพงมาก" มาชโลมพระวรกายของพระองค์  แต่ในเวลานี้คนมากมายกำลังประกาศว่าพระองค์กำลังจะขึ้นครองราชย์เป็นพระราชา ความเศร้าโศกของเธอกลายเป็นความสุขและเธอกระตือรือร้นที่จะเป็นคนแรกที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเธอ  เธอเปิดขวดผอบน้ำมันหอม แล้วเทน้ำมันหอมนั้นลงบนพระเศียรและพระบาทของพระเยซู จากนั้นเธอคุกเข่าร้องไห้ ทำให้พระบาทชุ่มด้วยน้ำตาของเธอ  เธอเอาผมที่ยาวสลวยของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์  {DA 558.4}                        

เธอคอยหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครคนใดเห็น และการเคลื่อนไหวของเธอน่าจะผ่านพ้นไปโดยไม่มีใครจับได้ แต่กลิ่นของน้ำมันฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง และเผยการกระทำของเธอให้ทุกคนที่อยู่ด้วยรู้หมด  ยูดาสมองการกระทำนี้อย่างไม่พอใจ  แทนที่จะรอฟังว่าพระคริสต์จะตรัสอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเริ่มกระซิบคำบ่นกับคนที่อยู่ใกล้ตัวและสาดใส่คำตำหนิพระคริสต์ที่ปล่อยให้มีการกระทำอันสิ้นเปลืองเช่นนี้  ด้วยความเจ้าเล่ห์เขาเสนอแนะสิ่งที่น่าจะก่อให้เกิดความบาดหมาง  {DA 559.1}                           

ในท่ามกลางสาวกยูดาสเป็นเหรัญญิก  และจากคลังน้อยๆ ของพวกเขา เขาแอบดึงเงินไปใช้ส่วนตัว จึงเป็นเหตุให้ทรัพยากรของพวกเขาเหลือเพียงน้อยนิด  เขากระตือรือร้นที่จะเก็บทุกอย่างที่เขาหามาได้ใส่ลงถุงให้หมด  บ่อยครั้งเขาดึงสมบัติในถุงมาใช้บรรเทาความทุกข์ของคนยากจน และเมื่อมีการซื้อสิ่งใดที่ยูดาสคิดว่าไม่จำเป็น เขาก็จะพูดว่าทำไมถึงสิ้นเปลืองกันเช่นนี้? เหตุใดจึงไม่นำเงินนี้ใส่กระเป๋าที่ฉันแบกไว้ให้กับคนยากจนเล่า?  บัดนี้การกระทำของมารีย์ตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัวของเขามากจนทำให้เขารู้สึกอับอาย และตามธรรมเนียมของเขานั้น เขาจะเป็นผู้กำหนดแรงจูงใจที่เหมาะสมในการคัดค้านของถวายของเธอ  ยูดาสจึงหันไปหาพวกสาวกถามว่า "ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้กับคนจน?  เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป"  ยูดาสไม่มีใจให้กับคนยากจน  หากเอาน้ำมันของมารีย์ไปขายและเงินที่ได้ตกไปอยู่ในความครอบครองของเขาคนยากจนก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใดเลย  {DA 559.2}                       

ยูดาสประเมินความสามารถในการจัดการของเขาเองสูงมาก  ในฐานะผู้บริหารการเงินเขาคิดว่าตัวเองเหนือกว่าเพื่อนสาวกด้วยกันมากและเขาได้โน้มน้าวพวกเขาให้นับถือตนเองอย่างนั้น  เขาได้รับความเชื่อมั่นจากพวกสาวกและมีอิทธิพลเหนือพวกเขา  ความเห็นอกเห็นใจที่เขาแสดงออกนั้นหลอกลวงพวกเขา ความสามารถพูดอย่างสอดแทรกของเขาเป็นเหตุให้พวกสาวกมองการอุทิศตนของมารีย์อย่างไม่วางใจ  การบ่นพึมพำดังขึ้นรอบโต๊ะว่า "น้ำมันหอมนี้ถ้าขายก็ได้เงินจำนวนมาก แล้วเอาไปแจกคนยากจนได้"  {DA 559.3}                        

มารีย์ได้ยินคำตำหนิ  หัวใจของเธอสั่นไหวภายในตัวเธอ  เธอกลัวว่าพี่สาวจะตำหนิเธอว่าฟุ่มเฟือย  พระอาจารย์เองก็อาจจะคิดว่าเธอสะเพร่าเลินเล่อ  เธอกำลังจะถอยออกไปโดยไม่ขอโทษหรือแก้ตัวขณะที่พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอดังขึ้นมาว่า "อย่าตำหนินางเลย ไปกวนใจนางทำไม?"  พระองค์ทรงเห็นว่าเธออับอายและเป็นทุกข์  พระองค์ทรงทราบดีว่าในการปรนนิบัติรับใช้นี้เธอได้แสดงออกถึงความขอบคุณสำหรับการอภัยบาปของเธอ และพระองค์ทรงปลดปล่อยความทุกข์ในใจของเธอไป  ด้วยเสียงที่ดังกว่าเสียงพึมพำบ่นตำหนิ  พระองค์ตรัสว่า "นางทำสิ่งดีสำหรับเรา  เพราะว่าพวกท่านมีคนยากจนอยู่ด้วยเสมอ และพวกท่านจะทำการดีต่อพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พวกท่านจะไม่มีเราอยู่ด้วยเสมอไป  หญิงคนนี้ทำสุดกำลังของนางแล้ว นางมาชโลมกายของเราล่วงหน้าก่อนที่จะมีการฝังศพของเรา"  {DA 560.1}                  

ของขวัญที่มีกลิ่นหอมซึ่งมารีย์คิดที่จะชโลมพระศพของพระผู้ช่วยให้รอดนั้น เธอเทลงบนพระกายอันมีชีวิตของพระองค์  ในการฝังศพ ความหอมหวานของน้ำมันจะแผ่ซ่านไปทั่วอุโมงค์ฝังศพเท่านั้น  แต่ในเวลานี้ได้ทำให้พระทัยของพระองค์ทรงปีติยินดีด้วยความเชื่อมั่นในความเชื่อและความรักของเธอ  โยเซฟแห่งอาริมาเธียและนิโคเดมัสไม่ได้ถวายของขวัญแห่งความรักแด่พระเยซูในขณะที่พระองค์ทรงพระชนม์  ด้วยน้ำตาอันขมขื่นพวกเขานำเครื่องเทศราคาแพงมาชโลมบนร่างเย็นเฉียบและไร้สติของพระองค์  ผู้หญิงที่นำเครื่องเทศมายังอุโมงค์ฝังศพพบว่าธุระพิเศษที่มุ่งหวังจะทำนั้นกลับไร้ผลเพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  แต่มารีย์ที่เทความรักของเธอที่มีต่อพระผู้ช่วยให้รอดในขณะที่พระองค์ทรงรับรู้ได้ถึงความจงรักภักดีของเธอว่ากำลังชโลมพระองค์สำหรับการฝังพระศพ  และในขณะที่พระองค์ทรงก้าวเข้าไปในความมืดของการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงนำความทรงจำของการกระทำครั้งนั้นติดตัวไปด้วยซึ่งเป็นความมุ่งมั่นแห่งรักที่จะเป็นของพระองค์ไปตลอดกาล เป็นความมุ่งมั่นแห่งรักที่ซึ่งมาจากคนทั้งหลายที่พระองค์ทรงไถ่ให้รอด  {DA 560.2}                      

มีหลายคนนำของขวัญล้ำค่ามาให้คนตาย  ในขณะที่พวกเขายืนอยู่รอบร่างแน่นิ่งอันเย็นเฉียบนั้น ถ้อยคำแห่งรักจะพูดออกมาอย่างคล่องแคล่ว  ความอ่อนโยน ความซาบซึ้งใจและความภักดีล้วนมีให้แก่ผู้ที่มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน  หากได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ขณะที่จิตวิญญาณอ่อนล้าและต้องการอย่างมากในขณะที่หูยังได้ยินและหัวใจยังสัมผัสได้แล้วไซร้ กลิ่นหอมนั้นจะมีค่ามากเพียงใด!  {DA 560.3}                       

มารีย์ไม่เข้าใจความสำคัญทั้งหมดของการกระทำแห่งรักของเธอ  เธอตอบผู้กล่าวหาเธอไม่ได้  เธออธิบายไม่ได้ว่าด้วยเหตุใดเธอจึงเลือกโอกาสนั้นเพื่อชโลมพระเยซู  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงวางแผนให้เธอและเธอเชื่อฟังการทรงดลใจของพระองค์  การทรงดลใจของพระเจ้าจะไม่โน้มลงมาโดยปราศจากเหตุผล  การมาปรากฏกายที่ตาเปล่ามองไม่เห็นนั้นจะพูดกับจิตใจและจิตวิญญาณและขับเคลื่อนหัวใจให้ลงมือปฏิบัติ  ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรในตัวมันเอง  {DA 560.4}

พระคริสต์ตรัสบอกให้มารีย์ทราบความหมายของการกระทำของเธอ และด้วยการทำเช่นนี้ พระองค์ประทานให้แก่เธอมากกว่าที่พระองค์ทรงได้รับ "การที่หญิงนี้เทน้ำมันหอมบนกายเรา”  พระองค์ตรัส “ก็เพื่อเตรียมการฝังศพของเรา"  ด้วยการหักขวดผอบน้ำมัน กลิ่นหอมของน้ำมันหอมฟุ้งไปทั่วบ้านฉันใด ด้วยการสิ้นพระชนม์ พระวรกายของพระคริสต์ที่แตกสลายไป และด้วยการทรงเป็นขึ้นมาจากอุโมงค์ฝังศพ กลิ่นหอมแห่งชีวิตของพระองค์ก็จะอบอวลไปทั่วทั้งโลกฉันนั้น  พระคริสต์ "ทรงรักเรา และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเราให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเพื่อเป็นกลิ่นสุคนธรสอันหอมหวาน"  เอเฟซัส 5 ข้อที่ 2 TKJV  {DA 560.5}                    

"เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า" พระคริสต์ทรงประกาศ "สิ่งที่หญิงคนนี้ทำจะถูกกล่าวขวัญถึงทั่วโลกที่มีการประกาศข่าวประเสริฐนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงนาง”  เมื่อมองไปยังอนาคต พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถึงข่าวประเสริฐของพระองค์ด้วยความมั่นใจ  ข่าวประเสริฐนี้จะต้องกประกาศไปทั่วโลก และทุกที่ที่ข่าวประเสริฐแผ่ขยายไปถึง ของถวายของมารีย์ก็จะส่งกลิ่นหอมออกไปและหัวใจหลายดวงจะได้รับพระพรจากการกระทำของเธอที่ไม่ได้วางแผนเตรียมการล่วงหน้ามาก่อน  อาณาจักรจะเรืองอำนาจและล่มสลายไป  พระนามของพระราชาและผู้ครองโลกทั้งหลายจะถูกลืมไปตามกาลเวลา แต่การกระทำของหญิงคนนี้จะยืนยงอมตะต่อไปในหนังสือประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์  จวบจนกระทั่งสิ้นยุค ผอบน้ำมันหอมที่เปิดออกใบนั้นจะบอกเล่าเรื่องราวความรักอันล้นเหลือของพระเจ้าที่ประทานให้แก่เผ่าพันธุ์ที่ล้มลงในบป  {DA 563.1}            

การกระทำของมารีย์มีความแตกต่างอย่างโดดเด่นกับสิ่งที่ยูดาสกำลังจะทำ  ช่างเป็นบทเรียนที่เฉียบคมสักเพียงไรที่พระคริสต์อาจประทานให้แก่เขาผู้ซึ่งกำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการตำหนิติเตียนและความคิดชั่วร้ายใส่ไว้ในใจของพวกสาวก!  ผู้กล่าวหาน่าจะถูกตำหนิอย่างยุติธรรมเพียงใด!  พระผู้ทรงอ่านแรงจูงใจของทุกหัวใจและเข้าพระทัยทุกการกระทำนั้นน่าจะเปิดเผยประสบกรณ์ชีวิตอันมืดมิดของยูดาสต่อหน้าแขกในงานเลี้ยงได้  ข้ออ้างที่ดูน่าเคารพซึ่งผู้ทรยศกล่าวถึงอาจถูกตีแผ่ออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะแทนที่จะเห็นอกเห็นใจบรรดาคนยากจน เขากลับปล้นเงินที่มีไว้เพื่อบรรเทาทุกข์ของพวกเขา  ความขุ่นเคืองอาจถูกปลุกกระหน่ำใส่เขาจากการที่เขากดขี่หญิงม่าย เด็กกำพร้าและลูกจ้างแรงงาน  แต่ถ้าพระคริสต์ทรงเปิดโปงยูดาสเช่นนี้แล้ว ยูดาสคงยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างทรยศพระองค์  และถึงแม้จะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นขโมย ยูดาสก็อาจจะยังได้รับความเห็นอกเห็นใจแม้แต่ในท่ามกลางหมู่สาวก  พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงตำหนิเขาและด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงที่จะให้ข้อแก้ตัวสำหรับการทรยศหักหลังของเขา  {DA 563.2}  

แต่สายพระเนตรที่พระเยซูทรงมองไปยังยูดาสทำให้เขาเชื่อมั่นว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเจาะทะลุผ่านเข้าไปยังความหน้าซื่อใจคดของเขาและอ่านลักษณะอุปนิสัยอันต่ำช้ำน่ารังเกียจของเขาได้  และในการที่ทรงยกย่องการกระทำของมารีย์ซึ่งถูกประณามอย่างรุนแรงนั้น พระคริสต์ทรงตำหนิยูดาสไปเรียบร้อยแล้ว  ก่อนหน้านี้ พระผู้ช่วยให้รอดไม่เคยตำหนิเขาโดยตรง  ในเวลานี้คำตักเตือนทำให้หัวใจของเขาคับแค้นใจ  เขามุ่งมั่นที่จะแก้แค้น  จากงานเลี้ยงอาหารค่ำเขามุ่งตรงไปยังราชวังของมหาปุโรหิตที่ซึ่งเขาพบว่าสภากำลังรวมตัวกันอยู่และเขาก็ได้เสนอที่จะทรยศพระเยซู  {DA 563.3}                            

พวกปุโรหิตปีติยินดีกันอย่างล้นพ้น  ผู้นำชนชาติอิสราเอลเหล่านี้ได้รับสิทธิพิเศษในการต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดโดยไม่ต้องใช้เงินและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  แต่พวกเขาปฏิเสธของขวัญอันล้ำค่าที่มอบให้แก่พวกเขาด้วยวิญญาณแห่งรักอันอ่อนโยนที่สุด  พวกเขาปฏิเสธที่จะรับความรอดนั้นซึ่งมีค่ามากยิ่งกว่าทองคำ และซื้อองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาด้วยเงินสามสิบแผ่น  {DA 564.1}                  

ยูดาสหลงระเริงปล่อยตัวให้กับความโลภจนมันเอาชนะลักษณะอุปนิสัยที่ดีของเขา  เขาแสดงออกถึงความไม่พอใจในของที่ถวายให้พระเยซู  ใจของเขาลุกเป็นไฟด้วยความอิจฉาที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นผู้รับของขวัญที่เหมาะสมกับพระมหากษัตริย์ของโลก  เขาทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาด้วยจำนวนเงินที่น้อยค่ากว่าผอบน้ำมัน  {DA 564.2}                      

สาวกไม่ได้เป็นเหมือนยูดาส  พวกเขารักพระผู้ช่วยให้รอด  แต่พวกเขาไม่ได้ชื่นชมพระลักษณะนิสัยอันสูงส่งของพระองค์อย่างถูกต้อง  หากพวกเขาตระหนักถึงสิ่งที่พระองค์ทรงประกอบกิจเพื่อพวกเขาแล้ว พวกเขาจะรับรู้ได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่มอบให้แก่พระองค์จะสูญเปล่า  นักปราชญ์จากตะวันออกซึ่งรู้จักพระเยซูเพียงเล็กน้อยยังได้ถวายความสำนึกพระคุณด้วยความจริงใจในพระเกียรติที่เป็นของพระองค์  พวกเขานำของกำนัลล้ำค่ามาถวายให้พระผู้ช่วยให้รอดและก้มกราบลงนมัสการต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์แม้ขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นเพียงทารกน้อยในรางหญ้า  {DA 564.3}                          

พระคริสต์ทรงให้ความสำคัญแก่การกระทำที่สุภาพจริงใจ  เมื่อใครก็ตามทำให้พระองค์ทรงโปรดปราน พระองค์จะทรงอวยพระพรแก่ผู้กระทำด้วยความสุภาพจากสวรรค์  พระองค์ไม่ทรงปฏิเสธดอกไม้ธรรมดาที่มือเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่งเด็ดมาถวายพระองค์ด้วยความรัก  พระองค์ทรงรับเครื่องถวายบูชาของเด็กเล็กและอวยพระพรผู้ถวายโดยจารึกชื่อของพวกเขาไว้ในหนังสือแห่งชีวิต  การกล่าวถึงการชโลมพระเยซูของมารีย์ในพระคัมภีร์ทำให้เธอแตกต่างจากมารีย์คนอื่นๆ  การแสดงความรักและความเคารพต่อพระเยซูเป็นหลักฐานแสดงถึงความเชื่อในตัวพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวถึงหลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความภักดีของบรรดาผู้หญิงที่มีต่อพระคริสต์ไว้ว่า "นางต้องมีชื่อเสียงในการทำความดี เช่น. . . .ล้างเท้าของธรรมิกชนทั้งหลาย สงเคราะห์คนทุกข์ยากและอุทิศตัวในการทำดีทุกอย่าง"  1 ทิโมธี 5 ข้อที่ 10  {DA 564.4}                        

พระคริสต์ทรงปีติในความปรารถนาอันจริงใจของมารีย์เพื่อทำตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอ  พระองค์ทรงยอมรับความรักอันบริสุทธิ์อันมหาสาล เป็นความรักที่สาวกของพระองค์ไม่เข้าใจและไม่ยอมเข้าใจ  ความปรารถนาที่มารีย์ประสงค์ทำหน้าที่นี้เพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าของเธอนั้นมีค่าต่อพระคริสต์มากกว่าน้ำมันหอมที่มีค่าทั้งหมดในโลก เพราะการกระทำนี้แสดงออกถึงความซาบซึ้งในพระผู้ไถ่ของโลก  เป็นความรักของพระคริสต์ที่บังคับเธออยู่  ความยอดเยี่ยมอย่างไร้ที่เปรียบของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ท่วมท้นจิตวิญญาณของเธอ  น้ำมันหอมเป็นสัญลักษณ์ถึงหัวใจของผู้ให้  เป็นการแสดงออกภายนอกให้เห็นถึงความรักที่ไหลรินจากสายธารสวรรค์จนล้นออกมา  {DA 564.5}                               

งานที่มารีย์ทำถวายพระเยซูเป็นบทเรียนที่สาวกต้องการเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการแสดงออกถึงความรักที่พวกเขาถวายพระองค์จะทำให้พระคริสต์ทรงพอพระทัย  พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับพวกเขา และพวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าอีกไม่นานพระองค์จะไม่ประทับร่วมอยู่กับพวกเขาอีกต่อไป และอีกไม่นานพวกเขาจะไม่สามารถถวายสิ่งของอันใดเพื่อแสดงออกถึงความซาบซึ้งสำหรับความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้อีก  ความเหงาโดดเดี่ยวของพระคริสต์ที่แยกตัวออกมาจากพระบัลลังก์แห่งสวรรค์เพื่อมาอาศัยอยู่กับมนุษยชาติเป็นสิ่งที่สาวกไม่มีทางเข้าใจหรือซาบซึ้งได้อย่างที่ควรจะเป็น  บ่อยครั้งพระองค์ทรงเศร้าพระทัยเพราะสาวกของพระองค์ไม่ได้ถวายสิ่งที่พระองค์น่าจะได้รับจากพวกเขา  พระองค์ทรงทราบดีว่าหากพวกเขาได้ไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของทูตแห่งฟ้าสวรรค์ที่คอยติดตามพระองค์แล้ว พวกเขาก็จะคิดว่าไม่มีของถวายใดที่มีคุณค่าเพียงพอเพื่อประกาศถึงความรักฝ่ายวิญญาณของหัวใจ  {DA 565.1}                

ความรู้ของพวกเขาในเวลาต่อมาภายหลังทำให้พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริงถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาน่าจะทำถวายพระเยซูเพื่อแสดงออกถึงความรักและความสำนึกขอบพระคุณในใจของพวกเขาขณะที่พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์  เมื่อพระเยซูไม่ทรงอยู่กับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว และพวกเขาเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยง พวกเขาจึงเริ่มเห็นว่าพวกเขาควรที่จะแสดงความเอาใจใส่ต่อพระองค์อย่างไรเพื่อทำให้พระทัยของพระองค์มีความปีติยินดี  พวกเขาจะไม่โยนความผิดใส่มารีย์อีกต่อไป แต่จะกลับโทษตัวเอง  โอ้ ถ้าพวกเขาจะนำคำตำหนิที่เคยเสนอว่าคนยากจนมีค่าคู่ควรรับของขวัญมากกว่าพระคริสต์กลับคืนมาได้!  พวกเขารู้สึกได้ถึงคำติเตียนอันแสนปวดใจในขณะที่พวกเขาปลดพระวรกายฟกช้ำของพระอาจารย์ลงจากกางเขน  {DA 565.2}                

ความขัดสนแบบเดียวกันนี้ปรากฏชัดในโลกของเราในทุกวันนี้  มีน้อยคนซาบซึ้งสิ่งทั้งหมดที่พระคริสต์ทรงเป็นเพื่อพวกเขา  หากพวกเขาซาบซึ้งแล้ว พวกเขาก็จะแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ของมารีย์ออกมาให้เห็นและการชโลมก็น่าจะกระทำไปอย่างไม่มีอุปสรรค  จะไม่เรียกน้ำมันหอมราคาแพงว่าสิ้นเปลือง  เพื่อเห็นแก่พระองค์แล้ว จะไม่มีสิ่งใดที่แพงเกินไปเพื่อนำขึ้นถวายพระคริสต์ จะไม่มีการละทิ้งตนหรือการเสียสละตนใดที่ยิ่งใหญ่เกินไปที่จะทนแบกได้  {DA 565.3}              

เมื่อถ้อยคำที่พูดด้วยความขุ่นเคืองว่า "ทำไมต้องสิ้นเปลืองอย่างนี้?" ไปแล้ว ภาพของการเสียสละยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนและไม่มีอีกแล้วได้มาปรากฏอย่างชัดเจนต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ เป็นภาพของการเสียสละด้วยการประทานพระองค์เองเพื่อชดใช้บาปของโลกที่หลงหายไป  พระเป็นเจ้าทรงโอบอ้อมอารีอย่างล้นเหลือต่อครอบครัวมนุษย์จนไม่อาจกล่าวได้อีกว่าพระองค์ควรที่จะทำได้มากกว่านี้อีก  พระเจ้าประทานทั้งสวรรค์มาให้แล้วในพระเยซูผู้ทรงเป็นของประทานชิ้นนั้น  ในมุมมองของมนุษย์แล้ว การเสียสละดังกล่าวเป็นการสิ้นเปลืองอย่างเปล่าประโยชน์  สำหรับเหตุผลของมนุษย์แล้ว แผนการแห่งความรอดทั้งหมดเป็นการใช้พระเมตตาและทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์  การปฏิเสธตนเองและการเสียสละอย่างสิ้นสุดใจจะพบกับเราในทุกหนแห่ง  ชาวสวรรค์ทั้งปวงน่าจะมองครอบครัวมนุษย์ด้วยความประหลาดใจที่มนุษย์ปฏิเสธที่จะยอมให้ความรักอันไร้ขอบเขตซึ่งแสดงออกในพระคริสต์ยกระดับและทำให้พวกเขามั่งคั่งขึ้น  ชาวสวรรค์เหล่านั้นน่าจะร้องอุทานขึ้นมาว่า ทำไมต้องสิ้นเปลืองถึงขนาดนี้เล่า?  {DA 565.4}

แต่การลบบาปให้กับโลกที่หลงหายจะต้องทำอย่างเต็มขนาด อย่างไพบูลย์ และอย่างสมบูรณ์  เครื่องบูชาของพระคริสต์มีมากมายอย่างเหลือล้นที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณทุกดวงที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาแล้วนั้น  การลบบาปนี้จะต้องไม่ถูกจำกัดเพื่อไม่ให้เกินจำนวนผู้ที่จะรับพระเจ้าผู้ทรงเป็นของขวัญยิ่งใหญ่  มนุษย์ทั้งหมดยังไม่ได้รับความรอด แต่กระนั้นแผนการไถ่ให้รอดก็ยังไม่ได้สูญเปล่าไปเพราะการไถ่บาปยังไม่ได้บรรลุผลสำเร็จของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ทรงจัดเตรียมไว้  การไถ่บาปจะต้องมีอย่างเพียงพอและต้องมีอย่างเหลือเฟือ  {DA 565.5}                    

ซีโมนเจ้าภาพงานเลี้ยงได้รับอิทธิพลจากคำตำหนิของยูดาสที่วิจารณ์ของขวัญของมารีย์ และเขารู้สึกประหลาดใจกับการปฏิบัติตนของพระเยซู  ด้วยความภาคภูมิใจอย่างคนฟาริสีเขาแสดงออกถึงความขุ่นเคือง  เขาตระหนักดีว่าแขกหลายคนในงานเลี้ยงกำลังจ้องพระคริสต์อย่างไม่วางใจและไม่พอใจ  ซีโมนนึกในใจว่า "ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป"  {DA 566.1}                        

เมื่อพระคริสต์ทรงรักษาซีโมนให้หายจากโรคเรื้อน และพระองค์ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากสภาพตายทั้งเป็น  แต่ในเวลานี้ซีโมนตั้งแง่สงสัยว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่  เนื่องจากพระคริสต์ทรงยอมให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใกล้พระองค์เพราะพระองค์ไม่ทรงขับไล่เธอออกไปด้วยความโกรธในฐานะคนที่บาปหนาเกินอภัย และเพราะพระองค์ไม่ได้สำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงทราบดีว่าเธอเป็นคนที่ล้มลงในบาป  ซีโมนจึงถูกทดลองให้คิดว่าพระองค์ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ  เขาคิดว่าพระเยซูทรงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหญิงผู้นี้ที่แสดงตนอย่างเปิดเผย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็คงไม่น่าจะปล่อยให้เธอแตะต้องพระองค์  {DA 566.2}                    

แต่ซีโมนขาดความรู้เรื่องพระเจ้าและพระคริสต์จึงทำให้เขาคิดอย่างที่เขากำลังคิดอยู่นั้น  เขาไม่เข้าใจว่าพระบุตรของพระเจ้าจะต้องดำเนินพระราชกิจตามวิถีของพระเจ้าพร้อมด้วยความเห็นใจ ความอ่อนโยนและความเมตตา  วิธีที่ซีโมนใช้คือเขาไม่มองการปรนนิบัติด้วยความสำนึกผิดของมารีย์  การจูบและชโลมพระบาทของพระคริสต์ด้วยน้ำมันทำให้หัวใจแข็งกระด้างของเขาฉุนเฉียว  เขาคิดว่าหากพระคริสต์เป็นผู้เผยพระวจนะแล้ว พระองค์จะทรงแยกแยะคนบาปได้และจะทรงดุด่าประณามพวกเขา  {DA 566.3}                      

ความคิดที่ไม่ได้เปล่งออกเป็นวาจานี้พระผู้ช่วยให้รอดทรงตอบว่า ข้อที่  "‘ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน. . . .เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบ  เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ท่านจึงยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า?’  ซีโมนจึงทูลว่า ‘ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่นายยกหนี้ให้มาก’ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘ท่านตัดสินได้ถูกต้อง’”  {DA 566.4}                          

เหมือนเช่นวิธีของนาธานที่ปฏิบัติต่อดาวิด พระคริสต์ทรงใช้อุปมาปกปิดบทเรียนคำเตือนของพระองค์  พระองค์ทรงโยกคำตัดสินไปให้แก่เจ้าภาพงานเลี้ยงเพื่อกำหนดโทษให้แก่ตัวเขาเอง  ซีโมนเป็นคนนำผู้หญิงคนที่เขาดูแคลนในเวลานี้ไปทำบาป  เธอตกไปอยู่ในความผิดอย่างร้ายแรงเพราะซีโมน  ลูกหนี้สองคนในอุปมาเป็นตัวแทนถึงซีโมนและผู้หญิงคนนี้  พระเยซูไม่ทรงมุ่งหวังที่จะสอนถึงขนาดความรับผิดชอบที่แตกต่างกันซึ่งทั้งสองจะต้องแบกรับ เพราะแต่ละคนเป็นหนี้บุญคุณซึ่งไม่มีวันจะชำระคืนได้  แต่ซีโมนคิดว่าตัวเองชอบธรรมกว่ามารีย์ และพระเยซูทรงประสงค์ที่จะให้เขาเห็นว่าความผิดของเขายิ่งใหญ่เพียงไร  พระองค์ทรงสำแดงให้เขาเห็นว่าบาปของเขายิ่งใหญ่กว่าของเธอ เหมือนเช่นหนี้ห้าร้อยเดนาริอันก็มากกว่าหนี้ห้าสิบเดนาริอัน  {DA 566.5}                          

บัดนี้ซีโมนเริ่มมองตัวเองด้วยมุมมองของแสงสว่างใหม่  เขาเห็นว่ามารีย์ได้รับการปฏิบัติจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นมากยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ  เขามองเห็นว่าด้วยสายพระเนตรแห่งการพยากรณ์ พระคริสต์ทรงอ่านหัวใจแห่งรักและการอุทิศตนของเธอได้ ความอับอายเข้าเกาะกุมตัวเขา และเขาตระหนักว่าเขากำลังอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ผู้ทรงอำนาจเหนือกว่าตัวเขาเอง  {DA 567.1}                         

เมื่อเราเข้ามาในบ้านของท่าน” พระคริสต์ตรัสต่อไปว่า “ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา” แต่มารีย์ได้ล้างเท้าของเราด้วยน้ำตาแห่งความสำนึกผิดซึ่งได้รับการกระตุ้นเตือนด้วยความรักและเช็ดด้วยผมที่ศีรษะของเธอ  "ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงคนนี้” ที่ท่านดูถูก “ไม่ได้หยุดจูบเท้าของเราเลยนับตั้งแต่เราเข้ามา”  พระคริสต์เล่าถึงโอกาสที่ซีโมนได้รับเพื่อจะได้แสดงออกถึงความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาและความซาบซึ้งในสิ่งที่ได้ทรงกระทำเพื่อเขา  พระผู้ช่วยให้รอดประทานความมั่นใจให้แก่สาวกทั้งหลายด้วยความเรียบง่ายอย่างตรงไปตรงมาแต่กระนั้นก็เป็นไปด้วยความสุภาพอ่อนโยนว่า พระทัยของพระองค์เจ็บปวดเศร้าพระทัยที่บุตรทั้งหลายของพระองค์ละเลยการแสดงความขอบคุณต่อพระองค์ด้วยคำพูดและการกระทำแห่งรัก  {DA 567.2}          

พระเจ้าพระผู้ทรงตรวจสอบหัวใจทรงอ่านแรงจูงใจที่ชักนำมารีย์ให้ลงมือกระทำการของเธอ และพระองค์ทรงเห็นถึงจิตวิญญาณที่กระตุ้นคำพูดของซีโมน  “ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม?” พระองค์ตรัสกับเขา เธอเป็นคนบาป  "เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปต่างๆ ของนางซึ่งมีมากมายนั้นได้รับการยกโทษแล้ว เพราะนางรักมาก แต่คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย"  {DA 567.3}

ความเย็นชาและความไม่ใส่ใจของซีโมนที่มีต่อพระผู้ช่วยให้รอดแสดงให้เห็นว่าเขาซาบซึ้งแต่เพียงน้อยนิดต่อพระเมตตาคุณที่เขาได้รับ  เขาคิดว่าเขาถวายเกียรติพระเยซูด้วยการเชิญพระองค์ไปยังบ้านของเขา  แต่บัดนี้เขาเห็นตัวเองในสภาพที่แท้จริงแล้ว  ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองอ่านพระอาคันตุกะของเขา แต่พระอาคันตุกะของเขากลับทรงอ่านเขาอยู่  เขาเห็นแล้วว่าคำวินิจฉัยที่พระคริสต์ทรงมีต่อตัวเขานั้นถูกต้องแม่นยำเพียงไร  ศาสนาของเขาเป็นเพียงเสื้อคลุมของลัทธิฟารีสี  เขาดูหมิ่นความเห็นอกเห็นใจของพระเยซู  เขายังไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นตัวแทนของพระเจ้า  ในขณะที่มารีย์เป็นคนบาปที่พระองค์ทรงอภัยแล้ว เขาเป็นคนบาปที่ยังไม่ได้รับการอภัย  กฎแห่งความยุติธรรมอันเข้มงวดที่เขาปรารถนานำมาใช้กับเธอนั้นกำหนดโทษตัวเขาแล้ว  {DA 567.4}                          

พระกรุณาของพระเยซูที่ไม่ทรงตำหนิเขาอย่างเปิดเผยต่อหน้าแขกในงานเลี้ยงได้สัมผัสหัวใจของซีโมน  เขาไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนที่เขาปรารถนาจะปฏิบัติต่อมารีย์  เขามองเห็นแล้วว่าพระเยซูไม่ทรงปรารถนาที่จะเปิดโปงความผิดของเขาต่อหน้าผู้อื่น แต่ทรงหาคำชี้แจงด้วยการเล่าเรื่องเพื่อโน้มน้าวความคิดของเขา และใช้ความเมตตาสงสารเพื่อทำให้เขาใจอ่อน  การประณามในที่สาธารณะอย่างรุนแรงน่าจะทำให้หัวใจของเขาแข็งกระด้างเกินการกลับใจ แต่คำตักเตือนอย่างอดทนทำให้เขาเชื่อว่าเขาผิด  เขามองเห็นขนาดของหนี้ที่เขาติดค้างองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา  ความหยิ่งผยองของเขาถูกปราบให้ราบคาบลง เขากลับใจ และฟารีสีผู้หยิ่งผยองก็เปลี่ยนเป็นสาวกผู้อ่อนน้อมและเสียสละตน  {DA 567.5}                  

คนทั้งหลายต่างมองว่ามารีย์เป็นคนบาปหนา แต่พระคริสต์ทรงทราบสถานการณ์ที่หล่อหลอมชีวิตของเธอ  พระองค์น่าจะดับทุกประกายแห่งความหวังในจิตวิญญาณของเธอ แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระองค์เองทรงเป็นผู้ที่ดึงเธอออกมาจากความสิ้นหวังและความพินาศ  เธอได้ยินคำประณามตำหนิของพระองค์ที่ดังไปถึงพวกปีศาจที่ควบคุมหัวใจและความคิดของเธอถึงเจ็ดครั้ง  เธอได้ยินพระสุรเสียงหนักแน่นของพระองค์ที่ดังไปถึงพระบิดาเพื่อเธอ  เธอรู้ดีว่าบาปนั้นน่ารังเกียจต่อความบริสุทธิ์อันปราศจากด่างพร้อยของพระองค์มากเพียงไร และด้วยพละกำลังของพระองค์ เธอเอาชนะได้แล้ว  {DA 568.1}                                  

เมื่อมองด้วยสายตาของมนุษย์ มารีย์มีชีวตที่สิ้นหวัง แต่พระคริสต์ทรงมองเห็นความสามารถของเธอที่จะประกอบการดี  พระองค์ทรงมองเห็นลักษณะที่ดีในลักษณะอุปนิสัยของเธอ  แผนการไถ่บาปมอบความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษยชาติ และในตัวมารีย์ความเป็นไปได้เหล่านี้จะต้องเกิดผล  โดยพระคุณของพระองค์เธอได้รับธรรมชาติของพระเจ้า  เธอเป็นคนหนึ่งที่ล้มลงและจิตใจของเธอเคยเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาปีศาจนั้นได้ถูกชักนำให้เข้ามาใกล้พระผู้ช่วยให้รอดผ่านทางการร่วมสามัคคีธรรมและพันธกิจแห่งการรับใช้  มารีย์นี้เองที่นั่งอยู่แทบพระบาทของพระองค์และเรียนจากพระองค์  มารีย์นี้เองที่นำน้ำมันชโลมอันมีค่ามาเทลงพร้อมน้ำตาใส่พระบาทของพระองค์  มารีย์นี้เองที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนและตามพระองค์ไปถึงอุโมงค์ฝังศพ  มารีย์นี้เองเป็นคนแรกที่ประกาศการเป็นขึ้นมาของพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 568.2}                    

พระเยซูทรงทราบสภาพการณ์ของจิตวิญญาณทุกดวง  คุณอาจพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบาป บาปหนาอย่างยิ่ง  คุณอาจเป็นเช่นนั้นจริง แต่ยิ่งคุณเลวมากเพียงไร คุณก็ยิ่งต้องการพระเยซูมากขึ้นเท่านั้น  พระองค์จะไม่ทรงหันไปจากคนที่ร้องไห้และกลับใจ  ทั้งหมดที่พระองค์น่าจะเปิดเผยได้พระองค์จะไม่ทรงบอกให้แก่ผู้ใด แต่พระองค์ทรงเชิญชวนจิตวิญญาณที่สั่นสะท้านทุกดวงให้กล้าหาญเข้มแข็ง  พระองค์ทรงอภัยบาปอย่างเอื้ออารีให้กับทุกคนที่เข้ามาเฝ้าพระองค์และฟื้นกลับสู่สภาพดีดังเดิม  {DA 568.3}                          

พระคริสต์น่าจะบัญชาให้ทูตสวรรค์เอาชามแห่งพระพิโรธของพระองค์เทลงบนโลกของเราเพื่อทำลายล้างผู้ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังพระเจ้าได้  พระองค์น่าจะกวาดจุดด่างดำนี้ทิ้งไปจากจักรวาลของพระองค์ได้  แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น  วันนี้พระองค์ประทับอยู่ข้างแท่นเผาเครื่องหอม ทรงนำเสนอคำอธิษฐานของผู้ที่ปรารถนาการทรงช่วยของพระองค์ต่อพระเจ้า  {DA 568.4}

จิตวิญญาณที่เข้าลี้ภัยในพระเยซูนั้น พระองค์ทรงยกชูขึ้นเหนือคำกล่าวหาและการโต้เถียงทั้งปวง  ไม่มีมนุษย์คนใดหรือทูตชั่วองค์ใดจะฟ้องร้องวิญญาณเหล่านี้ได้  พระคริสต์ทรงเชื่อมรวมพวกเขาเข้ากับธรรมชาติของพระองค์เองที่มีทั้งความเป็นพระเจ้าและความเป็นมนุษย์  พวกเขายืนอยู่ข้างพระองค์ยิ่งใหญ่ผู้ทรงแบกรับบาป  ท่ามกลางแสงสว่างที่ส่องมาจากพระบัลลังก์ของพระเจ้าแล้ว  "ใครจะฟ้องคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้? พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเป็นคนชอบธรรมแล้ว  ใครจะเป็นผู้ลงโทษอีก? พระเยซูคริสต์หรือ? ผู้สิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์สถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราด้วย” โรม 8 ข้อที่ 33, 34  {DA 568.5}                          

********